ความคิดเห็นที่ 1 คำถาม :: จะรู้ได้อย่างไรว่ากองทุนนั้น เป็นกองทุนหุ้นคุณภาพดี ? แล้วจะพิจารณาจากอะไร ? ถ้าเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ คำถามนี้เป็นเรื่องที่ไม่ยากเลย แต่สำหรับเราคนทำงานในแวดวงอื่น ๆ อาจจะเป็นที่ปวดหัว และใช้เวลาทำความเข้าใจนานสักหน่อย ลองผิดลองถูกบ้าง แล้วมันจะค่อย ๆ ซึม ค่อย ๆ ทราบกันไปเองครับ ลองดูวิธีนี้สิครับ DIY (Do It Yourself) แล้วคุณจะได้วิชาติดตัวไปเลย จับปลากินเองได้ ไม่ต้องรอให้ใครมาจับปลาให้กิน อยากเลือกกินปลาตัวใหญ่ ตัวเล็ก ก็จับกินเองได้เลย หิวเมื่อไหร่ก็ไปจับมากิน 1. รวบรวมรายชื่อกองทุนหุ้นที่น่าสนใจ โดยดูได้จากหน้าหนังสือพิมพ์รายวันที่ลงประกาศ NAV ในนั้นจะมีเกือบทุก บลจ. เช่น หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หนังสืิอพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และยังมีชื่อเวปไซต์ให้เราทราบด้วย [ ผลพลอยได้ :: คุณจะเห็นภาพรวมคร่าวของกองทุนต่าง ๆ เกือบทั้งหมด ได้เห็นไซส์กองทุน ได้เห็นราคากองทุน ได้เห็นราคาซื้อขาย ได้เห็นความแตกต่างของชื่อกองทุน ที่อาจจะมีผลต่อนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน เพราะบางกองทุนชื่อมีความหมายดี บางกองอ่านแล้วรู้เลยว่าต้องลงทุนในหุ้นแบบไหน บางกองชื่อบอกว่า wealth จะเพิ่มขึ้น มั่งคั่ง ยั่งยืน วิเศษวิโสต่าง ๆ นานา แต่ทำไมๆๆๆๆๆ แต่บางกองชื่อกองทุนเชยมั่กๆ แต่ราคา NAV ขึ้นสูงดีจัง ฯลฯ ] 2. เข้าไปในเวปไซต์ของ บลจ.ที่เราสนใจ แล้วไปดูผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหุ้นที่เขาจะมีรายงานไว้ให้ สำหรับภาวะตลาดหุ้นที่ผ่านมา ดูย้อนหลังแค่ 3 เดือน กับ 12 เดือนก็พอจะเห็นความแตกต่างได้ครับ แล้วสั่งพิมพ์ออกมาเก็บไว้ดูเพื่อเปรียบเทียบ อาจจะมีคนบอกให้เข้าไปตรวจดูในเวปไซต์ของ บลจ.ฟินันซ่า เพราะสะดวกและเร็วดี แต่หมีพูเห็นว่าเราตรวจสอบเองทุก บลจ. เราจะได้ข้อมูลผ่านตาที่มากกว่าครับ [ ผลพลอยได้ :: ได้สำรวจหน้าตาของแต่ละเวปว่ามีความแตกต่าง ค้นหาข้อมูลยากง่าย เป็นมิตรต่อผู้ใช้มากน้อยแค่ไหน ได้เห็นถึงการเอาใจใส่ต่อผู้ลงทุนของแต่ละ บลจ.ผ่านทางหน้าเวป ถ้าบลจ.ไหนข้อมูลเป็นเต่าล้านปี ไม่ยอมปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันสักที คุณจะรู้สึกอย่างไรครับ คุณจะได้เห็นถึงการเรียนรู้ที่แต่ละ บลจ.มีให้กับผู้ลงทุนของตัวเอง ไ้ด้เห็นช่องทางซื้อขายทางเน็ท ฯลฯ ] 3. ในปัจจุบันนี้กองทุนหุ้นหลาย ๆ กองในบลจ.