PANTIP.COM : I5900840 Mr.Messenger + ผู้รู้แนะนำด้วยครับ ... ตอนนี้ซื้อกองทุนไหนดี [การลงทุน]

ความคิดเห็นที่ 2

ไม่ได้ Update Market Outlook มานาน ตั้งแต่ Subprime เกิดขึ้น ก็แนะนำให้ทยอยกันไปบ้างแล้ว คราวนี้เอาภาพรวมในมุมมองส่วนตัวนะครับ ว่าผมเห็นว่ายังไง

สำหรับกลุ่มทวีปยุโรป
ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของอังกฤษ และกลุ่มอียู ต่ำสุดในรอบ 13 เดือน ในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ในขณะที่ ราคาที่อยู่อาศัยก็ลดลง เป็นผลมาจากดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง อีกทั้งกลุ่มอียู ก็ยังไม่ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ย ตามแนวโน้มในอเมริกา ทั้งนี้ ผมมองว่า อียูกำลังพยามยามบอกนักลงทุนทั่วโลกว่า เขาไม่ผูกติดกับอเมริกาแล้ว...... แต่ผมมองว่าเป็นเรื่องตลก เพราะว่า Subprime Crisis ที่ผ่านมา ตลาดที่ Crash แรงๆ นอกจาก US ก็เป็นยุโรปนี้ละครับโดยเฉพาะกลุ่ม Financial Sector นี่ล่ะ
สำหรับ Value Investor หรือ Contrarain ตลาดยุโรป อาจเหมาะกับการเข้าทยอยลงทุนเก็บเล็กผสมน้อยไป หากเชื่อว่ายุโรปน่าจะได้รับการแก้ไขไปในทางที่ดีขึ้น แต่ระยะสั้นแล้ว ความผันผวนของราคาหุ้นน่าจะยังมีอยู่เหมือนกันครับ

ตลาดเอเชีย
Subprime แทบไม่กระเทือนอะไรตลาดในภูมิภาคนี้ (นอกจากประเทศไทย) หล่นมาเท่าไหร่ ก็วิ่งกับไปเท่าเดิม และทำ All Time New High กันเป็นว่าเล่น Average GDP ในภูมิภาคนี้อยู่ที่ 7.5-9% ถือว่าสูงกว่าแถบอื่น อีกทั้งเม็ดเงินจากต่างชาติก็ไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียอย่างต่อเนื่องมา 2-3 ปีติดต่อกัน ดูเหมือนร้อนแรง แต่ผมเชื่อใน Fund Flow มากกว่าครับ หากเรา Selective Buy ให้ถูกตัว ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งจริงๆ บริษัทนั้นก็ควรผ่านวิกฤตไปได้ (หากมันเกิดขึ้นมา) และผลตอบแทนเปรียบเทียบกับความเสี่ยงมันก็น่าจูงใจคนรับความเสี่ยงสูงๆอย่างเรา ถือเป็นภูมิภาคที่โอกาสทำกำไรใน Short Term ยังมีอยู่ แต่ไม่มากเท่าเดิมแล้ว

จีน!!
เนื่องจากกำลังร้อนแรงนะครับ แบ่งออกจากเอเชียมาดูเลยดีกว่า
การบริโภคภายในประเทศยังอยู่ระดับที่สูง มีการขยายหัวเมืองต่างๆตลอด 5 ปีทีผ่านมา เม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้าเอเชียเนี่ย เกินกว่า 40% เข้าไปลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจในจีน (ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีน) โอลิมปิกปีหน้า และภาคอุตสาหกรรมที่ฆ่าผู้ผลิตรายอื่นจากทั่วทั้งโลกเรียบร้อย จากต้นทุนแรงงานที่แสนจะถูกเอามากๆ ทำให้จีนมีข้อได้เปรียบสูง ในมุมของการส่งออกสินค้า
อัตราการออมของประชาชนจีนยังเกิน 30% ของรายได้ ว้าว บ้านเราไม่ถึง 10% -*-

