ความคิดเห็นที่ 1 SCBLT1 - รอปันผล SCBLT3 - รอช่วงตลาดหุ้นแกว่งไปมา เพิ่มเติมที่ SCBLT2 - รอแรงส่งจากตลาดหุ้นขาขึ้นครับ ช่วงเวลานี้พักการสับเปลี่ยนไว้ก่อน ใช้ระบบทยอยซื้อเพิ่มอย่างเดียวครับ จากคุณ : pjuk - [ 25 ก.ย. 50 08:29:14 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เรียบเรียงอุปนิสัย และแนวทาง การลงทุนกับ LTF ทั้ง 6 กองทุน ------------------------------------ SCBLTT - ไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต ยกเป็นประเด็นของการตัดสินใจของ Fund Manager ล้วนๆ เลยครับ ลักษณะจะเป็นการตั้งเป้าหมายการลงทุน ว่าจะถึงเท่าไหร่ แบบถึงแล้วหยุดครับ ซึ่งตอนนี้ ยังไม่มีการกำหนดรูปแบบที่ชัดเจน รู้แต่เพียงว่า อัดใส่หุ้นแบบเก็บเต็ม เล่นกันถึง 93% ของขนาดกองทุนครับ SCBLTS - ไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวสมาร์ท เล่นแบบลดความสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะสามารถลดความเสี่ยงลงได้ ด้วยการลงทุนในหุ้นกว่า 65% (ปัจจุบัน 73%) เพียงเพราะ กองทุน และผู้ลงทุนจะกำไรได้ในกรณีที่หุ้นขึ้นอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถ้าหุ้นอยู่ในลักษณะขาลง นั่นหมายถึงการขาดทุน จากหุ้นที่มีอยู่กว่า 65% แต่ด้วยการเลือกลงทุนใน SET50 Index Futures 3.5% (ปัจจุบัน 4.3%) ที่มองในมุมว่า ขอสร้างกำไรถ้าดัชนี SET50 ติดลบ นั่นหมายถึง ถ้าดัชนี SET50 เป็นบวก ในส่วนของ SET50 Index Futures ขาดทุน สิ่งที่เล่นกับ SET50 Index Futures คือการจ่ายเงินแค่เล็กน้อย แต่สามารถคุ้มครองได้เทียบเท่ากับการลงทุนในหุ้นกว่า 10 เท่าของเงินลงทุน ตามแนวทาง และแนวคิดที่จัดสร้าง - ลงทุนในหุ้นตามรูปแบบของดัชนี SET50 ที่ 65% - ลงทุนใน SET50 Index Futures 3.5% - ที่เหลือเป็นการสำรองเงินลงทุน ในรูปของเงินสด และตราสารหนี้ ก็สามารถลดความเสี่ยง ความผันผวนทั้งด้าน :: บวก : หุ้นขึ้น +65% - 35% = 30% :: ลบ : หุ้นลง +35% - 65% = -30% จึงทำให้ SCBLTS แม้มีการลงทุนในหุ้น 65% ก็เสมือนมีการลงทุนในหุ้นเพียงแค่ 30% ของทรัพย์สินสุทธิ ดังนั้น SCBLTS ที่เป็นกองทุน LTF ที่ต้องมีการลงทุนในหุ้นที่จดทะเยนในตลาดหลัดทรัพย์ เฉลี่ยทั้งปีไม่น้อยกว่า 65% ของขนาดกองทุน ก็ยังสามารถสร้างความปลอดภัยในการลงทุนกับหุ้น ให้ผู้ที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากหุ้น ให้เป็นทางเลือกได้ หรือในยามที่ตลาดหุ้นอยู่ในทิศทางขาลงอย่างแน่นอน ก็พร้อมที่จะเป็นแหล่งพักพิง เพื่อลงทอนความสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุด และในยามที่ตลาดหุ้นเป็นช่วงขาขึ้นอย่างแท้จริง หรือเพียงแค่โอกาสที่มากกว่า ก็จึงเริ่มหาทิศทางของหุ้นตามสภาวะตลาดหุ้นต่อไป ด้วยการสับเปลี่ยนไป SCBLT1 - ไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 หุ้น SET50 : 70% ตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว + เงินสด : 30% มีนโยบายการจ่ายปันผล ประวัติการจ่ายปันผล : http://www.scbam.com/inc/Dividend/getdiv.asp?l=th :: ยังไม่แน่ใจว่าจะรุก หรือจะตั้งรับ กับตลาดที่แนวโน้มว่าจะดีจริงหรือไม่ จากการที่มีตราสารหนี้ ถึง 30% อาจทำให้อัตราเร่ง และอัตราถดถอย น้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงของดัชนีตลาด SCBLT2 - ไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว พลัส หุ้น SET50 : 90% ตราสารหนี้ระยะสั้น + เงินสด : 10% :: ตลาดถูกหุ้นใหญ่ช่วงส่งดัชนีขึ้น แรงๆ จากสัดส่วนการลงทุนในหุ้นใหญ่ๆ 