ความคิดเห็นที่ 1 Q: Stagflation คืออะไร A: Stagflation เป็นคำย่อมาจากคำ 2 คำ คือ Stagnation (การชะงักงันทางเศรษฐกิจ) และ Inflation (เงินเฟ้อ หรือข้าวของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น) เพื่อใช้อธิบายสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งมีปัญหาเงินเฟ้อควบคู่กับสภาวะการชะลอตัวของระบบเศรษฐกิจซึ่งปัญหาหลักคือการว่างงานสูง การเกิดภาวะเงินเฟ้อในสภาวะแบบนี้มักจะเป็นเพราะ เกิดจากเงินเฟ้อด้าน Cost Push เช่น Oil Shock เหมือนที่เกิดตอนนี้เป็นต้น และยังมีหลายๆทฤษฎีที่กล่าวถึง Stagflation http://en.wikipedia.org/wiki/Stagflation จากคุณ : GABLIEL - [ 26 พ.ย. 50 20:24:11 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Q: มีสัญญาณเตือนมาก่อนไหม A: สัญญาณเตือนมีมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วครับ http://www.siam-handicrafts.com/webboard/question.asp?QID=890 จากคุณ : GABLIEL - [ 26 พ.ย. 50 20:24:28 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Q: แล้วมันเป็นยังไง และจะเกิดอะไรต่อไป A: มันเป็นสภาวะที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งในแวดวงนักเศรษฐศาสตร์ และรัฐบาลของทุกประเทศ เพราะเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว แก้ไขยากมาก และมักจะลงเอยด้วยความวุ่นวายทางการเมือง หรือ มีใครสักคนต้องกระเด็นออกจากตำแหน่ง คำๆนี้ ใช้กันในแวดวงนักเศรษฐศาสตร์มานานแล้ว แต่เริ่มแพร่หลายจริงจังก็หลังวิกฤตราคาน้ำมันครั้งแรกของโลกใน ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา ซึ่งราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 4 เท่าตัว เศรษฐกิจของอเมริกามีอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 12% ในขณะที่อัตราการว่างงานสูงเกือบ 9% ผลลัพธ์จากปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้ในโรนัลด์ เรแกน กลับมาสู่อำนาจทางการเมืองครั้งใหม่โค่นประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ ที่ล้มเหลวในการจัดการกับปัญหา ของไทยเราช่วงนั้นก็ตรงกับ ช่วง 14 ตุลาคม ที่เราทุกคนคงจำได้ดี จากคุณ : GABLIEL - [ 26 พ.ย. 50 20:24:48 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Q: มีทางแก้ไขยังไงได้บ้าง A: การแก้ปัญหา stagflation ถือว่ายากมาก เพราะ โดยปกติแล้ว ปัญหาเงินเฟ้อ กับเศรษฐกิจตกต่ำมักจะไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน แต่เมื่อเกิดอาการ”สองเด้ง”เช่นนี้ ก็แก้ยากแสนสาหัส เพราะว่าหากจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ด้วยการลดดอกเบี้ย และอัดฉีดงบประมาณเพื่อเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ ก็จะไปเพิ่มแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อ ในทางกลับกัน หากแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ ด้วยการขึ้นดอกเบี้ย/ควบคุมปริมาณเงินในตลาด/ขึ้นภาษี ก็มีปัญหาเรื่องการถดถอยของเศรษฐกิจรุนแรงมากขึ้น ประเด็นที่ต้องตัดสินใจให้ดีก็คือ การตัดสินใจแก้ปัญหาใดก่อน-หลัง โดยใช้ยุทธวิธีจัดลำดับ หลัก-รอง ใหญ่-เล็ก โดยมีคำถามสำคัญว่า สังคมพร้อมหรือไม่จะยอมให้คนตกงานมหาศาล และเศรษฐกิจพังพินาศบางส่วน ตามหลัก “ตัดอวัยวะ รักษาชีวิต” ในรัฐที่นักการเงิน(พวกแบงก์ชาติ)เป็นใหญ่ เลือกมักจะจัดการเงินเฟ้อก่อน โดยยอมให้คนตกงานมหาศาล หลังจากแก้ได้แล้ว (ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลล่มสลายไปแล้ว 2-3 รัฐบาล) ก็ค่อยอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อพ้นจากถดถอย จากคุณ : GABLIEL - [ 26 พ.