ความคิดเห็นที่ 1 คือเราไม่ได้จะมีเจตนาดูถูกการใช้เทคนิคในการเล่นหุ้นนะคะ  เเต่เป็นพวกที่เกลียดการดูกราฟ   ก็เลยหาเหตผลเข้าข้างตัวเอง  แต่อ่าน เทมเปิ้ลบอกซิ่งเพิ่งจบมา(สนุกมาก   อ่านไปขำไป) เค้าบอกว่าถ้าเรามีเครื่องมือมากกว่าก็ได้เปรียบกว่า  แล้ว รู้มากกว่าก็ได้เปรียบกว่า  หมายความว่าต้องรู้ให้หมดทุกด้านที่เกี่ยวเนื่องกับหุ้น   ถึงจะเล่นหุ้นได้ดีหรือเปล่าคะ   ข้าน้อย  เเมงเม่ามือใหม่ ขอคารวะ จากคุณ : ^*^ROLITIA^*^ - [ 18 ต.ค. 50 06:59:20 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ต้องสนใจมั้งครับ เพราะกราฟจะบอกแนวโน้มระยะสั้น ระยะกลาง พวก VI ถือยาวหลายปี ก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นขึ้น ๆ ลง ๆ เรื่อย ๆ ถ้าผมเป็น VI มีเงินเป็นล้านแล้ว เพราะถือ PTT ที่ 153 บาทเมื่อปี 47 ถือ TTA เมื่อปี 48 มั้ง ราคาตอนนั้น 40 บาทโดยประมาณ แล้วมันก็ลงมา 17 บาท ถ้าเป็น VI ไม่สนใจขาลง ตอนนี้ก็..... จบข่าว จากคุณ : D-girl (D-Girl) - [ 18 ต.ค. 50 07:08:59 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้ามือกำเงิน 30 ล้าน อยู่ในช่วงที่ตลาดเพิ่งผ่านจุดเละเทะที่สุด ถือถึงทุกวัน นี้ โอกาสรวยก็มีสูงล่ะครับ ถ้าจะ VI กับตลาดหุ้นเราตอนนี้ คงยากล่ะครับ จากคุณ : Bomb308 - [ 18 ต.ค. 50 07:40:31 ]