เดียวกัน มีผลการดำเนินงานไปในทางเดียวกันแทบทั้งนั้น ถ้าคุณตรวจพบว่า บลจ.นั้นมีกองหุ้นสิบกอง แล้วผลการดำเนินงานเป็นไปในทางเดียวกัน แตกต่างกันแค่นิดเดียว ก็ให้คุณเลือกกองทุนหุ้นในนั้นออกมาแค่กองเดียวเท่านั้นก็พอแล้วครับ  โดยดูจากค่าธรรมเนียมซื้อขายและสภาพคล่องในการซื้อขายเป็นหลัำก [ ผลพลอยได้ :: ได้รู้ว่ากองทุนที่มีนโยบายการลงทุนต่างกัน ทำไมถึงได้ผลตอบแทนเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน แต่ค่าธรรมเนียมซื้อขายและจัดการแตกต่างกัน แสดงว่าต้องมีกองใดกองหนึ่งคิดแพงแน่ๆ หรือบางกองคิดถูกกว่า เป็นคุณจะเลือกอย่างไหน ] 4. ทำวิธีข้อ 3 กับหลาย ๆ บลจ. แล้วคัดออกมาที่ละกองสองกอง เชื่อแน่ว่าถ้าคุณได้หาเองจากทุก บลจ. คุณจะได้อะไรดี ๆ ผ่านตา มากกว่าดูแค่เวปเดียวครับ [ ผลพลอยได้ :: ได้ข้อสังเกตุว่าทำไมแต่ละบลจ.ถึงบริหารกองทุนได้ผลงานที่แตกต่างกัน ทั้ง ๆ ที่ก็ลงทุนในหุ้นตลาดเดียวกัน ] 5. นำผลงานของแต่ละกอง แต่ละ บลจ.มาเทียบกันดูครับ ว่ามีกองหุ้นไหนบ้างที่มีผลงานอยู่ในระดับเดียวกัน รับรองว่าต้องเจอ เพราะเดี๋ยวนี้ บลจ.ทำผลงานเกาะกลุ่มกัน ถ้าไม่งั้นก็โดดเด่นไปเลย หรือไม่ก็แย่ไปเลย [ ผลพลอยได้ :: ได้รู้ว่าหลาย ๆ กองทุนในระยะสั้น ๆ แม้ผลงานจะดี แต่ในระยะยาวที่ผ่านมาก็ทำผลงานได้งั้น ๆ ไม่ได้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้หมดความน่าสนใจ ] 6. ให้เลือกผลงานกองทุนหุ้นที่โดดเด่นที่สุดออกมากองเดียว และ้เลือกกองทุนหุ้นที่ผลงานแย่ที่สุดออกมากองเดียว และเลือกกองทุนหุ้นที่มีผลงานกลาง ๆ ออกมากองเดียว [ ผลพลอยได้ :: คุณจะเป็นคนช่างสังเกตุ และจับผิดกองทุน รวมถึงตรวจดูหนังสือชี้ชวนของกองทุน เพื่อดูว่าได้ทำตามนโยบายที่วางไว้หรือไม่ ถ้าได้ทำตามแล้วทำไมผลงานถึงได้แตกต่างจากชาวบ้านเขา ] 7. เมื่อได้กองทุนในข้อ 6 แล้ว ให้เข้าไปดูพอร์ตกองทุนของกองหุ้นนั้น ๆ ว่าเขาลงทุนในหุ้นอะไรบ้าง ดูความแตกต่างของหุ้นที่แต่ละกองเขาลงทุน ถ้ากองหุ้นที่ผลงานดีโดดเด่น กับกองหุ้นที่ผลงานกลาง ๆ มีหุ้นในพอร์ตที่เหมือนกัน หรือคล้ายกันมาก รวมทั้งมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเหมือน ๆ กัน คุณก็จะรู้ด้วยตัวเองครับว่าจะเลือกลงทุนในกองไหนดี เพราะแต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน (อย่างหมีพูชอบของแปลก ไม่ซ้ำซากจำเจ อิอิ) แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือกองทุนหุ้นที่มีผลงานแย่สุด