ย. 50 20:25:12 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Q: แล้วกับนโยบายประชานิยมที่พรรคการเมืองต่างๆเสนอมานั้นจะทำให้เกิดอะไรตามมา A: ในรัฐที่นักการคลังและนักการเมือง (พวกประชานิยม - พวกชอบกระตุ้นเศรษฐกิจ) เป็นใหญ่ ทางเลือกก็อยู่ที่การกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ยอมให้เงินเฟ้อทำเศรษฐกิจพังพินาศเหมือนที่เกิดขึ้นแล้วในรัฐบาลบรรหาร และ จิ๋ว ทำชาติพังเพราะปล่อยให้เกิดฟองสบู่เศรษฐกิจขึ้นมา เพราะกำกับดูแลหละหลวมเพราะอำนาจการควบคุมบังเหียนเศรษฐกิจของแบงค์ชาติถูกผิดเพี้ยนไป จากคุณ : GABLIEL - [ 26 พ.ย. 50 20:25:26 ]

ความคิดเห็นที่ 6 Q: แล้วต้องทำไงล่ะ A: หลักสำคัญๆในการแก้ปัญหา @ ควบคุม-เข้มงวดการไหลเวียนของเงินที่ใช้เพื่อบริโภคสินค้า ฟุ่มเฟือย และเครดิตราคาถูกอย่างบัตรเครดิตหรือสินเชื่อบุคคล ซึ่งเป็นตัวการสร้างฟองสบู่เศรษฐกิจง่ายที่สุด @ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายใต้กรอบ inflation targeting เพื่อควบคุมการใช้จ่ายของประชาชนในยามที่ราคาสินค้าพุ่งขึ้นเพราะต้นทุนราคาน้ำมัน พร้อมกับการรณรงค์ประหยัดพลังงานด้วยเงื่อนไขทั้งบังคับและสมัครใจ @ รักษาวินัยทางการคลังของรัฐอย่างเข้มงวด (เนื่องจากรัฐจะเก็บภาษีได้น้อยลง) เพื่อป้องกันมิให้เงินเฟ้อรุนแรงเกินจำเป็น และเพื่อมิให้งบประมาณขาดดุลรุนแรงจนต้องหาเรื่องขึ้นภาษี @ สร้างทางเลือกใหม่สำหรับรองรับการว่างงานจำนวนมหาศาลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทจำนวนมากจะถดถอยลง และมีการลดจำนวนพนักงานลง @ ธุรกิจต้องรัดเข็มขัดอย่างหนักโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ต้นทุนต่ำพอประคองตัวอยู่ได้ จากคุณ : GABLIEL - [ 26 พ.ย. 50 20:25:53 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ... ขอบคุณครับ เคยได้ยินมาหลายครั้ง... แต่พี่หมอกาช่วยอธิบายเพิ่มเติม ทำให้เข้าใจมากขึ้น.... จากคุณ : Mr.Zack - [ 26 พ.ย. 50 20:45:19 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณครับ พี่ GABLIEL จากคุณ : เล่นรอบ - [ 26 พ.ย. 50 20:45:59 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณมากค่ะ  พี่ Gabliel รู้รอบจัง จากคุณ : กะติ๊ด - [ 26 พ.ย. 50 20:52:54 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณมาก.... จากคุณ : lekjar - [ 26 พ.ย. 50 20:53:11 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณครับคุณหมอ จากคุณ : kui 2501 (kui2501) - [ 26 พ.ย. 50 20:59:53 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณครับ จากคุณ : Papa Oscar Oscar Hotel (เพื่อนพูห์) - [ 26 พ.ย. 50 21:04:03 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ตะวันรอนตอนเช้า - [ 26 พ.ย. 50 21:12:02 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณครับพี่หมอกา สินค้ายี่ห้อ "สินไทย" จะกลับมามั๊ยเนี่ย จากคุณ : academician - [ 26 พ.ย. 50 21:23:10 A:130.18.158.158 X: TicketID:075095 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณมากครับพี่หมอกาฯ ................. เอ...แล้วอย่างนี้ตลาดหุ้นจะเทรดกันน้อยลงไหมครับเนี่ย... เพราะบริษัทที่อยู่รอดในตลาดได้คงลดลง...   และบริษัทที่อยู่รอดได้ก็คงลดขนาดลง จนอาจจะไม่จำเป็นต้องอยู่ในตลาดหุ้น.. จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 26 พ.ย. 50 21:29:50 ]

