ความคิดเห็นที่ 1 ฝรั่งทิ้งหุ้นไทยแสนล. + โดมิโนเศรษฐกิจเริ่มแล้ว /ไวรัสซับไพรม์ลามโลก / จอร์จ โซโรส ชี้สุดเลวร้าย   จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2290 24 ม.ค. - 26 ม.ค. 255 ซับไพรม์กระชากหุ้นโลกวิกฤติ คาดเสียหายแล้ว 5.5 ล้านล้านดอลล์ อินเดีย ปิดตลาดชั่วคราว ต่างชาติกระหน่ำขายแล้วแสนล้าน ทุบมาร์เก็ตแคปวูบ 8.7 แสนล้านบาท แบงก์ชาติรับเงินไหลออกทำบาทอ่อนค่า โบรกเกอร์คาดลงลึก 680-600 จุด ผู้เชี่ยวชาญตลาดทุนกระทุ้งเร่งสร้างเกราะคุ้มกันนักลงทุนเพื่อรับมือกระแสฟันด์โฟลว์ที่เชี่ยวกราก ผอ.ไอเอ็มเอฟ-จอร์จ โซรอส รับ"โคม่า" ตลาดเกิดใหม่ติดร่างแหวิกฤติ ตลาดหุ้นทั่วโลกวิกฤติอย่างหนักจากแรงเทขายของนักลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 วันที่ผ่านมา (21-22 ม.ค.) แม้ "จอร์จ ดับเบิลยู. บุช" ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะแถลงแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการประกาศอัดฉีดเงินเข้าสะสางปัญหาวิกฤติตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยลูกหนี้คุณภาพต่ำ(ซับไพรม์)กว่า 5 ล้านล้านบาท ก็ไม่ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าจะสามารถกู้สถานการณ์ได้ ***หุ้นโลกพังยับ 5.5 ล้านล้านดอลล์ อาการตื่นตระหนกด้วยการเทขายหุ้น(panic sell )ซึ่งมีผลมาจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้ในวันที่ 22 มกราคม ตลาดหุ้นอินเดียและตลาดหุ้นเกาหลีไต้ ต้องสั่งปิดตลาดชั่วคราว(มาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์) เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ขณะที่ตลาดหุ้นอื่น ๆปรับตัวลงทำสถิติต่ำสุด(นิวโลว์)ในรอบหลายปี เช่น ตลาดหุ้นจีนที่ซื้อขายในฮ่องกง ปรับตัวลง 12 % ต่ำสุดในรอบ 10 ปี ตลาดหุ้นฮ่องกง ปรับตัวลง 8.65 % ต่ำสุดในรอบ 7 ปี ตลาดหุ้นนิเกอิ ของญี่ปุ่น ปรับตัวลง 5.65 % ต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง เป็นต้น นักวิเคราะห์ประเมินว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีมูลค่าความเสียหายแล้วมากกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่ต้นปีมา ซึ่งเป็นผลจากความหวั่นวิตกว่ารัฐบาลสหรัฐฯ อาจไม่สามารถป้องกันประเทศให้รอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย แม้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งสัญญาณที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งหน้า หรือกรณีที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชเสนอแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมานั้นอาจยังไม่เพียงพอที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้รวดเร็วพอนั้น **** 5 เดือนต่างชาติทิ้งหุ้นไทยแสนล้าน สำหรับตลาดหุ้นไทย ทำนิวโลว์ในรอบ 6 เดือน โดยดัชนีปิดที่ 741.54 จุด ลดลง 24.99 จุด โดย 2 วัน(21-22 ม.ค.)หุ้นไทยลดลง 13 % นักลงทุนต่างชาติขายหนักอีก 4,862 ล้านบาท รวมขายสุทธิตั้งแต่ต้นปี 2551 ( 2-22 ม.ค.)จำนวน 34,919.03 ล้านบาท นอกจากนี้เมื่อรวมการขายอย่างต่อเนื่องของต่างชาติในหุ้นไทย ตั้งแต่วิกฤติซับไพรม์ เริ่มก่อตัวในเดือนสิงหาคม 2550 จนถึง 22 มกราคมนี้ ต่างชาติขายสุทธิรวม 106,926.41 ล้านบาท ทำให้ยอดซื้อสุทธิสะสมของต่างชาติลดลงเหลือเพียง 20,810.33 ล้านบาท จากสิ้นเดือนกรกฏาคม ปีที่ผ่านมา ต่างชาติโชว์ยอดซื้อสุทธิถึง 127,736 ล้านบาท ผลกระทบจากซับไพรม์ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยลดลงอย่างต่อเนื่องแต่ต้นปีนี้ พบว่าทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) ลดลงแล้วถึง 870,000 ล้านบาท จาก 6.64 ล้านล้านบาท ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2550 ลงมาอยู่ที่ 5.8 ล้านล้านบาท ในวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา จากคุณ : peter 99 - [ 24 ม.