ความคิดเห็นที่ 1 ETF ของ iShares จดทะเบียนซื้อขายใน NYSE นะครับ ดังนั้นตลาด NYSE ยังไม่ปิด กองทุนในไทยก็ไม่สามารถคำนวนราคาได้ เป็นธรรมดาของกองทุนเมืองไทยที่ลงทุนในฝั่ง US ค้องคำนวน NAV ช้าไปประมาณ 2 วัน อย่าง KGLOBE ของ บลจ.กสิกรไทย นักลงทุนก็เจอกับปัญหานี้เช่นเดียวกันล่ะครับ ถามกลับว่า บลจ.ทหารไทย ผิดหรือไม่? เนื่องจากเป็น ETF ที่ลงทุนในตลาดตลาดเกิดใหม่ทั่วทั้งโลก ซึ่งเปิด และ ปิดตลาดในเวลาที่ต่างกัน ดังนั้นเป็นการยากครับที่จะให้ บลจ.ทหารไทย คำนวน NAV ออกมาตรงวันเท่ากับกองทุนหุ้นไทย หรือ FIF ที่ลงทุนเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ที่มีเวลาใกล้เคียงกับเมืองไทย ------------------- สำหรับประเด็นที่ จขกท. บอกมาว่า ราคาของ TMBEMEQ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ดัชนีของ ตลาดที่ไปลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับ Downjones ด้วยนั้น - ผิดครับ ราคา NAV ที่เมืองไทย ของ TMBEMEQ จะขึ้นอยู่กับ ETF ที่เทรดในตลาด NYSE เท่านั้น.... แต่คราวนี้ MSCI Emerging Markets Index Fund (EEM) หรือ เจ้ากองทุนแม่เนี่ย มันขึ้นอยู่กับอะไร ก็ต้องบอกว่า ขึ้นอยู่กับ Underlying Asset ของตัวมันเองเป็นหลัก แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้า Downjones ลง แล้วกองทุนนี้จะลดลงตามไปด้วยครับ จะเห็นว่า NAV ณ วันที่ 22/10/07 ที่ผ่านมา TMBEMEQ ลดลงไป 0.5266 ต่อหน่วย หรือคิดเป็น -4.49% สิ่งนี้เกิดจาก หุ้นที่ ETF เข้าไปถือนั้นลดลงครับ ไม่ใช่เพราะ Downjones ลงแต่อย่างใด (ใครตั้งซื้อ TMBEMEQ ได้ของถูกเห็นๆ) ---------------------- สุดท้าย จั่วหัวไว้ว่า วิกฤต Subprime รอบสอง - อันนี้ก็ผิดครับ วันศุกร์ที่ผ่านมา Downjones ปรับตัวลดลง เป็นเพราะนักลงทุนกังวลกับแนวโน้มที่ US จะเกิด Recession หรือ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย นั้นเอง ถามว่าเกี่ยวกับ Subprime ไหม? ผมก็จะตอบว่า เกี่ยวบ้าง แต่ปัญหา Subprime รอบสองจริงๆ ยังไม่เกิดขึ้นครับ เอาวันศุกร์ก่อน ผมส่ง Message หาเพื่อนๆในกลุ่มหลังไมค์ไปวันศุกร์แล้วว่า ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ของกลุ่มธนาคาร ที่ผ่านมา Citibank ธนาคารอันดับ 1 และ Bank of America ธนาคารอันดับ 2 มีผลการดำเนินงานต่ำกว่าประมาณการณ์ถึง 30-40% เมื่อเทียบกับปีก่อน นั้นเป็นเพราะ Subprime ส่วนหนึ่ง แต่ที่ตลาด Downjones S&P และ Nasdaq เกิดการ Panic อย่างหนักๆตั้งแต่เปิดตลาดวันศุกร์ ก้เพราะ บริษัทที่ไม่ได้ลงทุนใน Subprime Loan หรือ CDOs อย่าง Caterpila (ดำเนินธุรกิจเครื่องมือ เครื่องจักรไฟฟ้าหลายอย่าง) ซึ่งไม่มีการลงทุนในตราสารทางการเงินอยู่แล้ว จดทะเบียนใน Downjones ดันมีผลการดำเนินงานห่วยแตกกับเข้าด้วย -*- อีกทั้ง CFO ของทางบริษัทก็ออกมาบอกว่า เหตุที่บริษัทผลการดำเนินในไตรมาส 3 ไม่ดี เป็นเพราะเศรษฐกิจอเมริกาไม่ดี ไม่ใช่เพราะบริษัทห่วยลงสะหน่อย ลองบอกกันมาอย่างนี้ ใครกลัวอเมริกา Recession ก็ต้องขายเอากำไรเข้าพอร์ตก่อนล่ะครับ มาถึงคำถามต่อมา แล้วมันเกี่ยวกับหุ้นตลาดอื่นๆยังไง? - โดยส่วนตัว ผมมองว่าเป็น Panic ครับ ปัญหานี้กระทบกับแค่ US เพียงตลาดเดียว และลองคิดดูแล้ว หากเม็ดเงินออกจากตลาดอเมริกา