ความคิดเห็นที่ 16 แก้ไขแบบข้างบน ก็หนีเสือปะจระเข้สิ...ไม่มีทั้ง 2 ทาง 1. ต้องใช้ "P" Pension Funds ในการแก้ไขครับ งบประมาณมีไม่พอเพราะ ศก.ตกต่ำ ดังนั้น ปล่อยเงินบำนาญตรงนี้มาใช้ก่อน...เพื่อปลดหนี้และกระตุ้น ศก.ได้ 2. ลดอัตราดบ.ลงมา เนื่องจากเป็น cost push inflation การขึ้นดบ.จะไม่ช่วยและยังซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้ออีกต่างหาก ลด ดบ.ลงมา..จะช่วยให้ภาคธุรกิจมีต้นทุนต่ำลง ช่วยลดเงินเฟ้อได้เล็กน้อย แถมช่วยกระตุ้นศก.อีกด้วย แก้ไขแบบนี้ครับ จากคุณ : ryuken - [ 26 พ.ย. 50 21:43:12 A:125.24.7.208 X: TicketID:143864 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณครับผม ^^ ผมคิดว่านะ ถ้าเป็นรัฐบาลของทรท.เดิม คงเลือกวิธีทำงบประมาณขาดดุล ออกพันธบัตรดูดสภาพคล่องส่วนเกินไปกระตุ้นลงไปในส่วนที่ขาดแล้วก็คงอัดฉีดงบลงทุนลงไปในระบบอีกมากมายล่ะครับ ซึ่งผมคิดว่าเป็นทางแก้ปัญหาที่ดี แต่เสี่ยงมากๆเพราะเราไม่รู้ว่าปัญหาของโลกจะนานแค่ไหน ที่คิดว่าดีเพราะจะทำให้เศรษฐกิจเราโตขึ้นทันที (จะไม่โตทันทีได้ยังไง เมื่อมีการลงทุนแบบ Mega Project) เมื่อเศรษฐกิจกำลังโต ก็สามารถที่จะรับมือกับปัญหาน้ำมันได้ ซักระยะนึง เพราะมันสมดุลไงครับ รายจ่ายน้ำมันเพิ่ม รายรับจากการขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น (มองมหาภาคนะครับ จุลภาคนี่ บริษัทใครบริษัทมัน) ที่สมดุลอีกอย่างก็คือเงินที่ไหลเข้าประเทศมาลงทุน (ไม่ได้ไหลเข้ามาเก็งกำไรแบบปัจจุบัน) กับเงินที่ไหลออกประเทศไปซื้อน้ำมัน ส่วนปัจจุบัน รัฐไม่มีการจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจเลย เป็นการปล่อยมันไปตามกลไก ใครเป็นเจ้าของบริษัทก็พยายามเอาตัวรอดไว้ก่อนละกันครับ อนาคตมืดมนจริงๆ ของผมก็เริ่มลำบากแล้ว เพราะรัฐบาลแก้กฎหมายใหม่ งานที่พวกผมเคยทำก็จะไม่มีแล้ว ก็ไม่น่าจะเกินกลางปีหน้าคงรู้แล้วล่ะครับว่าจะต้องปิดบริษัทหรือเปล่า - -" จากคุณ : Bomb308 - [ 26 พ.ย. 50 21:55:44 ]

ความคิดเห็นที่ 18   ... ขอบคุณครับ จากคุณ : helga - [ 26 พ.ย. 50 22:18:10 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณครับผม เดี๋ยวผมจะไปช่วยพี่หมอค้นดูว่า มีคำภาษาไทยป่าวนะครับ จากคุณ : บุญทับ - [ 26 พ.ย. 50 22:39:53 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เจอแล้วครับ แต่มันม่ะมีคำเรียกที่เท่ห์ๆ เลยครับ เพราะในหนังสือ เค้าก็แปลตามตัวเหมือนกันครับ "เงินเฟ้อด้าน Cost Push " = เงินเฟ้อด้านต้นทุน 555 ไม่มีประโยชน์เลยตู ไปดีกว่า.. ชะแว๊ปปปปปปป.......... จากคุณ : บุญทับ - [ 26 พ.ย. 50 22:55:00 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คำถามที่ทุกคนอาจต้องการคำตอบ 1 หนี้เสียในระบบการเงินอเมริกามีมากเท่าไร? คำตอบ xxxx us$ 2.จากคำตอบข้อที่ 1 ปริมาณหนี้ xxxx us$ นี้จะทำให้ค่าเงิน us$ อ่อนไปแค่ไหน? 3.ธปท จะยื้อให้บาทอ่อนค่าได้อีกนานแค่ไหน? 4.หนี้ชนชั้นแรงงานไทยที่ทำ บ.ส่งออกทั้งหลายมีแค่ไหน ถ้าเกิดถูกเลิกจ้างหรือลดเงินเดือนจะกระเทือนการบริโภคภายในมากแค่ไหน? 5.