กับกองทุนหุ้นที่มีผลงานดีสุด มันจะต้องมีความแตกต่างกันในเรื่องของหุ้นต่าง ๆ ที่กองทุนนั้น ๆ ได้เข้าไปลงทุึนอย่างแน่นอนครับ ไม่งั้นผลงานคงไม่ต่างกันราวฟ้ากับเหว นี่แหละคือ "ขุมสมบัติ" ที่คุณควรเข้าไปขุดคุ้ยครับ แล้วพิจารณาด้วยตัวเองครับว่า จะยอมลงทุนในกองหุ้นที่มีผลงานแ่ย่สุดในขณะนี้ แต่ในอนาคตอาจจะมีผลงานดีที่สุดก็เป็นไปได้ (มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วครับ) หรือจะลงทุนแต่กองหุ้นที่ดีที่สุดเท่านั้น โดยยอมรับความผันผวนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต กองหุ้นที่ผลงานในระยะสั้นแย่ ๆ แต่มีหุ้นดี ๆ ทั้งนั้น เราก็สบายใจที่จะถือครองไว้ยาว ๆ เพื่อสะสมปันผลหรือนั่งดู NAV ที่เติบโตอย่างมั่นคงใช่มั้ยครับ แต่ถ้ากองทุนหุ้นไหนมีผลงานระยะสั้น โดดเด่นมาก แต่อาจจะลงทุนในหุ้นบางตัว ที่มีความผันผวนได้ง่าย เราก็จะได้รู้จังหวะถือครอง เพื่อจะได้หาโอกาสทำกำไรระยะสั้นต่อไป เห็นมั้ยว่าเราเป็นมิตรทั้งกองที่ผลงานดีและกองที่ผลงานแย่ เพราะบางช่วงที่ตลาดหุ้นแย่ ๆ กองที่ผลงานดี ๆ ก็กลายเป็นแย่ได้ ส่วนกองหุ้นที่เคยแย่ ก็กลับมาดีได้ครับ ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้รับประกันถึงผลการดำเนินงานในอนาคตครับ ส่วน Active กับ Passive ต่างกันอย่างไร จะ DCA หรือ VA ดีหรือไม่ จะเหมาะสมกับคุณหรือเปล่า คำตอบเหล่านี้จะออกมาเองในระหว่างที่คุณได้ค้นหาข้อมูลข้างต้นครับ ทั้งหมดที่แนะนำนี้ เสียเวลาในการเรียนรู้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเองครับ หยุดยาวเทศกาลปีใหม่นี้ ลองจัดเวลามาเรียนรู้ด้วยตัวเองกันเถอะครับ แล้วปีใหม่เราอาจจะได้มีกองทุนหุ้นแบบแปลก ๆ ประหลาด ๆ หรือแบบโลดโผนโจนทะยาน มาอยู่ในพอร์ตลงทุนของเรา สวัสดีปีใหม่ครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 29 ธ.ค. 50 17:26:51 ]

ความคิดเห็นที่ 2 กองทุนคุณภาพดีอาจวัดได้จาก ผีผลกำไรที่ดี มีนโยบายการลงทุนตรงตามที่ได้ประกาศไว้ ทำให้เราเลือกลงทุนถูกกอง มีค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม และที่สำคัญในยุคนี้คือ ต้องมีการซื้อขายผ่านทางเนทได้แล้ว เครื่องมือที่ใช้เข้าใจง่ายต่อการซื้อขาย กองทุน active ก็ความหมายตรงตามชื่อเลยคือจะ active หน่อย มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีกว่าในช่วงตลาดขาลง ปรับตัวและรับมือยืดหยุ่นเหมาะตามสถานการณตลาดในขณะนั้น  