ทายสิว่า เขาจะเอาเงินก้อนนี้ไปทำอะไร?? สำหรับผมก็มี 2 Choice ครับ 1. เอากลับไปถือตราสารที่เป็น Save Heaven ของเขา นั้นคือ US Teasury ในระยะสั้นๆเพื่อรอความชัดเจนของตลาดอีกครั้ง 2. โยกเงิน Fund Flow เข้าสู่ตลาดในภูมิภาคอื่น (Non US Currency Asset) ถ้าเป็นอย่างที่ 2 ตลาด Emerging Market ก็ควรได้รับอานิสงส์เต็มๆในระยะยาว แต่ผมก็ยังเผื่อไว้อีก Choice หนึ่งครับ ราคาน้ำมันกำลังทำ All Times New High อยู่ หุ้นในกลุ่มพลังงาน และ Commodities ถูกปั่นขึ้นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว หากดูเจาะเป็นรายประเทศ จะเห็นว่าหลายๆตลาดมี P/E ที่เกินราคาปัจจัยพื้นฐานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (Overvalue) อย่างเช่นตลาด A-Share ในจีนนี้ เทรดกันที่ P/E 40 เท่าได้แล้วมั้ง ดังนั้น การที่ Fund Flow จะไหลเข้าเอเชีย ก็คงไม่ใช่ไหลเข้าทั้งหมด เพราะหุ้นในเอเชียก็มีความเสี่ยงด้านราคาอยู่พอสมควร จากคุณ : Mr.Messenger - [ วันปิยมหาราช 18:13:28 ]

ความคิดเห็นที่ 2 สรุป ช่วงนี้ ถือเป็นช่วงที่ตลาดจะผันผวนมาก เพราะเข้าสู่ Mature Bull แล้ว (กระทิงหมดแรงวิ่ง) ดังนั้นการปรับพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง จะมีความสำคัญมากกว่าการเก็งกำไรในตลาดใดตลาดหนึ่งเป็นหลัก เหมือน 2-3 ปีก่อน การถือตราสารหนี้ ไม่ว่าจะเป็น Deverlop Market หรือ Emerging Market จะมีความน่าสนใจ และมีความเสี่ยงต่ำกว่า เราควรให้ความสำคัญกับ Risk มากกว่า Return แล้วล่ะ ------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ จากคุณ : Mr.Messenger - [ วันปิยมหาราช 18:17:42 ]

ความคิดเห็นที่ 3 หมีพูขอเสริมครับว่า การซื้อขายกองทุน FIF นั้น นอกจากจะดูวันหยุดของไทยแล้ว ยังต้องดูวันหยุดของฝั่งเมืองนอกด้วยนะครับ หากไปซื้อขายในจังหวะที่ตรงกับวันหยุดของทางเมืองนอกแล้ว ก็ต้องรอไปถึงวันทำการถัดไปของทางเมืองนอกครับ (จะทำให้นานกว่าปกติก็ได้) อาจจะมีคนถามต่อว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมืองนอกเขาหยุดวันไหน ก็ไปดูในหนังสือชี้ชวนของกองทุน FIF ครับ (ดูผ่านเน็ทก็ได้) นอกจากนี้แล้ว ผู้ลงทุนยังต้องรู้และเข้าใจด้วยว่ากองทุน FIF ที่ตัวเองซื้อลงทุนนั้นเขายึดดัชนีอะไรเป็น Benchmark เพื่อป้องการการเข้าใจผิด หรือได้รับข้อมูลที่สับสน ซึ่งอาจจะส่งผลให้การตัดสินใจซื้อขายผิดพลาดได้ครับ และเมื่อรู้แล้วว่าดัชนีชี้วัดคือตัวไหน ก็ควรจะศึกษาต่ออีกหน่อยว่าดัชนีนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง สัดส่วนมากน้อยแค่ไหน (ไม่ต้องเป๊ะ ๆ แค่คร่าว ๆ TOP TEN ก็น่าจะโอเคแล้วสำหรับนักลงทุนธรรมดา) จะได้รู้ทางหนีทีไล่ ไม่ตื่นตูมหรือวิตกเกินเหตุ สำหรับ FIF ที่เป็นกอง ETF นั้นยังมีความเสี่ยงที่ราคา ETF ในตลาดหุ้นของกองทุนต่างประเทศ อาจจะแตกต่างจาก NAV ของกองทุนต่างประเทศด้วยก็ได้ (ตรงนี้ยังใหม่มากสำหรับเมืองไทย เลยไม่รู้ว่าน่ากลัวมากมั้ย) สุดท้ายนี้สำหรับกอง FIF ของทหารไทย เห็นจะมีอยู่เพียงกองเดียวในขณะนี้ที่รู้ผล NAV และปรับยอดภายในค่ำวันเดียวกันเลยก็คือ TMBCHEQ ครับ แต่จะซื้อขายก็ต้องก่อนบ่ายสองโมงนะครับ ถ้าเลยบ่ายสองโมงจะตั้งรอเป็นวันทำการถัดไปครับ อย่าตกม้าตายเรื่องเวลาซื้อขายล่ะ ฉะนั้นถ้าใครที่อยากจะเล่นสั้น