รัฐบาลหน้าจะกล้ากู้เงินมาทำโครงการขนาดใหญ่มากน้อยแค่ไหนจช้าเกินกว่าพวกที่ถูกเลิกจ้างที่มีหนีสินกลายเป็น npl หรือไม่(จนไม่มีเงิน เงินเฟ้อ คนขายของต้นทุนสูง แต่ขึ้นราคาไม่ได้เพราะทำให้ขายไม่ออก) 6.แล้วถ้า ศก อเมริกาเกิดการถดถอยอย่างที่ทุกคนกลัว คำถามที่จะตามมาคือ จะถดถอยยาวนานแค่ไหน? 7. จีนจะเป็นประเทศที่นำสินค้าเข้าจากเราได้มากจริงหรือ?(จีนอาจกลายเป็นนักลงทุนข้ามชาติรายใหญ่ของไทยหรือไม่? ในเมื่อเรามีความกลัวการครอบงำของต่างชาติ) 8.ไทยพร้อมปรับตัวเข้าหาโลกแล้วหรือยัง? http://www.usatoday.com/money/economy/2007-11-25-credit-crunch_N.htm?csp=34 ในข่าวนี้อาจมีคำตอบบางอย่างที่น่าติดตามเหมือน ที่เกิดขึ้นกับบ้านเราที่ทุกคนคิดว่าออกตลาดทัน http://www.bbc.co.uk/bbcfour/documentaries/storyville/greedy_in_thailand.shtml อาจต้องหาเก้าอี้นักบินมาใช้ดีกว่าเพราะดีดตัวออกได้ทุกความสูง แต่ไม่สามารถดีดออกได้ในพื้นที่แคบมากไปหรือ volume น้อย จากคุณ : saint - [ 26 พ.ย. 50 23:03:44 A:210.86.142.13 X: TicketID:099253 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณครับ พี่หมอกา เหนื่อยนะครับ ภาวะแบบนี้ มันไม่ได้เกิดเฉพาะในไทย แต่เกิดทั่วโลก ประเทศที่รอด น่าจะเป็น พวกแขกขายน้ำมัน (รวยอยู่กลุ่มเดียว) จากคุณ : Mr.X-ray - [ 26 พ.ย. 50 23:08:01 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณค่ะพี่หมอกาฯ เคยได้ยินแต่ spiral inflation แต่ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน (เดี๋ยวนี้อ่านน้อยลง - อ่านมากที่ไรจะปวดตาและขมับซีกขวาค่ะ) จากคุณ : IceAge - [ 26 พ.ย. 50 23:20:14 A:124.120.53.113 X: TicketID:144803 ]

ความคิดเห็นที่ 24 Inflation (เงินเฟ้อ หรือข้าวของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น) มีสาเหตุหลักมาจาก 2 ประการคือ 1. ปริมาณเงินหมุนเวียนในตลาด (Money Supply) มีมากขึ้นหรือมากเกินไป (อันนี้คือสาเหตุหลักตามตำราเศรษฐศาสตร์) สำหรับประเทศสหรัฐฯ..... อาจมีสาเหตุจากการที่คนในประเทศกู้เงินในอนาคตมาใช้มากเกินไป เนื่องจากดอกเบี้ยต่ำเป็นระยะเวลานานเกินไป กู้เงินมามากเกินกว่าที่จะมีปัญญาจ่ายคืน กู้โดยหวังการเก็งกำไรในราคาสินทรัพย์ ..............พูดง่ายๆ คือภาวะฟองสบู่นั่นเอง 2. ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลให้ข้าวของแพงขึ้น เช่น ราคาน้ำมัน ราคาวัตถุดิบทางการเกษตรและวัตถุดิบ Commodity อื่นๆ มีราคาสูงขึ้น ดูราคาถั่วเหลือง ข้าวสาลี นม และวัตถุดิบต่างๆ ************************************* Recession (การถดถอยของเศรษฐกิจ) เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อาการหลักๆ คือ ชาวบ้านไม่มีเงินหรือความมั่นใจในการใช้จ่าย นักธุรกิจไม่มีเงินหรือความมั่นใจในการลงทุน ผลผลิตทางเศรษฐกิจลดลง ..........แต่มีวิธีแก้ที่นิยมมากคือ การลดอัตราดอกเบี้ย ทำไมถึงต้องลดอัตราดอกเบี้ย .......เพื่อให้คนหันมาลงทุนมากขึ้น แทนที่จะฝากเงินกินดอกเบี้ยเฉยๆ .......เพื่อให้คนสามารถกู้เงินดอกเบี้ยต่ำ....และนำเงินมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ****************************************** จะเห็นได้ว่าการแก้ปัญหาอย่างนึง จะช่วยเร่งสร้างปัญหาอีกทางนึงให้เกิดขึ้น หากลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ปริมาณเงินก็จะไหลเข้ามาสู่ระบบมากขึ้น.......