ความคิดเห็นที่ 4 การวิเคราะห์ทางเทคนิค โลกในมุมมองของ Value Investor ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 5 มิถุนายน 2550 คนที่ติดตามเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นแทบทุกคนคงต้องเคยได้ยินการวิเคราะห์หุ้น “ทางเทคนิค” ซึ่งเป็นการวิเคราะห์หุ้นโดยอาศัยเส้นกราฟที่นักวิเคราะห์สามารถที่จะเรียกขึ้นมาดูได้ทันทีจากจอคอมพิวเตอร์ นักวิเคราะห์สามารถที่จะตอบได้ทันทีว่าหุ้น หรือดัชนีน่าจะไปที่ราคาเท่าไร และราคาหุ้นหรือดัชนีจะมี “แนวรับ” หรือ “แนวต้าน” ซึ่งจะเป็นราคาที่หุ้นหรือดัชนีจะไม่ตกลงมาต่ำกว่า หรือวิ่งขึ้นไปเกินจุดนั้น แต่ถ้าตกหรือวิ่งเกินแนวรับหรือแนวต้าน ราคาหุ้นหรือดัชนีก็จะวิ่งไปที่จุดไหน การวิเคราะห์ทางเทคนิคคืออะไร? มันมีเหตุผลไหม? และที่สำคัญมันบอกว่าหุ้นจะไปทางไหนและไปที่ราคาเท่าไรได้แม่นยำพอที่จะทำให้เราทำกำไรจากการซื้อขายหุ้นได้จริงไหม? นี่คือสิ่งที่ผมจะพยายามอธิบายอย่างคนที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ปฏิบัติ และแน่นอน ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เพียงแต่ได้ศึกษามาบ้างในฐานะของนักวิชาการ นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจะศึกษาความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นและปริมาณการซื้อขายหุ้นที่ผ่านมาในอดีต เพื่อที่จะดูว่าทิศทางและราคาหุ้นในอนาคตจะไปทางไหน พวกเขาเชื่อว่าในตลาดหุ้นนั้น ความมีเหตุมีผลมีเพียง 10-20% ราคาหุ้นส่วนใหญ่ 80-90% เป็นเรื่องของจิตวิทยา ดังนั้น เกมของหุ้นคือเกมที่เราจะต้องคาดว่าคนอื่นจะคิดและทำอย่างไร และกราฟข้อมูลราคาหุ้นที่ผ่านมานั้น เป็นตัวบอกที่ดีที่สุดว่าคนอื่นได้ทำอะไร นักเทคนิคหวังว่าการศึกษาอย่างรอบคอบของสิ่งที่คนอื่นได้ทำจะเป็นสิ่งที่บอกว่าฝูงชนเหล่านั้นน่าจะทำอย่างไรในอนาคต นักเทคนิคพันธุ์แท้จะไม่สนใจว่าพื้นฐานของกิจการเป็นอย่างไร บริษัทขายสินค้าอะไร กำไรที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ความเข้มแข็งของธุรกิจอยู่ตรงไหน ผู้บริหารเป็นอย่างไร ว่าที่จริงเขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าบริษัทชื่ออะไร แต่นี่ไม่ได้หมายความว่านักเทคนิคไม่เชื่อว่าพื้นฐานของกิจการเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดราคาหุ้น เพียงแต่พวกเขาเชื่อว่า ราคาหุ้นได้รวมพื้นฐานและข้อมูลทั้งหมดของกิจการเอาไว้แล้ว ดังนั้นแค่เขาดูราคาหุ้นที่ผ่านมาก็พอแล้ว และนี่ก็นำไปสู่หลักการใหญ่สองข้อของการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั่นคือ ข้อแรก ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับกำไร ปันผล และผลการดำเนินงานในอนาคตของบริษัทได้ถูกสะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นของบริษัทหมดแล้ว ถ้ากิจการแย่ราคาก็ลง กิจการดี ราคาก็ขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นจากกราฟราคาและปริมาณการซื้อขายที่ผ่านมาในอดีต ข้อสอง ราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้ม หุ้นที่กำลังขึ้นต่อเนื่อง จะมีแนวโน้มที่จะขึ้นต่อไป หุ้นที่กำลังลงต่อเนื่องก็จะลงต่อไป และหุ้นที่นิ่ง ๆ ก็จะนิ่งต่อ หุ้นจะเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มจนกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นที่จะเปลี่ยนสมดุลของแรงซื้อและแรงขายของหุ้นตัวนั้น หน้าที่ของนักวิเคราะห์ทางเทคนิคก็คือ การมองหาแนวโน้มจากเส้นกราฟของราคาที่ผ่านมาย้อนหลัง ซึ่งอาจจะเป็นร้อย ๆ วันหรือไม่กี่วัน แนวโน้มที่มีชื่อและเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายว่าสามารถทำนายทิศทางหุ้นได้ชัดเจน ก็เช่น รูปแบบที่เรียกว่า head-and-shoulders หรือ หัวและไหล่ นอกจากรูปแบบนี้ซึ่งมีมาเก่าแก่แล้วก็ยังมีรูปแบบมากมาย ที่นักเทคนิคจะสามารถคิดค้นขึ้นได้และตั้งชื่อให้เก๋ไก๋ เช่น แบบแท่งเทียน ผมก็เคยได้ยิน เหตุผลที่นักเทคนิคให้ว่าทำไมการวิเคราะห์แบบนี้จึงใช้ได้นั้นอยู่ที่เรื่องของจิตวิทยา และเรื่องของนิสัยหรือพฤติกรรมของคน เช่น เมื่อนักลงทุนเห็นราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปต่อเนื่อง เขาก็เข้าไปซื้อเพราะไม่อยาก “ตกรถ” ดังนั้นทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปต่อทำให้ราคาหุ้นขึ้นแบบเป็นแนวโน้ม หรืออย่างในกรณีของแนวรับแนวต้านนั้น ก็เป็นเพราะพฤติกรรมของคน ตัวอย่างเช่น หุ้นตัวหนึ่งราคาอยู่ที่ 5 บาทมานานและมีคนที่ซื้อในราคานี้จำนวนมาก และสมมุติว่าราคาตกลงมาเหลือ 4 บาทซึ่งทำให้คนติดหุ้นจำนวนมากและอยากขายเอาทุนคืน ดังนั้น เมื่อราคาวิ่งกลับมาที่ 5 บาทคนเหล่านี้ก็จะขายหุ้นซึ่งทำให้ราคาขึ้นไปเกิน 5 บาทยาก และนี่ก็คือ “แนวต้าน” ในทางตรงกันข้าม ถ้าหุ้นอยู่ที่ราคาค่อนข้างต่ำมานานแล้ววิ่งขึ้นไประยะหนึ่งแล้วกลับตกลงมาใกล้จุดเดิม คนที่ขายหุ้นไปก่อนในราคาสูงและคนที่รู้สึกว่าได้พลาด “ตกรถ” ที่ไม่ได้ซื้อในช่วงก่อนก็ถือโอกาสเข้ามาช้อนซื้อ ทำให้ราคาไม่ตกต่ำลงกว่าจุดเดิมก่อนหุ้นขึ้น และนี่ก็คือ “แนวรับ” ทั้งแนวต้านและแนวรับนั้น นักเทคนิคยังให้เหตุผลต่อว่า ถ้าราคาหุ้นไม่ผ่านหลาย ๆ ครั้ง มันก็จะเป็นแนวต้านและแนวรับที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ข้างต้นนั้นก็เป็นเรื่องที่สามารถอธิบายไปได้ แต่ถ้าถามนักเทคนิคว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือที่คนทำอย่างนั้น เขาก็มักจะตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน เขาเพียงแต่เชื่อว่า ประวัติศาสตร์มันมักซ้ำรอยซึ่งทำให้การวิเคราะห์ด้วยราคาหุ้นในอดีตสามารถบอกอนาคตได้ จากการศึกษาของนักวิชาการในต่างประเทศที่ตลาดทุนก้าวหน้ามายาวนาน ข้อสรุปนั้นชัดเจนว่า การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่สามารถที่จะทำกำไรให้กับผู้ใช้ได้ พูดง่าย ๆ ข้อมูลของราคาหุ้นในอดีตไม่สามารถบอกราคาในอนาคตได้ และคนที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการซื้อขายหุ้นมักจะขาดทุนมากเนื่องมาจากค่าคอมมิชชั่นที่ต้องจ่ายมากกว่าปกติ เพราะการซื้อขายหุ้นด้วยเทคนิคนั้นทำให้ต้องซื้อ ๆ ขาย ๆ บ่อย ว่าที่จริงระยะหลัง ๆ นี้แทบจะไม่มีคนสนใจเทคนิคนี้แล้ว แต่ในเมืองไทย การเล่นหุ้นโดยอาศัยการวิเคราะห์แบบเทคนิคยังน่าจะอยู่กับเราอีกนาน ผมเองคิดว่า Value Investor ไม่ควรสนใจการใช้การวิเคราะห์แบบเทคนิคในการตัดสินใจซื้อขายหุ้นแม้ว่าจะเป็นแค่ปัจจัยประกอบ เพราะผมคิดว่า มันอาจจะทำให้เราไขว้เขวจากปัจจัยพื้นฐานของกิจการและการลงทุนระยะยาว ที่เรายึดถืออย่างมั่นคงที่น่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในการลงทุน http://www.thaivi.com/article/value-investor/446-.html จากคุณ : แมงเม่าอยากเป็น VI (คนสวนพลู) - [ 18 ต.ค. 50 07:52:59 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อ่านแล้วก็รู้สึกโอเค แต่ไม่ค่อยโอเคก็ที่ย่อหน้าสุดท้ายนี่แหละ ผมชอบแนวคิดของ เสี่ยยักษ์มากกว่า ยังให้ความสำคัญกับ การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการเข้าซื้อขาย เพราะจังหวะในการซื้อขายนี่แหละที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุด ถ้าเราเล่นเทคนิคเก่งๆ อาจทำกำไรมากกว่า VI   เพราะรู้จักซื้อขายในจังหวะที่เหมาะสมกว่า กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :  "การตีกอล์ฟไกลๆ ลงหลุม (โฮลอินวัน) นั่นคือ โชคชะตา นั่นคือ ฟ้าลิขิต แต่การที่คุณตีกอล์ฟไปตกให้ห่างจากธง 2 ฟุต นั่นคือ ฝีมือ" เขาบอกว่า การเล่นหุ้นก็เหมือนกัน ทุกคนจะมีจังหวะฟ้าลิขิต...ทุกคนต้องเคยได้รับโอกาสนั้น แต่คุณจะตักตวงมันได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง วิชัย เปรียบคนเล่นหุ้นเหมือนการเปิดร้าน "โชห่วย" เราต้องหาสินค้าเข้ามาขายทำกำไร เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้ได้กำไร...เราต้องอย่าใจร้อน ต้องเลือกสินค้าที่ดีๆ ซื้อเข้าร้านใน Timing (จังหวะ) ที่เหมาะสม "ในตลาดหุ้นเขาพูดกันว่า มันมีอันตราย "ผีดุ" ถ้าช่วงไหนที่โบรกเกอร์ หรือนักวิเคราะห์ออกมาเตือนว่า มันเป็นช่วงอันตราย เราก็อย่าเพิ่งไปซื้อมัน อย่าเล่นแบบ "ทุ่มสุดตัว" คนที่มีฝีมือจะต้องรู้จัก Timing หรือเวลาไปจ่ายตลาด ใครเก่ง-ไม่เก่ง วัดกันตรงนี้"         จากประสบการณ์ 20 ปี ในวงการนี้ จะซื้อหุ้นให้ได้กำไร เราต้องกล้าไปจ่ายตลาด "ตอนประมาณ ตี 5" หรือ อีก 1 ชั่วโมงฟ้าจะสว่าง...ผีไม่มี ใครซื้อหุ้นได้จังหวะนี้...ดีแน่! คุณได้เลือกของดี ได้ซื้อของสด ราคาไม่แพง ได้เลือกของก่อนคนอื่น รถไม่ติด คุณจะได้เปรียบเรื่อง "ต้นทุน"  แต่คนที่จะเข้าใน "จังหวะ" นี้ได้ จะรู้ว่าตอนนี้กี่โมงต้องอาศัยเครื่องมือทาง "เทคนิเคิล" มาช่วยในการคลำหาตำแหน่งเวลา ร่วมกับ "ประสบการณ์" ของแต่ละคน "ถ้าตลาดหุ้นอยู่ในทิศทางขาลง หรือ มีภาวะอึมครึมมาแล้วพักใหญ่ ในขณะที่เครื่องมือทางเทคนิค อาทิเช่น RSI, MACD ยืนยันสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม เช่น การเกิด Divergence หรือ สัญญาณขัดแย้ง เราต้องเตรียมตัวซื้อหุ้น เพราะฉะนั้น ช่วงตี 5 ถึงตี 5 ครึ่ง...คุณต้องกล้าซื้อ" เซียนหุ้นพันล้าน อธิบายว่า ถ้าเราไปจ่ายตลาดตอน 8 โมงเช้า คนก็เยอะ สินค้าก็ไม่สด หุ้นมันขึ้นไปตั้งนานแล้ว คุณเพิ่งจะมาซื้อตอนคนอื่นเขากำลังจะกลับบ้าน รายใหญ่เขารอ "ออกของ" กันแล้ว สิ่งที่เซียนหุ้นรายนี้ เน้นย้ำ ก็คือ "จุดซื้อ" คุณอาจจะใช้ "เทคนิเคิล" ช่วย แต่การขึ้นของหุ้นรอบใหญ่ๆ หรือ Major Up Trend (ทุกครั้ง) หลักการวิเคราะห์หุ้น เราต้องใช้ปัจจัยพื้นฐานมาเลือกหุ้น "ทุกอย่างมันต้องมาจากพื้นฐานก่อน แต่การดูพื้นฐานอย่างเดียวถ้าไม่ใช้เทคนิเคิลช่วย...เปรียบเสมือนคุณขึ้นรถเมล์ คุณจะไปสะพานตากสิน คุณกลัวร้อนคุณก็ไปนั่งรอในรถเมล์คันที่มันสตาร์ทเครื่องเอาไว้แล้ว แต่มันไม่ออกจากท่า (รถ) สักที... "...ที่มันไม่ออกเพราะจังหวะมันผิด มันเร่งเครื่องบรื้อๆ แต่ไม่ออก คันข้างๆ ออกไปแล้วเว้ย! คันเราก็ไม่ไป นั่งรอมีแต่กระเป๋ารถขึ้นมาเขย่าตั๋ว แต่ก็ไม่ออก เราจะคิดทันทีว่า "ต้องลง" ไม่ใช่คันนี้แน่...ขึ้นผิดคัน ...พอเราลง เปลี่ยนคันไปขึ้นคันใหม่ คันเดิมของเราดันออก" วิชัย บอกว่า คนเล่นหุ้นทุกคน โดนกรณีอย่างนี้มาหมด เพราะฉะนั้น การหาจังหวะเข้าลงทุน...ต้องใช้เทคนิเคิลมาช่วย "เวลาเลือกหุ้นให้ใช้พื้นฐาน แต่จังหวะซื้อต้องใช้เทคนิเคิล" เขาเน้นย้ำ ยิ่งตอนขายหุ้นเทคนิเคิลไม่เคยหลอกเลย ถ้าเราถอยหลังย้อนกลับไปได้ เราต้องกลับไปทบทวนตัวเองให้ดีๆ "ผมขอแนะนำให้จดไดอารี่ทุกวัน นั่นคือการทบทวนตัวคุณเอง คุณจะได้เก็บเอาไว้อ่าน คุณเจ็บตรงไหน วันนี้คุณโดน (เทคนิเคิล) หลอกอย่างไร?" เขาอธิบายว่า ข้อผิดพลาดของนักลงทุน มักมาจากความ "ดื้อรั้น" ของตัวเอง เทคนิเคิลมันตัดลงมาตั้งนานแล้ว แต่ว่าเรายังดื้อ ยังเล่นอยู่ แสดงว่า "คุณผิดเอง ตลาดไม่ผิด"   ที่ผ่านมา ชีวิตพวกเราคนเล่นหุ้นทุกคน ถ้าใครเคยผ่านมาในระยะ 10 ปีนี้ (2540-2549) วิชัย กล้าพูดได้ว่า "เฉียดรวย" ทุกคน...เฉียดรวยมาหมด ...เมื่อก่อนหุ้น ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) สมัยที่ยังเป็น บงล.เกียรตินาคิน ราคาหุ้นขึ้นมาประมาณ 40 เท่า (จาก 2 บาทขึ้นไป 80 บาท) นักลงทุนรายใหญ่เคยเล่นหุ้นตัวนี้มาแล้วทุกคน วิชัย ยืนยันว่า ทุกครั้งที่ ดัชนี SET ขึ้นรอบใหญ่ๆ หรือ Major Up Trend จะต้องมีหุ้น "ดาวเด่น" ของมันอยู่ เราจะต้องคลำหาให้เจอ ต้องไขว่คว้าให้เจอ ในรอบที่ผ่านมาเท่าที่จำได้มีหุ้น อะโรเมติกส์ (ATC) จาก 3 บาท ขึ้นไป 75 บาท พวกรายใหญ่ทุกคนซื้อหมดแถวๆ 3 บาท มาขายที่ 4 บาท คนที่ขายก่อน ก็แค่ "เฉียดรวย" "ตรงนี้จะวัดผลแพ้-ชนะ วัดว่าใครฝีมือจริง"        วิชัย ย้ำว่า นักลงทุนรายย่อยทุกคน มีสิทธิรวยได้...