ความคิดเห็นที่ 70
http://www.drpunya.com/news.htm
15 กค.2550 .... หุ้นขึ้น ฝรั่งซื้อ ไทยขาย ใครกำไร?
ผมได้ตั้งคำถามเอาไว้ว่า ทุกวันเรามีตัวเลขสรุปการซื้อขายของ รายย่อย ต่างชาติ และสถาบัน จากตัวเลขเหล่านี้ เราจะเอามาคำนวณอย่างไรเพื่อดูว่ากลุ่มใหนกำไร และกลุ่มใหนขาดทุน? นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ผมยังไม่ได้รับคำตอบ ผมก็เลยต้องมาเฉลยให้ดู
ครับ, โจทย์ข้อนี้อาจดูยาก เพราะเราไม่รู้ว่าหุ้นในมือของแต่ละคนมีราคาทุนเท่าใด และยิ่งเอามารวมเป็นกลุ่มเข้าไปก็ยิ่งซับซ้อนยิ่งขึ้น ผมจึงไม่ได้รับคำตอบจากท่าน แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลุ่มใหนจะกำไรหรือขาดทุนไม่ได้ขึ้นกับหุ้นในมือเลย เรื่องนี้เราต้องมองภาพเหมือนมีคน 3 คน ทั้งสามต่างมาแต่ตัว คือไม่มีหุ้น และไม่มีเงินติดตัวมาเลย วันใหนที่เขาซื้อเราก็ต้องดูว่าเขามีเงินในกระเป๋าหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ยืมจากกองกลาง แต่ถ้าเขามีเงินอยู่ก็ต้องดูว่ามากพอซื้อหรือไม่ ถ้าไม่พอ เขาก็ต้องยืมเงินบางส่วนจากกองกลาง และถ้ามีเงินพอ เราก็หักเงินในกระเป๋าเขาออกมาเท่ากับที่ซื้อ แล้วก็โอนหุ้นให้เขาไปตามที่ซื้อ เจ้าหุ้นตัวนี้ก็ไม่ใช่หุ้นตัวใดตัวหนึ่ง มันเป็นหุ้นสมมุติ มันมีราคาเท่ากับดัชนี และจำนวนหุ้นก็จะเท่ากับเงินที่ซื้อหารด้วยดัชนีของวันนั้น
ในทำนองเดียวกัน วันใหนเขาขายหุ้น เราก็ต้องเช็คว่าเขามีหุ้นอยู่ในมือหรือเปล่า ถ้าไม่มี เขาก็ต้องยืมจากกองกลาง...ฯลฯ
ครับ, เราจะต้องคำนวณไปเรื่อยๆ ทำทีละวัน ทุกวันก็จะเห็นภาพว่าเขามีหุ้น หรือมีเงิน และเขาเป็นหนี้เงินหรือหนี้หุ้นต่อกองกลางอยู่เท่าใด และเมื่อถึงวันปิดบัญชี เราก็ต้องให้เขาชำระหนี้ที่กองกลางให้หมดไป ใครชำระหนี้ได้หมดแล้วมีเงินเหลือก็เป็นคนมีกำไร ใครที่ชำระหนี้ได้ไม่หมดก็จะเป็นผู้เล่นที่ขาดทุน หุ้นในมือในวันปิดบัญชีให้คิดในราคาปิดของวันปิดบัญชีนั้น
นี่คืดวิธีคิด ซึ่งก็เป็นเรื่องของเลขคณิตธรรมดาๆนั่นแหละ แต่...เพื่อความรวดเร็วในการคำนวณ ผมจะขอหยิบเอาข้อมูลของสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคมมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งมีตัวเลขดังนี้
2 กค.50:ดัชนีปิดที่ 792.71 รายย่อยขาย(เน็ตแล้ว) 2659 ล้านบาท ดังนั้นจึงต้องยืมหุ้นจากกองกลางมาขาย เป็นจำนวน= 2659/792.71=3.354 ล้านหุ้น และได้เงินเข้ากระเป๋า=2659 ล้านบาท ต่างชาติซื้อ(เน็ตแล้ว) 2538 ล้านบาท แต่ไม่มีเงินในมือ จึงต้องยืมเงินจากกองกลาง เป็นจำนวน=2538 ล้านบาท แล้วก็ได้หุ้นเข้าพอร์ตเป็นจำนวน=2538/792.71=3.201 ล้านหุ้น หุ้นตอนนี้มีราคาทุน=792.71 จุด ทั้งนี้เพราะเป็นล็อตแรกที่ซื้อเข้ามา สถาบันซื้อ(เน็ตแล้ว) 121 ล้านบาท แต่ไม่มีเงินอยู่ในมือ จึงต้องยืมเงินจากกองกลาง เป็นจำนวน=121 ล้านบาท แล้วก็ได้หุ้นเข้าพอร์ตเป็นจำนวน=121/792.71=0.152 ล้านหน่วย ราคาเฉลี่ยของหุ้นในพอร์ต=792.71 หน่วย
