ความคิดเห็นที่ 1 ฝากเป็นประจำแบบรายเดือนของ scb ก็ได้นี้ค่ะ (เงินออมเพื่อการศึกษา) คือ  ผลตอบแทนน้อยก็จริง แต่ความเสี่ยงต่ำ ออมไปเรื่อย ๆอะค่ะ เดี๋ยวพอลูกโตก็มีเป็นก้อน ส่วนตัวยังไม่มีลูก แต่ก็เปิดบัญชี  ฝากแบบนี้ไว้เหมือนกัน ไม่เสียภาษี (คือแบ่งงินก้อนหนึ่งไปลงทุนในที่คิดว่ามสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ )กับแบ่งเงินเก็บออมไว้ทุกๆเดือนเพื่อนอนาคตจะได้มีเงินออมสำหรับภาวะฉุกเฉินสามรถถอนเงินออกมาได้เลย ) จากคุณ : flukeball (flukeball) - [ 26 ก.ย. 50 14:56:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เด็กตอนนี้ตั้งแต่เกิดจนถึงมหาวิทยาลัย ใช้เงินประมาณ 3,000,000 บาทต่อคน เฉลี่ยเด็ก1คนใช้เงินปีละ 150,000 บาท ถ้าคุณเก็บเดือนละ2,500 บาท ตกปีละ30,000บาทเกรงว่าจะไม่พอ แต่ถ้าในทางกลับกันคุณใช้เงิน30,000 บาทค่อปีเท่ากัน 1 .พอลูกคุณอายุ 5ขวบคุณจะมีเงินให้ลูกคุณ 44,000 บาท 2. ในตอนที่ลูกคุณอายุ 10 คุณจะมีเงินให้ลูกอีก 66,000  บาท 3.ส่วนในปีที่ 15 ลูกคุณประมาณ ม. 3 ลูกคุณจะมีเงินไว้สำหรับตอนที่ต้องเปลี่ยนโรงเรียนอีก 110,000 บาท 4.ในปีที่ลูกคุณจะจบมหาวิทยาลัยคุณมีเงินเป็นของขวัญวันเรียนจบอีก 440,000 บาท โครงการนี้ดีมั๊ยคะ แล้วที่สำคัญคุณสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เต็ม 30,000นะคะ สนใจเพิ่มเติมคุญต่อได้ที่ 085 2528867 รัชดาวรรณ บัลลังก์ทอง55 เอไอเอคะ จากคุณ : ต่าย (sarangnoi) - [ 26 ก.ย. 50 15:09:06 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คห. 2 ก็เกินไปครับ จขกท. บอกว่าจะเอามาใช้เฉพาะตอนเรียนมหาวิทยาลัย ... ปีละ 30,000 อีกประมาณ 17 ปีเข้ามหาวิทยาลัย 30,000 x 17 = 510,000 เรียน 4 ปี ก็ตกปีละ 127,500 ถ้าไม่ใช้จ่ายมากไป ก็น่าจะพอใช้นะ ... อันนี้คิดแย้ง .. คห.2 เล่นๆครับ :P จากคุณ : NoNameLFC - [ 26 ก.ย. 50 16:35:47 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ^ ง่า เขาบอกแล้ว ประกันไม่เอา แถมประกันที่ดูเหมือนออมทรัพย์นี่ เอาเงินไปขังชัดๆ ต้องการใช้ก็ไม่ได้ ถ้าได้ค่าไถ่ก็แพง เพราะบริษัทบอก ปีแรกๆ จ่ายเป็นค่าคอมให้ตัวแทนหมด จากคุณ : :::GANTZ::: - [ 26 ก.ย. 50 16:47:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 หัวข้อที่ 2 --> ไปเอาตัวเลขมาจากไหน "เฉลี่ยเด็ก1คนใช้เงินปีละ 150,000 บาท"  คนไทยกว่าครึ่งประเทศ ยังมีรายได้เฉลี่ย ต่อปีไม่ถึง 150,000  อย่ายกข้อมูลมั่ว ๆ มาเพื่อเพียง เอาแต่ขายของ. จากคุณ : V$@P (ก้องหล้าลูกพ่อขุน) - [ 26 ก.ย. 50 17:38:26 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เก็บข้ามหลายปีแบบนี้ แนะนำซื้อทองไปเลยครับ จากคุณ : A.R.T. - [ 26 ก.ย. 50 18:02:13 ]