เรื่องการมีโอลิมปิคที่ปักกิ่ง ผมว่า ชิวๆ ครับ Potential Growth ของจีน น่าจะยังทำ Return ได้พอๆกับ GDP ของประเทศอีกเกินกว่า 3-5 ปี ขึ้นไปด้วยซ้ำครับ แต่ปัญหาคือ Bubble ในตลาดหุ้นที่ค่า P/E ตลาด ขึ้นไปเกิน 40 เท่าแล้ว ในเสิ้นเจิ้นและเซี้ยงไฮ้ (ค่า P/E เฉลี่ยในเอเชียอยู่ที่ 14.1 เท่า เมื่อสิ้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา) ดังนั้นลงทุนในหุ้นจีนโดยตรง (A-Share) เป็นเรื่องที่ผมไม่ขอ comment ครับ เพราะเหมือนเรากำลังเข้าบ่อนมากกว่าลงทุนด้วยซ้ำ (แต่ส่วนตัวก็วิ่งเข้าบ่อนไปแล้วนิดโน้ยยย)

ผมบอกอย่างนี้ล่ะกัน
หุ้นตัวเดียวกัน จดทะเบียนในตลาด A-Share ซื้อขายกันที่ 100 บาท แต่ที่ H-Share เทรดกันที่ 70 บาท เป็นคุณ จะเลือกลงทุนในตลาดไหน???
ถ้าเป็น Value Investor ก็ต้องเลือก P/E ต่ำกว่า แต่ถ้ามองที่โอกาสระยะสั้นๆ (เอาความโลภเข้าสู้) ก้อาจจะยอมไปลงทุนใน A-Share แทน... ผมตอบไม่ได้หรอกครับว่าหุ้นตลาดไหนดีกว่า เพราะอย่าง P/E หุ้นไทย ดูเหมือนถูก น่าซื้อจริงๆเลย แต่หากดูย้อนหลังไปซัก 10 ปี ก็จะเห็นว่า P/E หุ้นไทย มันก็ถูกอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลก ดังนั้นดูที่ตัวเองเป็นหลักครับ ว่ารับความเสี่ยงได้ไหม แค่นั้นพอ

ตลาดหุ้นไทย
เบรคแนวต้านที่ 850-860 จุด พร้อมด้วยต่างชาติซื้อสุทธิมาทั้ง 2 วันติดต่อกัน นำโดยกลุ่มพลังงาน และธนาคาร (อีกแล้ว) ไม่มีข่าวดีรออยู่ข้างหน้า เนื่องจากรับรู้กันไปหมดแล้ว SET Index น่าจะวิ่งขึ้นไปทดสอบที่ 880-890 ได้ (High เดิม) นี่เราคุยกันที่ Fund Flow กับเทคนิคอย่างเดียวเลย เพราะตลาดอย่างนี้ข่าวอะไรก็เล่นไม่ได้หรอกครับ และคาดว่า SET Index คงไปได้ไม่ไกลขนาด 20% อย่างตอนครึ่งปีแรกแน่นอน แนะนำระยะสั้น เน้นกองทุนที่ Overweight พลังงานและธนาคาร ส่วนระยะยาว มองแบบ Bottom Up เป้นหลัง มองที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเป็นดีที่สุดครับ

----------------------

สำหรับคำถามที่ถามมา
- แนะนำหากรับความเสี่ยงได้ Overweight ที่ ABAPAC ไปเลยครับ ตั้งเป้าหมายการลงทุนระยะสั้นๆ และทยอยขายบางส่วนเมื่อมีกำไร ส่วน INGGTW เหมาะกับการ Diversified มากกว่าจะเอามาดูว่าเหมาะหรือไม่เหมาะนะครับ เพราะกองทุน Diversified หุ้นทั่วโลก และ Volatility ต่ำเกือบจะพอๆกับ MSCI World Index เลยทีเดียว

------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ

จากคุณ : Mr.Messenger - [ 9 ต.ค. 50 23:50:43 ]