เชื่อผม! แต่ต้องขยัน ต้องทุ่มเท ต้องเป็นมืออาชีพจริงๆ   "...คุณต้องพยายามเข้ากลุ่มให้ได้ พยายามเกาะกลุ่มจะได้รู้ว่าคนอื่นเขาคิดยังไง เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่มันทำให้เรามีมุมคิดที่หลากหลาย ไม่เชื่อมั่นในตัวเองมากจนเกินไป เพราะจะนำเราไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ง่าย" จากคุณ : TER2000 - [ 18 ต.ค. 50 08:14:41 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สูงสุดคือสู่สามัญ คือกระบี่อยู่ใจ ไม่ว่าทางไหนก็มีดีทั้งหมด แต่ว่าคุณเชียวชาญให้มันแน่แล้วหรือยัง :) จากคุณ : Myth&Miracle - [ 18 ต.ค. 50 08:20:24 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมว่าการเปิดใจรู้ทุกด้านดีที่สุด แล้วเลือกใช้มันให้เหมาะสม คนที่รู้ไม่ครบทุกด้านย่อมเสียเปรียบคนที่รู้มากกว่า จากคุณ : กีกี้ (g2001) - [ 18 ต.ค. 50 08:50:17 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าเชื่อว่ารู้หลายๆอย่างดีกว่ารู้กระจ่างแต่อย่างเดียว ไทเกอร์วูดคงไม่เก่งเท่าผม แต่ถ้าให้เลือกผมว่าร้อยละเก้าสิบคงเลือกที่จะเป็นเจ้าเสือดีกว่า จากคุณ : Nexus - [ 18 ต.ค. 50 09:12:19 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมคิดว่า ที่ไม่แนะนำให้ดูกราฟ เพราะจะทำให้เราต้องเปลี่ยนหุ้นตัวที่เราถืออยู่ตลอด เนื่องจาก VI จะถือหุ้นที่มีพื้นฐานดีอยู่แล้ว ธุรกิจจะขยายตัวไปได้เรื่อยๆ ถ้าต้องดูกราฟบ่อยๆ เดี๋ยวสติจะแตกได้ครับ ต้องคอยกังวลอยู่ร่ำไป จากคุณ : zylinz (zylinz) - [ 18 ต.ค. 50 09:16:32 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ... ความรู้ เต็ม ที่ 100% ใน ศาสตร์ ทุก ด้าน จะ ช่วย ให้ คุณ ประสบ ความ สำเร็จ ใน การ ลงทุน ใน ตลาดลักทรัพย์ แค่ 20% จั๊บ อีก 80% คือ ความ สามารถ ใน การ ต่อยอด พลิกแพลง ประยุกต์ใช้ กับ โอกาส ต่าง ๆ ฮั่นแน่ ................ ปลิง จำ ได้ แบ่ร แบ่ร จากคุณ : ปลิงไทยก้าวไกลไประดับโลก - [ 18 ต.ค. 50 09:19:06 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อก่อนเราเล่นที่สีลมเหมือนกันเเต่ไม่ได้ใช้ชื่อนี้  เเต่เราจำปลิงได้นะ จากคุณ : ^*^ROLITIA^*^ - [ 18 ต.ค. 50 09:22:01 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมคิดว่า ประเภท และ ลักษณะของหุ้นก็เกี่ยวข้อง VI ชอบหุ้นที่เนิบๆ ราคายังไม่ขยับ ไม่มีคนรู้ ไม่มีคนเห็น ไม่มีโวลุ่ม ผมเข้าใจว่า หุ้นลักษณะนี้ จะหลุดการกรองทางเทคนิค เกือบทุกกรณี ดังนั้นการที่ ดร นิเวศน์ ไม่ใช้ปัจจัยทางเทคนิคเลยก็สมเหตุสมผล นอกจากนี้ อีกสมมุติฐานที่ VI ใช้กัีนมาก คือ Market timing นั้นยากเกินกว่าจะืทำให้ได้ดีการประเมินมูลค่ากิจการนั้นง่ายกว่า ดังนั้น จงเลือกเรือที่ฝ่าพายุได้ ไม่ใช่พยายามหาว่า พายุจะเข้าเมื่อไหร่ ตรงนี้คงตรงข้ามกับสายเทคนิคที่บอกว่า การประเมินเทคนิึึคนั้นง่ายกว่าการหามูลค่ากิจการสุทธิเป็นไหนๆ แนวคิดต่าง กลยุทธก็ต่างครับ ผมขอเสนอหนังสือ Investment philosophy ครับ (http://www.amazon.com/Investment-Philosophies-Successful-Greatest-Investors/dp/0471345032/ref=sr_1_5/102-4558394-3281749?ie=UTF8&s=books&qid=1192674258&sr=1-5 )ปรัชญาการลงทุน จะเป็นตัวกำหนดกลุ่มก้อนของกลยุทธ และวิชา ที่จำเป็นต้องมีไว้ การคว้าอาวุธเปะปะ หอบกลยุทธมั่วซั่ว คงไม่ได้ทำให้ฝีมือดีขึ้นเท่าไหร่ เพราะวิชาที่ดี จะต้องสนับสนุน ปัจจัยพื้นฐานของตัวเอง ตา่มที่ท่านเจ้าสำนักเท็มเปิ้ลสั่งสอนไว้ แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 50 09:25:08 แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 50 09:24:41 จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 18 ต.ค. 50 09:23:29 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ใครถนัดแบบไหน  ก็ยึด แนวทางนั้นแหละ   คนเรา ถนัดกันคนละแบบ จะบอกว่า   แบบไหนดีกว่าคงไม่ได้ ดู  เสี่ยยักษ์ วันก่อน  ด่า พวก VI  บอกว่า ใช้ไม่ได้จริง ในตลาดหุ้นไทย และ วันนี้ เห็น  เสี่ย นิเวศ ด่า   การใช้ เทคนิค   ผมว่า มันเกินไปทั้งคู่แหละ   เพราะ  หากรวมกันได้ ใช้ผสมผสานกัน คงดีกว่านี้ จากคุณ : ยามสินธร - [ 18 ต.ค. 50 09:27:58 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมเชื่อว่าไทเกอร์วูดส์ไม่ได้รู้กระจ่างแค่อย่างเดียว แต่เขาต้องรู้ทุก ๆ อย่างให้มากที่สุด เกี่ยวกับกอล์ฟ อย่างเรื่องหุ้น ผมก็ยังเชื่อว่ารู้ไว้ทุกอย่างดีกว่า ทั้งปัจจัยพื้นฐาน และเทคนิค แต่ก็พูดยาก ผมว่าการลงทุนในหุ้นให้ได้กำไร เหมือนภูเขาที่มีทางขึ้นหลายทาง มีวิธีขึ้นหลายวิธี และทางที่เป็นทางลัด มักจะเกิดอุบัติเหตุง่าย คนบางคนอาจชำนาญกับเส้นทางหนึ่ง จนไม่อยาก เปลี่ยนไปใช้แบบอื่นเลยก็ได้ ต่างกันตรงที่ทางขึ้นภูเขาอาจมีคนเคยขึ้นไปก่อนแล้วเขียนแผนที่ให้ แต่ทิศทางตลาดหุ้นนั้นเป็นสิ่งที่ต้องคาดการณ์ จากคุณ : umdadevil - [ 18 ต.ค. 50 09:36:51 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เหมาะกับเขา   อาจไม่เหมาะกับเรา เรากับเขา เป็นคนเหมือนกัน แต่องค์ประกอบความรุ้ เพื่อนฝูง พื้นฐานทางบ้าน  พื้นฐานทางการเงิน แตกต่างกัน จุดดี มีทั้งคู่  จุดด้อยก็เช่นกัน ที่เขาพูดว่าดี  ว่าเหมาะ ถูกต้อง คือกับตัวเขา เราเหมือนเขา หรือเปล่า จงเลือกที่เหมาะ กับตัว มากที่สุด จากคุณ : ฟ้าประทาน (ใจสั่งมา) - [ 18 ต.ค. 50 10:07:04 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ดวงดี....ไม่ต้องใช้เทคนิค......กราฟ....หรอก จากคุณ : rwisrm (rwisrm) - [ 18 ต.ค. 50 11:32:35 ]