ทำให้เกิดเงินเฟ้อ หากขึ้นดอกเบี้ย ออกพันธบัตรเพื่อดูดซับเงินออกจากระบบ ป้องกันเงินเฟ้อ ........เศรษฐกิจจะถดถอยมากขึ้น คนจะลงทุนน้อยลง เพราะฝากเงินได้ดอกเบี้ยดีกว่ามาเสี่ยงเอง **************************************** ทางแก้ไขที่พี่หมอกานำเสนอใน ความคิดเห็นที่ 6 จึงเหมาะสมที่สุด ...........แต่ก็ทำยากที่สุด เพราะต้องร่วมมือกันทั้งชาติ ..... ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน จากคุณ : academician - [ 26 พ.ย. 50 23:24:28 A:130.18.158.158 X: TicketID:075095 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณครับ -------------------------------------------------- ค่อนข้างเห็นด้วยกับข้อเสนอของคุณ ryuken มากกว่าการทำตามตำราเป๊ะๆ -------------------------------------------------- อันที่จริง  ผมคิดว่าวิธีแก้ปัญหาการชะลอตัวเศรษฐกิจโลก  เพียงแค่ดึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้ต่ำลงอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล  คือไม่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคมโลก  ปัญหาเงินเฟ้อก็จะไม่ใช่สิ่งที่จะมากังวล  ที่นี้ปัญหาต่างๆ จะถูกแก้โดยง่ายขึ้น แต่ปัญหาคือ  ทำอย่างไรจึงจะดึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลงมาให้อยู่ในระดับที่ไม่สร้างความเดือนร้อนได้ ? เมื่อเงินมันไม่มีทางไป ? แก้ไขเมื่อ 26 พ.ย. 50 23:28:21 จากคุณ : GS Mobile - [ 26 พ.ย. 50 23:26:27 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จริงๆ มีอีกอันหนึ่ง ที่ใช้แก้ได้ทุกสภาวะปัญหาทางเศรษฐกิจ.. พูดไปแล้วเหมือนกำปั้นทุบดิน.. แต่ถ้าคนเข้าใจไอเดียจริงๆ ของแนวคิดนี้ จะรู้ว่า นี่เป็นทฤษฎีที่เจ๋งสุดๆ ถ้าภาษาเศรษฐศาสตร์มหภาค นั่นก็คือ กำหนดเป้าหมาย "มุ่งเน้นเสถีรยภาพภายใน" และจะว่าไป แนวคิดนี้เป็นมากกว่าแนวคิดทางเศรษฐกิจ เพราะมันกินความไปถึงแนวคิดทางสังคม และการเมืองด้วย ซึ่งเดี๋ยวนี้ คำ คำนี้ที่เป็นที่รู้จักกันในนาม.. เ ศ ร ษ ฐ กิ จ พ อ  เ พี ย  ง . . . ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไม่รู้อย่าดูแคลน!! เพียงแต่เดี๋ยวนี้ "เศรษฐกิจพอเพียง" ถูกพูดในฐานะ กระแส และสัญลักษณ์ ..แต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในทางปฎิบัติที่แท้จริง!! จากคุณ : บุญทับ - [ 26 พ.ย. 50 23:54:12 ]

ความคิดเห็นที่ 27 จริงอย่างที่คุณบุญทับแนะนำครับ "เศรษฐกิจพอเพียง" คือการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ........ถ้ามีคนใส่ใจและเข้าใจแก่นแท้ของระบบนี้จริงๆ (ไปอ่านกระทู้เก่าๆห้องนี้ดูละกัน แถวนี้มีคนที่ค้นของเก่าเก่งอยู่แล้วนี่) จริงๆ เป็นทั้งการป้องกันและแก้ไขปัญหา ************************************* พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ (อริยสัจจ์ 4) การแก้ปัญหา... ต้องแก้ที่ต้นเหตุที่แท้จริง ..............จะหาทางฝืนธรรมชาติทำไม อย่าฝืนธรรมชาติ รู้สึกว่าแดดร้อน.........ไม่ต้องคิดหาทางดับดวงอาทิตย์ สินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกขึ้นราคา..............ไม่ต้องคิดหาทางลดราคา จากคุณ : academician - [ 27 พ.ย. 50 00:07:39 A:130.18.158.158 X: TicketID:075095 ]