90% จึงสามารถสร้างโอกาสที่วิ่งไล่ตลาดหุ้นได้ในช่วงขาขึ้น SCBLT3 - ไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว เอ็มเอไอ หุ้น SET50 : 40% หุ้น ต่ำกว่า SET100 + MAI : 40% หุ้น Trade + เงินสด : 20% :: ตลาดเล่นมันทุกกลุ่ม ทั้งเล็ก ทั้งใหญ่ ด้วยกลุ่มหุ้นที่ครอบคลุมทั้ง SET และ MAI ไม่ว่าตลาดจะ เก็บหุ้นใหญ่ ปั่นหุ้นเล็ก หรือแม้แต่สภาวะ SET มีแต่สีแดงๆ MAI กลับทำให้ตลาดหุ้นมีสีเขียวเจือปนได้หลายๆ ครั้งครับ --------------------------------- ฉีกแนวทางการลงทุน ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่หุ้นในประเทศ SCBLT4 - กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวอินเตอร์ ที่สามารถนำตัวเลขเงินลงทุนไปใช้ลดหย่อนทางภาษี จะลงทุนใน Master Fund เดียวกันกับ SCBPGF ซึ่งเป็นกองทุนเรือธง ของ SCBAM โดยเฉพาะ ที่ก้าวสู่การลงทุนยังหุ้นต่างประเทศ โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ขนาดใหญ่และราคาถูกจากทั้ง 3 ภูมิภาค โดยหุ้นที่มีราคาถูกนั้น คือหุ้นที่มี P/E ในระดับต่ำ และมีการจ่ายปันผลดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทนั้นๆ มีความมั่นคงและฐานะทางการเงินดี โดยนโยบายในการลงทุนนั้น กองทุนจะเลือกหุ้นจากดัชนี : ดัชนี Euro STOXX ของยุโรป : ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐอเมริกา : ดัชนี TOPIX 100 ของญี่ปุ่น ออกมาทั้งหมดจำนวน 30 หลักทรัพย์ ซึ่งจะแบ่งตามกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก 3 กลุ่มคือ กลุ่มพลังงาน เวชภัณฑ์ และกลุ่มวัสดุพื้นฐาน เช่น เหล็ก ทองแดง อลูมิเนียม สารเคมี เป็นต้น ดังนั้นผู้ลงจะสามารถลงทุน ในส่วนหนึ่งของ FIF ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำสุดๆ คือไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อ และการสับเปลี่ยนเข้า-ออก เลยครับ มีเพียงค่าธรรมเนียมการขายคืน 0.25% + vat เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการลงทุน ภายใต้ข้อบังคับของกองทุนประเภท LTF เท่านั้นครับ ------------------------ SCBLT4 จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะลงทุนในกองทุนประเภท FIF ที่ลงทุนในต่างประเทศ บวกกับ LTF ที่สามารถนำตัวเลขเงินลงทุนไปใช้สิทธิ์ลดหย่อนทางภาษีได้ด้วยครับ ดังนั้นการจับจังหวะการลงทุนจึงสามารถใช้ Master Fund http://www.faz.net/d/invest/Fonds1.aspx?isin=LU0229884845 ช่วยเป็นแนวทางการลงทุนได้เช่นเดียวกับ SCBPGF ครับ จากคุณ : pjuk - [ 25 ก.ย. 50 08:30:30 ]

ความคิดเห็นที่ 3 และเพื่อการสร้างโอกาสในช่วงเวลาต่างๆ ของตลาดหุ้นไทย ที่เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานถึง 5 ปีปฏิทินแล้ว เปิดให้สามารถเลือกช่วงเวลาในการขายคืนได้เต็มที่ โดยผ่านการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนที่เปิดโอกาสให้ขายคืนได้ในช่วงเวลาที่ต้องการ ตลอดปี มี 8 เดือน เลือกได้ตามต้องการ - SCBLT1, SCBLT2, SCBLT3 ขายคืนได้ทุกวันที่ 1 - 15 เดือน มกราคม และ เดือน กรกฎาคม - SCBLT4 ขายคืนได้ทุกวันที่ 1 - 15 เดือนกุมภาพันธ์ และ เดือนสิงหาคม - SCBLTS ขายคืนได้ทุกวันที่ 1 - 15 เดือนมีนาคม และ เดือนกันยายน - SCBLTT ขายคืนได้ทุกวันที่ 1 - 15 เดือนพฤษภาคม และ เดือนพฤศจิกายน เว้นไว้เพียง 4 เดือนที่ไม่มีกองทุนเพื่อรองรับ อาจจะเป็นเหตุผลจาก เมษายน - จำนวนวันหยุดเยอะ กำหนดวันลำบาก มิถุนายน - ตลาดหุ้นตกจนน่ากลัว ไม่น่าขาย ตุลาคม - อยู่รอ ฤดูเก็บเกี่ยวเงินปันผลจากหุ้นก่อน ธันวาคม - ตลาดหุ้นกำลังสดใส จะขายคืนก็น่าเสียดาย ส่วนการเล่นไปกับการลงทุน LTF ทั้ง 6 กองทุน สามารถสับเปลี่ยนไปมาระหว่างกัน ได้ตลอดทั้งปี โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องวันที่ครับ โดยสามารถสับเปลี่ยนออกได้ทุกวันทำการ และจะเข้าลงทุนในกองทุนปลายทาง อีก 3 วันทำการถัดไป (T+3) หลังจากการสับเปลี่ยนออกครับ โดยที่ การสับเปลี่ยนระหว่างกองทุน LTF จะไม่มีค่าธรรมเนียมเลยด้วยครับ :: ราคาเสนอขาย/สับเปลี่ยนเข้า = ราคาหน่วยลงทุน + 0.0001 บาท :: สับเปลี่ยนออก = ราคาหน่วยลงทุน จะมีแต่ค่าธรรมเนียมตอนขายคืน 0.25%+VAT :: ราคารับซื้อคืน = ราคาหน่วยลงทุน x (1+0.26175%) ---------------------- ทุกกองทุนถ้าทำรายการผ่าน SCB Easy Net ( http://www.scbeasy.com ) จะสามารถทำรายการได้ถึง 16.00 น. ทำให้สามารถเฝ้าดูสถานะการณ์ตลาดหุ้นได้อย่างเต็มที่ก่อนตัดสินใจด้วยครับ และด้วยระยะเวลาการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนระหว่างกองทุน ถึง 3 วันทำการนี่เอง ที่เราสามารถใช้ประโยชน์จากระยะเวลาดังกล่าว เพื่อหยุดการเคลื่อนไหว ของเงินทุนไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางของตลาดหุ้น ได้ถึง 3 วันทำการครับ จากคุณ : pjuk - [ 25 ก.ย. 50 08:31:28 ]

ความคิดเห็นที่ 4 บทสรุปครับ การลงทุนใน LTF แม้จะเป็นกองทุนหุ้น ที่ต้องใช้ระยะเวลาการลงทุนไม่น้อยกว่า (3-) 5 ปีปฏิทินก็ไม่ควรอยู่กับกองทุนเดิม ที่เริ่มซื้อไปตลอด ควรใช้วิธีการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน ที่กองทุนประเภท LTF เปิดโอกาสให้ทำได้ แม้จะไม่อนุญาตให้ขายคืนออกนอกระบบ LTF แต่ถ้าเป็นการสับเปลี่ยนระหว่างกองทุนประเภท LTF ด้วยกันแล้ว จะทำได้อย่างอิสระ โดยไม่มีข้อบังคับใดๆ ครับ ในบางภาวะการณ์ กองทุนที่สร้างโอกาสให้เกิดผลตอบแทนได้มากกว่า อาจจะเป็นกองทุนที่ ขึ้นไม่แรง และลงไม่แรง :: SCBLTS, SCBLT1 ในบางภาวะการณ์ ที่หุ้นตัวใหญ่ๆ คนสนใจมากๆ ราคาแพงๆ เป็นตัวสร้างผลตอบแทนให้ได้มาก :: SCBLT2, SCBLTT ในบางภาวะการณ์ หุ้นทั้งตลาด ทั้งตัวเล็ก ตัวใหญ่ ช่วยกันสร้างผลงาน สร้างกระแส หรือแม้แต่เวลาที่หุ้นบางกลุ่มไม่ดี บางกลุ่มดี สลับกันไป :: SCBLT3 ในบางภาวะการณ์ อาจจะต้องเลือกกระจายความเสี่ยงออกไปเลือกลงทุนกับหุ้นต่างประเทศบ้าง เพื่อสร้างโอกาสที่มากกว่า :: SCBLT4 จากคุณ : pjuk - [ 25 ก.ย. 50 08:32:47 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เพราะ T+3 นี่แหละ เลยยังไม่ได้เอาออกจาก SCBLTS สักที ต้องรอจังหวะ .. ไม่รู้จะเจอเปล่า :P จากคุณ : NoNameLFC - [ 25 ก.ย. 50 09:06:31 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณมากๆนะค้า แล้ว mf ดีอย่างไร p'juk ถึงเล่นแบบ  DCA  ล่ะเจ้าคะ จากคุณ : เอื้อยค่ะ (ThePhenix) - [ 25 ก.ย. 50 10:01:24 ]

ความคิดเห็นที่ 7 SCBMF เลือกมาพิสูจน์ทฤษฎีครับ ส่วนตัวชอบเล่นกับจังหวะมากกว่า แต่การลงทุนแบบ DCA ทำให้ไม่เครียด และวันเวลาเดินเร็วขึ้นเยอะเลย เพราะรอลุ้นว่าวันลงเงินตลาดหุ้นเป็นเช่นไรครับ จากคุณ : pjuk - [ 25 ก.ย. 50 10:52:26 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สำหรับ SCBMF ที่เลือกมาลงทุนแบบ DCA ภายใต้ทฤษฎี ความน่าจะเป็น จากการเฉลี่ยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านใต้ราคาหน่วยลงทุนที่มีความกว้างของความผันผวนของราคาค่อนข้างมากครับ จากคุณ : pjuk - [ 25 ก.ย. 50 11:07:10 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณคะ จากคุณ : nuclide - [ 25 ก.ย. 50 13:28:02 ]