3 กค.50:ดัชนีปิดที่ 813.52 รายย่อยขาย(เน็ตแล้ว) 8834 ล้านบาท แต่ไม่มีหุ้นอยู่ในมือ จึงต้องยืมเพิ่มเป็น=3.354+8834/813.52=3.354+10.859=14.213 ล้านหุ้น และได้เงินเข้ากระเป๋าเพิ่มเป็น=2659+8834=11,493 ล้านบาท ต่างชาติซื้อ(เน็ตแล้ว) 7824 ล้านบาท แต่ไม่มีเงินอยู่ในมือ จึงต้องยืมจากกองกลางเพิ่มเป็น=2538+7824=10,362 ล้านบาท และได้หุ้นเข้าพอร์ตเพิ่มเป็น=3.201+7824/813.52=3.201+9.617=12.818 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยของสองล็อตนี้=(3.201*792.71+7824)/12.818=808.35 จุด สถาบันซื้อ(เน็ตแล้ว) 1007 ล้านบาท แต่ไม่มีเงินอยู่ในมือ จึงต้องยืมจากกองกลางเพิ่มเป็น=121+1007=1128 ล้านบาท และได้หุ้นเพิ่มเข้าพอร์ตเป็น=0.152+1007/813.52=0.152+1.237=1.389 ล้านหุ้น หุ้นรวมกันนี้มีราคาเฉลี่ย=(0.152*792.71+1007)/1.389=(121+1007)/1.389=812.09 จุด
4 กค.50:ดัชนีปิดที่ 825.45 รายย่อยขาย(เน็ตแล้ว) 4949 ล้านบาท แต่ไม่มีหุ้นอยู่ในมือ จึงต้องยืมเพิ่มเป็น=14.213+4949/825.45=14.213+5.995=20.208 ล้านหุ้น และได้เงินเข้ากระเป๋าเพิ่มเป็น=11,493+4949=16,442 ล้านบาท ต่างชาติซื้อ(เน็ตแล้ว) 5805 ล้านบาท แต่ไม่มีเงินอยู่ในมือ จึงต้องยืมจากกองกลางเพิ่มเป็น=10,362+5805=16,167 ล้านบาท และได้หุ้นเข้าพอร์ตเพิ่มเป็น=12.818+5805/825.45=19.850 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยของสองล็อตนี้=(12.818*808.35+5805)/19.850=814.45 จุด สถาบันขาย(เน็ตแล้ว) 856 ล้านบาท หรือเท่ากับขายไป 856/825.45=1.037 ล้านหุ้น แต่มีหุ้นอยู่ในมือ 1.389 ล้านหุ้น จึงทำให้หุ้นเหลืออยู่=1.389-1.037=0.352 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยยังเท่าเดิม คือ 812.09 จุด เงินที่ได้มา 856 ล้านบาทนั้นเอาไปคืนกองกลาง จึงเหลือหนี้อยู่=1128-856=272 ล้านบาท
วันที่ 5 กค.50: ดัชนีปิดที่ 823.93 รายย่อยขาย(เน็ตแล้ว) 1495 ล้านบาท แต่ไม่มีหุ้นอยู่ในมือ จึงต้องยืมเพิ่มเป็น=20.208+1495/823.93=20.208+1.814=22.022 ล้านหุ้น และได้เงินเข้ากระเป๋าเพิ่มเป็น=16,442+1495=17,937 ล้านบาท ต่างชาติซื้อ(เน็ตแล้ว) 2868 ล้านบาท แต่ไม่มีเงินอยู่ในมือ จึงต้องยืมจากกองกลางเพิ่มเป็น=16,167+2868=19,035 ล้านบาท และได้หุ้นเข้าพอร์ตเพิ่มเป็น=19.850+2868/823.93=19.850+3.480=23.33 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยของสองล็อตนี้=(19.850*814.45+2868)/23.33=815.89 จุด สถาบันขาย(เน็ตแล้ว) 1373 ล้านบาท หรือเท่ากับขายไป 1373/823.93=1.666 ล้านหุ้น แต่มีอยู่ในพอร์ตแค่ 0.352 ล้านหุ้น จึงต้องยืมจากกองกลาง=1.666-0.352=1.314 ล้านหุ้น ขณะเดียวกัน เดิมยังเป็นหนี้เงินกองกลางอยู่ 272 ล้านบาท ดังนั้นเงินที่ได้มา 1373 ล้านบาทนั้นต้องเอาไปชำระหนี้ให้กองกลางและเหลือเข้ากระเป๋า=1373-272=1,101 ล้านบาท
