ความคิดเห็นที่ 1 Q: ราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกเกี่ยวอะไรกับเบนซิน 95 ปตท.? A: มาปูพื้นฐานเกี่ยวกับธุรกิจน้ำมันกันนิดหนึ่งนะครับ อุตสาหกรรมน้ำมันคร่าวๆ ก้อจะเป็น มีบริษัทขุดเจาะน้ำมันไปขุดเอาน้ำมันดิบขึ้นมา แล้วเอามาขายโรงกลั่น กำไรของบริษัทขุดเจาะน้ำมันก้อจะเป็นราคาน้ำมันดิบที่ขายได้ หักลบกับต้นทุนในการขุดเจาะครับ เมื่อโรงกลั่นซื้อน้ำมันดิบมาแล้วมากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งก้อคือ เบนซิน หรือดีเซล (ความจริงน้ำมันดิบกลั่นได้ผลิตภันณ์หลายตัวนะครับ ยกตัวอย่างที่เรารู้จักกันดีนอกจาก น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล แล้วก้อมี น้ำมันเตา น้ำมันเครื่องบิน Naphtha ที่เป็นวัตถุดิบ (Feedstock) ให้กับอุตสาหกรรมเคมีต่อไป หรือแม้แต่ยางมะตอยครับ แต่กระทู้นี้จะสนใจแค่เบนซินกะดีเซลสองอย่างนะครับ ตัวอื่นๆ เอาไว้โอกาสหน้าละกัน) เมื่อโรงกลั่นกลั่นเรียบร้อยแล้ว เค้าจะเอาไปขายให้กับปั้มน้ำมันทั่วๆ ไปครับ กำไรที่โรงกลั่น (อาทิ TOP, RRC, BCP) จะได้ค่าส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่เค้าขาย กับราคาน้ำมันดิบที่เค้าซื้อมาครับ หรือที่เรามักได้ยินคำเรียกกำไรนี้บ่อยๆ ว่า ค่าการกลั่น (crack หรือ cracking margin) ครับ ทีนี้ พอปั้มซื้อน้ำมันสำเร็จรูปมา ปั้มก้อจะบวกภาษีต่างๆ เงินเรียกเก็บเข้ากองทุน โดยปกติราคาขายปลีกมักถูกกำหนดโดยรายใหญ่ๆ (พูดตรงๆ ก้อ ปตท อ่ะละ) เช่น ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 32.39 บาท/ลิตร ปั้มถ้าต้นทุนที่ซื้อน้ำมันสำเร็จรูปมา บวกกับภาษีโน่นนี่และเงินกองทุนแล้วสมมติว่าเท่ากับ 32 บาท จะเห็นว่ากำไรที่ปั้มได้รับเท่ากับ 0.39 บาท กำไรที่ปั้มได้รับนี้เราเรียกมันว่า ค่าการตลาด (Marketing margin) ครับ จะเห็นได้ว่า ถ้าน้ำมันดิบแพงขึ้น โรงกลั่นก้อจะมีต้นทุนมากขึ้น ส่งผลให้เค้าต้องขายน้ำมันสำเร็จรูปแพงขึ้น และถ้าปั้มรับมาแพงขึ้น ปั้มก้อต้องปรับเพิ่มราคาขายปลีกครับ ราคาน้ำมันดิบกับราคาเบนซิน 95 เกี่ยวเนื่องกันด้วยประการฉะนี้แล ;) จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:15:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Q: เค้าซื้อขายน้ำมันกันที่ไหน? A: เอาน้ำมันดิบก่อนนะครับ น้ำมันดิบมีตลาดใหญ่ๆ หลายแห่ง แต่มักจะใช้ราคาอ้างอิงที่สำคัญซึ่งมี 3 แห่งครับคือ น้ำมันดิบดูไบ (Dubai), น้ำมันดิบ WTI (West Texas Intermidiate), และน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ซึ่งน้ำมันทั้งสามชนิดนี้ คุณภาพน้ำมันแตกต่างกัน และกลุ่มลูกค้าจะแตกต่างกันด้วย เช่น น้ำมันดิบ WTI จะขายกันในอเมริกา Brent ขายในยุโรป ในขณะที่ดูไบก้อขายในตะวันออกกลาง ในกระทู้นี้ ถ้าผมพูดแค่น้ำมันดิบเพียวๆ ผมจะหมายถึงน้ำมันดิบดูไบนะครับ เพราะเมืองไทยส่วนมากนำเข้าจากตะวันออกกลาง เพราะฉะนั้นจึงใช้น้ำมันดิบดูไบเป็นอัตราอ้างอิง ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ถูกควบคุมโดยกลุ่ม OPEC (Organization of Petroleum Exporting Countries) กลไกลคร่าวๆคือ ถ้าโลกนี้ต้องการน้ำมันวันละ 100 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ต่อไปคำว่า ล้านบาร์เรลต่อวัน จะใช้คำย่อว่า MMBD หรือ Million Barrels per Day นะครับ อย่าถามนะครับว่าทำไมต้องมี M สองตัว ผมก้อจนด้วยเกล้าอ่ะ ^^" ) แล้วประเทศที่ไม่อยู่ในกลุ่ม OPEC (ปกติเราเรียกว่า non-opec ครับ) ผลิตได้แค่ 80 MMBD ที่เหลืออีก 20 MMBD OPEC จะเข้ามากำหนดครับ ว่า จะผลิตแค่ไหน สมมติว่า OPEC ผลิต 20 MMBD พอดี ก้อจะทำให้ราคาสมดุล ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้า OPEC ต้องการให้ราคาเพิ่มขึ้น OPEC ก้อจะลดกำลังการผลิต สมมติว่าสัก 5 MMBD อุปทานในตลาดก้อจะเหลือเพียง 95 ล้าน พออุปสงค์มากกว่าอุปทาน ราคาก้อจะขยับเพิ่มสูงขึ้นครับ   ส่วนน้ำมันสำเร็จรูป ก้อมีตลาดซื้อขายหลายแห่งเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น NYMEX ของสหรัฐ IPE ในลอนดอน หรือตลาดสิงคโปร์ (SIMEX) ซึ่งตลาดสิงคโปร์เนี่ยประเทศไทยใช้เป็นอัตราอ้างอิงสำหรับการซื้อขายกันครับ เพราะฉะนั้นราคาน้ำมันในไทยก้อจะผันแปรตามราคาน้ำมันที่ซื้อขายในตลาดสิงคโปร์ อธิบายง่ายๆ คือ ถ้าน้ำมันสำเร็จรูป สมมติว่า เป็นเบนซิน ในตลาดสิงคโปร์เป็นเท่าไร พวกโรงกลั่นก้อจะขายให้บรรดาปั้มตามราคาเท่านั้นครับ อัพเดทเพิ่มเติมครับ : สำหรับท่านที่อยากทราบปริมาณการผลิต และสัดส่วนของกลุ่ม OPEC ต่อการผลิตโลก สามารถดูได้ที่ Link นี้ครับ  http://www.eia.doe.gov/emeu/ipsr/t21.xls แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 50 11:41:17 จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:16:02 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Q: เนี่ยสงสัยมานานแล้ว สิงคโปร์ไม่ใช่ปะป๋า ทำไมเราต้องไปอ้างอิงตลาดสิงคโปร์? A: เพราะราคาที่ตลาดสิงคโปร์เป็นราคาที่แฟร์ครับ (Fair) (ขอโทษนะครับ ไม่รู้จะใช้คำไทยว่าอะไร แต่ไม่ใช่คำว่ายุติธรรมแน่ๆ ฮา) เรายึดหลักที่เรียกว่า Import Parity Basis ครับกล่าวคือ ราคาที่ขายในประเทศควรจะเท่ากับราคาที่นำเข้ามา ซึ่งราคาที่นำเข้าที่ถูกที่สุดคือ ราคาที่สิงคโปร์ครับ เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปสูงที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยส่งออกถึงวันละประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประเทศอื่นๆ แม้จะกลั่นมากกว่าสิงคโปร์ แต่เค้ากลั่นเพื่อใช้ในประเทศมากกว่าส่งออก (พี่ไทยกลั่นน้ำมันได้วันละ 1 MMBD เช่นกัน แต่ส่งออกเพียง 0.1 MMBD เท่านั้น) ตลาดสิงคโปร์มีขนาดใหญ่เพราะใครๆ ก้อมาซื้อขายกันที่นี่ ทำให้ไม่มีใครสามารถมาปั่นราคาได้ง่ายๆ อีกทั้ง สิงคโปร์เป็นเมืองท่า ส่งออกสะดวก แถมมีตลาดการเงินที่สมบูรณ์ จึงเหมาะที่จะใช้เป็นราคาอ้างอิงครับ ในกรณีของประเทศไทย ราคาที่ขายในประเทศ = ราคาน้ำมันสำเร็จรูป ณ ตลาดสิงคโปร์ + ต้นทุนในการแปรสภาพน้ำมัน (เพราะน้ำมันในประเทศต่างๆ สเปคหรือคุณสมบัติไม่เท่ากัน) + ค่าขนส่งครับ เอางี้ดีกว่าครับ ถ้าราคาน้ำมันสำเร็จรูปในไทยไม่เท่ากับสิงคโปร์อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าราคาไทยสูงกว่าสิงคโปร์ ปั้มในประเทศก้อจะไม่อยากซื้อจากโรงกลั่นในไทย หันไปนำเข้าจากสิงคโปร์ถูกกว่า โรงกลั่นก้อจะอยู่ไม่ได้ แล้วต้องลดราคามาเท่ากับสิงคโปร์อยู่ดี ถ้าราคาไทยต่ำกว่าสิงคโปร์ โรงกลั่นก้อจะไม่อยากขายในประเทศ หันไปส่งออกไปสิงคโปร์ดีกว่า กำไรดีกว่า เมืองไทยก้อจะขาดแคลนน้ำมัน (โรงกลั่นทุกแห่งเป็นเอกชนนะครับ เค้าไม่ได้กลั่นน้ำมันเพื่อการกุศล) สุดท้ายถ้าไม่ซื้อจากโรงกลั่นในไทย ปั้มก้อต้องนำเข้าอยู่ดี ซึ่งมันก้อจะเป็นราคาสิงคโปร์ในที่สุดครับ นั่นเป็นเหตุผลที่ ปตท และปั้มน้ำมันต่างๆ ต้องขึ้นราคาขายปลีกเรื่อยๆ เพราะราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์มันทำ new high ทุกวันจริงๆ ถ้าเค้าไม่ขึ้นราคา ก้อเหมือนเค้ารับของมาแพงขึ้น แต่ต้องมาขายเท่าเดิม ยอมเข้าเนื้อไปเรื่อยๆ มันก้อไม่สมเหตุสมผลจริงไหมครับ ในสายตาผม ผมว่าระบบนี้แฟร์ดี หรือคุณคิดว่าไงครับ?  ^^" ประเด็นคือ ถ้าคุณว่าระบบนี้ไม่เวิร์ค แล้วคุณคิดว่าประเทศไทยควรใช้ระบบอะไรในการกำหนดราคาครับ? จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:16:30 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Q: โอเค พอเข้าใจอุตสาหกรรมน้ำมันล่ะ แล้วตอนนี้น้ำมันมันแพงขึ้นมาเพราะเหตุอันใด? A: ปัจจัยสำคัญที่กระทบราคาน้ำมันมี 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1. ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Factor) : ซึ่งก้อคือพวก อุปสงค์และอุปทานนั่นเองครับ ถ้ามีอุปสงค์และอุปทานเปลี่ยนแปลงไป ก้อจะทำให้ราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลงตาม 2. ปัจจัยด้านอารมณ์ความรู้สึก (Sentimental Factor) : น้ำมันเป็นสิ่งจำเป็นต่อทุกคนในโลก ไม่มีสิ่งใดทดแทนได้อย่างสมบูรณ์(ในตอนนี้) เพราะฉะนั้น คนจะกลัวกันมาก ว่าตัวเองอาจจะไม่มีน้ำมันใช้ พอมีข่าวอะไรนิดหน่อยที่ทำให้คนกลัวว่า น้ำมันอาจขาดแคลน ทำให้คนแย่งกันเข้าซื้อ ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้นในที่สุด 3. ปัจจัยอื่นๆ : ปัจจัยที่นอกเหนือจากสองข้อข้างต้นครับ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันงวดนี้ ปัจจัยทั้งสามกลุ่มผลกระทบอย่างสูงครับ พร้อมแล้วก้อมาดูกันทีละตัวครับ ;) จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:16:55 ]

ความคิดเห็นที่ 5 1. ปัจจัยพื้นฐาน      1.1 ปัจจัยด้านอุปสงค์                  ตอนนี้ทุกประเทศซัดน้ำมันกันไม่บันยะบันยังครับ โดยเฉพาะประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงๆ อย่างจีน ดูตัวเลขกัน จากตัวเลขของกระทรวงพลังงานของสหรัฐ ปีที่แล้ว (2006) โลกบริโภคน้ำมันทั้งสิ้น 86 MMBD ในขณะที่ปีนี้คาดว่าโลกจะซัดน้ำมันทั้งสิ้น 87 MMBD จะรูป จะเห็นว่า ไอ้ที่เพิ่มขึ้นมา 1.1 นั่น เป็นของประเทศจีนซะ 0.4 แล้ว โอ้ว ประเทศเดียวมีความต้องการเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งของความต้องการทั้งโลก ยังครับ อย่าคิดว่าจะพอแค่นี้ เพราะคาดว่าปีหน้าจีนจะซัดน้ำมันมากกว่านี้ โดยมีอุปสงค์เพิ่มขึ้นอีก 0.5 MMBD เหอๆ อย่างที่บอกไว้ครับ ตอนนี้พลังงานทางเลือกยังไม่สามารถทดแทนน้ำมันได้อย่างสมบูรณ์ (คนไทยยังไม่เติมแกสโซฮอลล์เล้ย) แพงแค่ไหนก้อต้องใช้   มีคนเคยบอกว่า ให้ลองจินตการดูว่า เมื่อใดที่จีนมีรถ 1 คันต่อ 1 คน อะไรจะเกิดขึ้น แค่คิด ผมก้อขนลุกแล้วครับ ใครจะไปหาน้ำมันที่ไหนมาให้เค้าเติมเนี่ย ;) อธิบายรูปภาพนิดหนึ่ง แทบสีน้ำมันเงินมันอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากจีนนะครับ แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมมันไม่โชว์ สงสัย excel ผมจะเน่าๆ (ความจริงผมเลินเล่อเองล่ะ ฮา) source: EIA Short-Term Economic Outlook Nov 6,2007 ( http://www.eia.doe.gov/emeu/steo/pub/contents.html ) แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 50 11:43:04 จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:17:22 ]

ความคิดเห็นที่ 6 1.2 ปัจจัยด้านอุปทาน            ในขณะที่ความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่อุปทานน้ำมันในโลกมันโตไม่ทันกับความต้องการครับ อุปทานของกลุ่ม non-OPEC หลายแห่งไม่สามารถสร้างเสร็จทันตามกำหนด อีกทั้งปีนี้ แหล่งผลิตน้ำมันหลายแห่งอาทิ อ่าวเมกซิโก และทะเลเหนือ ประสบปัญหาสภาพอากาศและพายุหลายครั้ง ปิดฉุกเฉินบ่อย ทำให้อุปทานโลกลดลงไปอีก ในขณะที่ OPEC แม้จะเพิ่มกำลังการผลิตไป 0.5 MBD ในปีนี้ แต่ก้อไม่สามารถกดดันราคาให้ลงมาได้ ไอ้ครั้นจะหวังให้เค้าเพิ่มกำลังการผลิต เค้าตอนนี้ก้อเริ่มหน้าเขียวแล้วครับ จากรูปแรกครับ จะเห็นได้ว่าปกติ OPEC จะมีอุปทานส่วนเกิน (กำลังการผลิตที่ยังไม่ได้ใช้ ถ้าจะเอาสามารถเดินเครื่องได้เลยภายใน 30 วัน และสามารถคงระดับนี้ได้อย่างน้อย 90 วัน) เฉลี่ยประมาณ 3 MMBD แต่ปีนี้เหลือแค่ 2 ล้านต้นๆ แล้ว วันที่ 5 ธ.ค.นี้ OPEC จะมีการประชุมสามัญ ถ้าเค้าตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตอีก สมมติว่าสัก 0.5 MMBD เท่าครั้งก่อน นั่นจะทำให้ OPEC เหลืออุปทานส่วนเกินอีก 1.5 MMBD เท่านั้น และถ้าเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว ราคายังไม่ลงมาละก้อ ตัวใครตัวมันครับ เพราะ OPEC ก้อใช่ว่าจะมีน้ำมันเหลือเฟือเสิร์ฟชาวโลกอีกแล้ว นอกจากนี้สถานการณ์ความไม่สงบในหลายๆ ประเทศ ส่งผลต่อการผลิตน้ำมันโดยตรง เช่น ไนจีเรีย ถ้าใครตามข่าวจะทราบว่า มีเหตุการณ์ลอบโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันบ่อยมากๆ การลักพาตัวคนงานชาวตะวันตกนี่ มีให้ได้ยินแทบทุกวัน ผลของมันคือ สต็อกน้ำมันของประเทศต่างๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ประเทศในกลุ่ม OECD (มีใครมั่ง ไปดูที่ http://www.oecd.org/document/58/0,3343,en_2649_201185_1889402_1_1_1_1,00.html) โดยเฉพาะญี่ปุ่นนี่ สต็อกน้ำมันต่ำสุดในรอบ 20 ปีเลยนะครับ รูปที่สองแสดงให้เห็นถึงสต็อกน้ำมันของกลุ่ม OECD ที่อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีเลยครับ (เงาสีน้ำเงินนั่นคือระดับต่ำสุด/สูงสุดในรอบ 5 ปีครับ) source: EIA Short-Term Economic Outlook Nov 6,2007 ( http://www.eia.doe.gov/emeu/steo/pub/contents.html ) จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:17:56 ]

ความคิดเห็นที่ 7 2. ปัจจัยด้านอารมณ์และความรู้สึก      สิ่งที่ทำให้ผู้ค้าน้ำมันในตลาดกลัวที่สุดคืออะไร ทราบไหมครับ      สงครามไงครับ      เพราะถ้าประเทศไหนเกิดสงคราม การผลิตน้ำมันก้อจะหยุด ต่อให้ผลิตได้ ก้อคงส่งออกไม่ได้ เพราะศัตรูคงจ้องจะบอมท์ แหม พูดก้อพูด ประเทศไหนมีสงคราม คงไม่มีใครมีกะใจมาทำมาหากินหรอกครับ      ลองนั่งนึกในรอบปีนี้ ประเทศที่ส่งออกน้ำมันทั้งหลาย มีแนวโน้มที่จะเกิดสงครามทั้งนั้นเลยนะครับ ไล่มาเลย ตั้งแต่ ตุรกีบุกทางตอนเหนือของอิรัก ซึ่งแทบนั้นเป็นแหล่งผลิตน้ำมันของอิรัก หรือที่ไนจีเรีย อย่างที่พูดใน คห ก่อนว่ามีข่าวกลุ่มก่อการร้ายลอบโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันอยู่เรื่อยๆ     แต่ที่โลกกลัวมากที่สุดคือ ความขัดแย้งระหว่าง อิหร่านกับสหรัฐและนานาชาติ     เพราะอิหร่านนอกจากจะเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของกลุ่ม OPEC แล้วนั้น (อิหร่านผลิตวันละ 3.70 MMBD รองจากซาอุดิอาระเบียที่ผลิตเป็นอันดับหนึ่งที่ 8.60 MMBD) อิหร่านยังเป็นทางผ่านการส่งออกน้ำมันที่สำคัญครับ    น้ำมันปกติเค้าส่งกันทางท่อครับ และท่อที่อิหร่านเป็นทางผ่านสำคัญที่ตะวันออกกลางกระจายน้ำมันไปสู่ประเทศต่างๆ (ถ้าผมจำไม่ผิด มีสัดส่วนสูงถึง 20% หมายความว่าน้ำมันที่ตะวันออกกลางขายเนี่ย 20% ผ่านท่อนี้) ซึ่งโลกกลัวว่าอิหร่านจะจับเอาน้ำมันเป็นตัวประกัน โดยถ้าเกิดสงครามจริงๆ อิหร่านจะปิดท่อ ตะวันออกกลางส่งออกน้ำมันไปขายไม่ได้ ส่งผลให้โลกขาดแคลนน้ำมันใช้ในที่สุด     ซึ่งไม่แปลกใจเลยครับ ที่คุณปิยะสวัสดิ์ท่านออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าเกิดสงครามในอิหร่านจริงๆ 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลนี่ได้เห็นแน่ๆ จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:18:17 ]

ความคิดเห็นที่ 8 3. ปัจจัยอื่นๆ    3.1 ความจริงมีปัจจัยอื่นๆ อีก 1081009 แต่ที่สำคัญ จนผ่านไม่ได้คือ 3.1 การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ครับ    หลายท่านอาจงงว่ามันเกี่ยวอะไรด้วย คืองี้ครับ น้ำมันในโลกนี้ ส่วนมากซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์ครับ ถ้าดอลลาร์อ่อน จะส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันได้รับเงินในรูปสกุลเงินท้องถิ่นต่ำกว่าความเป็นจริงครับ    เข้าใจไหมครับ เอางี้ ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำมัน ที่ปัจจุบัน น้ำมันดิบอยู่ที่ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนเป็น 40 บาท/ดอลลาร์ เพราะฉะนั้น ราคาน้ำมันจะเท่ากับ 240 บาท/บาร์เรลครับ    ถ้าดอลลาร์อ่อน (หรือบาทแข็ง) จนทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเป็น 30 บาท/ดอลลาร์ ทำให้ราคาน้ำมันในรูปเงินบาทเหลือเพียง 180 บาท/ดอลลาร์ เองครับ    ต่อให้น้ำมันแพงขึ้นไปเป็น 70 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคาน้ำมันในกรณที่ 30 บาท/ดอลลาร์ ไทยก้อยังได้เงินเพียง 210 บาท/บาร์เรลเท่านั้น    จะเห็นได้ว่า แม้น้ำมันจะแพง แต่ถ้าดอลลาร์อ่อน ผู้ส่งออกน้ำมันก้อไม่ได้รวยขึ้นเสมอไป ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันกดดันราคาขึ้นไปสูง เพื่อชดเชยกับการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐครับ      รูปนี้เป็นดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลหลัก  ผมดึงมาจาก CEIC จะเห็นได้ว่า ดอลลาร์มีค่าน้อยลง (อ่อนค่า) ต่อเนื่องในช่วงหลัง ขออภัยในความผิดพลาดครับ ดัชนีค่าเงินนี้ ดึงมาจาก CEIC แต่ไม่ได้เทียบกับสกุลหลัก 14 สกุลนะครับ เทียบกับสกุลหลักต่างๆ เฉยๆ (ผมอ่านผิดไปหน่อย ขออภัยอย่างสูงครับ) ดัชนี้นี่เทียบกับหลายสกุลครับ แต่สูตรและน้ำหนัก ผมไม่ทราบครับ ขออภัยอีกครั้งครับ อย่างไรก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงจริงๆครับ source source: CEIC แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 50 11:54:17 จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:18:39 ]

