ความคิดเห็นที่ 1 เพิ่งเห็น T-NewEnergy  เหมือนกันครับ เราเคยคุยกันถึงกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากราคาน้ำมันกำลังทำ New High อยู่ น่าจะเป็นผลดีกับหุ้นกลุ่มพลังงานทั่วโลกเช่นกัน แต่คราวนี้มามอง Valuation ของกลุ่มพลังงาน อย่างหุ้น PTT หรือ TOP ในตลาดหุ้นไทย ก้จะเห็นว่า ราคานั้น Overvalue ไปพอสมควร จะให้ซื้อต่อ ก็กลัวติดดอย จะไม่ซื้อมัน ก็กลัวเสียโอกาสอีก ลำบากใจจริงๆ New Energy หรือพลังงานทางเลือก จึงเข้ามาอยู่ในความสนใจของนักลงทุนกลุ่มหนึ่งครับ สำหรับ Merrill Lynch นั้น ถือเป็นเจ้าตำรับของ Active Management Portfolio ระดับโลกเลยล่ะครับ ถามว่ากองทนที่นี้มั่นใจได้หรือเปล่า ก็เหมือนถามว่า พี่เบิร์ดร้องเพลงเก่งไหมนั้นล่ะ (เรื่องเดียวกันป่าวหว่า) แต่คราวนี้ กองทุนหลัก MLIIF NEW ENERGY FUND เนี่ย ไม่ได้จัดการโดย Merrill Lynch นะครับ แต่เป็น BlackRock (Luxembourg) S.A. ซึ่งควบรวมกิจการกับ Merrill Lynch ไปเมื่อปี 2006 ที่ผ่านมา (ไม่รู้ว่า Fund Manager เป็นของ Blackrock หรือ Merrill Lynch เหมือนกัน -*-) คราวนี้ New Energy มีดีตรงไหน? - ขึ้นชื่อว่าพลังงานเนี่ย ก็ต้องอยู่คู่กับมนุษย์ไปจนวันตายล่ะ น้ำมัน อย่างที่เรารู้กันว่าเป็นแหล่งพลังงานหลักที่ทำให้คนไม่ถึง 1% บนโลก รวยมหาศาล และที่เหลือ 99% ต้องพึ่งพาอาศัยมัน ยังไงก้มีวันหมดไป และตราบใดที่บ่อน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่อลาสก้า อเมริกา ยังไม่ถูกขุดขึ้นมา ราคาน้ำมันก็คงวิ่งต่อไปเรื่อยๆไม่หยุดไม่หย่อน เป็นเรื่องเศร้าของผู้ใช้รถทุกคนนะจ๊ะ การที่เราพึ่งพาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากไป ก็ทำให้เราขาดอิสระในการดำเนินชีวิตถูกไหมครับ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หรือ ไบโอดีเซล จึงลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานหลักให้แก่เราได้ แล้วตลาดโลก New Energy เป็นยังไงกันบ้าง? - มาดูภาพนี้ก่อนจ้า ธุรกิจ New Energy ชนะ Benchmark อย่าง MSCI World มาตลอดใน 4 ปีย้อนหลัง ยกเว้นปี 2002 เท่านั้น จากคุณ : Mr.Messenger - [ วันปิยมหาราช 20:50:42 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ภายในปี 2007 ก็ดูเหมือนจะทำได้ไม่เลว จากคุณ : Mr.Messenger - [ วันปิยมหาราช 20:52:52 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คำถามที่ว่า ลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์ด้วยไหม? - ไม่ลงครับ มาดูเพิ่มในสัดส่วนการลงทุนแบ่งตามภูมิภาคอีกทีหนึ่งนะครับ เป็นที่น่ากังวลอยู่เหมือนกันที่กองทุนนี้ลงทุนในตลาด US ประมาณ 39% และที่รู้กันว่า ใครๆก็กลัวว่า US จะเกิด Recession ขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รุ้ แต่ส่วนใหญ่ก็ไป Overweight ในภูมิภาคยุโรป ทั้งนี้ก็เพราะ ประเทศในกลุ่มยุโรป ไม่มีแหล่งพลังงานอย่างน้ำมันเพียงพอ บริษัทหลายๆแห่งในยุโรปจึงพยายามสร้าง และหาพลังงานทดแทน เพื่อไม่ต้องผูกติดกับน้ำมันเพียงอย่างเดียว ความเสี่ยงของกองทุนนี้? - กองทุนนี้มีค่า Beta