ความคิดเห็นที่ 28 มาอ่านครับ ขอบคุณหมอGAB ที่มาเผยแพร่ .... ดีจังที่มีกระทู้ที่มาช่วยๆกันออกความเห็นจริงๆมั่ง จากคุณ : :::GANTZ::: - [ 27 พ.ย. 50 00:46:35 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ... ขอบพระคุณมากครับ จากคุณ : roadtrip - [ 27 พ.ย. 50 01:21:52 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณครับ จากคุณ : พ่อน้องนา - [ 27 พ.ย. 50 04:33:23 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ลดต้นทุนกิจการ โดยลดดอกเบี้ย ขึ้นค่าแรงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสมดุลกับส่วนของต้นทุนการผลิตที่เพิ่ม ทั้งในส่วนของค่าน้ำมัน และค่าแรง คงหลายปี เพราะเพิ่มทีเดียวก็กระทบราคาสินค้า เป็นเรื่องยาก แต่สำคัญต้องทำให้สมดุลกันให้ได้ คนต้องสามารถจ่ายได้ กำลังซื้อก็จะกลับมา เศรษฐกิจก็จะเริ่มฟื้น บริษัทเริ่มมีกำไร ก็จ่ายค่าแรงเพิ่มได้ ถ้ารายรับของคนมากขึ้น จนราคาน้ำมันตอนนี้เรียกว่าไม่แพง ทุกอย่างน่าจะกลับมาที่จุดสมดุล   พูดง่ายแต่ทำยาก จากคุณ : TripplePlay - [ 27 พ.ย. 50 05:51:52 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณครับ พี่หมอไม่เอามาแปะให้ความรู้ ผมก็คงไม่ได้ไปศึกษา จากคุณ : ปลานิลจิ๋ว - [ 27 พ.ย. 50 08:21:45 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ที่จริงแล้วสำหรับประเทศไทย วิกฤติต้มยำกุ้ง ก็ถือเป็น stagflation เช่นเดียวกัน ศก.ตกต่ำ พร้อมๆ กับเงินเฟ้อสูง ตอนนั้น คุณธารินทร์ ซึ่งเป็นอดีตนายแบงก์เลือกวิธีคงดบ.สูงนานเกินไป เพื่อสกัดเงินเฟ้อ และ รักษาระดับค่าเงินบาท ขัดแย้งกับคุณ ศุภชัย ที่มองว่าน่าจะช่วยเหลือภาคธุรกิจ และ รายย่อย ด้วยการลดอดบ.ลงอย่างเร็ว แม้ว่าจะพยายามทำงบประมาณขาดดุลอยู่แล้ว ศก.ก็ไม่ฟื้นดีนัก ประเมินกันว่า คุณธารินทร์ ผิดพลาดครับ ปชป.จึงแพ้เลือกตั้งในคราวนั้น ส่วนอเมริกา และ ญี่ปุ่น ใช้วิธีการขาดดุลงบประมาณ เต็มที่ ในสมัยของเรแกน ก็ชัดเจน จนได้ชื่อว่านโยบาย Reganomics ส่งผลให้รัฐมีหนี้สินต่อ GDP สูงขึ้นตลอด ญี่ปุ่นที่ 130% อเมริกาที่ 80% มาถึงวันนี้ก็พบว่า มันไม่ใช่ผลดีนัก เพราะ หนี้สินมากมายจึงต้องจ่าย ดบ.มากทุกปี ซึ่งมีแนวโน้มจะทำให้รัฐบาลขาดดุลอย่างต่อเนื่องไปอีกนาน การใช้งบประมาณขาดดุลเป็นการผลักภาระไปให้กับ generation ถัดไป คือ รุ่นลูกรุ่นหลานรับภาระไปนั่นเอง แต่สำหรับไทยแล้วตัวเลขหนี้สินภาครัฐอยู่ที่ 38% เท่านั้น ยังถือว่าเบา อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกันแล้ว ผมคิดว่าใช้ P "Pension" จะดีกว่า เพราะไม่ได้สร้างหนี้สินให้กับทั้งประเทศเหมือนกับ G แต่เป็นการนำเงินออมมาใช้ก่อนเพื่อปลดภาระหนี้สินและกระตุ้น ศก. หากใช้ G เราจะขาดดุลได้เต็มที่ราว 2 แสนล้านต่อปี หรือราว 2-3% ของ GDP ซึ่งที่ผ่านมาช่วงนี้เราก็พยายามทำตรงนี้มาตลอด แต่ก็เห็นกันอยู่แล้วว่ามันไม่เพียงพอในการดึง ศก.ประเทศกลับไปเติบโตตามปกติได้ แต่หากใช้ P คาดกันว่าจะมีเงินถึงระดับ 6 แสนล้านบาท เพื่อมาปลดภาระหนี้สินของบุคคลเพื่อช่วยเหลือด้านกำลังซื้อ ช่วยกระตุ้น ศก.ได้ ด้วยปริมาณเงินขนาดนี้ใหญ่กว่าเดิม 3 เท่าจะสามารถดึง ศก.ให้ฟื้นตัวได้เร็ว รายได้รัฐก็เพิ่ม โดยปีถัดไปอาจไม่ต้องใช้ G ทำงบขาดดุลก็ได้ ศก.พอเพียงถ้าทำได้ก็ดีครับ ....ปัญหาก็คือ ตอนนี้มีหลายคนทีเดียวที่ประหยัดอย่างไรก็ไม่พอการผ่อนชำระหนี้สิน ทำให้กำลังซื้อของประเทศหดไปมาก คือ เก็บเงินไปผ่อนหนี้นั่นเอง ลำพังรายได้นั้นประหยัดๆ อยู่อย่างพอเพียงแล้วจะเหลือถึง 30% ขึ้นไป แต่เมื่อนำไปผ่อนชำระหนี้สินแล้ว เงินจะขาดมือทันที (web คนยิ้มสู้หนี้) นั่นหมายถึง คนไทยจำนวนมาก...