ๆ กินกำไรไว ๆ ก็น่าจะมาที่กอง TMBCHEQ มากกว่านะครับ จะได้ไม่ต้องติดเงื่อนไขเรื่อง Time Zone ของตลาดในแต่ละประเทศ อีกทั้ง China & HKG ยังเป็นตลาดที่ใกล้บ้านเรามากที่สุดด้วย ข่าวสารย่อมถึงเร็วกว่าพวกกอง Worldwide ครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ วันปิยมหาราช 19:44:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณครับสำหรับความรู้ที่ได้รับ -ผมไปเช็คราคาหุ้นหลักของกองทุน ETF มาแล้ว ณ วันที่ 22 ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงอย่างหนัก ราคาหน่วยลงทุนของกองทุนหลัก เพิ่มขึ้น 0.72% ส่วนวันที่ 23 ราคาหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น 2.772% ส่วนราคาหน่วยลงทุนของไทยนั้น ผมสอบถามเจ้าหน้าที่แล้วได้ความว่า อาจประกาศมูลค่าหน่วยลงทุนของทั้งวันที่ 22 และ 23 รวมในวันเดียวกันเลยในสิ้นวันทำการวันนี้ -การที่ผมอ้างอิงถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของประเทศที่กองทุน ETF นำไปลงทุนนั้น เนื่องจากกองทุน ETF มักจะไปซื้อหุ้นที่มี Market Cap สูงในประเทศเหล่านี้ ผมจึงถือว่าดัชนีของประเทศเหล่านี้เป็นตัวแทนหุ้นใน Port ที่กองทุน ETF ถือไว้นั่นเอง - ส่วนดัชนี Down Jones นั้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของดัชนีดังกล่าวในครั้งใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นไปในทางขึ้นหรือลดลง ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก แม้ว่าตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำของเอเชียบางตลาด เช่น จีน เกาหลี อินเดีย จะมีความเป็นตัวของตัวเองสูงก็ตาม แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในดัชนี Dow Jones หรือตลาดหลักทรัพย์อื่นของสหรัฐ ย่อมส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์เหล่านี้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้หุ้นที่กองทุน ETF ถืออยู่นั้นได้รับผลกระทบไปด้วย - ส่วนเรื่องซับไพร์มรอบสองจะใช่หรือไม่นั้น ผมอาจใช้คำพูดที่ผิดไป แต่มันก็คือ อาฟเตอร์ช็อค ของซับไพร์มนั่นเอง แล้วแต่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน จริงอยู่การลดลงของดัชนี Dow Jones อาจเกิดจาก panic ดังที่คุณ Mr.Messenger ว่า แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งเกิดจาก ผลประกอบการที่ไม่ดีของสถาบันการเงินใหญ่ในสหรัฐซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากซับไพร์มนั่นเอง ส่วนภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลให้เทขายหุ้นในคืนวันที่ 19 นั้น ก็เป็นผลมาจากซับไพร์มนั่นเอง เนื่องจากปัญหาซับไพร์มนอกจากจะส่งผลต่อภาคการธาคารแล้ว ยังส่งผลต่อธุรกิจก่อสร้าง ตลอดจนชะลอการบริโภคของผู้บริโภคด้วย ส่วนที่ราคาหุ้นของ Caterpillar ลดลงด้วยนั้น ก็เนื่องมาจากบริษัทดังกล่าวจำหน่ายเครื่องจักรกลหนัก เมื่อภาคการก่อสร้างชะลอตัวลง ราคาหุ้นย่อมลดลงเป็นธรรมดา ผมว่าปัญหาซับไพร์มจะเกิดต่อเนื่องหรือรุนแรงจนเรียกว่าเป็นรอบสองหรือไม่ คงต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดและประมาทไม่ได้ครับ จากคุณ : นักลงทุนมือใหม่ - [ 24 ต.ค. 50 10:19:04 A:203.113.123.84 X:203.113.123.3 TicketID:157642 ]