ความคิดเห็นที่ 7 โอ้โฮเด็กใช้เงินปีละ 150,000 ตกเดือนละ 12,500 บาท สงสัยส่งเรียนนานาชาติมั้งนั่นนะ นี่เป็นอีกเหตุผลนึงที่คนไม่ค่อยอยากคุยกับคนขายประกัน ฝากประจำง่ายสุด ชัวร์ว่าเงินไม่สูญด้วย ถึงจะได้ผลตอบแทนไม่สูงมากนัก จากคุณ : kiatte - [ 26 ก.ย. 50 19:11:29 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าคิดว่าฝากไว้เพื่อให้ลูกเรียนนะคะ แนะนำฝากประจำไม่เสียภาษีค่ะ พึ่งไปฝากมาเหมือนกันค่ะ   คือจะเก็บไว้เผื่อจะเรียนต่อโท   ที่สำคัญไม่เสียภาษีด้วยคะ่   ถ้านำเงินไปลงทุนในกองทุน   ไม่แนะนำนะคะ   เพราะความเสี่ยงไม่เหมือนกัน   ถ้าคิดจะเก็บ   ก้อฝากประจำ แนะนำนะคะ  มี 3 ธนาคาร   เท่าที่เช็คมา  แบบปลอดภาษี   3 ธนาคาร   ฝากประจำเท่าๆ กัน  24 เดือนค่ะ กรุงไทย   2.55  กว่าๆ ประมาณนี้   อัตราดอกเบี้ยเท่ากัยฝากประจำ 12 เดือน+ extra (0.75) ออมสิน    3.00  แต่เป็น fix rate  คือดอกไม่ขึ้นไม่ลง  3% ตลอด 24 เดือน ธนชาติ   น้องใหม่มาแรง  ดอกเบี้ยให้เยอะกว่าที่อื่นมาก    3.25% ( เ ท่ากับอัตราประจำ 12 เดือน + Extra 0.75) ถ้าเปรียบเทียบแล้วก้อ  ธนาชาติได้มากกว่าค่ะ   หรือจะสนใจเป็นฝากออมทรัพย์  ดอกเบี้ยง   2%  เท่ากับอัตราดอกเบี้ยงเงินฝาก ประจำของอีกหลายธนาคารเลยค่ะ   ลองเข้าเวปแล้วโทรถามพนักงานได้ค่ะ จากคุณ : สี่สิบดีกรี - [ 26 ก.ย. 50 20:25:25 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แต่ถ้าเป็นธนาชาติ  สาขาอาจจะน้อยหน่อยนะคะ   ส่วนมากจะอยู่ตาม  ห้างสรพพสินค้า แต่สำหรับเรา   ธนชาติ  ไปสะดวกกว่าออมสินคะ จากคุณ : สี่สิบดีกรี - [ 26 ก.ย. 50 20:26:45 ]

ความคิดเห็นที่ 10 อ่า....เราลองมาคำนวนดูกันก่อนดีมั้ยครับ ตอนนี้ลูกสาวอายุ 1 ขวบ....กว่าจะเข้ามหาลัยก็ราวๆอายุ 18 ปี ดังนั้นคุณมีระยะเวลาเก็บเงินอยู่ที่ 18 ปีครับ คิดคร่าวๆแล้วก็คือ  18ปี * 12เดือน * 2500บาท  = 540000 บาท ถ้าคุณฝากธนาคารดอกเบี้ยราวๆ 3% ต่อปีผลตอบแทนที่ได้ในปีที่ 18 คือ 702433 บาทครับ ในที่นี่ผมคิดในแง่การฝากรายปีนะครับ(ค่อยๆฝากทีละปี ปีละ 2500*12เดือน = 30000 บาทต่อปี) แต่ถ้าฝากเป็นรายเดือนแบบคุณน่าจะได้มากกว่านี้ราวๆ แสนกว่าบาทนะครับ ผมคิดว่าเงินจำนวนนี้พอสำหรับส่งลูกคุณเรียนได้อย่างสบายใจเลยล่ะครับ...