สูงกว่า 2 ด้วยซ้ำ นั้นหมายความว่า มีความผันผวนสุงมากเมื่อเปรียบเทียบกับ MSCI World ที่เป้น Benchmark อีกทั้ง Valuation ของกลุ่ม New Energy หลายๆโบรกในต่างประเทศ ก็ให้ราคาไว้สูงกว่า Average ของตลาดด้วย เนื่องจากรวมเอาค่า Potential Growth ในอนาคตเข้าไปด้วย ทำให้ที่ผ่านมา บริษัทที่ทำธุรกิจด้าน New Energy มี Upside Gain ที่สุงกว่าดัชนีตลาดในประเทศนั้นๆ อีกทั้งขนาดของบริษัทที่ทำธุรกิจนี้ก้มีขนาดไม่ใหญ่มาก มูลค่าการซื้อขายต่ำกว่าหลักทรัพย์ของบริษัทขนาดใหญ่ครับ ------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ จากคุณ : Mr.Messenger - [ วันปิยมหาราช 21:16:33 ]

ความคิดเห็นที่ 4 New Energy เป็นทางเลือกลงทุนที่ดีครับ แต่ ผมได้ไปอ่านเจอในบทความอย่างนึง คือ ประเภทของบริษัท ที่กองทุนเหล่านี้ไปลงทุนนั้น มีความเสี่ยงเรื่อง 1. สภาพคล่อง เพราะบริษัทเหล่านี้ยังมีขนาดเล็ก และน้อยอยู่ เล็กในที่นี้ และ น้อยนั้น อาจจะไปดูรายละเอียดของแต่ละบริษัทจะพบว่า แม้ว่าจะมีขนาดใหญ่กว่าหุ้นบ้านเรา แต่เมื่อเทียบระดับโลก ที่กองทุนต่างๆทั่วโลก จะเน้นลงทุน ในกลุ่ม New Energy แล้วนั้นก็มีผลต่อสภาพคล่องในการลงทุน จึงเป็นความเสี่ยงที่ต้องดูกันดีๆนะครับ 2. บริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงในเรื่องผลประกอบการ เพราะบางบริษัทยังเป็นบริษัทที่ใหม่ ผลประกอบการอาจจะยังไม่เป็น + แต่ด้วยความเชื่อ และแนวโน้มถึงความต้องการ พลังงานทางเลือกจึงน่าจะดีในอนาคต จึงมีการจัดตั้งกองทุนประเภทนี้ขึ้นมา ซื้ออนาคตกันพอสมควรครับ อีกอย่างคือ แม้พลังงานทางเลือกที่บอกจะมาทดแทน พลังงานในปัจจุบัน เพราะคนส่วนมากกังวลในเรื่องราคาน้ำมันที่ถีบตัวสูงขึ้น ก็เมื่อไปดูถึงผลกระทบที่มีต่อบริษัทต่างๆที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ ทำให้บริษัทเริ่มมีการจัดการ ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเพื่อลดผลกระทบ ทำให้ผลกระทบในแง่ของพลังงานต่อผลประกอบการใน US เพียงแค่ 0.07% เท่านั้น นี้ก็เป็นอีกส่วนนึงที่พึ่งควรตระหนัก ว่า ทางเลือกนี้ ถูกเวลาแล้วหรือไม่ ที่กล่าวมาทั้งหมด ส่วนมากคนทั่วไปจะมาบอกถึงแง่ดีของกองทุน ขาดในแง่มุมของความเสี่ยงอยู่พอสมควร จึงขอเขียนถึงในแง่นี้นะครับ หวังว่าคงไม่โกรธกัน จากคุณ : Habebee - [ วันปิยมหาราช 21:41:15 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เท่าที่ทราบ ธุรกิจ new energy เป็นธุรกิจเกิดใหม่  แต่มาแรง  เนื่องจากอย่างไรเราก็ต้องอยู่กับพลังงาน  เนื่องจากขณะนี้พลังงานที่เราใช้กันอยู่เกือบทั้งหมดมาจาก fossil หรือพวก Hydrocarbon เป็นพลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษ  รวมทั้งปัจจุบันผู้ครอบครองแหล่งพลังงงานเหล่านี้ มักก่อให้เกิดปัญหาการเมืองกรบทบกระแทกกันระหว่างประเทศอยู่ตลอดเวลา  หลายประเทศจึงพยายามลดการพึ่งพิงและหาพลังงานทดแทน  ที่ใช้แล้วสะอาดไม่ก่อมลพิษ  และมีมากภายในประเทศ  ไม่ต้องนำเข้าให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง  เช่น ลม แสงแดด น้ำ เป็นต้น  ใครที่สามารถครอบครองเทคโนโลยีที่ว่านี้นี้ได้ก่อน  ก็จะลดการพึ่งพาน้ำมันที่ถือเป็นพลังงานที่มีราคาสูงและต้องนำเข้า ใช้แล้วหมดไปได้มากเท่าที่ทำได้  ลดทั้งค่าใช้จ่ายของประเทศ และความตึงเครียดจากการเมืองระหว่างประเทศได้ด้วย   เทคโนโลยีเหล่านี้ ก็ยังสามารถขายได้  และพลังงานที่ผลิตได้ก็ขายได้ด้วย ก็เหมือน ธุรกิจใหม่ สำหรับผมเองมีความเห็นส่วนตัวว่า ธุรกิจพลังงานใหม่นี้ (New energy) นี้น่าจะมีผลในการเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจในอนาคต  ได้เช่นเดียวกับที่เราเริ่มมีเทคโนโลยีใหม่เช่น คอมพิวเตอร์ เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว  ซึ่งก็จะเสี่ยงเพราะเป็นธุรกิจเกิดใหม่แต่ก็ตามด้วยโอกาสในการลงทุนที่ดีเช่นกัน (เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีเกี่ยวกับพลังงานที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  จึงน่าสนใจเป็นพิเศษ) ส่วนตัวได้เข้าไปศึกษาเกี่ยวกับกองทุนนี้ มาบ้าง เห็นว่าน่าสนใจครับ เห็นว่าธนชาตจะจัดสัมมนา วันอังคารที่ 30 ตุลาคมนี้  ลองเข้าเว็บไซต์ ที่ www.thanachartfund.com เพื่อติดตามดูก็ได้ครับ จากคุณ : micmin (micmin) - [ วันปิยมหาราช 22:27:56 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณทุกคนสำหรับข้อมูลครับ สำหรับกอง New Energy สำหรับผมมองว่า ถ้าจะลงกองนี้ ก็เหมือนเสี่ยงดวงครับ เป็นสไตล์ที่ผมชอบครับ :) จากคุณ : DD - [ วันปิยมหาราช 23:40:24 A:210.203.182.91 X: TicketID:100823 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มาขอความรู้ครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : tonytui - [ 24 ต.ค. 50 08:21:22 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าเป็นผม ผมคงไม่ลงครับ เพราะพลังงานทางเลือกยังมีประสิทธิภาพต่ำกว่าระบบที่เราใช้กันอยู่พอสมควร ส่วนใหญ่ที่บริษัทอยู่ได้ก็มาจากการสนับสนุนของรัฐบาลซะมาก ถ้ามองในแง่การทำกำไรของตัวธุรกิจโดยรวมโดยตัดการคาดหวังในแง่ดีไปแล้ว ผมตัดสินใจว่ายังไม่น่าลงทุนครับ ถ้าเป็นนิวเคลียร์ยังจะน่าลงทุนกว่า จากคุณ : Nexus - [ 24 ต.ค. 50 08:35:34 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ธนชาต ต้องถามการคิดราคา NAV , ราคารับซื้อคืน , ราคาขาย ว่าคิดอย่างไร ต้องอธิบายให้ระเอียดนะครับ เท่าที่รู้มาราคารับซื้อคืน ไม่ใช่ เอาราคา nav มาหักด้วย back end fee นะครับ ธนชาติ จะเอาราคารับซื้อคืน ซึ่งต่ำกว่าราคา nav แล้วค่อยลบด้วย back end fee เท่ากับเราเสียอีกต่อหนึ่ง , ซึ่งราคา nav ส่วยใหญ่จะต้องคิดรวม อัตราค่าเงินเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น ระวัง ราคาขาย และ ราคารับซื้อคืน ให้ดี ๆ นะครับ ลองเทียบกับ บล. อื่น ๆ ดูก็ได้ครับ ว่า วิธีคิดของ ธนชาต เอาเปรียบลูกค้า ครับ และอธิบายไม่เคลีย แสดงถึงความไม่โปร่งใส ครับ จากคุณ : A - [ 24 ต.ค. 50 09:51:51 A:202.149.98.2 X: TicketID:123592 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เชิญร่วมวิเคราะห์พลังงานทางเลือก -> กองทุนT-NewEnergy ของธนชาตครับ จากคุณ : EncodeO - [ 3 พ.