ความคิดเห็นที่ 17 หุ้นไทยใช้ความมันในอารมณ์เป็นหลัก...ฮิๆๆๆ จากคุณ : icechan - [ 18 ต.ค. 50 11:55:08 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แล้วถ้าเป็นทั้งแท่งเทียนเป็นทั้งกราฟ ดูพื้นฐาน+ดูงบเป็น จะไม่ยิ่งดีไปกว่าเหรอ? สุดยอดวิชา เผ่นพันลี้+เทมเปิ้ลบ๊อกซิ่ง ไปหามาบูชาดีกว่า 5555 แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 50 12:12:31 จากคุณ : ปลานิลจิ๋ว - [ 18 ต.ค. 50 12:02:54 ]

ความคิดเห็นที่ 19 สำหรับผมแล้ว การลงทุนแบบ Value Investor จะต้องเป็นการลงทุนระยะยาว มากกว่า 3 ปี และการคาดหวังผลกำไรต้องไม่น้อยกว่า 3-10 เท่า ถ้าคิดนอกจากนั้น ไม่ใช่ VI ครับ จากคุณ : smurfy - [ 18 ต.ค. 50 12:03:54 ]

ความคิดเห็นที่ 20 VI กับ เทคนิคัลนี่คนละเรื่องเลยครับ อย่าเอามาปนกันดีกว่า ผมเคยเจอนักลงทุนหลายคนที่เข้าใจว่าต้องใช้ทั้ง 2 อย่าง แต่เท่าที่คุย ผมเข้าใจว่าโดยส่วนลึกแล้ว หาคนที่เป็น VI พันธุ์แท้จริงๆ ยาก แม้แต่บทความของคุณเสี่ยยักษ์ ผมก็เคยอ่านที่ว่าด้วยเรื่องการลงทุนแบบ VI ในมุมมองของผม คุณเสี่ยยักษ์ก็ยังมอง VI ไม่ครบทุกมุมอยู่ดี ประเด็นก็คือ VI ไม่ได้สนใจการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เทคนิคัลจะไปเหน็บ VI ว่าไม่กลัวเงินตัวเองหดก็คงไม่ได้ เพราะอย่างที่บอก VI กับเทคนิคัลนี่คนละเรื่องเดียวกันเลยครับ แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 50 16:21:40 จากคุณ : ส.สลึง - [ 18 ต.ค. 50 12:27:00 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คือจริงๆ ผมคิดว่า ดร. อยากจะแนะนำให้ วีไอพันธ์แท้มองที่ตัวกิจการมากกว่าการดูกราฟ อารมณ์ตลาด เพราะเราไม่สามารถคาดอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของนายตลาดได้จริงๆ ต่อให้ใช้ราคาย้อนหลัง 10วัน 30 วันก้อไม่ใช่ว่าจะถูกต้อง ดังนั้น วีไอจะมองที่ราคามากกว่า คือ ใช้ pricing มากว่า timing ถ้าดูราคานี้แล้วเปรียบเทียบกับตัวธุรกิจแล้วถ้าดีกว่าก้อซื้อไว้ แล้วใช้ความอดทน ผมก้อพยายามลงทุนแบบวีไอ ตอนแดงๆ เนี่ย ชาววีไอจะได้สำแดงเดชได้มากกว่า ตอนเขียวๆ ก้อปล่อยชาวบ้านเขาไปกันก่อน แต่จะว่าไปก้อแล้วแต่จิตใจคนครับต่างคนชอบต่างแบบกัน แต่ผมไม่ถนัดกราฟ การใช้ราคากะ MOS ก้อช่วยให้ผมไม่ขาดทุนแม้จะไม่รวยรวดเร็วก้อตาม จากคุณ : ผมไม่ล้านนะ แค่หน้าผากกว้าง - [ 18 ต.ค. 50 12:27:33 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ทางใครทางมัน..... แมวสีอะไรก็ได้ขอให้จับหนูได้ก็พอ ไงจ๊ะ จากคุณ : อำพันสีทอง - [ 18 ต.ค. 50 12:33:49 ]