ความคิดเห็นที่ 9 3.2 การเก็งกำไรของนักลงทุน     หนึ่งในเหตุผลสำคัญเลยครับ เนื่องจากการอ่อนตัวของเงินดอลลาร์สหรัฐ (อีกแล้ว ตัวปัญหาจริงๆ) นักลงทุนหลีกเลี่ยงที่จะถือเงินสกุลดอลลาร์ ทำให้ต้องหาแหล่งลงทุนแหล่งอื่นๆ ซึ่งสินค้าโภคภัณฑ์นี่ละ ใช่เลย จะสังเกตได้ว่า ไม่เพียงเฉพาะน้ำมันเท่านั้นที่กองทุนต่างๆ พากันเอาเงินมาพักและเก็งกำไรกันเป็นที่สนุกสนาน สินค้าอื่นๆ ก้อเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ หรือสินค้าเกษตรอื่นๆ     ดูรูปประกอบครับ จำนวน net long position ของนักลงทุนที่ไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมน้ำมันจริงๆ (ภาษาชาวบ้านเรียก นักเก็งกำไร เหอๆ) เพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหาย และเห็นได้ชัดว่า เมื่อใดที่จำนวน net long position เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย (การที่คุณไป long สินทรัพย์อะไรไว้ก้อตามในตลาด futures คือคุณคาดการณ์ว่า ราคาของสินค้านั้นจะปรับเพิ่มขึ้นครับ เหมือนคุณไป long tfex อ่ะละ คุณคิดว่า SET มันจะขึ้น แม้ว่าพักนี้มันจะชอบเปิดกระโดดแล้วซึมลงก้อตาม ฮา) อธิบายเพิ่มเติม Net Position ของนักเก็งกำไรนี่ เป็นจำนวน Net long position ของสัญญา Futures และ Options ในตลาดซื้อขายล่วงหน้า NYMEX ในสหรัฐนะครับ เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องมาเทียบกับ WTI เพราะมันเป็นราคาน้ำมันดิบในสหรัฐครับ ส่วนคำว่า commercial ผมพิมพ์ผิดผิดเองละครับ (อายยยย ฮา) source: CTFC Futures-and-Options Combined Reports: ( http://www.cftc.gov/marketreports/commitmentsoftraders/cot_historical.html ) ,  ราคา WTI จาก Bloomberg แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 50 11:57:44 จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:19:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Q: พอเข้าใจแล้วว่าน้ำมันมันแพงเพราะอะไร แล้วน้ำมันแพงแบบนี้ เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยไหม? A: โดยส่วนตัว ผมมองว่าเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน สามารถรองรับปัญหาน้ำมันแพงคราวนี้ได้ดีในระดับหนึ่ง คือ แพงแค่นี้ยังไหวอยู่ ด้วยเหตุผลดังนี้ครับ 1. น้ำมันแพงคราวนี้มาจากปัจจัยฝั่งอุปสงค์    ถ้าสังเกตจะเห็นได้ว่าในอดีตเวลาเกิดน้ำมันแพงเนี่ย มันจะเป็นเพราะความต้องการเท่าเดิม แต่น้ำมันอยู่ๆ หายไปจากตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเกิดสงคราม ซึ่งพอน้ำมันแพง คนก้อไม่มีตังค์ซื้อ เศรษฐกิจก้อจะถดถอย    แต่งวดนี้ มันเกิดเพราะน้ำมันในตลาดมีเท่าๆ เดิม แต่คนต้องการซื้อมากขึ้น เพื่อนำไปผลิตสินค้า หาเงิน ต่อให้แพงแค่ไหน แต่ถ้าซื้อไปแล้วสามารถนำไปหาเงินต่อได้ เค้าก้อซื้อครับ (ซื้อแพงไม่ว่าครับ ขอให้ขายได้แพงกว่า ดีกว่าซื้อถูกแล้วไปขายได้ถูกกว่า ฮา)    หลักฐานที่เห็นชัดเจนคือ จากรูปคห 5 ไงครับ จะเห็นว่าอุปสงค์จากจีนเพิ่มขึ้นมามาก เพราะเค้าต้องใช้ในการขยายเศรษฐกิจ GDP เค้าก้อโตเอาๆ ในขณะที่น้ำมันแพงขนาดไหน ความต้องการเค้าไม่ลดลงเลย    ล่าสุด imf ออกมาปรับเพิ่มประมาณการณ์ GDP ของประเทศเหล่านี้ เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนอีก    เพราะฉะนั้น ถ้า GDP ของประเทศเหล่านี้ยังสามารถเติบโตต่อไปได้ น้ำมันแพงแค่นี้ยังไม่ใช่ปัญหาครับ source: IMF ( http://www.imf.org/external/pubs/ft/survey/so/2007/CAR1019A.htm ) จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:19:51 ]

ความคิดเห็นที่ 11 2. การอ่อนตัวของค่าเงินสหรัฐ    อย่างที่พูดไว้ใน คห ก่อนครับ ค่าเงินสหรัฐอ่อนลง ทำให้ราคาน้ำมันในรูปเงินสกุลท้องถิ่นต่างๆ ไม่ได้แพงเหมือนอย่างในรูปดอลลาร์    ผมลองทำรูปมาให้ดู จากรูปจะเห็นได้ว่า เมื่อลองใช้เดือนมกราคม 2002 เป็นปีฐาน (เพราะเป็นราคา low ของรอบใหญ่รอบนี้ครับ) ราคาน้ำมันดิบ WTI ในรูปค่าเงินดอลลาร์ปรับเพิ่มขึ้นมาถึงกว่า 400%  แต่ราคาในรูปเยนเพิ่มเพียง 380%  ในขณะที่ค่าเงินยูโร เพิ่มขึ้นมาเพียง 270% กว่าๆ เท่านั้น ทำให้ประเทศต่างๆ ไม่ได้ประสบปัญหาน้ำมันแพงเหมือนอย่างที่สหรัฐกำลังเผชิญอยู่ source: Bloomberg จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:20:24 ]

ความคิดเห็นที่ 12 3. โครงสร้างเศรษฐกิจในปัจจุบันพึ่งพาน้ำมันน้อยกว่าในอดีต     ตัวเลขที่ยืนยันคำพูดนี้ได้ดีที่สุดคือ Oil Intensity ครับ     Oil intensity คือ ratio ที่เอาปริมาณการบริโภคน้ำมันของประเทศหนึ่งๆ หารด้วย GDP ของประเทศนั้น ตัวเลขที่ว่าจะบอกเราว่า ต้องใช้น้ำมันกี่หน่วยเพื่อให้ได้มาซึ่ง GDP หนึ่งหน่วย สมมติว่าตัวเลขนี้เท่ากับ 0.2 แปลว่า ประเทศนี้ใช้น้ำมัน 0.2 หน่วย เพื่อสร้าง GDP 1 หน่วยครับ    จากรูป เป็นข้อมูลจาก IMF (WEO Apil 2005) เราจะเห็นว่าปัจจุบันโลกใช้น้ำมันน้อยลงในการสร้างรายได้ (หรือ GDP) และจะมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ    เหตุผลก้อคือ ปัจจุบันโลกมีพลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้น อาทิ การผลิตไฟฟ้าก้อหันไปใช้แก๊ส ถ่านหิน หรือนิวเคลียร์ แทบจะไม่มีใครใช้น้ำมันกันแล้ว ระบบขนส่งก้อใช้ระบบราง ที่กินน้ำมันน้อยกว่าระบบถนนหลายเท่า อีกเหตุผลหนึ่งคือ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น ทำให้โลกใช้น้ำมันได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ source: IMF WEO apil 2005 figure4.3 ( http://www.imf.org/external/pubs/ft/weo/2005/01/index.htm ) จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:20:55 ]

ความคิดเห็นที่ 13 4. การส่งผ่านราคาน้ำมันไปยังอัตราเงินเฟ้อ ยากกว่าในอดีต    ภาษาเศรษฐศาสตร์เค้าเรียก Second Round Effect ครับ คือผลกระทบจากราคาน้ำมันเนี่ย มันมีสองรอบคือ รอบแรก (First Round Effect) และรอบสอง (Second Round Effect) ครับ ในกรณีของประชาชนทั่วไปนะครับ รอบแรก คือการที่น้ำมันที่คุณๆ ใช้อยู่ทุกวันขึ้นราคา คุณในฐานะที่ขี่เก๋งไปทำงาน เดือดร้อนแล้ว โดยตรง ใช่ไหมครับ    รอบสองคือ น้ำมันแพงทำให้โรงงานเส้นก๋วเตี๋ยวต้นทุนสูงขึ้น ทำให้ขึ้นราคาเส้นก๋วยเตี๋ยว ชายยี่สิบสี่บะหมี่เกี้ยว เลยต้องมาขึ้นราคากับคุณ อันนี้เราเรียก รอบสองครับ    รอบสองคือการที่มันไมได้กระทบเราโดยตรง แต่ไปกระทบคนอื่นก่อน แล้วคนอื่นถึงมากระทบเราอีกที    อย่างไรก้อตาม ในปัจจุบันเนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้นกว่าในอดีต ลองแม่ค้าร้านไหนขึ้นราคาก๋วยเตี๋ยว คนก้อจะเปลี่ยนไปกินร้านอื่นแทน ทำให้แม่ค้าไม่กล้าขึ้นราคา ยอมกำไรน้อยหน่อย แต่ยังขายได้    จะเห็นได้ว่า รอบสอง ในปัจจุบันนี้ทำได้ยากกว่าในอดีต ด้วยเหตุผลทำนองนี้แล ;)     นอกจากนี้ ธนาคารกลางทั่วโลก ต่างยึดมั่น Inflation Targeting เป็นสรณะ แบงค์ชาติเราก้อเช่นกัน เห็นเขียนไว้ในเวปไซต์ ผมแปลได้ความว่า ยอมอะไรก้อยอมได้ ยอมให้เงินเฟ้อขึ้นไม่ได้เด็ดขาด ^^    เหตุผลข้อนี้ละครับ ที่ทำให้ผมมองว่าโอกาสที่ Stagflation อย่างที่กระทู้พี่หมอกาว่าไว้นั้น เกิดได้ยากมากๆ ในปัจจุบัน เพราะธนาคารกลางประเทศต่างๆ จะไม่ยอมให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อแน่ๆ เพียงแค่มีสัญญาณนิดเดียว เค้าพร้อมที่จะจัดการผ่านนโยบายการเงิน ซึ่งก้อคือการขึ้นดอกเบี้ยทันที จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:21:14 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ผมเลยเชื่อว่า ผลกระทบของราคาน้ำมันแพงงวดนี้ มีไม่มาก(อย่างที่กลัว)หรอกครับ อันนี้ไม่ใช่ความรู้สึกอย่างเดียวนะครับ National Bureau of Economic Research ของสหรัฐลองเทสด้วยแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาคของประเทศสำคัญๆ ของโลกแล้ว เพื่ออธิบายเหตุผล(ตามหลักคณิตศาสตร์และเศรษฐศาสตร์) ถึงผลกระทบของน้ำมันในช่วงนี้ทำไมไม่รุนแรงเหมือนอย่างในช่วงปี 1970s ถ้าใครสนใจ และเศรษฐศาสตร์ค่อนข้างแข็งแรง เชิญทัศนาได้ที่นี่ครับ http://papers.nber.org/papers/w13368 อย่าถามผมนะครับ ผมอ่านไม่รู้เรื่อง แต่มีคนเค้าแนะนำว่าดี ผมเลยมาบอกต่อ (ฮา) อะไรก้อตามที่โลกเคยมีประสบการณ์มาแล้ว ผมว่าโลกพลาดยากที่จะกลับไปเจอปัญหาแบบเดิมๆ อีก ถ้าจะกลัวกัน กลัวปัญหา Subprime ของสหรัฐดีกว่าครับ อันนั้นน่ากลัวกว่าเยอะ เพราะโลกยังไม่เคยเจอ และไม่มีใครตอบได้ว่า มันจะเกิดปัญหาอย่างไร เมื่อไร ร้ายแรงขนาดไหนครับ จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:21:29 ]

ความคิดเห็นที่ 15 Q: โอเค แต่นั่นมันโลก แล้วประเทศไทยละ น้ำมันแพงมีผลกระทบอย่างไรบ้าง? A: การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันกระทบต่อเศรษฐกิจไทย 3 ช่องทางดังนี้ครับ 1. กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า : เราเป็นประเทศส่งออก ถ้าลูกค้าเราแย่ เค้าก้อไม่ซื้อของเรา และเราก้อจะแย่ตามในที่สุด แต่ด้วยเหตุผลข้างต้นครับ ผมมองว่าลูกค้าเรายังไม่แย่เท่าไร เพราะฉะนั้น ช่องทางนี้ก้อคงไม่แย่มากนัก 2. กระทบต่อราคาสินค้าของประเทศคู่ค้า : แน่นอน เรายังนำเข้าสินค้าหลายๆ ชนิดอยู่ ถ้าคิดในแง่เราเป็นลูกค้า ถ้าสินค้าของคู่ค้าเราแพงขึ้น (เพราะต้นทุนแพงขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมัน) เราก้อคงนำเข้าน้อยลง ซึ่งอาจจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจด้วยซ้ำไปครับ (เงินทองไม่รั่วไหล ฮา) อย่างไรก้อตาม ต้องดูด้วยครับ เพราะสินค้าบางอย่างมันเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรม ถ้าวัตถุดิบแพงขึ้น อุตสาหกรรมนั้นๆ ก้อคงต้องได้รับผลกระทบไปเต็มๆ เพราะฉะนั้น ข้อนี้พูดลำบากครับ ว่ามันดีหรือแย่ต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร ต้องดูเป็นรายตัวไป 3. กระทบต่อราคาสินค้าในประเทศ : แฮะๆ ข้อนี้ล่ะ โดนกันทั่วหน้า ก้อคือน้ำมันแพง ต้นทุนก้อจะแพง สินค้าก้อจะแพงตาม ทั้ง first round และ second round effect แน่นอนว่าจะทำให้การจับจ่ายใช้สอยลดลงแน่ๆ ครับ และถ้าการจับจ่ายใช้สอยลดลง ก้อจะทำให้ GDP รวมถึงเศรษฐกิจไทยลดลงในท้ายที่สุดครับ จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:21:46 ]

ความคิดเห็นที่ 16 Q: แสดงว่าปีหน้าเผาจริง บ้านเราจะเจ๊งเพราะน้ำมันแพงแน่ๆ เลย? A:  ถ้าใครมีโอกาสได้อ่านรายงานของ SCBS ที่ ดร.เศรษฐพุฒิ เขียนใน Economics Monthly เรื่อง What is the impact of higher oil prices on the Thai economy? เค้าเขียนไว้น่าสนใจมาก ว่า ถ้าย้อนกลับไปในปี 2004 ตอนนั้น GDP ไทยอยู่ที่ 6.3% และราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 33.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ถ้าคุณถูกถามว่า สมมติว่าถ้าราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร? คุณอย่าลืมนะครับ ตอนนั้น ราคาน้ำมันดิบดูไบที่ 33 ดอลลาร์เนี่ย เกือบ all time high เลยนะครั บ ตอนนั้นใครๆ ก้อคงคิดว่า แค่นี้มันก้อแพงเว่อแล้ว ไอ้เรื่อง 66 ดอลลาร์เนี่ย ไม่มีทาง ลองมีจริงๆ เศรษฐกิจประเทศไทยตายแหง๋ๆ น่าแปลกใจนะครับ เพราะปี 2006 น้ำมันดิบดูไบขึ้นไปถึง 66 ดอลลาร์จริงๆ แต่ GDP ไทยกลับเติบโตได้ในระดับ 5% (ทั้งที่ปี 2006 คนไทยทะเลาะกันทั้งปีนะเนี่ย) เหมือนกับว่าราคาน้ำมันแทบไม่มีผลอะไรกับ GDP เมืองไทยเลย ฮั่นแน่ แปลกใจใช่ม้า ;) เพราะฉะนั้น หลายๆ ท่าน รวมถึงผม เชื่อว่า ผลกระทบของราคาน้ำมันต่อเศรษฐกิจไทย คงไม่ต่างกับเศรษฐกิจโลกเท่าไรนัก โดยเหตุผลใหญ่ๆ มี 2 ข้อดังนี้ครับ ;) จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:22:18 ]

ความคิดเห็นที่ 17 1. ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศไม่แพงมากนัก เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก     ด้วยเหตุผลสองข้อครับ คือ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาท และ การตรึงราคาน้ำมันของกองทุนน้ำมัน     จากรูปจะเห็นได้ว่า ในเดือนตุลาคมปีนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ แพงขึ้นตั้ง 410% นับจากเดือนมกราคาปี 2002 แต่ราคาในรูปเงินบาทแพงขึ้นมาเพียง 320% เท่านั้น นอกจากนี้กองทุนน้ำมันและปตทช่วยกันอั้นราคาขายปลีกในประเทศ (ปตท ยอมขาดทุนการขายปลีกน้ำมันนะครับ ขอบอก ผู้ถือหุ้นใหญ่เค้าสั่งมาอ่ะ ^^ ) ส่งผลให้ราคาของเบนซิน 95 และดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้นเพียง 220% และ 230% ตามลำดับ     เรื่องค่าเงินคิดว่าคงเข้าใจแล้ว (บาทแข็ง เรานำเข้าได้ถูกลง)     ส่วนเรื่องกองทุนน้ำมันก้ออย่างที่ทราบกันดีว่า กองทุนจะช่วยออกให้ก่อนในกรณีที่ราคาน้ำมันแพง แต่พอราคาน้ำมันลดลง กองทุนก้อจะชาร์จเราเพิ่ม เพื่อจ่ายหนี้ที่เราติดไว้     โดยส่วนตัว ผมมองว่าแนวคิดเรื่องกองทุนน้ำมันนี้ดีนะครับ แต่จะดีในกรณีที่ราคาน้ำมันเป็นการปรับเพิ่มขึ้นชั่วคราวเท่านั้น (อย่างในช่วงสงครามอ่าว ที่ราคาน้ำมันขึ้นเร็ว ลงเร็ว) ซึ่งรัฐบาลในขณะนั้น คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันงวดนี้เป็นการปรับขึ้นชั่วคราว (ไม่ต้องโทษเค้าหรอกครับ เพราะตอนนั้นผมว่าเกือบทั้งโลกล่ะ คิดว่ามันจะแค่ชั่วคราว ใครจะไปรู้ว่ามันจะค้างคืนนานถึงเพียงนี้) แต่เค้าคาดผิดไป จนสุดท้ายต้องยอมปล่อยลอยตัวในที่สุด source: Bloomberg และ PTT จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:22:43 ]

ความคิดเห็นที่ 18 2. อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ มีสัดส่วนใน GDP ไม่มากนัก และการส่งผ่านราคามายังผู้บริโภคทำได้ยาก    มีหลายคนลองเทสโดยใช้ตาราง I/O Table ของสภาพัฒน์เพื่อดูว่า อุตสาหกรรมไหนได้รับผลกระทบจากน้ำมันแพงบ้าง    ตาราง IO นี่อธิบายง่ายๆ คือ มันจะบอกเราว่า ผลผลิตของอุตสาหกรรมหนึ่งๆ นั้น มีอุตสาหกรรมไหนๆ บริโภคไปเท่าไร    เช่น สมมติว่าไทยผลิตข้าวได้ปีละ 10 ล้านตันเนี่ย 1 ล้านตันที่ว่าไปอุตสาหกรรมไหนบ้าง เช่น 2 ล้านตันไปอุตสาหกรรมอาหาร 0.5 ไปอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม 1 ล้านไปการส่งออก บลาๆๆ   ถ้าเรารู้ว่าภาคไหนบริโภคน้ำมันเยอะๆ เราก้อจะรู้ว่า อุตสาหกรรมนั้นๆ ได้รับผลกระทบเยอะนะ   ซึ่ง (ขออนุญาตเอาเวอร์ชั่นของ ดร.เรษฐพุฒิ ที่ SCBS มาหารับประทานนะครับ ให้ผมทำเอง ผมไม่สามารถอ่ะ ^^" ) ดร.เศรษฐพุฒิ ท่านให้ความเห็นว่า อุตสาหกรรมที่น่าจะลำบากคือ อุตสาหกรรมที่มีน้ำมันเป็นต้นทุนต่อรายได้เยอะๆ และผลักภาระด้านราคาได้ยาก (passing on cost)   อุตสาหกรรมที่มีต้นทุนน้ำมันเยอะๆ ดูได้จาก I/O Table ตามที่ว่าไว้   ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลักภาระได้ยาก ได้แก่อุตสาหกรรมที่มี;   1. อัตราใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ต่ำ (เนื่องจากถ้ามีกำลังการผลิตเหลือ แสดงว่าผู้ผลิตที่ยังว่างงานอยู่มีเยอะ คุณขายแพง ผมก้อไปซื้อรายอื่น)   2. High Elasticity of Demand (ถ้าสินค้าตัวไหนมี Elasticity สูง แสดงว่าออกแนวเป็นสินค้าไม่จำเป็น ถ้าขึ้นราคาเพียงนิด คนก้อไม่ซื้อก้อได้ อะไรทำนองนั้น)   3. เป็นสินค้าควบคุม(ราคา) รัฐออกกฏว่า ห้ามขึ้นราคา ถ้าผมไม่อนุญาต เช่น มาม่าเป็นต้น (โอย ถ้ามาม่าขึ้นราคานี่ผมตายเลยนะ ชีวิตทุกวันนี้อยู่ได้ด้วยมาม่า เงินเดือนนี่หมุนเดือนชนเดือน แถมเอาไปเสียค่าหุ้นอีกต่างหาก ^^")   จากเงื่อนไขข้างต้น ผู้ชนะสามอันดับแรกได้แก่ 1.ภาคขนส่ง 2. วัสดุก่อสร้าง ปูนซีเมนต์ และเหล็ก ( "เศรษฐพุฒิฟันธง กลุ่มเหล็กอ่วมน้ำมันแพง sam รับข่าวฟอร์ทันที" ) และ 3.อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร (มาม่าดิ้นสุดชีวิต) (กระทบหุ้นตัวไหนบ้าง ดูกันเอาเองนะครับ ฮา)   อย่างไรก็ตาม GDP ไทยจะไม่กระทบมากนัก เนื่องจากอุตสาหกรรมดังกล่าว มีส่วนแบ่ง (Contribution to GDP) ใน GDP ต่ำ ส่วนตัวที่มี Contribution สูงๆ นั้น ราคาน้ำมันไม่ค่อยมีผลเท่าไรนัก เช่น อีเลคทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า (หุ้นตัวไหน ดูกันเอาเอง)   ความจริงอยากเอารูปที่ SCBC ทำมาให้ดู เจ๋งมาก แต่ผมกลัวปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ เลยต้องรบกวนหาอ่านกันเอาเองแล้วละครับ (เพราะผมก้อไปจิ๊กเข้ามาอีกที ฮา)   โดยสรุป จากรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับล่าสุดเดือนตุลาคมของแบงค์ชาติ เค้าบอกว่าถ้าราคาน้ำมันแพงขึ้น 1% จะส่งผลให้ GDP ลดลง -0.04%    จะเห็นได้ว่า ผลกระทบคงมีอ่ะละ แต่จะไม่มากเท่าใดนัก อย่างน้อยไม่มากเท่าที่หนังสือพิมพ์พยายามจะพาดหัวให้ดูน่ากลัวมากๆ source: รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อเดือนตุลาคม ภาคผนวก ( http://www.bot.or.th/bothomepage/BankAtWork/Monetary&FXPolicies/Monet_Policy/report/2007/IR_th_19oct07.pdf ) จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:23:31 ]