ข้อสำคัญคือคุณต้องมีวินัยในการออมให้มากๆนะครับ....เป็นกำลังใจให้ครับ ปล.โดยส่วนตัวแล้ว ผมแนะนำให้ลงทุนในหุ้นปันผลดี และมีพื้นฐานแข็งแกร่ง โดยที่เงินปันผลจะอยู่ราวๆ  6-7% ต่อปี และเมื่อรวมกับราคาที่เพิ่มขึ้นก็จะตกอยู่ที่ราวๆ 10%++ ต่อปีครับ....แต่คุณต้องมีเวลาศึกษาพอสมควรนะครับ หุ้นพวกนี่ถือยาวๆแล้วสบายใจครับ จากคุณ : luangrit - [ 26 ก.ย. 50 21:21:33 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขออภัยครับ...ถ้าฝากเป็นรายเดือนคุณจะได้มากกว่านี้อีกประมาณ "หมื่นกว่าบาท" ครับ จากคุณ : luangrit - [ 26 ก.ย. 50 21:25:33 ]

ความคิดเห็นที่ 12 พิจารณาดูนะครับ ดอกเบี้ยเงินฝากประจำตอนนี้ประมาณ 2.5% ส่วนประกันสะสมทรัพย์บางแบบ มีผลประโยชน์เงินคืนเทียบได้กับดอกเบี้ยประมาณ 3% ถ้าคุณตัดสินใจจะไม่ทำประกัน ก็คงต้องมองไปที่ตราสารหนี้ความเสี่ยงต่ำ ที่ให้ดอกเบี้ย 4%-5% ขึ้นไป เพราะดอกเบี้ยธนาคารมันน้อยกว่าแถมแนโน้มลงอีกต่างหาก ส่วนหุ้น ผมขอให้คิดนิดนึงครับ ถ้าวันนึงเศรษฐกิจพัง แล้วลูกคุณจะเอาเงินที่ไหนเรียนหนังสือ เงินที่จำเป็นต้องใช้ ควรเก็บในที่ปลอดภัย เหลือจากนั้นค่อยเอามาลงทุน เศรษฐกิจพอเพียงดีกว่าครับ จากคุณ : angelporing@hotmail.com - [ 26 ก.ย. 50 21:50:12 A:58.8.239.51 X: TicketID:005686 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมซื้อกองทุนสะสมไว้ให้ลูกทุกๆเดือนครับ เดือนละ 5000 บาท เป็นกองหุ้นซะส่วนใหญ่ คิดไปถึงอีกสิบกว่าปีข้างหน้าน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าฝากเงินเอาไว้กับธนาคารทั้งหมด น่าจะพอค่าเล่าเรียนเค้าในอนาคตจนจบปริญญาโทนะ ไม่รู้ว่าตอนนั้นปริญญาโทนี่พอมั้ย แต่ก็แล้วแต่เค้าครับ ไม่บังคับกัน ไม่เรียนก็ค่อยเอาเงินออกมาใช้กันเองก็ได้ :) ลองศึกษากองทุนแต่ละแบบดูครับ แล้วเลือกเอาว่าเรารับความเสี่ยงในระยะยาวได้แค่ไหน เริ่มฝากไปเรื่อยๆเป็นประจำ รูปแบบไหนก็ตาม เวลามันจะสอนให้เรารู้มากขึ้น ว่าแบบไหนน่าจะเหมาะกับเรามากที่สุดครับ โชคดีครับ จากคุณ : นายสตางค์ (นายสตางค์) - [ 26 ก.ย. 50 23:34:02 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมเห็นด้วยกับ คห.13 เพราะตัวเองก็ทำแบบนี้เหมือนกัน  เพียงแต่ว่าผมกันเงินทุกเดือนเอาไปซื้อกองทุน RMF แบบความเสี่ยงต่ำสุด เนื่องจากตัวเองอายุ 30 กว่า ลูกเพิ่งอายุ 2 ขวบ พออายุ 55 ปี ลูกก็อายุประมาณ 20 เศษ มีเงินให้เค้าใช้พอดี แต่ตลอดช่วงเวลาเกือบ 20 ปีนั้น ผมสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ของ RMF  ได้ตลอด ซึ่งเงินภาษีที่ขอคืนได้ในแต่ละปีผมก็เอามาฝากบัญชีประจำให้ลูกอีกที หากในอนาคตลูกต้องใช้เงินด่วน ก็ถอนเงินจากบัญชีประจำนี้ไปใช้พลางๆก่อน  แล้วก็ทำประกันสุขภาพให้ลูก เพราะจะได้ไม่ต้องกังวลกับค่ารักษาพยาบาลของลูก หากมีเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้น ส่วนตัวก็พยายามทำเท่าที่ทำได้นะครับ หากเห็นดีเห็นงามด้วย ก็ยินดีครับ จากคุณ : ปันคุน (ปันคุน) - [ 27 ก.ย. 50 20:03:33 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ข้อนี้ขออนุญาตตอบท่านอื่นๆ ที่พูดถึงประกันนะครับ เพราะ จขกท.มีประกันอยู่แล้ว คงไม่ต้องพูดถึงอีก ขอเพียงแชร์ไอเดีย เท่าที่รู้มา สักนิด ค่าเล่าเรียนประเทศไทย (เอกชน) ปี 2006 ประมาณ   90,000  บาท ปี 2011 ประมาณ  118,000 บาท ปี 2016 ประมาณ  158,000 บาท ปี 2021 ประมาณ  221,000 บาท คำนวณโดยใช้อัตราเงินเฟ้อ 6% การประกันก็คือการประกัน คนละกรณีกับธนาคารหรืออื่นๆอย่างสิ้นเชิง จากตัวเลขข้างบน หากลูกคุณเอ็นทร๊านซ์ไม่ได้ (เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น) ก็ต้องเรียนเอกชน ประมาณปี 2016 ลูกคุณก็น่าจะอายุ 18 ปี เข้ามหาลัย ใช้เงินปีละ 158,000 บาท (ไม่รวมค่าเดินทาง,ค่ากิน,ค่าแต่งตัว,มือถือ และอื่นๆซึ่งหลายคนทราบดี) ประมาณ 4 ปี = 632,000 บาท คุณจะเตรียมเงินก้อนนี้อย่างไร หากมีวินัยและไม่อยากรับความเสี่ยง ก็ฝากธนาคาร (ฝากประจำ) 16 ปี ตกปีละ 39,500 บาท หรือเดือนละ 3,219 บาท หรือจะซื้อกองทุนอะไรก้ได้ เสี่ยงต่ำเสี่ยงสูงได้ทั้งนั้น แต่คนปฏิบัติคือ คุณ นั่นหมายความว่า คุณห้ามเป็นอะไร ห้ามหยุดหาเงิน ห้ามหยุดงาน และที่สำคัญห้ามจากไปก่อนวัยอันควร (ขออภัยนะครับ แต่นี่คือความจริง) ทุกอย่างที่แนะนำมา ไม่มีใครผิด แล้วแต่ความชอบ เพียงแต่ข้อสำคัญคือ คุณต้องมีความสามารถในการหารายได้ ไม่ลดลง แต่กับประกันนั้น คุณเป็นอะไรก็ได้ ตามธรรมชาติ จำนวนเงินที่คุณตั้งใจเตรียมไว้ให้ลูกให้ครอบครัว อยู่ครบ ได้ครบ (ตามทุนประกันที่คุณต้องการ) การจากไป หรือ การทุพลภาพ เป็นเรื่องน่าเศร้า แต่จะเศร้ากว่านั้น ถ้าคุณเตรียมตัวไว้ไม่พร้อม (ทั้งๆที่คิดว่าพร้อมแล้ว) จากคุณ : สนามหน้า (สนามหน้า) - [ 1 ต.