ความคิดเห็นที่ 23 TEMPLE BOXING  ขายที่ไหนบ้างคะ  ไปดูที่ B2S   เซ็นทรัลบางนา    หาไม่เจอ  อ่ะค่ะ  รบกวนบอกหน่อยนะคะ  อย่าบอกนะว่าไปที่ศูนย์สิริกิติ์ จากคุณ : ขวัญชนก - [ 18 ต.ค. 50 12:42:39 ]

ความคิดเห็นที่ 24 "สองคนยลตามช่อง .." คนหนึ่งมองเห็น VI & คนหนึ่งมองเห็น TA จากคุณ : ProSky - [ 18 ต.ค. 50 12:49:41 ]

ความคิดเห็นที่ 25 #23 เมื่อต้นเดือนเห็นที่ se-ed books เซ็นทรัลบางนามีขายอยู่ครับ แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 50 12:55:48 แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 50 12:55:26 จากคุณ : GS Mobile - [ 18 ต.ค. 50 12:54:20 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ความคิดเห็นที่ 23   TEMPLE BOXING  ขายที่ไหนบ้างคะ  ไปดูที่ B2S   เซ็นทรัลบางนา    หาไม่เจอ  อ่ะค่ะ  รบกวนบอกหน่อยนะคะ  อย่าบอกนะว่าไปที่ศูนย์สิริกิติ์ จากคุณ : ขวัญชนก  - [ 18 ต.ค. 50 12:42:39 ] ----------------------------------------------------------------------------- เฉพาะของร้าน se-ed ตามlinkจะมีสาขาที่วางจำหน่ายครับ http://www.se-ed.com/eShop/Book/BookDetail.aspx?No=9789747088243&TypeMCode=BK&ProdMCode=บธ เทมเปิ้ล BOXING คัมภีร์การลงทุนแนว VSOP จากคุณ : Alpha One - [ 18 ต.ค. 50 12:55:02 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ : ขวัญชนก Temple Boxing มีขายที่ SE-ED ครับ --------------- ดูเอาจากอาแปะ อาเจ๊ก อากง อาม้า โต๊ะข้างๆ ในห้องค้าเอา พวกท่านอาเหล่านี้มีเมตตา ท่านอาเคาะอะไรก็เคาะตาม ก็มีกำไร ไม่เห็นว่าหน้าจอมีแท่งเทียน ไม่เห็นว่าหน้าจอมีปัจจัยพิ้นฐานของกิจการ เห็นแต่มี ticker วิ่งไปวิ่งมา คนเรามันเชี่ยวผิดกันโว้ยไอ้ศร ทางใครทางมันสิวะ VI ให้มาทำแบบ VS มันก็ทำไม่ได้หรอก ให้ VS ไปทำแบบ VI ก็ทำไม่ได้หรอก ดังนั้น คนเรามันเชี่ยวผิดกันโว้ยไอ้ศร ทางใครทางมันสิวะ จากคุณ : ลองเดาสิ - [ 18 ต.ค. 50 12:58:38 ]