ย. 50 18:10:35 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผมได้ดูวิธีการคำนวณมูลค่าหน่วยลงทุน ราคารซื้อขาย ในหนังสือชี้ชวน แล้ว ดูแล้ว ก็ยุติธรรมดีนะครับ   - เวลาซื้อก็ใช้มูลค่าหน่วยลงทุนที่คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนด้านที่จะต้องเอาเงินบาทไปซื้อดอลลาร์   - เวลาขายคืนกองทุนก็คำนวณมูลค่าหน่วยลงทุนโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนด้านที่กองทุนต้องนำเงินดอลลาร์ไปขายให้กับธนาคาร เพื่อแลกเป็นเงินบาท ดูแล้วเป็นธรรมทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้ที่ลงทุนในกองทุน  ซึ่งจะได้เงินตามอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ว่าทั้งขาที่ซื้อดอลลาร์  และขาที่ขายดอลลาร์  ในแต่ละขณะ   ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ   เท่าที่ผมศึกษา หากใช้อัตราแลกเปลี่ยนตัวกลางตัวเดียวคำนวณทั้งซื้อทั้งขาย  น่าจะทำให้มีข้อได้เปรียบระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้ที่ยังลงทุนอยู่  คือจะทำให้มีผู้ได้เงินมากเกินไปขณะที่ขายคืน  และทำให้ผู้ซื้อจะได้เสมือนไดดอลลาร์มากเกินไปขณะที่ซื้อ   ยกตัวอย่าง อัตราแลกเปลี่ยนกลาง จาก บาทเป็นดอลลาร์ ณ วันที่ 1 พ.ย. 2007   33.935 Baht/US Dollar   อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นดอลลาร์  เมื่อผู้ลงทุนต้องการซื้อเงินดอลลาร์กับธนาคาร เท่ากับ  34.0604  บาท อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์เป็นบาท   เมื่อผู้ลงทุนต้องการขายดอลลาร์ให้ธนาคาร เท่ากับ 33.7285 (ถ้าแลกเปลี่ยนด้วยธนบัตร) - 33.8268 (ถ้าแลกเปลี่ยนทาง Telex)       จากตัวอย่างข้างต้นเวลาเราซื้อ FIF ก็เหมือนว่าเอาเงินบาทไปซื้อดอลลาร์กับธนาคาร  จะต้องใช้เงินบาทมากกว่าเพือซื้อดอลลาร์   แต่เมื่อเราไปขายคืน FIF ก็เหมือนเราเอาเงินดอลลาร์ไปขายให้ธนาคารเพื่อแลกเป็นเงินบาท เราจะได้เงินคืนน้อยกว่า   ราคากลางตัวเดียวที่ใช้คำนวณทั้งราคาขายและราคาซื้อ    น่าจะมีผลดังนี้ สำหรับการซื้อ FIF  ราคากลางที่น้อยกว่าราคาแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นดอลลาร์  จะทำให้ผู้ที่ซื้อ FIF เสมือนได้ดอลลาร์มากกว่าที่ควรได้    ผู้ที่ซื้อจึงได้เปรียบเพราะจะได้หน่วยเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ควรได้ทุกครั้งที่ซื้อ  จึงได้เปรียบผู้ที่ลงทุนในกองทุนขณะนั้น ส่วนในทางกลับกันผู้ที่ขายคืน FIF  การใช้ราคากลางที่จะได้เงินบาทมากกว่าราคาที่สามารถแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์เป็นเงินบาทได้จริง ๆ ในขณะนั้น   จะทำให้ได้เงินบาทมากกว่าที่ควรได้ทุกครั้งที่ขายคืน   ผู้ที่ขายคืนจึงได้เปรียบผู้ที่ยังลงทุนใน FIF เพราะเอาเงินส่วนของผู้ที่ยังลงทุนใน FIF ขณะนั้นออกไปด้วย   โดยสรุปผู้ที่ยังอยู่ในกองทุนจึงเสียเปรียบทั้งผู้ที่ซื้อใหม่และขายคืน  ดูแล้ววิธีคำนวณที่แยกราคาซื้อขาย ตามอัตราแลกเปลี่ยนจึงดูยุติธรรมกว่าครับ จากคุณ : micmin - [ 5 พ.ย. 50 09:23:15 ]