ความคิดเห็นที่ 19 Q: แล้วน้ำมันจะแพงขึ้นไปอีกถึงไหน? A: คำถามเศรษฐีอีกแล้วครับ ลองรู้ รวยไปแล้ว ผมคาดว่า แนวโน้มราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับสูงทำนองนี้ละ ลืมไปได้เลยนะครับ ราคาน้ำมันดิบคงจะไม่ต่ำกว่า 60 ดอลลาร์/บาร์เรลอีกแล้ว แน่นอนว่าเบนซินและดีเซลลิตรละสิบกว่าบาท คงจะเป็นได้แค่อดีตเฉกเช่นแฟนเก่า ^^" ตราบใดที่โลกยังหาพลังงานอื่นๆ มาทดแทนน้ำมันไม่ได้ และค่าเงินสหรัฐยังอ่อนปวกเปียกเหมือนมะเขือเผาอย่างทุกวันนี้ ที่สำคัญ จับตาดูประเด็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศให้ดี เพราะปัจจุบันประเทศต่างๆ ยึดบริษัทน้ำมันกลายเป็นของชาติไปหมดแล้ว ดู รัสเซียและเวเนซุเอล่าเป็นตัวอย่าง การมีน้ำมันในมือ ทำให้การต่อรองทางการเมืองในอนาคตจะรุนแรงยิ่งขึ้น ปัจจัยที่จะกำหนดราคาน้ำมันในยุคถัดไป จะเป็นปัจจัยทางการเมืองเป็นหลักครับ อุปสงค์อุปทานนี่จะกลายเป็นพระรอง ยิ่งอิหร่านฟาดปากกับนานาชาติเมื่อไร เจอกันอีกที 200 ดอลลาร์นะค้าบบ จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:23:50 ]

ความคิดเห็นที่ 20 Q: มีอะไรจะเสนอถึงรัฐบาลในวิกฤตการณ์น้ำมันคราวนี้ไหม? A: เอาละทุกท่าน ผมพร้อมแล้ว ผมเชื่อว่าข้อเสนอแนะของผม คงโดนหลายๆ ท่านจวกเละแน่นอน แต่ผมพร้อมที่จะถกกับทุกๆ ความเห็นนะครับ เห็นว่าดีไม่ดีอย่างไร พูดคุยกันได้เลย ^^"     ห้ามลดราคาน้ำมันเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ     พรรคไหนบอกว่า ถ้าผมเป็นรัฐบาลน้ำมันจะถูกลง อย่าหวังว่าจะได้คะแนนจากผม (แน่นอนว่าเค้าไม่แคร์หรอก แค่หนึ่งเสียง ฮา)     ผมเคยทำลองใช้ตัวเลขของสำนักสถิติแห่งชาติ ได้ตัวเลขออกมาว่า ถ้าลดราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศลง 1 บาทต่อลิตร จะช่วยลดค่าใช้จ่ายครัวเรือนเพียง 20 บาทต่อเดือนโดยเฉลี่ยเท่านั้น ซึ่งต่อให้ลด 5 บาท มันก้อช่วยได้เพียง 100 บาทต่อเดือน (100 บาทนี่เฉลี่ยทั้งประเทศนะครับ อย่าเอาคนกรุงเทพเป็นตัวอ้างอิง ประเทศไทยไม่ใช่กรุงเทพน้าา ^^" )     ผมไม่ได้ดูถูกเงิน 100 บาทนะครับ แต่ผมเชื่อว่า มันน้อยเกินไปที่จะทำให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ     แต่ผลของการลดราคาจะส่งผลให้คนไทยใช้น้ำมันมากขึ้น ประเทศชาติขาดดุลเพิ่มขึ้น เงินบาทจะอ่อนลงมากขึ้น เงินไหลออกมากขึ้น เงินทุนสำรองของชาติลดลงเรื่อยๆ     อีกทั้ง คนจะเลิกเห่อแก๊สโซฮอล ทำให้สิ่งที่รัฐบาลพยายามรณรงค์เพื่อลดการพึ่งพิงน้ำมันสูญเปล่า และอุตสาหกรรมเอทานอลเราจะไม่เกิด ซึ่งจะส่งผลต่อราคาสินค้าเกษตรเช่น อ้อย น้ำตาล มันสำปะหลัง ถั่วเหลือง บลาๆๆ ในที่สุด     คุณรู้ไหมครับ ว่าราคาน้ำมันขายปลีกในเมืองไทยถูกเกือบจะที่สุด ในบรรดาประเทศที่ไม่มีน้ำมันเป็นของตัวเอง ดูรูปปลากรอบครับ (ข้อมูลล่าสุดปี 2007 มีแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำ โดนพี่หมอกาทวงการบ้านเลย ไปขโมยเค้ามาให้ชมก่อนนะครับ เป็น paper ที่แบงค์ชาติเคยทำไว้เมื่อปีที่แล้ว ถ้าสนใจลองดูได้ที่นี่ครับ http://www.bot.or.th/BOThomepage/DataBank/Econcond/seminar/yearly/symposium2006/presentation/presentation1_yunyong.pdf )    ถ้าราคาไม่แพงมากๆ จนคนสะดุ้ง คนเราไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคน้ำมันหรอกครับ    ยิ่งเงินกองทุนน้ำมันนั้น อย่าว่าแต่ลดเลย ผมอยากให้เก็บเพิ่มด้วยซ้ำ แล้วนำเงินส่วนนี้ไปปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนให้มันน่านั่ง ให้มันสะดวกสบายขึ้น สร้างรถไฟ(ทั้งรางคู่เพื่อคนทั้งประเทศ และไฟฟ้าเพื่อคนกรุง) เพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทางให้ประชาชน (ลองรถไฟมันดีสะดวกสบายเหมือนในยุโรป ใครจะอยากขับรถไปต่างจังหวัดไกลๆ)    คุณมารณรงค์ให้ลดการใช้รถ แต่คุณไม่มีทางเลือกให้ประชาชน มันก้อป่วยการครับ    อย่าหวังพึ่งงบประมาณครับ เรื่องรถไฟนี้เสนอกันมาตั้งแต่ผมยังไม่เกิด ของบไปสำนักงบทีไร ไม่เคยได้สักที เออหน่ะ ไม่รู้ทำไม ^^" จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:24:19 ]

ความคิดเห็นที่ 21 Q: สุดท้ายมีอะไรฝากถึงคนอ่านกระทู้ไหม? A: ข้อร้องละครับ พี่ๆทุกท่านที่ได้อดทนอ่านมาถึงตรงนี้ ช่วยกันลดการใช้น้ำมัน หน่อยนะครับ     ประหยัดทุกๆ อย่างเท่าที่ท่านจะสามารถนะครับ     ตราบใดที่การใช้ระบบขนส่งสาธารณะต่างๆ ไม่ได้ทำให้ชีวิตของคุณแย่ลงมากนัก ก้อช่วยกันใช้เถิดครับ (ถ้ามันลำบากมาก ผมก้อเข้าใจนะ บ้านบางคนอยู่ในซอยเป็นกิโล จะให้ออกมานั่งรถเมล์ก้อกระไรอยู่)    ประเทศเราผลิตน้ำมันเองไม่ได้ครับ ถ้ามันแพงนัก เราก้ออย่าไปง้อมันครับ    นอกจากจะช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าของคุณแล้ว ยังช่วยชาติด้วยนะครับ จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:24:53 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณทุกท่านที่ทน(? ^^" )อ่านได้ถึงบรรทัดนี้ครับ (รู้สึกว่ายิ่งเขียนยิ่งยาวไปเรื่อยๆ แฮะ ฮา) ความจริงเรื่องพลังงานยังมีอะไรให้พูดอีกเยอะแยะครับ แต่มันเกิน scope ของกระทู้นี้แล้ว เอาไว้คราวหน้าละกัน เจอกันโอกาสหน้าครับ สวัสดีครับ ;) จากคุณ : m_ple - [ 28 พ.ย. 50 08:27:21 ]

ความคิดเห็นที่ 23 สุดยอดไปเลยครับคุณ m_ple เป็นอีกกระทู้ดีๆที่ต้องโหวต ขอบคุณมากๆครับผม จากคุณ : MAY BE (tae103) - [ 28 พ.ย. 50 08:33:15 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณครับ จากคุณ : babysang - [ 28 พ.ย. 50 08:34:57 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ยินดีร่วมมือประหยัดน้ำมันอย่างเต็มที่ จากคุณ : ประหยัด - [ 28 พ.ย. 50 08:36:13 A:124.121.39.139 X: TicketID:159662 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เป็นบทความที่เยี่ยมมาก 1. อยากให้คุณ m_ple เพิ่มเรื่องภาษีน้ำมันหน่อยก็จะดี เพราะว่าเก็บลิตรหนึ่งก็ประมาณ 16 - 17 บาท ผมว่ามันมากเกินไป น้ำมันไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย แต่เป็นสินค้าที่จำเป็น 2. รายได้ขั้นต่ำของแต่ละประเทศไม่เท่ากัน สิ่งที่ควรเปรียบเทียบคืออัตราส่วนระหว่างค่าน้ำมันกับรายได้ขั้นต่ำ จะเหมาะกว่า 3. โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยบิดเบือนความจริง เช่น ของถูกขายแพง และของแพงขายถูก คนส่วนใหญ่นั่งรถบรรทุกดีเซลไปทำงาน จากคุณ : มัสมั่น - [ 28 พ.ย. 50 08:56:38 ]

ความคิดเห็นที่ 27 สุดยอดมาก ๆๆๆ ครับ ครบถ้วนทุกประเด็นทุกเม็ด โหวตครับ จากคุณ : huamei - [ 28 พ.ย. 50 08:59:33 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ครับ โหวตครับ โหวต... จากคุณ : BoogieBug - [ 28 พ.ย. 50 09:07:55 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ จากคุณ : GS Mobile - [ 28 พ.ย. 50 09:14:48 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คุณมัสมั่นครับ ผมเห็นด้วยในแง่ที่ว่าเป็นสินค้าจำเป็นครับ แต่ควรมีการควบคุมครับ ซึ่งภาษีเป็นอีกหนทางหนึ่งเพือทำให้คนทบทวนการใช้น้ำมันครับ ผมเองว่าจะออกรถตั้งหลายทีแล้ว คิดหน้าคิดหลัง นั่งรถไฟฟ้าเหมือนเดิมดีกว่า ^^ จากคุณ : amigo - [ 28 พ.ย. 50 09:16:06 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เวลาดูข่าวว่าจะขึ้นราคาน้ำมัน ไม่รู้จะดีใจ หรือเศร้าใจดี ผมเลิกใช้รถเสาร์อาทิตย์มาระยะหนึ่งแล้ว ประหยัดเงินได้เยอะทีเดียว นอกจากไม่เสียค่าน้ำมัน ยังไม่เสียค่าจอดรถ ไม่เสี่ยงเจอใบสั่ง ไปไหนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องรถ รีบก็ Taxi ไม่รีบก็รถเมล์ แต่วันทำงานผมขอละกัน จากคุณ : noosa - [ 28 พ.ย. 50 09:19:57 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณครับ จากคุณ : เล่นรอบ - [ 28 พ.ย. 50 09:23:23 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เยี่ยมครับ จากคุณ : cim077 - [ 28 พ.ย. 50 09:24:17 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ชื่นชมในข้อมูล และความใส่ใจ ที่ใส่ลงไปในกระทู้ครับ ได้ประโยชน์จริงๆครับ จากคุณ : :::GANTZ::: - [ 28 พ.ย. 50 09:28:56 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ไม่รู้จะชมอย่างไร แต่เก่งมากครับ ที่อธิบายเรื่องเทาๆให้ขาวได้เสียที อยากให้ทำบทความประมาณนั้สำหรับผลิตภัณฑ์อื่นๆด้วย เช่น ทอง โภคภัณฑ์ต่างๆ เป็นการให้ความรู้เศรษฐศาสตร์บนอินเตอร์เน็ท หรือจะตั้งห้องย่อยเลย "เศรษฐศาสตร์สินธร" เป็น Opens Source ให้ความรู้ทุกๆคนที่เข้ามาท่องเว็ปนี้ จากคุณ : กูรูขอบสนาม - [ 28 พ.ย. 50 09:29:51 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณมากๆครับ ... น่าอ่านชวนติดตามตั้งแต่ต้นจบจบ ยอดเยี่ยมสมกับที่รอคอยครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 28 พ.ย. 50 09:36:12 ]

ความคิดเห็นที่ 37 มีประโยชน์มาก ขออนุญาตเซฟไว้เลยแล้วกันนะครับ จากคุณ : DojoMAG - [ 28 พ.ย. 50 09:41:31 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณครับ รวมบทความคุณ m_ple ออกเป็นหนังสือให้คนอ่านเยอะๆผมว่าช่วยประเทศได้ในระดับหนึ่งเลยครับ จากคุณ : 821 (บัตรผ่าน 821) - [ 28 พ.ย. 50 09:41:31 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ดีครับ นั่งอยู่กะบ้านไปใหนมาใหนน้อยลงมากแล้วครับ จากคุณ : psvp - [ 28 พ.ย. 50 09:54:06 ]

ความคิดเห็นที่ 40 สุดยอด  ยกนิ้วให้เลยครับ จากคุณ : Tokyo Godfather - [ 28 พ.ย. 50 09:54:13 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : ชบาชมพู - [ 28 พ.ย. 50 09:55:03 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณมากนะจ๊ะ ปริ้นท์เก็บไว้แล้ว เดี๋ยวเอาไปอ่านที่บ้าน ตอนนี้อายูมิงานเยอะมากกกก จากคุณ : <<Ayumi>> - [ 28 พ.ย. 50 09:56:03 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ได้ความรู้เยอะเลย ชัดเจน ตรงเป้า อ่านแล้วสนุกด้วย ดีมากครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : mongkood - [ 28 พ.ย. 50 09:59:15 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณครับ VOTE ให้ :) จากคุณ : smurfy - [ 28 พ.ย. 50 10:02:41 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณครับ สำหรับความรู้ดีๆแบบนี้ ขอ คารวะ จากคุณ : kmodified (kmodified) - [ 28 พ.ย. 50 10:05:03 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ไม่ได้ใช้รถยนต์ส่วนตัวมานานแล้วครับ ไม่ Taxi ก็รถเมล์ จากคุณ : Nexus - [ 28 พ.ย. 50 10:31:14 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ยอดเยี่ยมมากเลยครับ จากคุณ : NoNameLFC - [ 28 พ.ย. 50 11:04:58 ]

ความคิดเห็นที่ 48 จากที่โง่มากๆกับเรื่องนี้ พอมาอ่านกระทู้นี้เข้าใจแล้วว่า น้ำมัน คือสิ่งที่จำเป็นที่สุด ดังนั้น ขอตรบมือให้ครับ วันหลังเอาเรื่องอื่นมาสอนกันบ้างนะครับ จะรอเรียนรู้ครับ จากคุณ : คุณเอจ - [ 28 พ.ย. 50 11:21:45 A:222.123.66.93 X: TicketID:138589 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ผมเสนอครับ ให้ช่วยกันโหวต เพราะกรธทู้นี้มีผลกับทุกๆคน น่าจะร่วมด้วยช่วยกัน ผมโหวตก่อนล่ะ 1 แต้มเอาไปเยย จากคุณ : จาแมน (jaman2000) - [ 28 พ.ย. 50 11:27:37 ]

ความคิดเห็นที่ 50 1 แต้มๆ จากคุณ : จาแมน (jaman2000) - [ 28 พ.ย. 50 11:28:37 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ส่วนตัวแล้ว ผลกระทบทางตรง เพิ่มขึ้น 50% กระทบกับรายได้เพียง 1% ผลกระทบทางอ้อม เพิ่มขึ้น 30% กระทบกับรายได้สูงถึง 10% จะเห็นได้ว่าการประหยัดน้ำมันแทบจะไม่มีผลต่อรายได้หรือมีเพียงเล็กน้อย แต่ภาวะเงินเฟ้ออันเนื่องมาจากค่าครองชีพ จะส่งผลอย่างมาก การที่จะต้องประหยัดค่าครองชีพเนี่ย...มันทำได้กรณีเดียวคือ อยู่บ้านให้มากขึ้น การที่คนส่วนใหญ่อยู่กับบ้านลดการใช้จ่าย บนท้องถนนว่างเปล่า ร้านค้าทั่วไปเงียบเหงา โรงงานอุตสาหกรรมปรับตัวลดการผลิตลดคนงาน สภาวะเช่นนี้น่าจะเรียกว่า stagflation ภาวะอย่างนี้แม้แต่สินค้าที่จำเป็นได้แก่อาหาร ยารักษาโรค ยังมีราคาเพิ่มขึ้นเลย  ภาวะอย่างนี้น่ากลัวมาก  ลองจินตนาการดูนะครับว่า น้ำใจและรอยยิ้มจะเป็นสิ่งที่หาได้ยาก  ชีวิตและทรัพย์สินที่หาความปลอดภัยไม่ได้เลย  คุณจะมีชีวิตอยู่อย่างไร การขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลต่อต้นทุนเพียงเล็กน้อย  แต่จะส่งผลอย่างมากต่อความมั่นใจในการลงทุน ซึ่งรังแต่จะช่วยทำให้ภาวะ stagflation เพิ่มขึ้นอีกถ้าไม่เชื่อก็ลองดู... จากคุณ : jonathan w. - [ 28 พ.ย. 50 11:37:10 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณมากครับ .... จากคุณ : MONOion - [ 28 พ.ย. 50 11:42:34 A:125.24.80.108 X: TicketID:040891 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณครับ จากคุณ : nouikj - [ 28 พ.ย. 50 11:55:45 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เห็นด้วยทุกอย่าง.... ยกเว้นอย่างเดียว คือ การขึ้นดบ.จะช่วย stagflation ได้. มันคงไม่เป็นอย่างนั้น ที่เกิด stagflation ก็เพราะเงินเฟ้อ เกิดจาก cost push ครับ ซึ่งสาเหตุหลักก็คือ ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงเร็วมาก หรือไม่ก็ค่าเงินที่อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว เพราะ demand มันไม่มี ก็เลย ศก.ตกต่ำหรือ recession ไง ถ้าพูดถึงปัญหานี้ ก็คือ ประเทศไทยช่วงวิกฤติต้มย้ำกุ้ง ศก.โตติดลบ 10% แถมด้วยเงินเฟ้ออีกเกือบ 10% แบบนั้นเลยครับ สำหรับสถานการณ์ตอนนี้...เมืองไทยยังไม่ใกล้เคียงนัก แต่สำหรับอเมริกา.... เฉียดๆ มั้งครับ อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าปัญหาของเมืองไทยตอนนี้ อยู่ที่หนี้สินดบ.โหดมากกว่า....ซึ่งทำให้รายได้เกินรายจ่ายของคนไทยนั้น จะไม่พอทันทีหากรวมภาระหนี้สินดบ.โหดนี้เข้าไปด้วย ซึ่งวิธีแก้ไขผมก็นำเสนอไปหลายครั้งแล้ว ด้วยการเบิกยืมเงินบำนาญล่วงหน้าได้.....จะช่วยแก้ปัญหาไปได้กว่าครึ่ง และ ศก.จะกลับไปโต 8% ได้ ง่ายๆ เลยใช่ไหมครับ จากคุณ : ryuken - [ 28 พ.ย. 50 12:42:47 A:125.24.6.247 X: TicketID:143864 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณมากๆครับ อยากรู้มานาน จากคุณ : นายโอ้นโต้น - [ 28 พ.ย. 50 12:42:58 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ได้ความรู้มากๆเลย ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : miscellaneous - [ 28 พ.ย. 50 12:50:22 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : ดอกไม้ DSM - [ 28 พ.ย. 50 13:26:23 A:125.27.164.17 X: TicketID:125129 ]