วันที่ 6 กค.50: ดัชนีปิดที่ 832.38 รายย่อยขาย(เน็ตแล้ว) 622 ล้านบาท แต่ไม่มีหุ้นอยู่ในมือ จึงต้องยืมเพิ่มเป็น=22.022+622/832.28=22.022+0.747=22.769 ล้านหุ้น และได้เงินเข้ากระเป๋าเพิ่มเป็น=17,937+622=18,559 ล้านบาท ต่างชาติซื้อ(เน็ตแล้ว) 1305 ล้านบาท แต่ไม่มีเงินอยู่ในมือ จึงต้องยืมจากกองกลางเพิ่มเป็น=19,035+1305=20,340 ล้านบาท และได้หุ้นเข้าพอร์ตเพิ่มเป็น=23.33+1305/832.38=24.897 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยของสองล็อตนี้=(23.33*815.89+1305)/24.897=816.95 จุด สถาบันขาย(เน็ตแล้ว) 682 ล้านบาท หรือเท่ากับขายไป 682/832.38=0.819 ล้านหุ้น ตอนนี้ไม่มีหุ้นอยู่ในพอร์ต จึงต้องยืมจากกองกลางเพิ่มเป็น=1.314+0.819=2.133 ล้านหุ้น เงินที่ได้มาก็เก็บรวมเข้ากระเป๋าเป็น=1,101+682=1783 ล้านบาท
การปิดบัญชีและดูกำไร-ขาดทุน: รายย่อย เป็นหนี้หุ้นอยู่ 22.769 ล้านหุ้น จึงต้องซื้อในราคาปิดวันนี้เพื่อเอาไปคืนกองกลาง จำนวนเงินที่ต้องจ่าย=22.769*832.38=18,952 ล้านบาท แต่มีเงินอยู่ในมือ 18,559 ล้านบาท จึงขาดทุน=18952-18,559=393 ล้านบาท ต่างชาติ มีหุ้นอยู่ในพอร์ต 24.897 ล้านหุ้น เมื่อขายที่ราคาปิดวันนี้ จะได้เงิน=24.897*832.38=20,723 ล้านบาท แต่เป็นหนี้เงินที่กองกลางอยู่ 20,340 ล้านบาท ดังนั้นจึงมีกำไร=20,723-20,340=383 ล้านบาท สถาบัน เป็นหนีหุ้นอยู่ 2.133 ล้านหุ้น ต้องซื้อในราคาปิดวันนี้เพื่อนำมาคืนกองกลาง ต้องใช้เงิน=2.133*832.38=1775 ล้านบาท แต่มีเงินอยู่ในกระเป๋า 1783 ล้านบาท จึงมีกำไร=1783-1775=8 ล้านบาท
บทสรุป: 1. รายย่อยเล่นแล้วขาดทุนทั้งๆที่ดัชนีเพิ่มขึ้น(แต่เขาจะไม่รู้สึกเลย เพราะหุ้นในมือที่เหลืออยู่นั้นมีราคาเพิ่มขึ้น เขากลับคิดว่ามีกำไร และมันก็มีกำไรจริงๆ เพียงแต่ว่า เขาได้ขายหมูไปจำนวนหนึ่ง) 2. ต่างชาติกินเงินคนไทยสัปดาห์ละ 383 ล้านบาท โดยลงทุนกู้แค่ 20,340 ล้านบาท หรือคือกำไรเป็นเปอร์เซนต์=100*383/20,340=1.88 เปอร์เซนต์ หรือปีละ=1.88*52=97.79 เปอร์เซนต์(หักค่าคอมมิชชั่นแล้วเหลือประมาณ 30-70 เปอร์เซนต์ต่อปี) 3. นี่เป็นช่วงขาขึ้นของหุ้น คนทะยอยซื้อได้กำไรมากกว่าคนที่กล้าๆกลัวๆ ความกลัวที่หุ้นจะถอยกลับทำให้คนไทยขายทำกำไร ส่วนคนที่มีหุ้นดีๆอยู่ในมือ พอเห็นราคาขึ้นมาหน่อยหนึ่งก็ขายทำกำไร แต่ไปขาดทุนหนักๆเมื่อถึงยอดดอย 4. ในช่วงที่หุ้นเป็นขาลง(อีกหลายเดือนข้างหน้า) เราจะเห็นสิ่งที่ตรงกันข้าม คือต่างชาติทะยอยขาย แต่คนไทยซื้อแล้วต้องคัทลอสไปเรื่อยๆ ลงท้ายต่างชาติกินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง
ครับ, เลิกเล่นหุ้นระยะรายวันเสียเถอะ ให้ศึกษาการขึ้นลงเป็นรอบคลื่น แล้วเล่นตามลูกคลื่นจะดีกว่า แต่ถ้าไม่สามารถอ่านลูกคลื่นได้(เพราะไม่อยากเสียเวลาไปเรียน) ก็เล่นแบบ แวลูอินเวสเตอร์เสียจะดีกว่า
(ควรอ่านซ้ำหลายๆเที่ยว เพราะเรื่องนี้เข้าใจยาก)
จากคุณ :
KENG76
- [
12 พ.ย. 50 21:35:09
]
|
|
|