แม้อยากอยู่ตามแนว ศก.พอเพียง ก็ยังไม่สามารถจะทำได้.... เพราะติดหนี้สินกันมากไปนั่นเอง ถ้าเอาเงินออม "บำนาญ" มาแก้ไขปัญหาหนี้สินได้ แล้วเริ่มเดินตามเส้นทางแห่ง ศก.พอเพียง แบบนั้นเป็นไปได้ครับ จากคุณ : ryuken - [ 27 พ.ย. 50 09:11:58 A:125.24.8.39 X: TicketID:143864 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณมากครับ หวังว่าไทยคงไม่ไปสู่จุดนั้นง่าย ๆ นะครับ ผมยังมองในแง่ดีกว่าพื้นฐานเศรษฐกิจเรายังดีอยู่ เงินเฟ้อยังพออยู่ในระดับควบคุมได้ การจ้างงานยังทรงตัว ขาดแค่ความเชื่อมั่น ถ้าเราสร้างความเชื่อมั่นได้มาก ขยายฐานการส่งออกไปญี่ปุ่น ออสเตรเรียมากขึ้น ทดแทนการส่งออกไปอเมริกา น่าจะเป็นทางรอดไปสักพักได้ก่อนที่การเมืองจะกลับมาสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ ซึ่งผมก็คิดว่าปีหน้าก็ยังไม่นิ่ง ปัญหาค่าเงินแข็ง ยังไงก็คงฝืนธรรมชาติไม่ได้ แต่อย่าให้แข็งเร็วเกินไป การพื้นความเชื่อมั่นกับ Mega project คือกุญแจสำคัญ ยังไงช่วยปีสองปีหน้าขอให้เราอดทดกันไว้ ช่วยกันขยันหาทางออก อย่าจ้องแต่ล้มบนฟูก ก็น่าจะพอประคับประคองกันไปได้นะครับ จากคุณ : HaHaHa - [ 27 พ.ย. 50 09:15:13 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณครับ พี่หมอไม่เอามาแปะให้ความรู้ ผมก็คงไม่ได้ไปศึกษา เครดิต คุณ ปลานิลจิ๋วข้างบนครับ.. แหะๆ จากคุณ : Ultraman_Denis - [ 27 พ.ย. 50 09:16:14 ]

ความคิดเห็นที่ 36 Vote !!!!!!!!!!!!!! จากคุณ : KENG76 - [ 27 พ.ย. 50 09:30:26 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณ พี่ๆที่สละเวลาอ่านและแสดงความเห็นครับ พี่ academician ยังจำ"สินไทย" ได้ หวังว่าเราคงไม่ต้องเจอสภาวะนั้นอีก ขอบคุณพี่ saint ที่นำลิงค์มาให้ครับ ขอบคุณพี่หนมเม็ด ที่ช่วยหาคำแปล ความเห็นของพี่ ryuken เป็นอีกทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาครับ ซึ่งจังหวะและโอกาสที่จะใช้แต่ละวิธีต้องควบคุมเวลาให้เหมาะสม เพราะการแก้ปัญหาหนึ่งก็จะสร้างอีกปัญหาหนึ่ง ถ้าขาดความร่วมมือกัน การใช้เศรษฐกิจพอเพียงอย่างเหมาะสมน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ ไม่ใช่ใช้แบบไม่เข้าใจถึงแก่นแท้อย่างที่เป็นอยู่ ตัวอย่างเช่น ผมอยากเห็นการทำระบบลอจิสติกของ OTOP ที่คุณทักษิณเริ่มต้นไว้ เพื่อลดต้นทุนของSME ในภาวะค่าน้ำมันแพง เป็นต้นครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 27 พ.ย. 50 10:43:07 ]

ความคิดเห็นที่ 38 (ยิ้ม) ยิ้มเฉย ๆ นะครับ   ไม่ใช่ยิ้มเยาะ ความรู้สึกช้าจัง...แต่ไม่เป็นไร รู้ช้ายังดีกว่าไม่รู้ แต่ความกังวลจากภาวะหดหู่อันเนื่องจากเงินเฟ้อด้าน cost push นั้นไม่ได้หมายความว่า จะหมดหนทางแก้ไขซะเลยทีเดียว เพียงแค่เรารับรู้  ก็เท่ากับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของของการแก้ไข เรารู้ว่า  รัฐต้องเป็นตัวหลัก ถ้ารัฐไม่ดำเนินการต่อไปสินทรัพย์จะเสื่อมราคาไปเรื่อย ๆ งบประมาณจะต้องขาดดุลต่อไป ควบคุมคอรับชั่นอย่างเข้มแข็ง โครงการลงทุนของรัฐต้องทำอย่างต่อเนื่องและเน้นการกระจายไปยังภูมิภาค โดยเฉพาะเรื่องโลจิสติก ถ้าดำเนินการเรื่องนี้อย่างเข้มขลังแล้วเรื่องดอกเบี้ยไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่ สถาบันการเงิน ทุกวันนี้สถาบันการเงินถูกควบคุมโดยมาตรฐานที่สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมาก ทำให้สถาบันการเงินหันไปแข่งขันกันหารายได้ในส่วนที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพราะมันไม่มีความเสี่ยง มันเป็นผลร้ายต่อการลงทุนของของคนไทย แต่กลับเป็นผลดีต่อการลงทุนของชาวต่างชาติ เอาล่ะ...