ความคิดเห็นที่ 58 "คุณรู้ไหมครับ ว่าราคาน้ำมันขายปลีกในเมืองไทยถูกเกือบจะที่สุด ในบรรดาประเทศที่ไม่มีน้ำมันเป็นของตัวเอง" กำลังอยากรู้เรื่องนี้อยู่พอดีเลยค่ะ ขอบคุณคุณm_pleมากๆค่ะ สำหรับความรู้ดีๆที่นำมาแบ่งปัน จากคุณ : Penfolds Grange - [ 28 พ.ย. 50 13:33:07 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เยี่ยมมากคับ ได้ความรู้เยอะเลย ขอกระทุ้ดีๆอย่างนี้บ่อยๆนะคับ จากคุณ : น้องแมงเม่า - [ 28 พ.ย. 50 13:37:23 A:210.4.133.130 X: TicketID:159481 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ขอบคุณมากครับ เขียนบ่อยๆอีกนิดก็ดีครับ ^ ^ แบบว่า เป็นแฟนกระทู้ คุณ m_ple หน่ะครับ ใด้ความรู้ ใด้สาระดีมั่กๆ ครับ จากคุณ : ปลาสเด็ด - [ 28 พ.ย. 50 13:39:25 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ตามมาอ่านจากห้องอื่น ได้ความรู้และข้อคิดมากมาย ขอบคุณครับ จากคุณ : SP (Naicollo) - [ 28 พ.ย. 50 13:47:35 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ขอบคุณมากครับ ได้ความรู้มากขึ้นเยอะเลยครับ จากคุณ : ไม่ต้องไล่ ผมก็รีบ - [ 28 พ.ย. 50 13:53:08 ]

ความคิดเห็นที่ 63 บทความดี ได้ความรู้ ขอบคุณครับ จากคุณ : manci - [ 28 พ.ย. 50 13:54:53 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ตามมารัชดา เข้ามาอ่านเก็บความรู้ ดีมากๆ เลยครับ คุณ เอ็ม เปิ้ล จากคุณ : vader007 - [ 28 พ.ย. 50 14:53:47 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกมากเลยครับ   ขอบคุณมากครับ โหวตให้แล้วครับ จากคุณ : คึกคัก15 - [ 28 พ.ย. 50 14:59:42 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ขอบคุณครับ จากคุณ : scuba (tonhid) - [ 28 พ.ย. 50 15:01:39 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ได้ความรู้ดีมากเลยครับ จากคุณ : คนจนผู้ยิ่งใหญ่ - [ 28 พ.ย. 50 15:15:48 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ขอบคุณ สำหรับข้อมูลดีดีครับ : ) ... บุญรักษาครับ : ) จากคุณ : Bother Boy ! - [ 28 พ.ย. 50 16:14:35 ]

ความคิดเห็นที่ 69 สุดยอดเลยครับ ได้ความรู้มากๆครับ 1Vote ครับ จากคุณ : LTI Systems - [ 28 พ.ย. 50 16:16:43 ]

ความคิดเห็นที่ 70 บาลโชเย สปาซิบ้า ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : V_Accy - [ 28 พ.ย. 50 17:20:03 ]

ความคิดเห็นที่ 71 Voted จากคุณ : นวลจันทร์รัญจวน (นวลจันทร์รัญจวน) - [ 28 พ.ย. 50 17:23:15 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 28 พ.ย. 50 17:32:20 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ... จากคุณ : วษณ - [ 28 พ.ย. 50 17:38:38 ]

ความคิดเห็นที่ 74 มาจากห้องรัชดาครับ สุดยอดครับ กระทู้นี้ ได้ความรู้อะไรเพิ่มอีกเยอะ ขอเสริมข้อมูลเล็กน้อย ในเรื่องที่เกี่ยวกับ OPEC คห. 6 ผมเคยอ่านมาจากที่ไหน จำไม่ได้แล้ว แต่ความเข้าใจสรุปๆ จากบทความนั้นที่จำมาถึงวันนี้ ได้ประมาณนี้ครับ ถ้าพูดถึง ปริมาณการผลิตน้ำมันในโลก  OPEC มีกำลังการผลิตเพียง 40% ของโลก ในขณะที่ กลุ่มนอก OPEC มีกำลังการผลิต 60% แต่ที่ OPEC มีอิทธิพลมากขนาดนี้ เพราะกลุ่มนอก OPEC แม้จะมีกำลังผลิตมากกว่าก็ตาม แต่ประเทศเหล่านั้น ผลิตน้ำมันเพื่อใช้ในประเทศเป็นส่วนใหญ่  ส่งออกไปขายประเทศอื่นเป็นส่วนน้อย กลุ่มนอก OPEC สามารถส่งออกน้ำมันเพื่อไปเลี้ยงประเทศอื่นๆ ที่อ้าปากพะงาบๆ รอซื้อน้ำมันได้เพียง 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำมันส่งออกของทั้งโลก (งงมั้ยครับ คือ นับเฉพาะปริมาณที่ส่งไปขายนอกประเทศตัวเองน่ะ) ที่เหลืออีก 2 ใน 3 ถูกเลี้ยงโดย OPEC ครับ  ดังนั้น OPEC จึงมีอิทธิพลต่อการขึ้น-ลงของราคาน้ำมันดิบของโลก จากคุณ : P_Wut - [ 28 พ.ย. 50 17:58:45 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ตอบ คห.ที่ 26 คุณมัสมั่น เรื่องภาษีน้ำมัน รัฐไม่ได้เก็บภาษีน้ำมันสูงถึง 16-17 บาท/ลิตรนะครับ?  หรือคุณหมายถึง ภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อม ผมขอลงข้อความที่เคยโพสต์ไว้นานแล้ว อธิบายเรื่อง ภาษีไว้นิดนึงละกัน (เอารูปตารางโครงสร้างราคาน้ำมันขายปลีกฯ มาให้ดูเลยละกัน) แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 50 18:13:24 จากคุณ : P_Wut - [ 28 พ.ย. 50 18:06:04 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ไล่ตามแต่ละคอลัมน์ไปละกันนะครับ 1. Ex-Refin. = ราคาขายหน้าโรงกลั่น 2. Tax ช่องนี้ = ภาษีสรรพสามิต 3. M. Tax = ภาษีที่เก็บไปให้กระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งต่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ข้อ 2 กับ 3 นี่ ผมยอมรับเลยว่า เป็นการเดาเอาครับ โดยอิงมาจากภาษีศุลกากร (เพราะมันมีวิธีคิดคล้ายๆ กัน หากไม่ถูกต้องก็ขออภัยครับ) 4. Oil Fund = เงินที่เก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง  กองทุนนี้ นอกจากจะเก็บเงินจากน้ำมันทั้งหลาย และจ่ายเงินเพื่อไปชดเชย LPG แล้ว ก็ยังต้องนำเงินไปใช้หนี้กองทุนน้ำมันที่เคยสร้างไว้ตอนพยุงราคาน้ำมันสมัยปี 2547-49 ด้วย  เท่าที่จำได้จากการฟังข่าวสัก 1-2 เดือนที่ผ่านมา รมว.พลังงานบอกว่า ด้วยอัตราการเก็บเงินแบบนี้ น่าจะใช้หนี้กองทุนน้ำมันหมดราวๆ สิ้นปีนี้แล้ว แต่จะไม่หยุดเก็บ จะยังคงเก็บต่อไป เพื่อไปเป็นเงินทุนในการสร้างรถไฟฟ้า <--- คิดว่าฟังมาถูกต้อง แต่จะถูกใจประชาชนหรือเปล่า ตอนนี้ no comment ครับ 5. Consv. Fund = เงินที่เก็บเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงาน เงินจากกองทุนนี้เอาไปสนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชน ในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 6. Wholesale price ขอเรียกว่า ราคาขายส่งแล้วกัน ก็คือ เอาตัวเลขทั้งหมดตั้งแต่ 1-5 รวมกัน 7. VAT = 7% ของตัวเลขช่องที่ 6 8. WS & VAT = ตัวเลขช่อง 6+7 9. Marketing margin = ค่าการตลาด ตัวเลขนี้แหละที่ ปตท.มักจะบอกว่า ค่าที่เหมาะสมอยู่ที่ 1.50 บาท/ลิตร 10. VAT ช่องหลัง = 7% ของค่าการตลาด 11. Retail price = ราคาหน้าปั๊มในเขต กทม.และปริมณฑล คุณจะพบว่า 1. ราคาหน้าโรงกลั่น กับราคาขายปลีก ณ เวลานี้ห่างกันราวๆ 10-11 บาท 2. ราคาที่ ปตท.ชอบใช้ในการอ้างขึ้นราคาขายปลีก ก็คือ ราคาหน้าโรงกลั่นของสิงคโปร์ ซึ่งในรอบ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะอยู่ประมาณ 19-20 บาท/ลิตรนี้เหมือนกัน 3. แต่ราคาน้ำมันเบนซิน 95 หน้าปั๊มที่สิงคโปร์ ประมาณ 38-40 บาท/ลิตรครับ (สัปดาห์ที่แล้ว) 4. ราคาของ Gasohol จริงๆ ต้องแพงกว่าเบนซิน 95 เล็กน้อย แต่เพราะการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฯ ที่ต่างกันเกือบ 3 บาท ทำให้ราคาหน้าปั๊มต่างกัน 3.30 บาท/ลิตร 5. แล้วทำไมราคา Gasohol ถึงแพงกว่าเบนซิน 95 อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่จำได้ลางๆ ว่า ราคา Ethanol ในช่วงรอบ 3 เดือนนี้ (ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่า นับตั้งแต่เดือนไหนถึงเดือนไหน แต่เป็นช่วงกลางปีนี่แหละ) รัฐบาลกำหนดราคากลางราวๆ 18-19 บาท/ลิตร ซึ่งก็ใกล้เคียงกับราคาเบนซิน 95 หน้าโรงกลั่น ไม่ได้ถูกกว่ากันเล้ยยยย มีอะไรอีกล่ะ??? แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 50 17:39:07 จากคุณ : P_Wut - [ 28 พ.ย. 50 18:16:27 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ยอดเยี่ยมครับ จากคุณ : DARINGYOUSENDMEHOME - [ 28 พ.ย. 50 18:17:38 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ยอดเยี่ยมมากครับ อยากรู้มานานแล้ว ผมก็มาจากห้องอื่นเช่นกัลลล จากคุณ : STPM - [ 28 พ.ย. 50 18:23:18 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Vprawat - [ 28 พ.ย. 50 19:31:43 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ความรู้มากมาย ขอบคุณมากครับ อ่านสนุก วิเคราะห์ได้เป็นฉากๆ ดีมากครับ จากคุณ : seun - [ 28 พ.ย. 50 20:26:24 ]

ความคิดเห็นที่ 81 อิอิอิอิ ขอบคุณคร๊าบบบ จากคุณ : pert for play - [ 28 พ.ย. 50 20:32:28 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ขอบคุณมากครับ...ได้ความรู้มากเลยครับ จากคุณ : Vet_Med - [ 28 พ.ย. 50 20:55:02 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ขอบคุณมากๆค่ะ ได้ความรู้เพียบเลย ^^ จากคุณ : นินจาคาปูชิโน่ - [ 28 พ.ย. 50 21:10:36 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ขอบคุณด้วยคนครับ จากคุณ : dangerous - [ 28 พ.ย. 50 22:34:27 ]

ความคิดเห็นที่ 85 คำว่า ล้านบาร์เรลต่อวัน จะใช้คำย่อว่า MMBD หรือ Million Barrels per Day นะครับ อย่าถามนะครับว่าทำไมต้องมี M สองตัว ผมก้อจนด้วยเกล้าอ่ะ ^^" ไปหามาจากวิกิพีเดียครับ In terms of production and consumption, it is common to use thousands barrels per day or million barrels per day. These are commonly written as mbd and mmbd respectively taking "m" as the Roman numeral for 1000. It is important not to confuse these with SI prefixes, where kbd and Mbd would mean a thousand and a million barrels per day respectively. โหวตให้แล้วนะครับ จากคุณ : Thales of Miletus - [ 28 พ.ย. 50 22:48:48 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ขอบคุณ มาก ๆ เลยครับ จากคุณ : Ba BA' Click - [ 28 พ.ย. 50 23:44:51 ]

ความคิดเห็นที่ 87 เยี่ยมครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : ลมห่มฟ้า - [ 28 พ.ย. 50 23:54:48 ]

ความคิดเห็นที่ 88 อย่าลืมว่า ประเทศไทย ค่าครองชีพต่ำ  เสียภาษีต่ำ  เงินเดือนน้อย ค่ารถวันนึง 100 บาท จากคุณ : natong - [ 28 พ.ย. 50 23:58:25 ]

ความคิดเห็นที่ 89 เขียนได้ดีจัง ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : ยูเมะ - [ 29 พ.ย. 50 08:36:36 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ยอดมากครับ.ตามาอ่าน.จากรัชดา..ไม่เคยเห็นอะไรที่.ชัดเจนอย่างนี่มาก่อนเลย..ครับ จากคุณ : pf4 - [ 29 พ.ย. 50 10:08:42 A:125.24.247.50 X: TicketID:132716 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เขียนเรื่องให้เข้าใจง่ายดีค่ะ ขอบคุณค่ะ^^ จากคุณ : SimVK - [ 29 พ.ย. 50 11:37:52 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ยิ่งเงินกองทุนน้ำมันนั้น อย่าว่าแต่ลดเลย ผมอยากให้เก็บเพิ่มด้วยซ้ำ แล้วนำเงินส่วนนี้ไปปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนให้มันน่านั่ง ให้มันสะดวกสบายขึ้น สร้างรถไฟ(ทั้งรางคู่เพื่อคนทั้งประเทศ และไฟฟ้าเพื่อคนกรุง) -------------------------------------------------------------------- ความคิดผมว่าควรอยู่ในอัตราที่เหมาะสมครับ  เก็บมากก็แย่เหมือนกัน อุตสาหกรรมในประเทศที่ต้องพึ่งพาน้ำมันก็เจ็บแน่ ๆ Logistic ทั้งหมด อาจจะได้ขึ้นรถ  หรือ  เดินทางสะดวกสบายขึ้น แต่ได้กินก๋วยเตี๋ยวราคาแพงระยับ ^^" อีกอย่าง  ดูรายการ  ท่านผู้ใหญ่ทั้งหลายจะนำเงินส่วนนี้ไปใช้ยังไง ก็เห็นพูดว่าจะสร้างโน่น  สร้างนี่  แต่.... ในกรุงเทพทั้งนั้น  ฟังแล้วคนต่าง จ. อย่างผม จุกอก จัง แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 50 12:12:07 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 50 12:11:35 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 50 12:10:35 จากคุณ : XL_SiZe - [ 29 พ.ย. 50 12:08:58 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ขอนำบทความเกี่ยวกับ Stagflation มาเสริมให้อีกครับ +++++ Stagflation +++++ Money Time : บทความคุณเสถียร  กรุงเทพธุรกิจ  วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2550 คราวนี้ขออนุญาตสวมวิญญาณเป็นนักเศรษฐศาสตร์ (สมัครเล่น) สักวันนะครับ หากผมเขียนอะไรผิดพลาดไป ขอให้ท่านนักเศรษฐศาสตร์ (ตัวจริง) ที่มีอยู่มากมายในประเทศนี้ ให้อภัยผมด้วย ที่จั่วหัวอยู่ข้างบนนี้ บังเอิญได้แรงบันดาลใจจากการไปบรรยายให้นักศึกษาในโครงการนักลงทุนรุ่นเยาว์ รุ่นที่ 23 ของธนาคารทหารไทย ในช่วงหนึ่งบรรยายเรื่อง Economic Cycle เป็นคำถามของเด็กๆ ว่า stagflation หมายถึงอะไร Stagflation มาจากคำ 2 คำ คือ Stagnation และInflation เป็นคำที่อธิบายถึงสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งมีปัญหาเงินเฟ้อควบคู่กับภาวะการชะลอตัวของระบบเศรษฐกิจ, มีการว่างงานสูง ซึ่งอาจจะหมายรวมเป็นว่า ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) คำว่า "Stag" หมายถึง ภาวะเศรษฐกิจเสื่อมถอย ในขณะที่ "Flation" บ่งบอกถึง ระดับราคาสินค้าที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว Stagflation มีการบัญญัติใช้ครั้งแรกในช่วงกลางทศวรรษ 1970 เมื่อเศรษฐกิจของอเมริกามีอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 12% ในขณะที่อัตราการว่างงานสูงเกือบ 9% เงินเฟ้อที่สูงขึ้นดังกล่าว มีสาเหตุมาจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 4 เท่าตัว จากการรวมหัวกันของ OPEC ประกอบกับการยกเลิกการควบคุมราคา และค่าจ้างแรงงานของรัฐบาลอเมริกันในช่วงนั้น ในขณะเดียวกัน ระบบเศรษฐกิจอเมริกันดิ่งลงสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุสำคัญทำให้รัฐบาลพรรคเดโมแครต ภายใต้การนำของประธานาธิบดีคาร์เตอร์ เสื่อมความนิยมลงอย่างรวดเร็ว จากการไม่สามารถจัดการกับปัญหา Stagflation นี้ได้ โดยปกติปัญหาเงินเฟ้อ พร้อมเศรษฐกิจตกต่ำมักจะไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน แต่เมื่อสองเกลอ (ตัวแสบ) มาเจอกัน ก็เลยเกิดปรากฏการณ์ "สองเด้ง" และทำให้ผู้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง มีอาการปวดหัว เป็นอย่างมาก และก็มีหลายทฤษฎี หลายสำนัก แนะนำการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งผมจะไม่กล่าวในที่นี้ แต่จะขอกล่าวถึงการแก้ปัญหา stagflation ของอเมริกาในช่วงนั้นเลย อย่างที่กล่าวข้างต้น ปรากฏการณ์สองเด้ง ทำให้ผู้แก้ไขปัญหามีอาการปวดหัวเป็นอย่างมาก เพราะว่าหากจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ (ลดดอกเบี้ย/เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ) ก็จะไปเพิ่มแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อ หากจะแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ (ขึ้นดอกเบี้ย/ขึ้นภาษี) ก็อาจจะมีปัญหาเรื่องการถดถอยของเศรษฐกิจซ้ำเติมก็ได้ ถึงจุดนี้ก็คงต้องเลือกเอาว่าจะแก้อะไรก่อน โดยที่ไม่ทำให้ปัญหาอีกอย่างหนึ่งรุนแรงมากขึ้นนัก ก็เลยเกิดเหตุการณ์ และบุคคลที่ยังเป็นที่กล่าวขวัญกันมาถึงทุกวันนี้ ประธานธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve; Fed) ในขณะนั้นคือ นาย Paul Volcker เลือกใช้นโยบายที่เรียกว่า Disinflationary Policy. Volcker เลือกที่จะจัดการปัญหาเงินเฟ้อก่อน ในปลายปี 1979 และปี 1980 หลังจากที่อเมริกาอยู่ในภาวะ "double digit inflation" มาหลายปี Volcker ใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ยจนกระทั่งดอกเบี้ยในตลาดเงินสูงกว่า 20% เพื่อที่จะเอาเงินเฟ้อให้อยู่หมัด คุยมาตั้งนาน แล้วมันเกี่ยวกับเราอย่างไร? อาจจะเกี่ยวตรงนี้ละครับ ในระยะหลังที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นไปเกือบ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล ในปีที่แล้วมีการกล่าวกันว่า โลกของเราจะเข้าสู่ภาวะ Stagflation อีกหรือไม่ เพราะนอกเหนือจากเรื่องราคาน้ำมันแล้ว เรื่องอื่นๆ ก็ดูคลับคล้ายคลับคลากับเหตุการณ์ในอดีต เช่น เรื่องการชะลอตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (ในอเมริกา) และความไม่มีประสิทธิผลเท่าที่ควรในการคุมระดับราคาสินค้า บังเอิญโชคดี ราคาน้ำมันหลังจากนั้นก็ปรับตัวลดลงมาตามลำดับ อยู่ที่ระดับประมาณ 60 กว่าดอลลาร์/บาร์เรล ในปัจจุบัน หันมาดูบ้านเราบ้าง ในขณะนี้ ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลงอย่างที่รู้กันตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา ดอกเบี้ยอ้างอิงทางการ (R/P 1วัน) ลงมาแล้ว 1% ก็มีหลายท่านทำนายว่า ดอกเบี้ยน่าจะลดลงไปได้อย่างน้อยอีก 1% ในปีนี้ ผมก็อยากจะบอกว่า มีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นเช่นนั้น แต่อยากจะบอกเพิ่มเติมอีกนิดว่า ที่เราคุยกันเรื่อง Stagflation มายืดยาวนี้ ก็อยากจะบอกว่าอย่าลืมปัจจัยด้านราคาน้ำมันไว้บ้าง ผมเชื่อว่า หากราคาน้ำมันไม่ขึ้นเข้าขั้นโอเวอร์ไปถึง 80 ดอลลาร์หรือกว่านั้น / บาร์เรล ทางการไทยก็คงจะมีความสบายใจในการลดดอกเบี้ยลงมาตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็คงจะเห็นดอกเบี้ยชะลอการลง อาจจะไม่ถึงอีกหนึ่งเปอร์เซ็นต์ตามที่คาด และหากกระแส Volcker กลับมามีอิทธิพลใหม่ ก็อาจจะเห็นดอกเบี้ย U-TURN ได้ (ทั้งนี้ต้องตามดูราคาน้ำมันเป็นเกณฑ์สำคัญ และก็ไม่ต้องฟังอีกครั้งหนึ่งด้วย) จากคุณ : อภิบาลคนดี - [ 29 พ.ย. 50 12:41:40 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ขอบคุณมากๆนะครับผม ขออนุญาตนำไปแนะนำต่อใน thaivi.com นะครับผม จากคุณ : noooon010 - [ 29 พ.ย. 50 13:49:27 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ขอบคุณครับ เป็นบทความยาวๆที่อ่านแล้วไม่เบื่อเลย เยี่ยมมากๆ จากคุณ : sunzilla - [ 29 พ.ย. 50 16:20:57 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ขอบคุณครับ กระทู้ดีๆประจำเลย ไว้เขียนเรื่อง ทอง ต่อสิครับ :D ของมันตามๆกันมา จากคุณ : tgih - [ 29 พ.ย. 50 19:48:47 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ขอบคุณครับ จากคุณ : REX-REX - [ 29 พ.ย. 50 20:55:07 ]

ความคิดเห็นที่ 98 WM ครับ น่าจะเป็นกระทู้แนะนำ ที่แปะไปทุกๆห้องนะครับ ข้อมูลดีๆ ที่ทุกคนควรศึกษาและรับรู้ไว้ จากคุณ : BMWTurboman - [ 29 พ.ย. 50 21:15:13 ]

ความคิดเห็นที่ 99 thank you....krub จากคุณ : ตะพานหิน - [ 29 พ.ย. 50 21:34:08 ]