ความคิดเห็นที่ 28 . จากคุณ : ลองเดาสิ - [ 18 ต.ค. 50 13:01:04 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ผมว่ามันอยู่ที่การนำจุดเด่นของ VI หรือทางเทคนิคนำมาใช้ให้ถูกทาง ผมเล่น TFEX ตามสัญญาณเทคนิครอบนี้กำไรมากว่า 100% และเมื่อหุ้นเปลี่ยนเป็นขาลงก็สามารถทำกำไรได้อีก แต่ในขณะเดียวกันผมก็มีหุ้น VI อยู่ตัวหนึ่งถึงมา 7 ปีแล้ว ปันผลปีละ 2 รอบ ได้ Capital Gain อีก จากคุณ : Bullish Signal - [ 18 ต.ค. 50 13:18:56 ]

ความคิดเห็นที่ 30 Temple Boxing ผมซื้อมาอ่านแล้ว ในประเด็นนี้เขียนไว้ หน้า 126 ชัดเจน ว่า " ..มีเซียนหุ้นท่านหนึ่ง ขออภัยจำชื่อไม่ได้แล้ว ให้แง่คิดไว้ดีมาก ปัจจัยพ้นฐานเป็นเครื่องชี้ว่า คุณควรซื้อหุ้นตัวไหน ปัจจัยทางเทคนิคเป็นเครื่องชี้ว่า คุณควรซื้อหุ้นตัวนั้นเมื่อไหร่ สรุปแล้วในการเล่นหุ้น ถ้าคุณติดอาวุธครบทั้งสองอย่าง เมื่อบวกกับโชคและวินัยประจำตัวของคุณ ไม่ว่านิ้วชีตลาดหลักทรัพย์จะชี้ไปทางไหน คุณก็ไม่มีวันจะเจ๊งหุ้นแน่นอน...  " ซึ่ง ผม เห็นด้วยนะครับ จากคุณ : SC25_KU50 - [ 18 ต.ค. 50 13:39:17 ]

ความคิดเห็นที่ 31 จะว่าไปก้อตามคห 27 พี่ลองเดาสิ นั่นแหละครับ "คนเรามันเชี่ยวผิดกันโว้ยไอ้ศร" ที่พี่ คค ให้ไว้เนี่ยแหละครับ ตรงใจเป๊ะเลย จากคุณ : ผมไม่ล้านนะ แค่หน้าผากกว้าง - [ 18 ต.ค. 50 13:42:35 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ดร.นิเวศน์ เป็นคนเก่งครับ แล้วก็เชี่ยวชาญ ด้านเศรษกิจ เพราะอยู่วงการแบงก์ ใช้ปัจจัยพื้นฐาน ในการลงทุน ก็ถือว่าเหมาะสมดีกับตัวเอง แต่ ไม่ควร ไปดูถูก ศาสตร์ อื่นๆ ที่ตัวเองไม่เคยศึกษา หรือ ไม่เข้าใจ เพราะ แท่งเทียน มันเป็นศาสตร์และศิลป์ มีความเป็นมา ยาวนานหลายร้อยปี นานกว่า การวิเคราะห์ ปัจจัยพื้นฐานอีก การที่ ดร.นิเวศน์ จะเทิดทูน บูชา หรือ ยึดสิ่งใดเป็นสรณะ ย่อมเป็นความชอบธรรมส่วนตัว แต่ ไม่ควร ไปดูหมิ่น หรือ ถากถาง ศาสตร์อื่นๆ ดร.นิเวศน์ เป็นคนน่านับถือ แต่ทุกครั้งที่ แสดงทัศนคติ ในลักษณะดังกล่าว ความน่านับถือตรงนั้น ก็แลดู น้อยลงทุกที ตามนั้น จากคุณ : . - [ 18 ต.ค. 50 14:58:48 A:58.9.57.130 X: TicketID:127369 ]

ความคิดเห็นที่ 33 แต่ผมว่าในบทความก้อไม่ได้มีอะไรที่ไปดูถูกการดูกราฟแต่อย่างใดนะครับ (เว้นในหนังสือที่แซวนิดหน่อย) แล้วบทความนี้ก้อเขียนก่อนที่เสี่ยยักษ์จะเขียนบทความแซววีไออีกด้วย จากคุณ : ผมไม่ล้านนะ แค่หน้าผากกว้าง - [ 18 ต.ค. 50 15:57:03 ]

ความคิดเห็นที่ 34 อันนี้ได้มาจากที่ไหนสักแห่งนึง ... ซื้อหุ้นอะไร ใช้พื้นฐาน ซื้อราคาเท่าไหร่ ใช้เทคนิค จากคุณ : Jaffa - [ 18 ต.ค. 50 17:56:29 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เพราะ แท่งเทียน มันเป็นศาสตร์และศิลป์ มีความเป็นมา ยาวนานหลายร้อยปี นานกว่า การวิเคราะห์ ปัจจัยพื้นฐานอีก ------------- ตลาดหุ้นนิวยอร์คเปิดเมื่อไหร่ครับ ไม่ใช่หลายร้อยปีหล่ะมั้ง จากคุณ : The Lover is loving - [ 18 ต.ค. 50 17:59:40 A:124.121.96.219 X: TicketID:147429 ]

ความคิดเห็นที่ 36 แท่งเทียนมันยาวกว่าจริงๆครับ การวิเคราะห์ทางพื้นฐานเป็นปึกแผ่นในยุคของ อาจารย์ใหญ่ เบน เกรแฮม ในราวปี 1930 แต่การวิเคราะห์แท่งเทียนนี่ได้ยินมาว่า ชาวนาชาวญี่ปุ่นใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 จากคุณ : house (panote_saechiew) - [ 18 ต.ค. 50 18:04:48 ]

