ความคิดเห็นที่ 1 Active Management Portfolio BKA ของ บลจ.บัวหลวง ถือเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่ม High Beta ที่ Outperform ตลาดมาตั้งแต่ต้นปี ในขณะที่มีการกระจายการลงทุนไปยังหลายอุตสาหกรรม แต่ยังให้น้ำหนักสูงในกลุ่มพลังงาน และธนาคารครับ ABG โดย บลจ.อเบอร์ดีน ถือเป็นกองทุนสร้างชื่อของ บลจ.อเบอร์ดีน ปัจจุบัน น่าจะเป็นกองทุนที่มี NAV สูงที่สุดในตลาดแล้ว ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน เมื่อปี 2540 อยู่ที่ 30%ต่อปี ถึงแม้จะมีบางช่วงของการลงทุนที่กองทุนแพ้ SET Index แต่ด้วยความที่ลงทุนใน Defensive Stock และมองปัจจัยพื้นฐานของตลาดมากกว่าการลงทุนตามกระแส จึงทำให้กองทุนนี้มีผลการดำเนินงานชนะ SET Index ขาดกระจุย เมื่อดูย้อนหลังเกิน 3 ปี ขึ้นไป **กองนี้ เป็นกองทุนหุ้นไทยที่เหมาะกับการลงทุนระยะยาวที่สุดแล้วในสายตาของผม Passive Management Portfolio JB25 ของ บลจ.ทหารไทย ลงทุนในหุ้น 25 ตัวแรกทีมี Market Cap สูงที่สุดในตลาด โดยจะลงทุนอุตสาหกรรมไม่เกิน 3 ตัว และ Rebalance Port ทุกๆ 6 เดือน ถือเป็น Passive Mgt. ที่ชนะ SET Index ในระยะยาว และมาค่า Beta ต่ำกว่า 1 เนื่องจากคัดเลือกหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีๆเข้าพอร์ตแล้ว SET50 ของ บลจ.ทหารไทย (อีกแล้ว) เน้นเกาะ SET50 Index มี Tracking Error ไม่เกิน 4% ที่ผ่านมาชนะ SET50 Index อยู่เล็กน้อย ซึ่งเป็นเพราะไม่จ่ายเงินปันผล --------------------------- ควรแบ่งลงทุน 2 ประเภทไหม? - แล้วแต่ครับ ถึงจะแบ่งทั้ง 2 ประเภท ผมก็แนะนำให้ถือไม่เกิน 3 กอง หรือ แค่ 2 กองก็พอ ส่วนตัวแล้ว กองทุนหุ้นในไทย ผมไม่ค่อยชอบ Passive Mgt เท่าไหร่ สาเหตุเพราะ ตลาดไม่มีประสิทธิภาพ (อย่างประเทศไทย) และขึ้นอยู่กับ Fund Flow ของต่างชาติมากเกินไป ผู้จัดการกองทุนที่เก่งจริง ก็ควรจะสามารถชนะตลาดได้ในระยะยาว (ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าจริง!!) แต่ก็แล้วแต่ความเห็นของแต่ละคนนะครับ ใครที่ลงทุนระยะสั้นๆ ก็อาจเหมาะกับ Passive มากกว่า เพราะค่าธรรมเนียมซื้อขายถูกกว่าเห็นๆ ผมจะเลือกลงทุนใน Passive Mgt. ก็ต่อเมื่อ ตลาดมีแนวโน้มวิ่งแรงๆแบบชัดเจนกันทั้งตลาด นั้นเป็นตอนเดียวครับที่ Passive จะชนะ Active ที่ผลการดำเนินเจ๋งๆได้ (เราไม่รวม Active Mgt. ห่วย ที่มีอยู่เกลื่อนตลาดนะครับ) ------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 50 19:39:12 จากคุณ : Mr.Messenger - [ 5 ต.ค. 50 18:52:11 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ได้ความรู้ดี ขอบคุณครับ จากคุณ : ฉ่ำ - [ 5 ต.ค. 50 19:17:14 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ได้ความรู้มากขอบคุณค่ะคนความรู้น้อยอย่างดิฉันได้ให้เงินทำงานเพราะพวกท่านทั้งหลาย จากคุณ : Chuaykongma (chuaykongma) - [ 5 ต.ค. 50 19:35:21 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เข้ามาเก็บความรู้ด้วยคนครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : nouikj - [ 5 ต.ค. 50 21:56:59 ]