ความคิดเห็นที่ 100 สุดยอดครับ  ข้าน้อยขอคารวะหนึ่งจอก จากคุณ : ขุนศึกตระกูลพงษ์ - [ 29 พ.ย. 50 21:56:28 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ขอบคุณมาก...ครับ จากคุณ : แพะโง่ (แพะโง่) - [ 29 พ.ย. 50 22:14:13 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ขอบคุณนะครับ ได้ความรู้เยอะเลย คุณ m_ple เก่งมากเลยครับ ที่ศึกษามาแค่ 3 วันได้ความรู้ขนาดนี้ (ทำให้สงสัยมากเลยว่าทำงานสายไหน แต่ถ้าให้เดาน่าจะเป็นสายการเงินใช่มั้ยครับ เอ หรือจะเป็นเศรษฐศาสตร์) แต่ว่าขอแย้งนิดนึงนะครับ เรื่องที่ว่า "ราคาน้ำมันขายปลีกในเมืองไทยถูกเกือบจะที่สุด ในบรรดาประเทศที่ไม่มีน้ำมันเป็นของตัวเอง" ซึ่งถ้าหากมองในเชิงของราคาน้ำมันที่แปลงเป็นเงินบาท มันก็ถูกต้องที่จะสรุปอย่างนี้ แต่ว่าประเทศที่แพงกว่าเราทั้งหลายที่นำมาใช้เปรียบเทียบนั้น เค้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วเป็นส่วนใหญ่ และค่าเงินเค้าแข็งกว่าเรามาก ดังนั้นราคาน้ำมันเมื่อเทียบกับค่าครองชีพเค้าแล้ว ผมคิดว่าน่าจะถูกกว่าบ้านเรานะครับ ยกตัวอย่างเช่นของประเทศไทยราคาน้ำมันตามรูปลิตรละ 29.39 บาท ขณะที่อาหารหนึ่งมื้อของเราก็ตกราวๆ 40 บาท (อันนี้เอาแบบอาหารกลางวันทั่วไป+ค่าน้ำนะครับ) ตกประมาณ 75% ของราคาอาหาร ถ้าหากเทียบกับสหรัฐ ซึ่งจากในรูปคงประมาณ 31 บาท แต่ว่าอาหารหนึ่งมื้อของสหรัฐ ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะอยู่ประมาณ $3-5 ผมคิดกลางๆ ว่า $4 แล้วคิดอัตราแลกเปลี่ยนช่วงเดือนมิถุนา 2549 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 38 บาท ก็คิดเป็นเงินไทย 152 บาท ตกประมาณ 20% ของราคาอาหาร ซึ่งจะเห็นว่าตัวเลขเมื่อเทียบกับค่าครองชีพแล้ว ต่างกันเยอะเลย แต่หากไม่ดูค่าอาหารแล้ว จริงๆ คิดว่าช่วงนี้หลายๆ คนคงเริ่มรู้สึกแล้วว่า ค่าน้ำมันเริ่มจะกลายเป็นค่าใช้จ่ายหลักในเงินเดือนของเราเลย (จนผมเริ่มไม่อยากจะใช้รถแล้วเนี่ย :P) ผมจึงมองว่าราคาน้ำมันบ้านเราค่อนข้างแพงครับ แต่ว่าผมเห็นด้วยกับประโยคนี้นะครับ "ห้ามลดราคาน้ำมันเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ" ซึ่งเหตุผลก็คล้ายๆ กับคุณ m_ple ครับ ผมคิดเหมือนกันว่าน่าจะเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเยอะๆ จะได้มีงบมาสร้างระบบขนส่งมวลชน หรือวิจัยหาพลังงานทดแทน ซึ่งอันหลังนี่ผมยังคิดอยู่เลยว่า ทำไมไม่เอาเงินกองทุนน้ำมันมาใช้สนับสนุนการใช้แก๊ส เช่น นำมาช่วยลดค่าติดตั้งและค่าถัง NGV/LPG เพราะผมว่าอุปสรรคอย่างหนึ่งที่ทำให้คนใช้ NGV น้อยก็เพราะค่าติดตั้งที่แพงมาก ลงทุนไปไม่รู้จะคุ้มค่ารึเปล่า เพราะไม่แน่ใจว่าราคาน้ำมันจะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ จริงรึเปล่า เขียนไปเขียนมาชักยาวเหมือนกัน ไปละดีกว่าครับ :P จากคุณ : Naturalist - [ 29 พ.ย. 50 22:47:55 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ตามมาอ่านจากรัชดาเช่นกัน ถ่ายทอดและเรียบเรียงได้ดีมาก ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : optical lens - [ 29 พ.ย. 50 23:00:15 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ขอบพระคุณมากค่ะ...ศจ.ดร.m_ple จากคุณ : lekjar - [ 29 พ.ย. 50 23:03:22 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ู^.^' จากคุณ : mapofbangkok - [ 29 พ.ย. 50 23:31:51 ]

ความคิดเห็นที่ 106 เห็นด้วยกับคุณ m_ple ว่า"ไม่ควรลดราคาน้ำมันเด็ดขาด"  และเห็นด้วยกับคุณ BMWTurboman (คคห98) ว่า ควรขึ้นเป็นกระทู้แนะนำในหลายๆห้องครับ   อยากรบกวนเรื่อง "ไฟฟ้า" และ"จริงหรือไม่"ว่าเรากำลังยืมจมูกคนอื่นหายใจเรื่องนี้อยู่ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 50 23:53:56 จากคุณ : Narak-Man - [ 29 พ.ย. 50 23:51:41 ]

ความคิดเห็นที่ 107 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆ ที่นำมาแบ่งปันครับ ^^ จากคุณ : lekhaew - [ 30 พ.ย. 50 00:00:45 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ขอบคุณครับที่ช่วยอธิบาย  แหม ผมโง่เรื่องนี้ ไม่เข้าใจมาตั้งนาน จขกท อธิบายแบบนี้ เข้าใจทะลุปรุโปร่งเลย จากคุณ : penn's - [ 30 พ.ย. 50 01:03:51 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ขอบคุณครับ จากคุณ : Tomorrow is never guaranteed - [ 30 พ.ย. 50 01:55:01 ]

ความคิดเห็นที่ 110 มาปักธง จากคุณ : LR3 - [ 30 พ.ย. 50 02:06:07 ]

ความคิดเห็นที่ 111 Thank you so much.. จากคุณ : kalond - [ 30 พ.ย. 50 08:31:49 ]

ความคิดเห็นที่ 112 โอ้ว  พิมพ์เป็นวิทยานิพนธ์ ป.โท ได้เลยนะเนี่ย _/l\_ นับถือในความรู้ และจิตใจที่แบ่งปันความรู้ จากคุณ : NiceBenz - [ 30 พ.ย. 50 10:29:20 ]

ความคิดเห็นที่ 113 แก้ ที่ระบบ ขนส่งมวลชน จุดเดียว ก็ลดปัญหาได้มากมาย จุดง่ายๆ ที่ มองเห็น แต่ทำไมมันทำยากสียเหลือเกินนะ - -" เหนื่อยใจกับ ผู้บริหารประเทศจริงๆ ยังไงก็ ของคุณ m_ple ที่อุตส่าห์ มาแบ่งปัน จากคุณ : ก้นกบ - [ 30 พ.ย. 50 10:52:38 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ขอบคุณสำหรับข้อมูลและคำอธิบาย แต่ผมจำได้ว่ารัฐก็อ้างเรื่องเก็บภาษีรถยนต์แพงๆ(เป็นเหตุให้ราคารถยนต์บ้านเราแพงกว่าหลายๆประเทศ) เพื่อจะไปสร้างระบบขนส่งมวลชนมานานมากแล้วนะครับ ไม่เห็นจะเป็นรูปธรรมกันบ้างเลย ถ้าจะอ้างว่าเก็บกองทุนน้ำมันเพิ่มแพงๆ แล้วเอาไประบบขนส่งมวลชนจะได้ดีขึ้น ผมกลัวว่าจะเป็นแึค่ลมปากรมต.เหมือนเดิม(แถมกำลังจะหมดอำนาจแล้วด้วย) แต่คนที่จำเป็นต้องเดินทางเดือดร้อนกว่าเดิมน่ะสิครับ ปัญหามันงูกินหางน่ะแหละ ผมคิดว่า ถ้าจะทำจริงๆ ต้องลงทุนสร้างระบบขนส่งมวลชนดีๆ ไม่ต้องหรูหรอก แต่เอาแค่มีสวัสดิภาพในชีวิตและทรัพย์สินหน่อยก็พอแล้ว(ขอรถเมล์เทียบเท่ารถเมล์ในสิงคโปร์จะดีใจมาก เขาแพงกว่าเราไม่กี่บาท แต่คุณภาพฟ้ากับเหว) แล้วมาเก็บภาษีแพงๆอย่างอื่นมีมาตรการควบคุมการใช้รถส่วนตัวให้ยากขึ้นทีหลังก็คงไม่มีใครว่าหรอกครับ มีแต่คนจะเห็นด้วย แต่ถ้าจะเก็บตอนนี้เพื่อเอาไปวาดฝัน เกรงว่าจะไม่มีใครเห็นด้วยเลยน่ะซี จากคุณ : ....4จุด - [ 30 พ.ย. 50 11:16:20 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ด้วยคนตรับ.... เอาเงินสร้างทางด่วนหรือค่าเวนคืนที่ขยายถนน ไปทำรถไฟฟ้าออกนอกเมืองดีกว่า...แต่เอ...คนก็ไม่ใช้รถซิ...ทำระบบขนส่งดีๆ...แต่เอใช้รถน้อยเติมน้ำมันน้อย...ภาษีหายหมด...ผมว่าข้อมูลที่ทุกคนได้อ่านก็มีมานานแล้วครับ...มีไว้ให้คนทำความเข้าใจจะได้สบายใจ...การเมืองเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ...ผมว่าถ้าคิดกันดีๆทุกคนเข้าใจในคำตอบครับ...วันนี้มีข้อมูลลงในหนังสือพิมพ์มีตารางเปรียบเทียบราคาน้ำมันในหลายๆประเทศ ...คงอยากให้คนใช้สบายใจ...ผมก็สงสัยอยู่ดี...ถ้าเราใช้น้ำมันราคาเท่ากับประเทศใหญ่ๆที่เจริญแล้ว...ลืมมองตัวเองไปเทียบได้งัย รายได้ประชากรของเราต่อหัวเท่าไหร่ ...แล้วที่บอกว่าเก็บเข้ากองทุนเยอะๆ เอาเงินมาสร้างอะไรทั้งหลายแหล่...ก็แบบที่ผมบอกตอนต้นนะครับนะครับ...สร้างทางด่วนก็เก็บเงินค่าทางด่วนได้...เอาเงินไปทำไรละครับ...แต่เอ..อย่าลืมไปเลือกตั้งนะครับ....แล้วใครดี... จากคุณ : ช่างเถอะครับ (starsongsea) - [ 30 พ.ย. 50 11:16:45 ]

ความคิดเห็นที่ 116 โหวต ครับ จากคุณ : Cyber - [ 30 พ.ย. 50 11:29:52 ]

ความคิดเห็นที่ 117 ทำเรื่องยาก ๆ ให้เข้าใจง่าย ๆ เก่งมั๊ก ๆ ขอบคุณครับ จากคุณ : life find the way - [ 30 พ.ย. 50 11:52:55 ]

ความคิดเห็นที่ 118 เยี่ยม! จากคุณ : เกมเมอร์ - [ 30 พ.ย. 50 12:36:14 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ขอบคุณครับ เยี่ยมมาก จากคุณ : Mr.Submarine - [ 30 พ.ย. 50 13:43:06 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ตามข้างบน. จากคุณ : zoohok - [ 30 พ.ย. 50 13:51:33 ]

ความคิดเห็นที่ 121 โหวตให้ด้วยคนค่ะ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่หาความรู้ดีมากๆมาอธิบายให้เห็นภาพ จากคุณ : แม่ค้าหน้าแป้น - [ 30 พ.ย. 50 19:08:20 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ผมไม่ได้เข้ามาโต๊ะนี้บ่อยทั้งนี้เปิด Pantip ตลอด ผมขอโค้งงามๆ 3 ครั้งครับ กับความรู้ และสาระที่ได้อ่านจนจบ ขอบคุณมากๆ ครับ 1 โหวตจากใจจริงครับ จากคุณ : สะตอคุง - [ 30 พ.ย. 50 19:48:43 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ยิ่งกว่าคำว่าเยี่ยมครับ ขอบคุณสำหรับความรู้ในด้านน้ำมันที่คุณ m_ple นำมาแบ่งปันให้ครับ ได้ความรู้แน่นมากๆเลยครับ ขอให้พบแต่สิ่งดีๆ และประสบความสำเร็จในทุกด้านนะครับ และขออนุญาตคุณm_ple ในการนำสิ่งดีๆเผยแพร่ต่อไปนะครับ COOL COOL COOL จากคุณ : กร - [ 30 พ.ย. 50 20:53:22 A:124.121.154.219 X: TicketID:144166 ]

ความคิดเห็นที่ 124 ความคิดเห็นที่ 26   เป็นบทความที่เยี่ยมมาก 1. อยากให้คุณ m_ple เพิ่มเรื่องภาษีน้ำมันหน่อยก็จะดี เพราะว่าเก็บลิตรหนึ่งก็ประมาณ 16 - 17 บาท ผมว่ามันมากเกินไป น้ำมันไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย แต่เป็นสินค้าที่จำเป็น 2. รายได้ขั้นต่ำของแต่ละประเทศไม่เท่ากัน สิ่งที่ควรเปรียบเทียบคืออัตราส่วนระหว่างค่าน้ำมันกับรายได้ขั้นต่ำ จะเหมาะกว่า 3. โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยบิดเบือนความจริง เช่น ของถูกขายแพง และของแพงขายถูก คนส่วนใหญ่นั่งรถบรรทุกดีเซลไปทำงาน จากคุณ : มัสมั่น  - [ 28 พ.ย. 50 08:56:38 ] + + + เห็นด้วยอย่างยิ่งครับกับ ความคิดเห็นที่ 26. ทั้ง 3 ข้อเลยครับ จากคุณ : ปัน.. (sarapan) - [ 1 ธ.ค. 50 03:15:41 ]

ความคิดเห็นที่ 125 ยอดเยี่ยมมากตรับ อยากให้มี่บทความที่ดีๆแบบนี้เข้ามาบ่อยๆ ขอบคุณสำหรับที่สละเวลามา แบ่งปันความรู้ความเข้าใจแก่พวกเรา ในที่นี้ด้วยครับ จากคุณ : นายไทยไฝ่รู้ - [ 1 ธ.ค. 50 06:01:39 ]

ความคิดเห็นที่ 126 ยอดเยี่ยมมากๆ เลยครับ ผมสงสัยอยู่อย่างเกี่ยวกับการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันนะครับ ว่ามัน "ยุติธรรม" สำหรับทุกคนหรือเปล่า ไม่ทราบจะหาอ่านได้ที่ไหนครับ จากคุณ : Every Thing Perfect - [ 1 ธ.ค. 50 06:51:55 ]

ความคิดเห็นที่ 127 ขอบคุณครับ อ่านแล้วเห็นภาพชัดเจน จากคุณ : ปัณณธร - [ 1 ธ.ค. 50 10:16:06 ]

ความคิดเห็นที่ 128 ขอบคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาชมนะครับ และขอบคุณมากๆ สำหรับทุกๆ comment นะครับ ยินดีที่ได้พูดคุยกันนะครับ ที่สำคัญขอบคุณทุกๆ แรงโหวต คนจะได้อ่านกันเยอะๆ มีอะไรจะได้พูดคุยกันด้วยเหตุและผลมากขึ้นนะครับ ใครฝากคำถามได้นะครับ ถ้าผมสามารถ ผมจะพยายามตอบให้ แต่อันไหนไม่สามารถ ผมก้อจนด้วยเกล้าอ่ะ (ล้อฟรีอีกแล้ว ^^") พอดีพักนี้งานยุ่งนิดหนึ่ง เบี้ยวตอบกระทู้มาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้บอลเตะอีก เลยเอาวันนี้ละกัน คห.26 คุณมัสมั่น ข้อ 2 จริงครับ เราไม่สามารถเปรียบเทียบราคาน้ำมันขายปลีกของแต่ละประเทศตรงๆ ได้ ด้วยเหตุผลอย่างที่คุณว่าครับ อย่างไรก็ตาม เรามีตัวเลขหลายตัวที่หลายสำนักทำเพื่อหาราคาที่แท้จริงตามทฤษฎี Purchasing Power Parity (ตัวเลขยอดฮิตที่ใช้กันคือ PPP ของ WEO จาก IMF ครับ) พูดแบบภาษาชาวบ้านๆ หน่อยคือ เราสามารถเอาตัวเลขนี้หารราคาในรูปปกติ เพื่อหักกับค่าครองชีพในแต่ละประเทศ เพื่อหาราคาที่แท้จริงออกมาได้ จะได้เปรียบเทียบระหว่างประเทศกันได้ ตอนแรกก้อว่าจะทำ แต่ถ้าทำแล้วมันค่อนข้างใช้เวลาเยอะไปหน่อย เลยขี้เกียจอ่ะครับ อิอิ ความจริงมีข้อมูลในหัวอีกหลายตัวเหมือนกันที่อยากเอามาให้ดู  แต่เหมือน I/O table ละครับ ที่ตอนแรกว่าจะทำเอง สุดท้ายก้อต้องไปเอาของเค้ามาหากิน (ฮา) ข้อ 1 และ 3 พักไว้ก่อนนะครับ ;) คห 51 คุณ Jonathan w. ใช่ครับ ผลกระทบทางอ้อม (Second round effect หรือรอบสอง) นั้นมีผลมากกว่ารอบ 1 เยอะ เพราะมันมีสัดส่วนในค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของคนเยอะกว่ามาก ภาครัฐจึงพยายามอั้นสินค้าควบคุมทุกชนิดไม่ให้ขึ้นราคาไงครับ ด้วยการผลักการปรับขึ้นราคาไปปีหน้า เพราะฉะนั้น ปีหน้าเงินเฟ้อจะพุ่งแน่ๆ ถ้าเศรษฐกิจแย่ลงอีก เราอาจจะมี stagflation จริงๆ ก้อได้ แต่หลายสำนักคาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะดีขึ้นกว่าปีนี้ครับ เนื่องจากเราจะมีรัฐบาลใหม่ การลงทุนจากภาครัฐ + กับภาคเอกชน จะมีผลต่อเศรษฐกิจปีหน้าอย่างมากครับ และทำให้เศรษฐกิจน่าจะดีกว่าปีนี้ครับ คห. 54 คุณ ryuken เรื่องนี้ถกเถียงกันมานานมากแล้วครับ ว่าในกรณีที่เกิด Supply Shock เนี่ย ธนาคารกลางควรแก้ปัญหาเงินเฟ้อด้วยการขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ซึ่งก้อยังต้องถกเถียงกันต่อไปครับ ลอง search paper ดูในเนตครับ เพียบ ;) คห 74-76 คุณ P_Wut ถูกต้องแล้วครับ ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานของสหรัฐ ในปี 2006 OPEC มีอุปทานทั้งสิ้น 35.30 MMBD ในขณะที่โลกมีอุปทานรวม 84.60 หรืออุปทานของ OPEC คิดเป็นเพียง 42% เท่านั้น แต่ด้วย OPEC เป็นการผลิตเพื่อส่งออกครับ ทำให้เป็นกลไกลสำคัญในการกำหนดราคาโลก คุณสามารถดูข้อมูลนี้ได้ที่นี่ครับ http://www.eia.doe.gov/emeu/ipsr/t21.xls ข้อมูลในตลาดโลก แทบทุกอันที่ผมใช้ มาจากเวปนี้ละครับ ขอบคุณที่ช่วยหาข้อมูลเรื่องโครงสร้างราคาน้ำมันครับ ;) จากคุณ : m_ple - [ 1 ธ.ค. 50 11:33:55 ]

ความคิดเห็นที่ 129 คห. 85 คุณ Thales of Miletus ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ แหม ผมก้อสงสัยมาตั้งนาน อิอิ คห. 92 คุณ XL_Size ขอบคุณสำหรับความเห็นครับ มันจะกลับมาปัญหาไก่กับไข่ คือ เราต้องการลดการใช้น้ำมันด้วยระบบราง แต่รัฐบาลไม่มีเงินไปสร้าง (ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม) เราเลยจะหางบด้วยการเก็บจากภาษีน้ำมัน ซึ่งผมว่าก้อออกจะแฟร์ดีที่ คนใช้น้ำมันเยอะ แสดงว่าเดินทางบ่อย ก้อควรจะมาช่วยจ่ายระบบขนส่ง แต่ถ้าเก็บเยอะ คนที่ไม่รู้อีโน่อีเหน่ ก้อจะเดือดร้อนไปด้วย (จาก second round effect) แต่ถ้าเก็บน้อย ระบบรางก้อไม่ได้สร้างเสียที คห. 102 คุณ Naturalist ขอบคุณสำหรับคำชมครับ แต่ที่ผมพูดว่าสามวันมันก้ออกจะเว่อร์ไปนิดครับ ^^" ส่วนเรื่องต้องปรับด้วยค่าครองชีพนั้น ถูกต้องครับ ไม่มีข้อโต้แย้งเลย ตามที่ได้ให้เหตุผลไปข้างต้นครับ คห 106 คุณ Narak-Man จริงครับ ผมไม่มีตัวเลขในมือ ตอบตามความทรงจำ (สีจางๆ) 60% ของไฟฟ้าเมืองไทยในปัจจุบันใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตครับ ซึ่งส่วนมากมาจากอ่าวไทย และมีนำเข้าบ้างจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก๊าซธรรมชาติในปัจจุบันเท่าที่สำรวจพบ จะมีให้ใช้เพียงประมาณ 14 ปีข้างหน้าเท่านั้น ถ้าก๊าซหมด และไม่สามารถหาเพิ่มได้ เราต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถ้าเพื่อนบ้านเค้าต้องการอะไรจากเรา (ขออนุญาตมองโลกในแง่ร้าย) เค้าสามารถใช้ก๊าซนั้นเป็นข้อต่อรองได้ (เหมือนอย่างหลายๆ ชาติ ที่ใช้น้ำมันเป็นการต่อรองทางการเมือง) ถ้าเค้าหยุดส่งก๊าซ เราก้อจะไม่มีไฟฟ้าใช้ ถ้าเราไม่ใช้ก๊าซ ก้อต้องมองหาทางเลือกอื่นๆ เช่น นิวเคลียร์ หรือ ถ่านหิน ซึ่งก้อยังโดนประท้วงจนไม่ได้เกิดจนทุกวันนี้ ทั้งที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นพลังงานที่สะอาดและต้นทุนต่ำแทบจะที่สุดในปัจจุบัน แถมเสถียร (Stable) อีกต่างหาก แต่ภาครัฐยังไม่สามารถทำความเข้าใจตรงนี้ให้กับสังคมได้ ซึ่งคงต้องพยายามทำกันต่อไป ไม่อยากจะพูดเลยว่า ถ้าพลังงานทางเลือกอื่นๆ ไม่เกิดภายในสี่ห้าปีนี้ เราอาจจะไม่มีไฟฟ้าใช้ในอีก 10 ปีข้างหน้าครับ หรือไม่ก้อค่าไฟหน่วยละเป็นร้อยบาท เราจะแย่กันหมดนะครับ เรื่องพลังงานเป็นเรื่องเร่งด่วนสุดๆๆ ในตอนนี้ แต่นักการเมืองเฉยๆ ไม่อยากเอามือมาเปื้อน เพราะอีก 10 ปีข้างหน้า เค้าไม่ได้เป็นรัฐบาลเสียหน่อย เอาเงินสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ไปแจกชาวบ้านผ่านโครงการประชานิยมดีกว่า ไม่โดนด่าด้วย ส่วนเรื่องกองทุนน้ำมัน ถามมากันมาก พอดีต้องออกไปช่วยงานแต่งครับ (งานแต่งที่ใด เป็นได้แค่แขกรับเชิญญ ^^" ) เอาไว้อีกสองสามวัน จะมาอัพเดทให้อ่านกันครับ (ช่วยภาวนาให้หัวหน้าไม่จ่ายงานให้ผมเพิ่มด้วยนะครับ ฮา) จากคุณ : m_ple - [ 1 ธ.ค. 50 11:34:40 ]