ค. 50 22:15:55 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เก็บเงินให้ลูก เพื่อให้มีใช้ตอนเข้ามหาวิทยาลัย ระบบประกันดีที่สุดเพราะ 1. บังคับเก็บ ถ้าถอนก่อนขาดทุน จึงต้องถูกบังคับให้เก็บให้ครับ หมายความว่า ลูกมีเงินก้อนตอนเข้ามหาวิทยาลัยแน่นอน 2. หากเกิดอะไรขึ้น ประกันจะจ่ายเบี้ยแทนให้ ลูกมีเงินแน่นอน แต่ถ้าเก็บเอง ก็เหลือแค่เท่าที่เก็บได้ 3. ผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยไม่น่าเกลียด ถ้าเลือกแบบหรือเลือกบริษัทดี ๆ บางแบบได้สูงมากกว่า 3% (แต่ถ้าเลือกไม่ดีหรือคำนวณไม่เป็นก็อาจเจอแบบที่ได้ 2 ต้น ๆ ซึ่งต่ำมาก) ซึ่งสูงกว่าธนาคารในปัจจุบัน 4. ปลอดการจ้ดการโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องเสียเวลามานั่งดูว่า อะไรลด อะไรเพิ่ม ต้องย้ายหรือเปลี่ยนที่เก็บหรือไม่ (คนไทยไม่เคยคิด เรื่องต้นทุนการจัดการในเรื่องการบริหารเงินส่วนบุคคล) 5. มีโครงการให้เลือกหลากหลาย ระยะเวลาส่ง 5ปี 7ปี 8ปี 10ปี 15ปี 20ปี แล้วรอรับเงินคืนปีที่ 20 ได้สบายมาก จากคุณ : หมู - [ 4 ต.ค. 50 19:15:29 A:125.24.182.92 X: TicketID:150376 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อาจจะไม่ค่อยเกี่ยวกันนะคะ เเต่อยากบอกเอาไว้...เพราะอ่านกท.เเบบนี้ทีไรนึกถึงพ่อกับเเม่ทุกที(แอบน้ำตาซึม) ไม่ใช่ตัวเองเก็บเงินหรอกนะคะ เเต่เป็นคุณเเม่-คุณพ่อเก็บไว้ให้เราใช้ตอนนี้น่ะค่ะ คือ เเม่เรา จะเก็บเงินเข้าฝากประจำเเบบ 24เดือน หรือฝากเพื่อการศึกษา เเล้วเเต่ดอกเบี้ยนะคะ เเล้วพอครบกำหนด ก้อเอาออกมาฝากในบ/ช ประจำสามเดือนอีกทีนึง ทำเเบบนี้มาตั้งเเต่ตอนที่เราเด็กๆ สักประถมได้ เพราะเคยไปธนาคารกับเเม่ บ่อยๆ ( แม่หัดให้เราหยอดกระปุกเก็บเงินค่าขนม เเล้วก็เเข่งกันกับน้องเป็นประจำว่าของใครเต็มก่อนกันโดยมีข้อเเม้ว่า ห้ามอดข้าวเอาเงินมาหยอดกระปุก พอเต็ม เเม่ก็พาไปฝากเงินด้วยกันค่ะ โดยให้ลูกเเต่ละคนเขียนใบฝากเงินเอง ใช้เงินตัวเองฝาก...ตอนนั้นภูมิใจเป็นบ้า เเบบว่า โหย เดือนนี้ชั้นมีเงินฝากตั้ง 50บาท รวยเเล้วนะเนี่ยเรา ความคิดของเด็กๆอะไรเเบบนี้อ่ะค่ะ ) ตอนนี้ เรียนจบมา ด้วยเงินที่เเม่เก็บไว้ให้เราตั้งเเต่ตอนนั้นเเหละค่ะ พร้อมด้วยคำพูดของเเม่ ว่า "เเม่ไม่มีสมบัตินะลูก มีเเต่ ส่งให้เรียนให้ได้เเต่ความรู้เท่านั้นน่ะล่ะนะ ที่เป็นสมบัติจากเเม่" ...รักเเม่จัง... จากคุณ : หมูอืด - [ 9 ต.ค. 50 11:50:40 ]

ความคิดเห็นที่ 18 #17 ซึ้งจัง. จากคุณ : Shadow Hunter - [ 9 ต.ค. 50 18:10:55 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณ คห. 17 มากนะคะ เดี๋ยวถ้ามีลูก  จะขอจำไปเป็นตัวอย่างบ้าง ^^ จากคุณ : @ - ENYA - @ - [ 25 ต.ค. 50 13:45:42 ]