แค่นี้ก่อน เพราะดูท่าว่า   รัฐบาลชุดหน้าคงบ่มิไกด์ เขียนไปก็เท่านั้น.... จากคุณ : jonathan w. - [ 27 พ.ย. 50 11:07:46 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณครับ คงต้องประหยัดแต่เนิ่นฯ แล้ว จากคุณ : Mr.3pMan - [ 27 พ.ย. 50 12:00:51 ]

ความคิดเห็นที่ 40 V O T E จากคุณ : :::GANTZ::: - [ 27 พ.ย. 50 12:07:31 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ดูง่ายๆ เศรษฐกิจถดถอย แต่เงินเฟ้อสูงขึ้น จากคุณ : แมงเม่าตัวหนึ่ง - [ 27 พ.ย. 50 12:08:06 A:117.47.49.35 X: TicketID:109444 ]

ความคิดเห็นที่ 42 พอดีมีเวลามาต่ออีกเล็กน้อย เราจะเห็นได้ว่า ประเทศเราพึ่งพาการส่งออกมาก นี่ก็จะเป็นกับดักอย่างหนึ่ง เพราะว่า ถ้าค่าเงินแข็งก็ส่งออกได้น้อย ดังนั้นจึงต้องมีการแทรกแซงค่าเงิน วิกฤติรอบที่แล้ว ค่าเงินแข็งเกินจริง พอเงินไหลออกเราก็เจ๊งเพราะบาทอ่อน แต่คราวนี้ค่าเงินกลับแข็งเพราะการอ่อนของดอลล์ แทรกแซงมากเราก็เสียอีกเพราะต้องซื้อน้ำมันแพง ทั้งขึ้นทั้งล่อง  มันเป็นกับดักนรกชัด ๆ การแก้ปัญหาเราต้องโฟกัสมาที่การลดการพึ่งพาน้ำมันให้ได้ โลจิสติคคือหัวใจของการแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการทำถนนที่ส่วนใหญ่มักจะเน้นให้แต่รถยนต์ ฟุตปาทให้คนเดินแทบไม่มี ถ้ามีก็สูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่เหมาะสำหรับการเดิน แถมถูกรุกล้ำวางของ วางกระถางต้นไม้เสียอีก เลนส์สำหรับรถจักรยานก็ไม่ค่อยมี แล้วมันจะช่วยประหยัดพลังงานกันอย่างไรครับ อ้อ..อีกเรื่องครับ ยามที่มีความทุกข์เช่นนี้ กิจกรรมอันใดที่ทำให้ประชาชนมีความสุข รัฐควรส่งเสริม เช่น การลดหย่อนภาษีการท่องเที่ยว อย่างนี้จะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในอย่างดี ต้องไปก่อนละครับ... จากคุณ : jonathan w. - [ 27 พ.ย. 50 12:45:18 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ไม่รู้ความคิดของผมจะถูกมั๊ย ทุกคนบอกว่าสินค้ามีต้นทุนสูงขึ้นเพราะราคาน้ำมันแพง จึงพยายามขอปรับราคาสินค้า ถ้ารัฐสนับสนุนให้รถทุกคันหันมาใช้แก๊สไมว่าจะเป็น LPG หรือ NGV ที่มีต้นทุนที่ถูกกว่า สินค้าก็ไม่ต้องปรับราคา เงินเฟ้อก็จะไม่เกิดขึ้นมาก และรัฐยังประหยัดเงินที่ต้องนำเข้าน้ำมันจำนวนมหาศาล แต่อย่างไรก็สนับสนุนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จากคุณ : สมชาย บางพลี - [ 27 พ.ย. 50 13:40:20 ]

ความคิดเห็นที่ 44 สมาชิกเตรียมวิธีการแก้ไขไว้ให้ดี  ขอบคุณครับ จากคุณ : visitna - [ 27 พ.ย. 50 16:19:16 ]

ความคิดเห็นที่ 45 แหม พี่ทำแบบนี้นี่ ผมเบี้ยวไม่ได้เลยนะเนี่ย ชอบ คห ที่ 4 และ 5 มากครับ เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่หมออธิบายทุกข้อเลยครับ สิ่งที่มันยากคือ การที่เราต้องเลือกเอาสักอย่างว่าจะรักษาอะไรก่อน ในสายตาผมยังมองว่า เศรษฐกิจถดถอย น่ากลัวน้อยกว่า เงินเฟ้อเยอะครับ Stagflation เกิดแล้วรักษายาก วิธีที่ดีที่สุดคือ ป้องกันอย่าให้มันเกิดซะก้อสิ้นเรื่อง จากคุณ : m_ple - [ 27 พ.ย. 50 19:28:29 ]