ความคิดเห็นที่ 130 เยี่ยมมากครับ โหวตครับ จากคุณ : Joey999 - [ 1 ธ.ค. 50 12:08:18 ]

ความคิดเห็นที่ 131 เห็นด้วยที่ไม่ควรมีการลดราคาน้ำมันหรืออุดหนุนใดๆทั้งสิ้นปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดดีที่สุด แต่ประเด็นเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อไปทำรถสาธารณะมากขึ้นไม่ค่อยเห็นด้วย น่าจะไปแก้ตรงนั้นให้ตรงจุดดีกว่าว่าทำไมถึงไม่สามารถจัดสรรงบประมาณมาได้ จากคุณ : Tamจัง - [ 2 ธ.ค. 50 00:36:44 ]

ความคิดเห็นที่ 132 A: เพราะราคาที่ตลาดสิงคโปร์เป็นราคาที่แฟร์ครับ (Fair) (ขอโทษนะครับ ไม่รู้จะใช้คำไทยว่าอะไร แต่ไม่ใช่คำว่ายุติธรรมแน่ๆ ฮา) คำว่า "Fair" ในที่นี้นะจะแปลว่า "สมเหตุสมผล" ครับ แต่จะสมเหตุสมผลในมุมมองของใครนั่นอีกเรื่องนึงครับ จากคุณ : Dark Archon - [ 2 ธ.ค. 50 01:50:25 ]

ความคิดเห็นที่ 133 ไม่รู้จะพูดยังไงครับ แต่ผมบอกได้ว่ากระทู้นี้ถือว่าเป็นหนึ่งในกระทู้ที่ดีที่สุดของเว็บนี้ตั้งแต่อ่านมา สุดยอดครับ !!! จากคุณ : Mun Thow - [ 2 ธ.ค. 50 16:22:48 ]

ความคิดเห็นที่ 134 ขอบคุณความรู้ดี ๆ ครับ จากคุณ : สะใจโรคจิต - [ 3 ธ.ค. 50 02:43:37 ]

ความคิดเห็นที่ 135 โหวตให้ครับ จากคุณ : หอมรำเพย - [ 3 ธ.ค. 50 09:06:13 ]

ความคิดเห็นที่ 136 โอ...ความรู้ดีๆ ครับ ต้องขอบคุณมากนะครับ ถ้าอย่างนี้ก็ ช่วงนี้หุ้นกลุ่มพลังงานก็ยังไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นสิครับ อิอิ จากคุณ : joufo - [ 3 ธ.ค. 50 12:29:52 ]

ความคิดเห็นที่ 137 ขอบคุณมากครับ ... จากคุณ : มันซ่าน - [ 3 ธ.ค. 50 13:08:46 ]

ความคิดเห็นที่ 138 ขอบคุณครับ จากคุณ : จุย - [ 3 ธ.ค. 50 14:33:09 ]

ความคิดเห็นที่ 139 เยี่ยม จากคุณ : {M}-มดนะจ๊ะ - [ 3 ธ.ค. 50 14:47:05 ]

ความคิดเห็นที่ 140 กระทู้มีประโยชน์มากๆๆค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับบทความดีๆๆ ถ้าได้อ่านก่อน คงมีไอเดียไปเขียน assignment ส่งอาจารย์ได้สบายเลยย เพราะตอนอาจารย์ถาม ตอบไปแค่ demand-supply กับพวก replacement cost, historical cost แค่นั้นเอง T_T จากคุณ : PoUpeE - [ 3 ธ.ค. 50 15:38:26 ]

ความคิดเห็นที่ 141 เข้าใจแล้วครับ ประหยัด น้ำมันครับ ..... ว่าแล้ว ก้อ ปิดคอม  ช่วยชาติ ประหยัดไฟ ... จากคุณ : Jonanah - [ 3 ธ.ค. 50 17:29:15 ]

ความคิดเห็นที่ 142 บางเรื่องเห็นด้วย บางเรื่องผมไม่ได้อ่าน ก็ no comment ครับ แต่ไม่เห็นด้วยอยู่เรื่องนึงครับ ตรงอิงราคาสิงคโปร์ กิจการใดที่ผู้ขายน้อยราย และฮั้วราคากันได้ ภาครัฐ(ที่ดี)ควรจะเข้ามาควบคุม การกลั่นน้ำมันก็เช่นกัน เอาง่ายๆ เลย ถ้ากลัวน้ำมันขาดตลาด ก็ขึ้นภาษีการส่งออกน้ำมันสิครับ หรือจะเก็บภาษีช่วงก่อนกลั่น (ตอนขนมาบนเรือ) เลยก็ได้ ได้ผลอย่างเดียวกัน ถ้ากลัวมันแอบส่งออกกัน เหมือนน้ำตาล ผมก็คงปลงกับความห่วยของภาครัฐแล้วครับ เพราะว่าโรงกลั่นมันใหญ่ซะขนาดนั้น ลงทุนก็คงเกินร้อยล้าน พันล้าน ไม่ใช่จะมาแอบๆซ่อนๆ ไว้ได้ ค่าการกลั่นมันเพิ่มจาก 1 บาทในอดีต เป็น 2 บาท เนี่ยดูเหมือนมันนิดเดียวนะ แต่ถ้าคิดเป็นตัวเงินแล้ว ปตท คงฟันกำไรไปหลายหมื่นล้าน (ต่อปี) อยู่จากส่วนต่างนี้ที่ปตท ชอบอ้างเหตุผลมากมาย (เหมือนคนจะเลิกกันแหละ สรรหามาอ้างซะ) มาสนับสนุนการอิงราคาสิงคโปร์ ก็คงเพราะมันแพงกว่านั่นแหละครับ (ดูเลือดอิ่มเลยนะเห็บ) ถ้าวันดีคืนดี ราคาสิงคโปร์ถูกกว่าเมื่อไหร่ ขี้คร้านจะรีบเปลี่ยนนโยบาย ประกาศไปทั่วประเทศว่า "ไทยเป็นอิสระจากสิงคโปร์แล้ว CEO ปตท. ประกาศก้อง เลิกอิงราคาจากสิงคโปร์กันเสียที" [ห้ามลดราคาน้ำมันอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ] ผมเห็นด้วยว่า "รัฐไม่ควรใช้เงินสนับสนุน (อุ้ม) ราคาน้ำมันอย่างเด็ดขาด" แต่รัฐควรทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดเหลือบในระบบ การฮั้วกันของโรงกลั่น ที่ทำให้ราคาน้ำมันแพงเกินจริง (ถึงจะบาท สองบาทก็เหอะ) ขอนอกเรื่อง แล้วเรื่องก๊าซในอ่าวไทยอีก ไม่รู้รัฐบาลไหนขายไปนะ ขายไปเท่าไหร่ มีบ่อก๊าซซะเอง ประชาชนดันต้องซื้อก๊าซในราคาสากล จากคุณ : ธีรภัทร์2 - [ 3 ธ.ค. 50 22:48:39 ]

ความคิดเห็นที่ 143 ขอขอบคุณ จขกท. มากๆครับ กระจ่างแจ้งเลยทีเดียว จากคุณ : ginosty - [ 4 ธ.ค. 50 00:07:40 ]

ความคิดเห็นที่ 144 ขอบคุณครับ... อ่านแล้วได้แง่คิดดีครับ จากคุณ : helga - [ 4 ธ.ค. 50 12:03:10 ]

ความคิดเห็นที่ 145 สรุปประเด็นต่อไป ทำไมนักการเมืองบ้านเราถึงไม่เอาไปปฏิบัติ<<เพราะปฏิบัติแล้วประชาชนไม่เห็นผลงาน คนไทยชอบมองสั้นๆแล้วทำไมคนไทยเราถึงชอบคิดสั้นๆ<<ส่วนหนึ่งที่สำคัญผมเชื่อว่าการศึกษา....... มีแต่นโยบายแจกฟรี เห็นแล้วก็เศร้า อยากรู้จริงๆจะเอาเงินจากไหนมาทำ จากคุณ : V_Accy - [ 4 ธ.ค. 50 12:16:43 ]

ความคิดเห็นที่ 146 โหวตคับ แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 50 13:27:39 จากคุณ : dark leklek - [ 4 ธ.ค. 50 13:26:40 ]

ความคิดเห็นที่ 147 โอ๊ว ได้ความรู้เต็มๆเลยครับ ปล.สงสัยนิดนึง จขกท ทำได้ไง เทคเดียว 22 rep โดยไม่โดนปาด จากคุณ : เฮียมี่ - [ 4 ธ.ค. 50 13:55:44 ]

ความคิดเห็นที่ 148 เยี่ยมมากๆครับ จากคุณ : BaNkmAn - [ วันพ่อแห่งชาติ 15:40:59 ]

ความคิดเห็นที่ 149 ถ้าไปเก็บภาษีมาก เอกชนก็ไำม่มีแรงจูงใจมาลงทุนครับ จะเอาเพราะลงทุนไปก็ได้กำไรไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ใครเขาจะมาลงทุน แล้วมันจะเกิดปัญหาในที่สุด เหมือนที่เกิดที่ California คือทางภาครัฐควบคุมค่าไฟฟ้าจนไม่มีแรงจูงใจให้สร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มจนเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับครั้งที่ใหญ่มากครั้งหนึ่งในอเมริกา จากคุณ : Nexus - [ วันพ่อแห่งชาติ 20:31:14 ]

ความคิดเห็นที่ 150 ขอบคุณก๊าบ จากคุณ : d.hunt - [ 6 ธ.ค. 50 14:13:53 ]

ความคิดเห็นที่ 151 มีข้อสงสัยอยู่3-4ข้อ คือ 1.ทางบริษัทชอบอ้างเสมอว่าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับราคาขึ้นเราต้องปรับขึ้นราคาน้ำมันสำเร็จรูป ทั้งๆที่ราคาที่ประกาศขึ้นนั้นยังไม่มาถึงเมืองไทยเลยด้วยซ้ำ ต้องใช้เวลาอีกเป็นเดือนน้ำมันราคานั้นจึงจะถึงเมืองไทย 2. เพราะว่าบริษัทกลั่นและค้าน้ำมันเป็นของเอกชนนี่แหละ จึงทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปจึงสูงกว่าราคาปรกติที่นำน้ำมันดิบมากลั่นและขายสูงกว่าต้นทุนมาก จึงชอบอ้างเอาราคาที่สิงคโปร์เป็นหลัก 3.ถ้าบอกว่าหากราคาขายของเราต่ำกว่าที่สิงคโปร์แล้ว บริษัทกลั่นจะนำไปขายที่สิงคโปร์ ข้อนี้ลองศึกษาว่าประเทศมาเลเซียเขาทำอย่างไรถึงขายน้ำมันได้ต่ำกว่าราคาที่สิงคโปร์และไม่ไปขายที่สิงคโปร์ ดังนั้น จึงมีการลักลอบน้ำมันมาขายในไทยตามเขตแดนภาคใต้ เพราะราคาเขาถูกกว่า 4. ถ้าเรายังมีบริษัทกลั่นน้ำมันเองและขายเอง เช่น ปตท. เราก็สามารถปรับราคาขายให้เป็นไปตามต้นทุนที่ซื้อน้ำมันดิบมากลั่น และมีกำไรตามสมควรตามปรัชญาพอเพียง ซึ่งทุกคนก็อยู่ได้ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ผู้ขาย และผู้ใช้ จากคุณ : สมชาย บางพลี - [ 6 ธ.ค. 50 14:17:56 ]

ความคิดเห็นที่ 152 สุดยอด...ครับ ได้รู้อะไรใหม่ๆเยอะเลย จากคุณ : Fullmoon (Elle-one) - [ 7 ธ.ค. 50 23:32:13 ]

ความคิดเห็นที่ 153 ...ได้ความรู้เพิ่ม ขอบคุณค่ะ... จากคุณ : pyada - [ 9 ธ.ค. 50 00:41:36 ]

ความคิดเห็นที่ 154 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : porgto - [ วันรัฐธรรมนูญ 02:03:54 ]

ความคิดเห็นที่ 155 ปิโตรเลียม เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่ทำให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสุขสบาย ในขณะเดียวเมื่อมีประโยชน์มากมายมหาศาลก็ย่อมมีโทษอย่างมหันต์เหมือนกัน ถ้าไม่รู้จักวิธีใช้ที่ถูกต้องหรือไม่รู้จักวิธีการจัดการ ควบคุม และดูแล เพราะของเสียต่างๆ จะถูกปล่อยออกมาตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงกระบวนการนำไปใช้  การค้นพบแหล่งปิโตรเลียมและการนำปิโตรเลียมมาใช้ประโยชน์เป็นเรื่องราวที่น่าภูมิใจอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ถึงแม้ผลที่เกิดตามมาแต่ละเรื่องล้วนน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแย่งชิงเพื่อครอบครองเป็นเจ้าของ จนนำไปสู่การเกิดความขัดแย้งและสุดท้ายก็หนีไม่พ้นสงคราม ซึ่งมีหลายครั้งหลายหนที่เหตุการณ์ลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นในโลกของเรา นอกจากนี้ผลจากการใช้ยังเป็นตัวทำลายสภาวะแวดล้อมของโลกซึ่งทำให้มนุษย์ต้องเผชิญกับโรคภัยต่างๆ ในทุกวันนี้ 2.1  ธรรมชาติและการกำเนิดปิโตรเลียม ปิโตรเลียม (petroleum) หรือน้ำมันปิโตรเลียม เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีส่วนประกอบที่สำคัญคือคาร์บอนและไฮโดรเจน โดยมีไนโตรเจน ออกซิเจน และกำมะถัน ปนอยู่เล็กน้อย ปิโตรเลียมมีได้ทั้ง 3 สถานะคือก๊าซ ของเหลวและของแข็ง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของปิโตรเลียม ความร้อนและความกดดันตามสภาพแวดล้อมที่ปิโตรเลียมสะสมตัวอยู่ภายในโลก 2.1.1  กำเนิดปิโตรเลียม นักธรณีวิทยาและนักเคมีส่วนใหญ่เชื่อว่า ปิโตรเลียมเกิดจากซากพืชและซากสัตว์ที่ทับถมกันอยู่ที่ก้นทะเลร่วมกับตะกอนเป็นเวลานับล้านๆ ปี การทับถมของชั้นตะกอนต่างๆ มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนหนานับร้อยๆ เมตร เป็นการเพิ่มน้ำหนักในการกดทับซึ่งทำให้เกิดความดันในระหว่างการอัดตัว นอกจากนี้ยังประกอบด้วยปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยให้กระบวนการกลั่นตัวของสารอินทรีย์เหล่านี้ไปเป็นปิโตรเลียมเช่น การย่อยสลายของจุลินทรีย์ ความร้อนจากภายในของโลกและการกลั่นตัวในระดับลึก เป็นต้น  โดยมีไฮโดรเจนที่มีอยู่ในระดับลึกใต้พื้นโลกเป็นตัวเร่งให้เกิดปฏิกิริยา ปิโตรเลียมประกอบด้วย น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่เกิดจากการกลั่นตัวตามธรรมชาติ โดยทั้งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ จะมีการสะสมและซึมผ่านชั้นหินที่เป็นรูพรุน เช่น ชั้นหินทรายและชั้นหินปูนไปสู่แอ่งหินที่ต่ำกว่า จากนั้นจะค่อยๆ สะสมตัวอยู่ระหว่างชั้นหินที่มีความหนาแน่นซึ่งไม่สามารถซึมผ่านไปได้อีก และจะถูกกักไว้ในแอ่งชั้นหินเหล่านั้นภายใต้พื้นโลก แต่ในบางตำแหน่งเนื่องจากถูกแรงอัดจากชั้นหิน ทำให้ปิโตรเลียมพยายามเคลื่อนตัวแทรกไปตามรอยแตกของชั้นหินไปอยู่ตามแหล่งต่างๆ ที่เหมาะสมต่อไป 2.1.2  กระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์ ในกระบวนการกลั่นตัวของสารอินทรีย์เพื่อก่อเกิดเป็นปิโตรเลียมนั้น ซากสิ่งมี ชีวิตที่ทับถมกันแต่ละประเภท จะมีสารอินทรีย์ที่เป็นองค์ประกอบแตกต่างกันไป เช่น แพลงก์ตอน (plankton) จะประกอบด้วย โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต ส่วนพวกแบคทีเรีย (bacteria) จะประกอบด้วย โปรตีน และ ลิพิด (lipid) ส่วนพวกพืชชั้นสูง (land plant) จะประกอบด้วย เซลลูโลส (cellulose) ลิกนิน (lignin) ไข (waxes) เรซิน (resin) และลิพิดอีกเล็กน้อย เมื่อสิ่งมีชีวิตสิ้นสภาพและถูกพัดพามาพร้อมกับตะกอนลงสู่แอ่งสะสมตะกอน บางส่วนของซากสิ่งมีชีวิตจะถูกย่อยสลายโดยขบวนการเติมออกซิเจน บางส่วนก็ถูกย่อยสลายและเป็นอาหารของจุลินทรีย์และส่วนที่เหลืออีกส่วนหนึ่งจะถูกเก็บรักษาไว้ได้ โดยอาศัยสภาพแวดล้อมแบบไม่มีออกซิเจนซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้อันเนื่องมาจากการตกทับถมอย่างรวดเร็วของตะกอน ประกอบกับชนิดและลักษณะของตะกอนที่ มาปิดทับอยู่ ถ้าสารอินทรีย์ที่ถูกปิดทับอยู่ใต้ชั้นตะกอนที่เกิดจากพวกดินโคลน จะทำให้มีปริมาณออกซิเจนเจือปนอยู่น้อยมากหรือเกือบไม่มีเลย เพราะตะกอนจากดินโคลนมีช่องว่างระหว่างเนื้อตะกอนเล็กมาก สารอินทรีย์เหล่านี้จึงอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic) ในขณะเดียวกันถ้าสารอินทรีย์มีการสะสมอยู่ในตะกอนที่มีช่องว่างระหว่างเนื้อตะกอนซึ่งมีขนาดใหญ่จะมีช่องให้ออกซิเจนเข้าไปทำการย่อยสลายสารอินทรีย์ สภาพแวดล้อมแบบนี้ถูกเรียกว่าสภาพแวดล้อมแบบใช้ออกซิเจน (aerobic) และสภาพแวดล้อมแบบนี้จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation) หรือปฏิกิริยาการเติมออกซิเจน ในกระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์โดยพวกจุลินทรีย์ ระหว่างขั้นตอนการเกิดกระบวนการจะก่อให้เกิดก๊าซต่างๆ ขึ้นโดยธรรมชาติ ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH4) ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) เป็นต้น และในตอนท้ายของกระบวนการย่อยสลายดังกล่าวจะได้สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่พร้อมจะกลายเป็นปิโตรเลียม ซึ่งเรียกว่าคีโรเจนชนิดไม่ละลาย (insoluble kerogen) กระบวนการเปลี่ยนรูปแบบทั่วไปของสารอินทรีย์ไปเป็นคีโรเจน มีด้วยกัน 3 ขั้นตอน (กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ.  2547ก.  ออน-ไลน์) โดยแต่ละขั้นตอนจะมีกระบวนการและได้ ผลลัพธ์สุดท้ายออกมาแตกต่างกันดังนี้ 2.1.2.1 กระบวนการที่เกิดขึ้นในขั้นตอนแรกเรียกว่า ไมโครเบียลแอคติวิตี (microbial activity) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในระดับใกล้พื้นผิวไม่ลึกมากนัก เป็นขั้นตอนที่        จุลินทรีย์จะทำลายและย่อยสลายสารอินทรีย์ที่อยู่ในตะกอน ซึ่งถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใช้ออกซิเจนจะเป็นการย่อยสลายสารอินทรีย์โดยตรง จะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ แต่ถ้าเป็นสภาพแวดล้อมแบบไม่ใช้ออกซิเจน สารอินทรีย์จะถูกสลายโดยการหมัก (fermentation) จะได้ก๊าซมีเทน กรดอะมิโน (amino acids) และน้ำตาล   2.1.2.2 กระบวนการที่เกิดขึ้นในขั้นตอนที่สองเรียกว่า พอลิคอนเดนเซชัน (polycondensation) กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นต่อจากกระบวนการแรก ซึ่งจะเกิดที่ความลึกประมาณ 1 เมตรขึ้นไปใต้ผิวโลกไปจนถึงระดับความลึกหลายสิบเมตร เมื่อสสารต่างๆ ที่ได้จากกระบวนการแรกซึมผ่านไปที่ระดับลึกมากขึ้น กรดอะมิโนและน้ำตาล ไม่สามารถทนสภาพที่เปลี่ยนไปจะเกิดการรวมตัวกันเป็นโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้นเป็นรูปแบบของพอลิเมอร์ 2.1.2.3 กระบวนการสุดท้ายของการเกิดคีโรเจนเรียกว่า อินโซลูบิไลเซชัน(insolubilization) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นที่ระดับความลึกหลายร้อยเมตร และใช้เวลาหลายล้านปี ในขั้นตอนนี้โมเลกุลของพอลิเมอร์ที่เกิดขึ้นในขั้นตอนที่สองจะกลายเป็นกรดฮิวมิกและฟลูมิก และเมื่อถูกอัดแน่นเพิ่มมากขึ้นจะเปลี่ยนเป็นฮิวมินและเกิดเป็นคีโรเจนในที่สุด 2.1.3  ประเภทของคีโรเจน เมื่อสิ้นสุดกระบวนการกลั่นตัวจากสารอินทรีย์ไปเป็นคีโรเจนแล้ว จะได้คีโรเจนชนิดต่างๆ ที่มีคุณสมบัติต่างกัน ปริมาณของปิโตรเลียมที่เกิดขึ้นจะมีปริมาณมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณและชนิดของคีโรเจนที่มีอยู่ การแบ่งประเภทของคีโรเจนจะแบ่งโดยพิจารณาจากอัตราส่วนของอะตอมไฮโดรเจนต่อคาร์บอน (H/C) และอัตราส่วนของอะตอมออกซิเจนต่อคาร์บอนค่า (O/C) ดังแสดงในภาพที่ 2.1 โดยทั่วไปจะแบ่งคีโรเจนออก เป็น 4 ประเภท (Nature.  2003.  On-line) คือ 2.1.3.1 ประเภทที่ 1 เป็นคีโรเจนที่มีส่วนประกอบของไฮโดรจนต่อคาร์บอนสูงและส่วนประกอบของออกซิเจนต่อคาร์บอนต่ำ ส่วนใหญ่เกิดจากสารอินทรีย์พวกสาหร่าย (algae) ในสภาวะแวดล้อมแบบทะเลสาบ หรือบริเวณชายฝั่งที่สามารถเกิดการแตกสะพรั่งของสาหร่าย (algal bloom) ได้ คีโรเจนประเภทนี้จะให้น้ำมันประเภท พาราฟิน แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 50 03:58:25 จากคุณ : run1511 - [ 11 ธ.ค. 50 03:55:31 ]