ความคิดเห็นที่ 5 - ABG แจ๋วดีครับตั้งมา 10 ปี (17 ก.ค. 2540) ผลตอนแทนเฉลี่ยประมาณ 30 % ต่อปี  แบบ active เหมาะถือยาว ๆ http://www.aberdeen-asset.com/aam.nsf/thailandthai/funds&pricesperformance - TMB SET50 ก็เจ๋งครับตั้งมา 6 ปี (29 มี.ค. 2544) ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 50 % ต่อปี (หุ้นขึ้นแรงเมื่อประมาณปี 2546) แบบ passive เหมาะเล่นรอบตามภาวะตลาด น่าจะต้องดูแนวโน้มตลาดจากกราฟ SET50 http://www.tmbam.com/th/performance/index.php ไม่จ่ายปันผลทั้งคู่ แจ๋วทั้งคู่ ดีคนละแบบ แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 50 22:15:37 จากคุณ : mrdew - [ 5 ต.ค. 50 22:12:55 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อันนี้แล้วแต่คนนะครับ เรื่อง passive กับ active สำหรับผมในระยะ long term จริงๆ คือ 20 ปีขึ้นไป ผมขอแค่เสมอกับตลาดก็พอครับ ไม่ต้องเอาคณะผู้จัดการกองทุนมาเป็นความเสี่ยงเพิ่มขึ้นไปอีก ผมเชื่อว่า active เกือบทุกกองยังไงก็ต้องคำนึงถึง short term profit เพราะ nav มันคำนวณทุกวัน ถูกคนเอาไปเปรียบเทียบทุกวัน แถมผู้จัดการกองทุนมันมีการเปลี่ยนเข้าเปลี่ยนออก มีอารมณ์ความรู้สึก ส่วนที่ผมขอเสมอตลาด เพราะผมเชื่อว่า ตลาดบ้านเรายังโตได้อีกเยอะ ดูตัวอย่างประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นที่ประเทศพัฒนาแล้วได้ จากคุณ : อวิรุืทธ์ - [ 5 ต.ค. 50 23:03:01 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมชอบ passive มากกว่า ดูจังหวะได้, ความเสี่ยงเรื่องความสามารถของผู้จัดการกองทุนก็ไม่มีหรือมีผลน้อยมาก เวลาฝรั่งเข้าหุ้นขึ้นๆๆๆ เราก็อยู่ใน passive พอทำท่าจะลง(ระยะกลางถึงยาว) ก็ทะยอย switch ไปกองทุนตลาดเงินหรือตราสารหนี้ กองทุนที่ผลตอบแทนเกาะกับดัชนี เช่น SET50 เป็นต้น ผมมองว่าดีตรงที่เรารู้ว่าเราตรงไหน ช่วงไหนของตลาด แนวโน้มเรากำลังจะไปไหน ดูกราฟแป๊บเดียวรู้แนวโน้ม ถ้าผมลงทุนในกองทุนแบบ active ผมต้องมานั่งดูอีกว่ากองทุนนี้ลงทุนหุ้นอะไรบ้าง สัดส่วนเท่าไหร่เรียงลำดับ สัดส่วนนั้นมีแนวโน้มธุรกิจเป็นอย่างไร สัดส่วนนั้นจะชนะตลาดจริงไม๊ ซึ่งผมคงไม่เก่งขนาดจะไปวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจได้เหมือนพวกนักวิเคราะห์ แล้วอย่างที่เรารู้ ๆ อ่ะ นักวิเคราะห์ก็เชื่อไม่ค่อยได้ เชื่อกราฟ เชื่อเม็ดเงินเลยดีกว่า แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 50 17:00:32 แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 50 16:57:33 จากคุณ : mrdew - [ 6 ต.ค. 50 16:51:25 ]