หากset ขึ้นก็กองไม่ขึ้นสุด หาก set ลงก็กองก็ไม่ลงสุด ส่วน passive ผลประกอบการมักจะขึ้นลงตาม set  ไม่ใช่ว่าไม่ปรับตัว เพียงแต่อาจจะน้อยกว่า ดังนั้นมักจะขึ้นลงแรงกว่าแบบ active ดังนั้นหากเป็นช่วงตลาดขาขึ้น passive จะราคาดีกว่า active แต่ในความคิดผม ถ้ามองไปยาวๆ  ราคากองแบบ active จะราคาสูงกว่าอยู่ดี กองไหน active passive ให้ดูที่ค่าธรรมเนียมต่างๆ เก็บแพงก็จะเป็น active ครับ (แต่ผมก็ดูไม่เป็นหรอกนะ) จะลงทุนแบบ DCA ถ้าให้ดีก็ต้องเป็นตลาดขาขึ้น หากเป็นตลาดขาลง แม้ต้นทุนจะถูกลงเรื่อยๆ แต่ว่าก็ต้องรอตลาดขาขึ้นถึงจะได้กำไร มันจึงขึ้นอยู่กับว่าคุณ DCA แบบไหน ถ้าเป็นรายเดือน ขอแนะนำว่าไม่ต้องสนตลาด สิ่งสำคัญคือวินัยและความอดทน แต่ถ้าเป็น DCA ราย week คุณควรทำตอนช่วงขาขึ้น เพราะถ้าลงแบบ week ในช่วงขาลง ทุนที่คุณมีอาจจะหมดก่อนที่ตลาดจะกลับตัว และคุณจะเสียขวัญที่ไม่ทราบว่าเมื่อไรตลาดจะหยุดลงเสียที ตอนนี้ตลาดลงหรือขึ้น ผมก็ดูไม่เป็นครับ ให้รอบรรดา love mutual fund ทั้งหลายมาตอบเสริมนะครับ ผมเองก็เพิ่งซื้อไป 2 เดือน มือใหม่สุดๆ จากคุณ : พิชรา - [ 29 ธ.ค. 50 17:41:40 ]

ความคิดเห็นที่ 3 กลายเป็นผมเสริมแทนซะงั้น ลืม refresh อะ จากคุณ : พิชรา - [ 29 ธ.ค. 50 17:45:33 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณคุณพิชราที่เข้ามาช่วยเสริมข้อมูล สวัสดีปีใหม่ครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 29 ธ.ค. 50 18:01:19 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตลาดเป็นขาขึ้นหรือขาลง คงไม่มีใครบอกได้แน่นอนหรอกครับ ได้แต่คาดเดา ถ้ารู้แน่นอน ก็คงรวยล้นฟ้าไปแล้ว มันเป็น paradox ครับ เช่น บอกว่า DCA ดีตอนขาขึ้น อ้าวถ้ารู้ว่าขาขึ้นจะทำ DCA ทำไม ก็ทุ่มไปหมด max เลยไม่ดีกว่าเหรอครับ ถ้ารู้ว่าตลาดขาขึ้นแน่ ๆ ที่ทำ DCA เพราะเรายอมแพ้นั่นเอง เพราะไม่รู้ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง ก็ซื้อเฉลี่ยตามบุญตามกรรม ถ้าไปซื้อเฉลี่ยตอนขาลงไปเรื่อย ๆ จนเงินทุนหมด ก็ซวยไปครับ ต้องรออีกนานกว่าจะเท่าทุน ถ้าซื้อเฉลี่ยตอนขาขึ้น เราก็ได้กำไรเรื่อย ๆ ครับ สำหรับกองทุนหุ้น เบื้องต้นดู finansa เปรียบเทียบ performance ดูก่อนก็ได้ครับ แล้วลองเข้าไปดูรายละเอียดจากเว็บของแต่ละ บลจ. ครับ กองทุนบางกอง performance ดีในอดีิต แต่พอเวลาผ่านไป ก็ตกลงไปก็มีให้เห็นหลายกองครับ อย่าคิดว่า performance ที่ผ่านมาดีแล้วจะดีตลอดไปนะครับ http://www.finansa-asset.com/fund_result.asp?L_Fund_Type=EQU&L_Fund_Size=0%2520and%2520999999&L_Fund_Performance=--%2520Select%2520Performance%2520Peroid%2520--&L_Fund_Rank=All&L_Fund_Maturity=--%2520Select%2520Fund%2520Maturity%2520--&L_Fund_Manager=&Fund_Type=MF active ก็คือ กองทุนที่ต้องการชนะ benchmark ยิ่งชนะมากเท่าไหร่ยิ่งดี ส่วน passive ก็คือแค่ เกาะกลุ่มกับ benchmark ให้เหนือกว่า benchmark ก็เป็นใช้ได้ แล้วแต่คนชอบครับ passive ค่าธรรมเนียมก็จะถูกกว่าครับ จากคุณ : DD - [ 29 ธ.ค. 50 19:02:57 A:210.203.182.15 X: TicketID:100823 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สำหรับ VA จะเป็นเทคนิคที่ดีกว่า โดยสรุปก็คือ ช่วงหุ้นตกซื้อมาก ช่วงหุ้นขึ้นซื้อน้อยหรือขายครับ แต่วิธีการทำยุ่งยากกว่า ต้องมีำการคำนวณ และต้องประมาณการ return % ด้วย แต่ถ้าอยากได้ผลตอบแทนที่ดี ก็ต้องลงทุนหน่อยครับ จากคุณ : DD - [ 29 ธ.ค. 50 19:05:38 A:210.203.182.15 X: TicketID:100823 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ดูเรื่องบริการด้วยก็ดีครับ.. ตอนนี้รอๆๆๆ ให้ TMBAM กับ AYFund ปรับปรุงมาจนข้ามปีแล้ว ยังไม่มีรายงานต้นทุนเฉลี่ยเหมือนอย่าง SCBAM เพราะบังเอิญเราเป็นประเภทเน้นจังหวะลงทุน แต่ AYFund ดีหน่อยตรงที่ติดต่อกลับมาบ้างหลังจากได้รับคำแนะนำ... จากคุณ : tuxpower - [ 29 ธ.ค. 50 19:26:51 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณทุกคนมากค่ะ  อ่านแล้วทำให้พอมองเห็นภาพมากขึ้นเยอะเลยค่ะ  (แต่บางภาพก็ยังมัว ๆ อยู่นะ) ช่วงหลัง ๆ นี่ ก็พยายามเข้าไปศึกษาที่ web ของแต่ละบลจ.แล้ว  แต่ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีความรู้  รู้สึกว่า ข้อมูลมันก็เหมือน ๆ กันไปหมด  แต่หลังจากที่อ่านกระทู้นี่แล้ว พอจะเข้าใจนิดหน่อย  เดี๋ยวต้องลองไปศึกษาเพิ่มดูก่อน  คิดว่า หลังปีใหม่นี้ น่าจะซื้อแน่นอน  อาจจะแบ่งเป็น 2 กอง   กองหนึ่ง ระยะยาว   อีกกองหนึ่ง ระยะสั้น เพราะมีเวลาติดตามอยู่ค่ะ  (ทำงานบริษัทค่ะ เข้า web ได้ตลอด  เช้าก่อนทำงาน  กลางวันพักเที่ยง  เข้าไป check ได้บ้าง) จากคุณ : oXynAt - [ 30 ธ.ค. 50 16:47:59 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มาหาความรู้จากกระทู้นี้ค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : arata - [ 9 ม.ค. 51 00:26:09 A:202.91.19.192 X: TicketID:119113 ]