ความคิดเห็นที่ 156 2.1.3.2 ประเภทที่ 2 เป็นคีโรเจนที่มีส่วนประกอบของไฮโดรจนต่อคาร์บอนต่ำกว่าประแรก แต่อัตราส่วนของออกซิเจนต่อคาร์บอนสูงกว่าประเภทแรกเล็กน้อย มักพบในพวกหินตะกอนที่สะสมในทะเล ส่วนใหญ่เกิดจากสารอินทรีย์พวกสัตว์และพืชทะเลต่างๆ คีโรเจนประเภทนี้จะให้น้ำมันประเภท แนฟทาและอะโรมาติก 2.1.3.3 ประเภทที่ 3 เป็นคีโรเจนที่มีส่วนประกอบของไฮโดรจนต่อคาร์บอน ค่อนข้างต่ำและส่วนประกอบของออกซิเจนต่อคาร์บอนในอัตราค่อนข้างสูง สารอินทรีย์ส่วนใหญ่เป็นพวกพืชชั้นสูง โดยเฉพาะพวกเซลลูโลส คีโรเจนชนิดนี้ส่วนใหญ่จะให้ก๊าซ 2.1.3.4 ประเภทที่ 4 เป็นคีโรเจนที่มีส่วนประกอบของอัตราส่วนไฮโดรจนต่อคาร์บอนต่ำที่สุดและมีส่วนประกอบของออกซิเจนต่อคาร์บอนสูง คีโรเจนประเภทนี้เกิดขึ้นในบริเวณที่มีสารอินทรีย์และไฮโดรเจนค่อนข้างน้อย ซึ่งส่วนใหญ่จะให้เฉพาะก๊าซ 2.1.4  กระบวนการเกิดปิโตรเลียม ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้นถึงที่มาของการเกิดปิโตรเลียม ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อสารอินทรีย์ถูกตะกอนต่างๆ ทับถมกันมากขึ้นเรื่อยๆ สารอินทรีย์และตะกอนเหล่านี้ก็จะจมลึกลงไปเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันก็เกิดกระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์ในตะกอนไปด้วย กระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้แบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง คือ ช่วงการก่อตัวใหม่ (diagenesis) ช่วงการกำเนิด(catagenesis) และ ช่วงเกินกำหนด (metagenesis) ซึ่งแต่ละช่วงจะเป็นตัวกำหนดอายุของคีโรเจน ว่าน้อยหรือมากเกินไปที่จะให้ปิโตรเลียม 2.1.4.1 ช่วงการก่อตัวใหม่ เป็นช่วงที่อาจเรียกว่า ขั้นการบ่มเพาะตัว (immature stage) ซึ่งคีโรเจนที่เกิดขึ้นยังไม่สามารถให้ปิโตรเลียมได้ เป็นช่วงที่เกิดขึ้นในระดับความลึกจากพื้นผิวลงไปจนถึงระดับความลึกประมาณ 1,000 เมตร ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่มีการย่อยสลายสารอินทรีย์ให้เป็นคีโรเจนขึ้น โดยมีระดับความกดดันและอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ คือประมาณ 50-60  องศาเซลเซียส 2.1.4.2  ช่วงการกำเนิด ช่วงนี้อยู่ในช่วงที่เรียกว่า ขั้นเจริญเต็มวัย (mature stage) เพราะเป็นช่วงที่คีโรเจนถูกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยความร้อน (thermal degradation) เป็นช่วงที่เกิดขึ้นที่ความลึกตั้งแต่ 1,000 เมตร ไปจนถึงระดับ 3,000 เมตรหรือมากกว่า ช่วงนี้มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมทั้งความดันและอุณหภูมิ สำหรับคีโรเจนที่จะผลิตปิโตรเลียมทั้งน้ำมันและก๊าซออกมาได้ดี และควรมีอุณหภูมิอยู่ในช่วงประมาณ 50-160 oC ดังแสดงในภาพ 2.2 ซึ่งช่วงนี้โดยทั่วไปอาจเรียกว่าเป็นหน้าต่างน้ำมัน (oil window) แต่ที่ระดับความลึกมากไปกว่านี้ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นไปอยู่ในช่วง 120-250  oC คีโรเจนจะเปลี่ยนไปเป็นเพียงแต่ก๊าซเท่านั้น 2.1.4.3  ช่วงเกินกำหนด เป็นช่วงที่อาจเรียกว่า ขั้นเกินเต็มวัย (over mature stage) จะเกิดขึ้นที่ความลึกประมาณ 6,000-7,000 เมตรขึ้นไป ซึ่งจะมีทั้งความกดดันและอุณหภูมิสูงมาก ทำให้ปริมาณออกซิเจนและไฮโดรเจนที่เคยมีอยู่ในคีโรเจนสลายตัวออกไปเกือบหมด ส่งผลให้เกิดการสิ้นสภาพของคีโรเจนซึ่งเรียกว่าเกิดกระบวนการเปลี่ยนเป็นคาร์บอน (carbonization) ทำให้     คีโรเจนมีการเปลี่ยนไปเป็นธาตุคาร์บอนเสียเป็นส่วนใหญ่ 2.1.5  แหล่งกำเนิดและการกักเก็บปิโตรเลียม เมื่อบางส่วนของคีโรเจนมีการเปลี่ยนเป็นปิโตรเลียมแล้ว จะมีการเคลื่อนที่ออกจากแหล่งกำเนิดไปตามรอยแยกหรือรอยแตกต่างๆ ของชั้นหิน รวมทั้งพยายามแทรกซึมไปยังบริเวณที่มันสามารถซึมผ่านได้ดีกว่าและสะสมตัวต่อไป การเคลื่อนที่จากแหล่งกำเนิดหรือหินต้นกำเนิดไปสู่หินกักเก็บน้ำมันจัดเป็นการเคลื่อนย้ายขั้นแรก (primary migration) และอาจมีการเคลื่อนย้ายต่อไปสู่แหล่งที่มีลักษณะเป็นโครงสร้างแบบกักเก็บ ซึ่งเรียกว่าการเคลื่อนย้ายขั้นที่สอง (secondary migration) และถ้ามีการเคลื่อนย้ายจากแหล่งเก็บกักแรกไปยังแหล่งกักเก็บอื่นๆ หรือต่อๆ ไป อาจเรียกได้ว่าเป็นการเคลื่อนย้ายขั้นที่สาม (tertiary migration) จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าปิโตรเลียมนั้น จะมีแหล่งกำเนิดอยู่ในบริเวณหนึ่งแล้วมีการเคลื่อนที่ไปสู่แหล่งอื่นๆ ตามลักษณะของสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ ดังนั้นเพื่อความเข้าใจจะได้กล่าวถึงรายละเอียดของแหล่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเลียมดังนี้                          ภาพที่ 2.2  แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดปิโตรเลียมกับเวลาและอุณหภูมิ                          ที่มา (Nature.  2003.  On-line) จากคุณ : run1511 - [ 11 ธ.ค. 50 04:03:02 ]

ความคิดเห็นที่ 157 2.1.5.1  หินต้นกำเนิด (source rocks) คือบริเวณที่การทับถมของตะกอนซึ่งมีซากพืชและซากสัตว์ขนาดต่างๆ ปะปนผสมอยู่ ซึ่งสารอินทรีย์เหล่านี้จะเกิดการสลายตัวเปลี่ยนไปเป็นปิโตรเลียมก่อนที่ตะกอนจะแข็งตัวเป็นหินดินดาน ปิโตรเลียมที่เกิดขึ้นจะคงอยู่ในหินต้นกำเนิด ต่อมาเมื่อเกิดการไหวตัวของเปลือกโลกหรือด้วยความกดดันของหินที่เกิดทับถมอยู่ในตำแหน่งเหนือขึ้นไป ปิโตรเลียมจะถูกบีบให้ออกจากหินต้นกำเนิดและย้ายตัวไปสู่แหล่งกักเก็บ 2.1.5.2 หินกักเก็บ (reservoir rocks) คือหินที่ปิโตรเลียมสามารถซึมผ่านได้ ปิโตรเลียมที่เกิดขึ้นและเคลื่อนย้ายจากหินต้นกำเนิดแล้วจะเข้าไปอยู่ในหินกักเก็บ ซึ่งหินกักเก็บที่ดีต้องมีค่าความพรุนมากกว่าร้อยละ 10 เช่น หินทราย หินปูน หินโดโลไมท์ เป็นต้น 2.1.5.3  แหล่งกักเก็บ (oil traps) หมายถึงส่วนที่เป็นหินที่ทำหน้าที่ปิดกั้นเพื่อกักเก็บปิโตรเลียม แหล่งหินในบริเวณนี้เป็นพวกที่ต้องมีคุณสมบัติที่ปิโตรเลียมไม่สามารถซึมผ่านได้ มีด้วยกันหลายลักษณะเช่น แหล่งกักเก็บแบบประทุมคว่ำ (anticlines trap) ดังแสดงในภาพที่ 2.3 แหล่งกักเก็บแบบโดมหินเกลือ (salt domes trap) ดังแสดงในภาพที่ 2.4 แหล่งกักเก็บแบบรอยเลื่อนของหิน (faults trap) ดังแสดงในภาพที่ 2.5 และ แหล่งกักเก็บในระหว่างชั้นหิน (stratigraphic trap) ดังแสดงในภาพที่ 2.6 เป็นต้น จากคุณ : run1511 - [ 11 ธ.ค. 50 04:08:35 ]

ความคิดเห็นที่ 158 ภายในแหล่งกักเก็บปิโตรเลียม นอกจากจะมีน้ำมันดิบแล้วยังอาจมีทั้งส่วนที่เป็นก๊าซธรรมชาติและน้ำผสมอยู่ด้วย โดยน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำ จะแยกกันอยู่เป็นชั้นๆ การเรียงลำดับจากชั้นบนถึงชั้นล่างจะเรียงลำดับตามความหนาแน่นจากน้อยไปมากคือก๊าซธรรมชาติซึ่งมีความหนาแน่นน้อยที่สุดจะอยู่ชั้นบน น้ำมันดิบอยู่กลางและน้ำอยู่ชั้นล่างสุด 2.2  การสำรวจปิโตรเลียม วิวัฒนาการในการสำรวจปิโตรเลียมมีระยะเวลาผ่านมายาวนานมาก โดยในระยะเริ่มต้นเป็นการพบแหล่งปิโตรเลียมธรรมชาติโดยบังเอิญเสียมากกว่า หลังจากนั้นจึงค่อยๆ พัฒนามาเป็นการค้นหาและสำรวจตามลำดับ เมื่อพบว่าปิโตรเลียมที่พบนั้นมีประโยชน์ในการใช้งานและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ในช่วงของการค้นหาแหล่งปิโตรเลียมธรรมชาติในสมัยนั้น มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์หรือเครื่องมืออะไรมากนัก เพราะเป็นการค้นหาแหล่งปิโตรเลียมธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนผิวโลก ซึ่งสามารถพบเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต่อมาเมื่อมีประสบการณ์และความรู้มากขึ้นจึงเริ่มมีการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมธรรมชาติที่อยู่ใต้พื้นโลก อย่างไรก็ตามการสำรวจในสมัยนั้นมนุษย์ยังมีความรู้ทางด้านธรณีวิทยาไม่มากพอประกอบกับยังไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยมากนัก จึงเป็นเพียงการสำรวจเชิงกายภาพทั่วไป โดยอาศัยการเปรียบเทียบลักษณะทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่และองค์ประกอบอื่นๆ ในบริเวณพื้นที่นั้นกับบริเวณที่เคยพบมาก่อน ซึ่งผลของการสำรวจค่อนข้างไม่แน่นอน ต่อมาเมื่อมนุษย์มีประสบการณ์และความรู้ดีขึ้น ผลของการสำรวจจึงค่อยๆ มีความแม่นยำมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งปัจจุบันด้วยความรู้ที่มนุษย์สั่งสมมา ประสบการณ์และความ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้การสำรวจแหล่งปิโตรเลียมธรรมชาตินั้นมีความแม่นยำมาก รวมถึงความสามารถในการประมาณการปริมาณปิโตรเลียมธรรมชาติที่พบว่าคุ้มค่าทางเศรษฐกิจหรือไม่ 2.2.1  การสำรวจทางธรณีวิทยา การสำรวจทางธรณีวิทยา (geological explorations) เป็นการสำรวจเพื่อหาแหล่งปิโตรเลียม โดยศึกษาจากลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยาและชนิดของหินที่อยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งจะทำให้สามารถคาดคะเนได้ว่าจะมีโอกาสพบแหล่งปิโตรเลียมในบริเวณนี้หรือไม่ การสำรวจทางธรณีวิทยา จะมีการศึกษาข้อมูลโครงสร้างทางธรณีวิทยาจากแหล่งข้อมูลหลายด้าน เพื่อประกอบและยืนยันผลการวิเคราะห์ เช่นจากภาพถ่ายดาวเทียม ภาพถ่ายทางอากาศ แผนที่ธรณีวิทยา และรายงานทางธรณีวิทยา นอกจากนี้ยังต้องมีการสำรวจธรณีวิทยาโดยการเก็บและวิเคราะห์หินตัวอย่าง ซึ่งผลการสำรวจทางธรณีวิทยานี้จะเป็นข้อมูลที่บอกให้ทราบว่าบริเวณที่สำรวจนั้นมีแหล่งปิโตรเลียมอยู่หรือไม่ 2.2.2  การสำรวจทางธรณีฟิสิกส์ การสำรวจทางธรณีฟิสิกส์ (geophysics explorations) เป็นการสำรวจเพื่อยืนยันผลการสำรวจทางธรณีวิทยา และสามารถนำมาวิเคราะห์คำนวณหาปริมาณปิโตรเลียมที่มีอยู่ในบริเวณนั้น การสำรวจทางธรณีฟิสิกส์ที่ใช้เพื่อสำรวจแหล่งปิโตรเลียมมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็จะมีวิธีการและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน 2.2.2.1  การวัดค่าความโน้มถ่วงของโลก (gravity method in exploration) เป็นการวัดและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงค่าความโน้มถ่วงของโลกที่จุดต่างๆ โดยอาศัยหลักการที่ว่าค่าความหนาแน่นของชั้นหินจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดของค่าความโน้มถ่วงบนผิวโลกด้วย ซึ่งผลของการวัดโดยวิธีนี้จะทำให้ทราบถึงชนิดต่างๆ ของหินที่อยู่ภายใต้ผิวโลก 2.2.2.2  การวัดความเข้มของสนามแม่เหล็กโลก (magnetic method in exploration) เป็นการสำรวจทางแม่เหล็กที่อาศัยการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลก ทั้งนี้เพราะว่าสสารชนิดต่างๆ ในโลกมีคุณสมบัติความเป็นแม่เหล็กที่แตกต่างกัน และผลของการวัดโดยวิธีนี้จะสามารถบอกถึงความหนา ขอบเขต ความกว้างใหญ่ของแอ่ง ซึ่งจะนำไปสู่การวิเคราะห์และแปลความหมายเป็นปริมาตรของแหล่งปิโตรเลียมนั้นได้ 2.2.2.3  การวัดคลื่นความไหวสะเทือน (seismic method in exploration) เป็นการสำรวจโดยอาศัยคลื่นสั่นสะเทือน ซึ่งมีหลักการคือการทำให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือน ณ จุดๆ หนึ่งแล้ววัดเวลาที่คลื่นใช้ในการสะท้อนและหักเหกลับมายังจุดต่างๆ บนผิวดิน หลังจากเคลื่อนที่ไปกระทบ กับรอยต่อของชั้นหิน โดยอาศัยเวลาเหล่านี้จะสามารถคำนวณหาความลึกของรอยต่อต่างๆ ซึ่งจะทำให้ทราบถึงรูปร่างและลักษณะโครงสร้างของชั้นหินภายใต้ผิวโลกได้ 2.2.3  การเจาะสำรวจ การเจาะสำรวจ (drilling) เป็นการเจาะเพื่อพิสูจน์หรือยืนยันผลจากการสำรวจด้วยวิธีต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ข้อมูลที่จะได้จากการเจาะสำรวจจะได้ข้อมูลทางธรณีวิทยา ชนิดและอายุของชั้นหิน โครงสร้างของชั้นหินและการลำดับของชั้นหินต่างๆ รวมถึงชนิดและคุณภาพของปิโตรเลียมที่พบ นอกจากนี้ยังต้องมีการเจาะสำรวจเพิ่มเติมที่เรียกว่า การเจาะขั้นประเมินผลเพื่อหาขอบเขตที่แน่นอนของแหล่งปิโตรเลียม ปริมาณการไหลของปิโตรเลียม 2.3  การเจาะหลุมผลิตปิโตรเลียม วิวัฒนาการในการเจาะหลุมเพื่อผลิตปิโตรเลียมมีมานานกว่าร้อยปีแล้ว การเจาะหลุมปิโตรเลียมหลุมแรกเกิดขึ้นที่เมืองทิทัสวิลล์ (Titusville) รัฐเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1859 โดยเอ็ดวิน แอล แดรค (Edwin L. Drake) ในขณะนั้นเครื่องมือที่ใช้ในการเจาะเป็นแบบกระแทก (percussion drilling) โดยใช้หัวเจาะซึ่งติดอยู่กับก้านเจาะกระแทกชั้นหินลงไปเพื่อทำให้เกิดหลุม และสามารถเจาะพบปิโตรเลียมที่ระดับความลึก 69.5 ฟุต มีปริมาณการผลิตวันละ 20 บาร์เรล ซึ่งการเจาะหลุมปิโตรเลียมหลุมแรกนี้ นับเป็นต้นแบบให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการเจาะหลุมปิโตรเลียมมาจนถึงปัจจุบันนี้ การเจาะหลุมปิโตรเลียมเพื่อการลงทุนผลิตปิโตรเลียมเรียกว่า หลุมผลิตหรือหลุมพัฒนา (development well) จะมีลักษณะการเจาะหลุมหลายรูปแบบเช่น แบบหลุมตรง (straight well) มักเป็นการเจาะสำรวจครั้งแรก แบบหลุมเอียง (deviation well) หรือแบบหลุมเจาะในแนวราบ (horizontal well) มักเป็นการเจาะในขั้นประเมินผลและการผลิต สำหรับการเจาะหลุมปิโตรเลียมเพื่อการผลิตจะมีทั้งการเจาะหลุมบนบก (onshore) และการเจาะหลุมในทะเล (offshore) 2.3.1  การเจาะหลุมผลิตปิโตรเลียมบนบก ในการเจาะหลุมปิโตรเลียมสำหรับแหล่งที่อยู่บนบก จะมีวิธีการเจาะโดยใช้แท่นเจาะซึ่งมีอยู่ด้วย กัน 3 ชนิดคือ 2.3.1.1 แท่นเจาะแบบคอนเวนชันแนล (conventional drilling rig) เป็นแท่นเจาะที่มีทั้งอุปกรณ์และส่วนประกอบต่างๆ ใหญ่ที่สุด สามารถเจาะได้ลึกมากอาจถึง 30,000-35,000 ฟุต จากคุณ : run1511 - [ 11 ธ.ค. 50 04:12:41 ]