ความคิดเห็นที่ 37 การลงทุนแบบvi นั้นเป็นการลงทุนโดยสนใจในปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการ เป็นหลักดูค่า pe และ pb เป็นหลักและการรับปันผลเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน จากการค้นคว้าวิจัยที่ยาวนาน ว่าการลงทุนระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ส่วนการเล่นด้วย technical เป็นการเก็งกำไรซึ่งต้องคาดเดาราคา เอาด้วย theory ต่างๆ และได้ผลดีในระยะสั้นแต่สุดท้ายจะมีคนที่เชี่ยวชาญทางด้าน technical จริงๆมีจำนวนน้อยมาก ซึ่งตัวผมเองก็ลงทุนแบบ vi ซึ่งเมื่อก่อนก็เล่นแบบเก็งกำไร และทำให้ผมปล่อยหมูหลายครั้ง และ stop lost หลายครั้งด้วย เสียโอกาสก็มาก ตั้งแต่นั้นมาผมก็ลงทุนแบบ vi มาโดยตลอด ทยอยเก็บ เล่นด้วยความระมัดระวังมาโดยตลอด เงินไม่ได้หามาได้ง่ายๆ ต้องทำให้เงินทำงานบ้าง ถึงจะดี การลงทุนในหลักทรัพย์เหมือนการออมทรัพย์ และลงทุนในกิจการนั้นๆ เพื่อหวังการเติบโตแบบ ต่อเนื่อง อ. นิเวศน์ อาจจะไม่เชี่ยวชาญในการลงทุนแบบ technical ก็ได้ แกจึงเลือกการลงทุนแบบ vi ผมก็อ่านหนังสือแก จนชอบในการลงทุน style นี้ จากคุณ : value invester (value invester) - [ 18 ต.ค. 50 19:13:21 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ความคิดผม แวลู่ หมูมาก แต่ เทคนิค  โคตรยากเลย  เพราะ แวลู่คือ  พยายามซื้อตอนถูก  รอขายตอนแพง ไม่ว่าจะนานเท่าไร   เพราะมั่นในพื้นฐาน  บจ.กำไร 10-15% ทุกไตรมาส ซื้อตอนกลัว ขาย ตอนแพง ขาดทุนไม่ขาย  เท่านั้นจบ แต่เทคนิค  อยากรวยเร็วกว่า  แวลู่  อยากทำกำไรทุกวัน  ถามว่า  ยากใหม โคตรยากเลย  .........  คนเก่งเทคนิค  ผมขอชมจริงๆ  สุดยอด จากคุณ : pept - [ 18 ต.ค. 50 20:08:09 ]

ความคิดเห็นที่ 39 รู้จัก Island top ไหมครับ คราวที่แล้วฝรั่งขายหนี subprime กราฟ SET มันเตือนด้วย Island Top ผมขายหมด ปอดเลย พอมัน ugly bottom up ผมอัตเต็มปอด SET กลับมาได้อีกเป็น 100 จุด เพิ่งขายหมดรอบอีกเมื่อวาน ผมยังมองไม่เห็นว่าเทคนิคใช้ไม่ได้ตรงไหน จากคุณ : เวรกรรม - [ 18 ต.ค. 50 22:19:07 A:124.120.24.125 X: TicketID:125550 ]

ความคิดเห็นที่ 40 น่าสงสารคุณโรฯ จขกท. เพราะเท่าที่อ่านหลายๆ ความเห็น เริ่มไปกันไกล เรื่อง VI นี่ผมว่าเป็นศาสตร์ที่น่าสนใจครับ ยังไงถ้าใครยังไม่เคยสัมผัส เคยตามคนอื่นแล้วแดงๆ จะลองหันมาสนใจ VI บ้างก็ไม่เลว สำหรับคุณโรฯ VI พันธุ์แท้จริงๆ เขาไม่สนใจเทคนิคัลเลยครับ และสิ่งที่ VI สนใจจริงๆ ก็คือมูลค่าของกิจการ และที่สำคัญก็คือ คุณโรฯ จะยินดีจ่ายเงินซื้อกิจการนี้เป็นเงินเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับมูลค่าที่ตีความมาได้ ซึ่งในรายละเอียดของการประเมินมูลค่าก็จะแตกต่างกันออกไป คุณปู่บัฟก็พัฒนาความรู้ของเขาเอง ลูกศิษย์ของ อ.เบน ก็มีทั้งอนุรักษ์ แบบ อ. เบน และคนที่พัฒนาความรู้ขึ้นมาใหม่ และผมก็เชื่อมั่นว่า VI ไม่จำเป็นต้องเรียน MBA หรือต้องไปเรียนปริญญาสูงส่งอะไร แถมมีนักลงทุนบางท่านที่เป็น VI ยังต้องบอกว่าต้องพยายามลืมในสิ่งที่ตัวเองเรียนมา จากในชั้นเรียนด้วยซ้ำ ทีนี้ขอชี้แจงเรื่องเวลาบ้าง เพราะอ่านมาหลายความเห็น ผมว่ามีนักลงทุนเข้าใจ VI คลาดเคลื่อนมากเลยก็คือเรื่องของ Timing VI ไม่ใช้นักลงทุนระยะยาวครับ คนละเรื่องกัน แต่อาจจะข้องเกี่ยวบ้าง เพราะปกติ VI ไม่ได้เล่นสั้นเหมือนนักลงทุนทั่วไป ประเด็นก็คือ VI มีการคิดมูลค่ากิจการ ซึ่งต้องใช้เวลาในการปลดปล่อยมูลค่าออกมาให้ตลาดรับรู้ครับ เช่น 2 ปี สำหรับ อ. เบน หรือ 10 ปี สำหรับปู่บัฟครับ สำหรับเรื่องอ่านมากที่คุณโรฯ ว่า ถูกต้องที่สุดเลยครับ VI ต้องประเมินมูลค่ากิจการ ดังนั้น VI จึงต้องใช้มุมมองแบบคนทำธุรกิจ (หมอรู้เรื่องโรง'บาล วิศวกรรู้เรื่องโรงงาน แม่บ้านรู้เรื่องสินค้าอุปโภคฯ) ไม่ใช่เก็งราคาหุ้นจากสถิติครับ แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 50 23:05:45 จากคุณ : ส.สลึง - [ 18 ต.ค. 50 22:57:29 ]