ความคิดเห็นที่ 159 การกลั่นปิโตรเลียม ปิโตรเลียมที่ผลิตได้จากหลุมผลิต ซึ่งจะประกอบด้วยน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ น้ำและสิ่งเจือปนอื่นๆ จะถูกนำมาผ่านกระบวนการแยกสถานะและกำจัดสิ่งเจือปนดังกล่าวออก โดยน้ำทั้งหมดจากขบวนการผลิตจะถูกส่งไปบำบัดเพื่อให้ได้มาตรฐานน้ำทิ้งก่อนปล่อยลงสู่ทะเล หรืออัดกลับลงไปในหลุมเพื่อให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ปิโตรเลียมจะถูกส่งไปที่ระบบแยกสถานะ (gas/liquid separator) เพื่อแยกสถานะของปิโตรเลียม ซึ่งก๊าซที่ได้จะถูกส่งไปเพิ่มแรงดัน และดูดความชื้นออกที่ระบบเพิ่มแรงดันก๊าซ (gas compression) และระบบดูดความชื้นก๊าซ (gas dehydration) ตามลำดับ ก่อนที่จะถูกส่งต่อไปเพื่อทำการซื้อขายโดยผ่านระบบมาตรวัดก๊าซ (gas metering) รายละเอียดเรื่องของก๊าซธรรมชาติจะได้กล่าวในบทต่อไป      ส่วนน้ำมันจะถูกส่งไปยัง ระบบคงสภาพ (crude oil tank system) ก่อนที่จะส่งไปเก็บเพื่อขนถ่ายไปสู่โรงกลั่นน้ำมันต่อไป น้ำมันดิบที่ถูกส่งมายังโรงกลั่นน้ำมัน จะถูกแยกส่วนประกอบโดยวิธีการกลั่นลำดับส่วน (fractional distillation) ในหอกลั่นบรรยากาศ ในกระบวนการนี้น้ำมันดิบจะถูกแยกเป็นน้ำมันสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ โดยวิธีการบรรจุน้ำมันดิบเข้าไปในท่อโลหะซึ่งมีคุณสมบัติทนต่อความร้อนสูงซึ่งถูกวางเรียงกันอยู่บนเตาเผา เมื่อทำการเผาส่วนประกอบต่างๆ ในน้ำมันดิบก็จะถูกแยกออกตามลักษณะของจุดเดือดของส่วนประกอบนั้นๆ ดังแสดงในภาพที่ 2.17 ส่วนประกอบต่างๆ ที่อยู่ในน้ำมันดิบมีองค์ประกอบของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนแตกต่างกันซึ่งทำให้สารเหล่านี้มีจุดเดือดแตกต่างกันไป เมื่อให้ความร้อนเข้าไปจนสารต่างๆ ในน้ำมันดิบระเหยไปพร้อมๆ กัน ไอของสารเหล่านั้นก็จะลอยตัวขึ้นไปในหอกลั่น และเกิดการควบแน่นเป็นส่วนๆ ตามช่วงอุณหภูมิของจุดเดือดที่แตกต่างกัน โดยไอของสารที่มีจุดเดือดต่ำจะไปควบแน่นที่บริเวณส่วนบนของหอกลั่น ส่วนไอของสารที่มีจุดเดือดสูงกว่าจะควบแน่นอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำลงมาตามลำดับ เช่น ก๊าซซึ่งเป็นสารไฮโดรคาร์บอนที่มีโมเลกุลเล็กสุดมีจุดเดือดอยู่ในช่วงไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส จะกลั่นตัวในตำแหน่งสูงสุด รองลงมาได้แก่พวกน้ำมันเบนซิน ส่วนพวกที่มีจุดเดือดสูงมากได้แก่ พวกน้ำมันเตาและน้ำมันหล่อลื่น ซึ่งสารเหล่านี้จะมีโมเลกุลของสารไฮโดรคาร์บอนขนาดใหญ่ 2.5  ประเภทของน้ำมันดิบ น้ำมันดิบที่ได้จากการเจาะขึ้นมาจากหลุมผลิต จะมีการจำแนกในเบื้องต้น เพื่อบอกว่าน้ำมันดิบประเภทไหนเหมาะสำหรับการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อะไร โดยมีการแบ่งออกเป็น 3 ประเภท (ปราโมทย์ ไชยเวช และ นุรักษ์ กฤษดานุรักษ์.  2543 : 52) คือ 2.5.1  น้ำมันดิบพื้นฐานพาราฟิน น้ำมันดิบพื้นฐานพาราฟิน (paraffinic base crudes) เป็นน้ำมันดิบที่มีสารจำพวกแอสฟัลต์ปนอยู่น้อยหรือเกือบไม่มีเลย ส่วนใหญ่จะมีพาราฟินผสมอยู่มากและมีไขมันบางส่วน น้ำมันดิบประเภทนี้เมื่อกลั่นแล้วจะได้น้ำมันเบนซินที่มีค่าออกเทนต่ำ แต่ได้น้ำมันก๊าดและน้ำมัน หล่อลื่นที่มีคุณภาพสูง 2.5.2  น้ำมันดิบพื้นฐานแนฟทีน น้ำมันดิบพื้นฐานแนฟทีน (naphthenic base crudes) เป็นน้ำมันดิบที่มีพาราฟินหรือไขมันปนอยู่น้อย แต่มีตะกอนของแอสฟัสท์อยู่มาก มีกำมะถัน ออกซิเจน และไนโตรเจนปนอยู่สูง น้ำมันดิบประเภทนี้เมื่อกลั่นจะได้น้ำมันเบนซินที่มีค่าออกเทนสูง แต่ได้น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล และน้ำมันหล่อลื่นที่มีคุณภาพปานกลาง นอกจากนี้ยังได้แอสฟัลต์หรือยางมะตอยจำนวนมาก 2.5.3  น้ำมันดิบพื้นฐานผสม น้ำมันดิบพื้นฐานผสม (mixed base crudes) เป็นน้ำมันดิบผสมที่มีทั้งพาราฟินและแอสฟัลต์ผสมกันอยู่ น้ำมันประเภทนี้เมื่อนำมากลั่นจะได้ผลิตภัณฑ์ออกมาทุกชนิด แต่ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่โดดเด่น 2.6  ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม จากกระบวนการกลั่นลำดับส่วน จะเห็นว่าในแต่ละช่วงอุณหภูมิสารไฮโดรคาร์บอนจะมีการกลั่นตัว ซึ่งทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ขึ้นมากมาย ดังแสดงในภาพที่ 2.18   ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ 4 ประเภท คือ ผลิตภัณฑ์ประเภทเชื้อเพลิง ผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำมัน     หล่อลื่นและจาระบี ผลิตภัณฑ์ประเภทยางมะตอย และผลิตภัณฑ์อื่นๆ (ปราโมทย์ ไชยเวช และ      นุรักษ์ กฤษดานุรักษ์.  2543 : 169) รายละเอียดของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดมีดังต่อไปนี้ 2.6.1  ผลิตภัณฑ์ประเภทเชื้อเพลิง ผลิตภัณฑ์ประเภทเชื้อเพลิงจัดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณมากที่สุดที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมคือ   ประมาณร้อยละ 85 ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด (กรมธุรกิจพลังงาน.  2547. ออน-ไลน์) ซึ่งประกอบด้วย ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันก๊าด น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันเตา ผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชนิดต่างๆ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เมื่อนำมาเผาไหม้จะเปลี่ยนเป็นไปพลังงานช่วยให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอย่างสุขสบาย 2.6.1.1 น้ำมันเชื้อเพลิง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กันมากทั้งในด้านการคมนาคมขนส่ง การเกษตรและอุตสาหกรรมต่างๆ น้ำมันเชื้อเพลิงที่นิยมใช้กันมากได้แก่ น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันก๊าดและน้ำมันเตา คุณสมบัติต่างๆ ของน้ำมันเหล่านี้มีดังต่อไปนี้ (1)  น้ำมันเบนซิน (gasoline) เป็นน้ำมันที่นิยมใช้กันมากในเครื่องยนต์ที่จุดระเบิดด้วยหัวเทียนหรือที่เรียกว่าเครื่องยนต์ชนิดสันดาปภายใน น้ำมันเบนซินเป็นสารไฮโดร คาร์บอนที่มีจำนวนอะตอมของคาร์บอนในโมเลกุลอยู่ในช่วงตั้งแต่ C5-C10 มีจุดเดือด อยู่ในช่วง 70-120 อาศาเซลเซียส ซึ่งน้ำมันเบนซินที่นิยมที่สุด คือที่มีสารไฮโดรคาร์บอนซึ่งมีจำนวนคาร์บอน 8 อะตอมใน 1 โมเลกุล ที่เรียกว่า ไอโซออกเทน โดยทั่วไปจะรู้จักในลักษณะของค่าออกเทน (octane number) สำหรับตัวเลขค่าออกเทนจะเป็นตัวบอกถึงความบริสุทธิ์ของไอโซออกเทน ที่มีอยู่ในน้ำมัน เช่น น้ำมันที่มีเลขออกเทน 100 หมายถึงน้ำมันนั้นมีไอโซออกเทนที่บริสุทธิ์ ซึ่งมักจะไม่ค่อยถูกนำมาใช้เพราะราคาสูง ส่วนในกรณีที่เลขออกเทนมีค่าต่ำหมายถึงน้ำมันเบนซินนั้น มีสารไฮโดร คาร์บอนน้อยกว่า 8 อะตอมใน 1 โมเลกุล จึงทำให้มีราคาถูกและมีการเผาไหม้ได้ไม่ดี ดังนั้นก่อนการนำน้ำมันเบนซินชนิดนี้มาใช้จึงต้องมีการเติมสารบางชนิดลงไป เพื่อทำให้คุณภาพของน้ำมันเบนซินนั้นใกล้เคียงกับน้ำมันเบนซินที่มีเลขออกเทนสูง สารที่นิยมใช้เติมกันมากคือเททระเอทิลเลต (tetraethyl lead) แต่เนื่องจากมีผลเสียต่อสภาพแวดล้อมเพราะมีตะกั่วเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นในปัจจุบันจึงนิยมใช้สารที่ไม่มีส่วนประกอบของตะกั่วแทน เช่น สารเมธิลเทียรีบิวทิลอีเธอร์ (methyl teriary butyl ether, MTBE) เป็นต้น นอกจากนี้ในน้ำมันเบนซินที่ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ยังต้องมีการเติมสารอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น สารต้านการน็อค สารต้านทานการเติมออกซิเจน สารเติมแต่งทำความสะอาดหัวฉีดและลิ้นไอดี และการเติมสีเพื่อบอกประเภทของน้ำมันเช่น น้ำมันเบนซินออกเทน 91 มีสีแดง  ส่วนน้ำมันเบนซินออกเทน 95 มีสีเหลืองอ่อน เป็นต้น (2) น้ำมันก๊าด (kerosene) เป็นสารไฮโดรคาร์บอนที่มีอะตอมของคาร์บอนใน 1 โมเลกุลอยู่ในช่วงตั้งแต่ C10-C16 และมีจุดเดือดอยู่ในช่วง 120-170 องศาเซลเซียส โดยทั่วไปจะใช้สำหรับการให้พลังงานความร้อนและแสงสว่าง หรือใช้สำหรับเครื่องบิน ซึ่งขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของสารไฮโดรคาร์บอนในน้ำมันก๊าดนั้นๆ   นอกจากนี้ในปัจจุบันได้มีการนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ หลายประการเช่น ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำยาทำความสะอาด น้ำมันขัดเงาประเภทต่างๆ ใช้เป็นส่วนผสมสำหรับยาฆ่าแมลง เป็นต้น (3)  น้ำมันดีเซล (diesel oil) เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีราคาถูก จึงเป็นที่นิยมใช้สำหรับการขนส่งโดยสาร เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า รถแทรกเตอร์ เรือประมง เป็นต้น น้ำมันดีเซลประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอนที่มีอะตอมของคาร์บอนใน 1 โมเลกุล อยู่ในช่วงตั้งแต่  C14-C20 และมีจุดเดือดอยู่ในช่วง 170-270 องศาเซลเซียส   (4)  น้ำมันเตา (fuel oil) เป็นสารไฮโดรคาร์บอนที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่มาก คือมีจำนวนอะตอมของคาร์บอนใน 1 โมเลกุลอยู่ในช่วงตั้งแต่ C20-C70 และมีจุดเดือดอยู่ในช่วง 250-400 องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่ใช้เพื่อเป็นแหล่งให้พลังงานความร้อน มีการใช้กันมากในอุตสาหกรรมต่างๆ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ เพราะมีราคาถูก การขนถ่ายและการเก็บรักษาสามารถทำได้ง่าย   2.6.1.2  ก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือก๊าซหุงต้ม  ในกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบโดยวิธีการกลั่นลำดับส่วนดังที่ได้กล่าวมาแล้ว สารไฮโดรคาร์บอนที่มีจำนวนอะตอมของคาร์บอนน้อยที่สุดและมีจุดเดือดต่ำสุดจะอยู่ในสภาวะก๊าซ ซึ่งมีจำนวนอะตอมของคาร์บอนตั้งแต่ C1-C4 ได้แก่ มีเทน อีเทน โพรเพน และบิวเทน ตามลำดับ จะมีสภาวะเป็นก๊าซที่อุณหภูมิห้อง ดังนั้นในการเก็บรักษาจึงต้องทำให้อยู่ในสภาวะของเหลวโดยการเพิ่มความดันหรือลดอุณหภูมิ         ในการผลิตก๊าซหุงต้มจะใช้การผสมระหว่างก๊าซโพรเพนกับ  ก๊าซบิวเทนในสัดส่วนที่เหมาะสม ซึ่งจะแตกต่างกันไปแล้วแต่การผลิต แต่จะมีผลให้ค่าความดันไอต่างกัน สำหรับประเทศไทยผู้ผลิตแต่ละรายสามารถกำหนดสัดส่วนระหว่างก๊าซโพรเพนกับ      ก๊าซบิวเทนได้ตามความเหมาะสมของกระบวนการผลิต เช่น บริษัทการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยกำหนดสัดส่วนโมลของโพรเพนต่อบิวเทนเป็นร้อยละ 60:40 ส่วนบริษัทไทยออยล์ และโรงกลั่นอื่น ๆ จะมีสัดส่วนโมลของโพรเพนต่อบิวเทนเป็นร้อยละ   30:70 เป็นต้น ก๊าซเป็นแหล่งที่ให้พลังงานความร้อนสูง มีเปลวไฟที่สะอาด จึงถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงทั้งในครัวเรือนและในอุตสาหกรรม  และในปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมันเบนซินในรถยนต์  เพราะราคาถูกกว่า มีค่าออกเทนสูงและไม่มีสารตะกั่ว โดยปกติก๊าซเหล่านี้จะไม่มีสีและไม่มีกลิ่น ดังนั้นผู้ผลิตจึงใส่กลิ่นเข้าไปเพื่อให้สามารถรู้ได้ง่ายเมื่อเกิดการรั่ว   2.6.2  ผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำมันหล่อลื่น และจาระบี ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เกิดจากสารซึ่งได้จากกระบวนการกลั่นลำดับส่วนน้ำมันดิบในลำดับท้ายๆ ของกระบวนการกลั่น ที่เรียกว่าสารหล่อลื่น (lubricating oil) เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีโมเลกุลใหญ่ โดยมีจำนวนอะตอมของคาร์บอนใน 1 โมเลกุลอยู่ในช่วง C20-C50 มีจุดเดือดค่อนข้างสูงคือประมาณ 300 องศาเซลเซียสขึ้นไป สารนี้มีจะมีลักษณะเหนียวแต่ลื่น จึงมีคุณสมบัติช่วยลดความฝืดระหว่างผิวสัมผัสและลดการสึกหรอ 2.6.3  ผลิตภัณฑ์ประเภทยางมะตอย ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เกิดจากสารที่เป็นส่วนเหลือจากกระบวนการกลั่นลำดับส่วน สารไฮโดรคาร์บอนที่อยู่ในสารประเภทนี้ มีโมเลกุลใหญ่ที่สุดในบรรดาสารที่เกิดจากกระบวนการกลั่นทั้งหมด โดยมีจำนวนอะตอมของคาร์บอนใน 1 โมเลกุลมากกว่า C70 มีจุดเดือดค่อนข้างสูงคือมากกว่า 350 องศาเซลเซียสขึ้นไป สารที่ได้นี้เรียกว่า บิทูเมน (bitumen) หรือ แอสฟัลต์ (asphalt)   2.6.4  ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในกระบวนการกลั่นน้ำมันโดยวิธีลำดับส่วนตัว นอกจากจะได้ผลิตภัณฑ์หลักๆ ซึ่งเป็นสารไฮโดรคาร์บอนตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น ในระหว่างกระบวนการยังได้สารประเภทตัวทำละลายและสารเคมีต่างๆ ออกมาด้วย 2.7  บทสรุป ปิโตรเลียมเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการทับถมของสารอินทรีย์ต่างๆ โดยใช้เวลานับล้านๆ ปี และอาศัยกระบวนการทางเคมี ทำให้สารอินทรีย์เหล่านั้นเปลี่ยนไปเป็นคีโรเจน และในที่สุดก็กลายไปเป็นปิโตรเลียมในสถานะต่างๆ ตามองค์ประกอบของสารไฮโดรคาร์บอนในปิโตรเลียม และสภาพแวดล้อมทั้งระดับพลังงานความร้อนและความกดดันที่มีอยู่ในขณะนั้น การได้มาซึ่งปิโตรเลียมเพื่อการนำมาใช้นั้น เริ่มตั้งแต่การสำรวจพื้นที่ทั้งทางธรณีวิทยา และทางธรณีฟิสิกส์ และเพื่อยืนยันผลการสำรวจก็จะทำการเจาะสำรวจก่อนการลงทุนเจาะเพื่อการผลิต ปิโตรเลียมที่ได้จากหลุมผลิตจะถูกนำไปแยกสถานะซึ่งจะมีทั้งก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ และสิ่งเจือปนต่างๆ น้ำมันดิบจะถูกนำไปเข้าสู่กระบวนการกลั่นลำดับส่วน โดยอาศัยความแตกต่างของจุดเดือดของสารไฮโดรคาร์บอนที่มีอยู่ในปิโตรเลียม ทำให้สามารถแยกผลิตภัณฑ์ต่างๆออกมาได้ จากคุณ : run1511 - [ 11 ธ.ค. 50 04:15:28 ]

ความคิดเห็นที่ 160 ขอบคุณสำหรับการเผยแพร่ความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่ถูกต้องและ เข้าใจง่ายแก่สาธารณะชนครับ ความรู้และความเข้าใจทางเศรษฐศาสตร์ที่ถูกต้องจะช่วยทำให้เข้าใจขีด จำกัดของผู้ดำเนินนโยบายภาครัฐและที่สำคัญคือเข้าใจขีดจำกัดของทรัพยากรและ ภาระที่ลูกหลานหรือคนรุ่นหน้าของเราที่จะต้องเผชิญ จากคุณ : ปริเยศ (Pariyed) - [ 12 ธ.ค. 50 08:00:02 ]

ความคิดเห็นที่ 161 สำหรับท่านที่ถามเข้ามาเรื่อง กองทุนน้ำมันและ LPG นะครับ ผมเขียนไว้ในอีกกระทู้หนึ่งที่ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I6120968/I6120968.html นะครับ ถ้าสนใจเชิญที่กระทู้นั้นครับ ขอบคุณครับ :) จากคุณ : m_ple - [ 12 ธ.ค. 50 12:46:59 ]

ความคิดเห็นที่ 162 ขอบคุณค้าบ อ่านสนุกและได้ความรู้จริงๆ ...โหวตแล้ว จากคุณ : cntip - [ 12 ธ.ค. 50 20:07:56 ]

ความคิดเห็นที่ 163 ขอบคุณมากๆค่า และเห็นด้วยกับจขกท.นะคะ ไม่ควรลดราคาน้ำมันค่ะ จากคุณ : รักไทยเชื่อไทย - [ 13 ธ.ค. 50 21:23:33 ]

ความคิดเห็นที่ 164 กราฟในความเห็นที่ 20 เป็นการมองด้านเดียว เพราะไม่ได้แสดง รายได้ของประชากรในแต่ละประเทศได้ ยกตัวอย่างมาไม่กี่ประเทศเอง แต่รายได้ของคนไทยกัน คน usa ไม่เท่ากัน จะบอกว่านำมันเราถูกได้ไง ตอบทีครับ จากคุณ : Desperado Dejavu - [ 14 ธ.ค. 50 12:44:36 ]

ความคิดเห็นที่ 165 ตามความเห็น ที่ 17 ราคาที่อ้างเป็นาคาเฉลี่ยทั้งปี หรือ ราคาสูงสุดที่โดนปั่นขณะนั้น จากคุณ : Desperado Dejavu - [ 14 ธ.ค. 50 12:45:56 ]

ความคิดเห็นที่ 166 ขอบคุณครับสำหรับบทความของ จขกท.   และ เพื่อนสมาชิกพันทิปที่ร่วม คอมเม้นท์ สาระอีกหลายความคิดเห็น ขอบคุณมากๆครับ นี่คือประโยชน์ ของอินเตอร์เน็ต พื้นฐานของการศึกษาหาความรู้ วิธีการมอบความรู้ หนทางที่จะได้ความรู้ และการนำความรู้มาใช้งานจริง โหวต..... จากคุณ : manfa - [ 14 ธ.ค. 50 18:59:19 ]

ความคิดเห็นที่ 167 ขอบคุณมากๆ ค่ะ สำหรับความรู้ จากคุณ : itonic (itonic) - [ 14 ธ.ค. 50 20:03:05 ]

ความคิดเห็นที่ 168 รู้สึกว่ามีประเด็นตกค้าง ^^" คห. 151 คุณ สมชาย บางพลี ข้อ 1 และ 2 ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ ข้อ 3 มาเลเซียมีแหล่งน้ำมันเป็นของตนเองครับ และรัฐสามารถนำกำไรที่ขายน้ำมันดิบได้ มาอุดหนุนราคาขายปลีกในประเทศครับ โดยมีบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับคนที่ลักลอบนำน้ำมันสำเร็จรูปไปขายต่างประเทศในราคาที่รัฐอุดหนุนครับ คห. 164 คุณ Desperado Dejavu ประเด็นเรื่องการหักค่าครองชีพในแต่ละประเทศ ผมได้ตอบไว้แล้วครับ รบกวนอ่านได้ใน คห.ที่ 128 นะครับ ^^ ส่วน คห.165 ตัวเลขที่ใช้ราคาที่ใช้เป็นราคาเฉลี่ยรายเดือน ณ เดือนล่าสุดครับ เป็นตัวเลขเฉลี่ยเดือนตุลาคมครับ ถ้าต้องการทราบเดือนก่อนหน้า คุณสามารถดูจากกราฟได้นะครับ ^^ ขอบคุณทุกท่าน (ที่ยังไม่ได้ขอบคุณก่อนหน้านี้) นะครับ ทุกเสียงตอบรับ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือเห็นต่าง ขอบคุณครับ ^^ จากคุณ : m_ple - [ 15 ธ.ค. 50 17:19:40 ]

ความคิดเห็นที่ 169 เข้ามาขอบคุณและช่วยโหวตค่ะ เยี่ยมทั้งเนื้อหาสาระและรูปแบบการนำเสนอ จากคุณ : มังคุดกวน - [ 17 ธ.ค. 50 22:46:18 ]