ค. 51 01:51:07 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ****คาดหุ้นไทยดิ่งลึก 680-600 จุด ผลกระทบจากวิกฤติซับไพรม์ที่ขยายวง ทำให้นักวิเคราะห์ไทยเสียงแตกต่อคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยสำหรับปีนี้ ซึ่งบางรายคาดว่าโอกาสที่ดัชนีจะทะลุ 1,000 จุด อาจเป็นไปไม่ได้แล้ว อีกทั้งเตรียมปรับเป้าหุ้นไทยอีกรอบ ขณะที่นักวิเคราะห์รุ่นใหญ่ เช่น ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ยังมองว่าปัจจัยบวกภายในประเทศ(การเมือง)จะทำให้หุ้นไทยทะลุ 1,000 จุด นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กสิกรไทย จำกัด(มหาชน)(บมจ.) คาดว่า ดัชนีหุ้นไทยปีนี้(2551)มีโอกาสที่จะไหลลงไปถึงระดับ 680 จุด ซึ่งเป็นกรณีที่เลวร้ายสุด มีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจสหรัฐเกิดภาวะถดถอย ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตต่ำกว่าระดับ 4% แต่ดัชนีหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นสูงขึ้นได้เช่นกันโดยมองเป้าหมายดัชนีที่ระดับสูงสุดของปีนี้ที่ 1,080 จุด ซึ่งคาดว่าหากเกิดขึ้นก็คงจะเป็นในช่วงครึ่งหลังปี 2551 โดยเชื่อว่าดัชนีอาจปรับตัวลงก่อนแล้วค่อยรีบาวน์(ปรับขึ้น)ขึ้นไป ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับมาตรการของภาครัฐด้วยว่าจะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจได้มากแค่ไหน อาทิ อาจจะมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งในส่วนนิติบุคคล และบุคคลธรรมดา ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจของบ้านเราไม่อยู่ในภาวะถดถอย ด้านมล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ ผู้อำนวยการฝ่ายค้าหลักทรัพย์ บล.ซิตี้คอร์ป(ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทปรับคาดการณ์ดัชนีต่ำสุดปีนี้ที่ 600 จุด และปรับขึ้นได้สูงสุดที่ 800 จุด จากปลายปี 2550 มองว่าจุดต่ำสุดอยู่ที่ 680 จุด เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว โดยซิตี้กรุ๊ป คาดว่าอัตราเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐปีนี้จะเหลือเพียง 1.2 % เท่านั้น จากคาดการณ์เดิมที่ 2.4 % ****กระทุ้งสร้างเกาะรับมือฟันด์โฟลว์ไหลแรง นายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ บมจ.ทรีนิตี้ วัฒนา และบล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า จากกรณีที่ในปี 2551 นี้ ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับภาวะต่างประเทศที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย คือ ปัญหาซับไพรม์ และเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลสะท้อนต่อการไหลเข้าและออกของเงินอย่างรุนแรงและรวดเร็ว และมีขนาดใหญ่ ซึ่งทางการจะต้องให้ความสำคัญ จากภาวะดังกล่าว ตลาดทุนไทยจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเครื่องมือการบริหารความเสี่ยงให้กับนักลงทุนและรับมือกับกระแสการไหลเข้า-ออกของเงินอย่างรวดเร็ว คือ การสนับสนุนธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) เพื่อให้มีการขายหลักทรัพย์โดยยังไม่มีหลักทรัพย์ ในครอบครอง หรือ การขายชอร์ต ( Short sell) เพื่อเป็นเครื่องมือของนักลงทุนและเพื่อลดผลกระทบจากกระแสเงินไหลเข้าออกที่รุนแรงไม่เพียงเท่านั้นยังทำให้สภาพคล่องของตลาดจะเปลี่ยนไม่เฉพาะแต่ในช่วงหุ้นขาขึ้นเท่านั้น *****"โซรอส"ชี้เป็นวิกฤติการเงินที่สาหัสสุด ขณะเดียวกันบรรดานักวิเคราะห์ต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์ โดยนายจอร์จ โซรอส นักลงทุนระดับอภิมหาเศรษฐีชาวสหรัฐฉายา "พ่อมดการเงิน" กล่าวว่า โลกกำลังประสบกับวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง และสหรัฐก็ถูกคุกคามจากภาวะถดถอยแล้ว "สถานการณ์ครั้งนี้รุนแรงกว่าวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งอื่นๆนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา" นายโซรอสกล่าวและว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเมืองได้รับการชี้นำจากความเข้าใจผิดด้านพื้นฐานบางประการที่เกิดจาก"ลัทธิปัจจัยพื้นฐานในตลาด" ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่า ตลาดการเงินมีแนวโน้มที่จะปรับตัวโดยมีความสมดุล เรากำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเงินที่รุนแรงในขณะนี้ ต่อข้อถามที่ว่า เขาคิดว่าสหรัฐมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ เขากล่าวว่า "ใช่ มีความเสี่ยงในสหรัฐ" จากคุณ : peter 99 - [ 24 ม.ค. 51 01:51:40 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ****มอร์แกนสแตนลีย์คาดกระทบหนักขึ้น ด้านนายเจอราร์ด ไมแนค นักยุทธศาสตร์ของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกช่วงต้นปี 2551 นี้ เปิดฉากมาไม่สวยงามนัก เพราะมีกระแสความหวั่นวิตกเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีการหวั่นเกรงว่า จะส่งผลกระทบตลาดส่งออกทั่วโลก และนักวิเคราะห์เองก็คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบมากกว่านี้ " เห็นได้ชัดว่าภาวะตลาดซบเซา(bear market:หุ้นภาวะหมี) ได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งนี้ เห็นได้ชัดว่า นักลงทุนไม่คาดหวังว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นในเร็วๆนี้ และได้เลือกที่จะเทขายหุ้น แม้ว่าประธานาธิบดีบุชจะออกมาประกาศแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.45 แสนล้านดอลลาร์เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ เนื่องจากหลายฝ่ายมองว่ามูลค่าของแผนการกระตุ้นดังกล่าวยังไม่สูงพอและได้มีการนำมาใช้ในช่วงเวลาที่ล่าช้าเกินไป สอดคล้องกับนายโทนี่ ดอลฟิน ผู้อำนวยการของเฮนเดอร์สัน โกลบอล อินเวสเตอร์ ที่ระบุว่า มีแนวโน้มมากขึ้นที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ สหรัฐซึ่งยังคงเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกนี้ หากเข้าสู่ภาวะถดถอยก็จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลงอย่างหนัก จากคุณ : peter 99 - [ 24 ม.ค. 51 01:52:11 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ***ไม่เชื่อน้ำยาแผนกระตุ้นศก.มะกัน นายคาสเตอร์ ปัง นักยุทธศาสตร์จากซุน หัง ไคไฟแนนเชียลในฮ่องกงแสดงความเห็นว่า ภาพที่สะท้อนจากตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านักลงทุนขาดความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะรับมือกับสถานการณ์ซับไพรม์ รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่ได้ช่วยให้นักลงทุนใจชื้นขึ้นมาได้ นายโคจิ ทาเกอุชิ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากสถาบันวิจัยมิซูโฮในโตเกียว กล่าวว่า นักลงทุนรู้สึกถึงการเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องในตลาดหุ้นทั่วโลก สะท้อนให้เห็นความหวั่นเกรงว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะขาลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหวั่นเกรงอย่างรุนแรงว่าเศรษฐกิจในญี่ปุ่นจะหดตัวเนื่องจากทั้งภาคการส่งออกและภาคการใช้จ่ายของผู้บริโภคแผ่วลง ด้านนายเคอร์บี ดาลีย์ นักวางยุทธศาสตร์จากบริษัทนิวเอดจ์ กรุ๊ป แสดงทรรศนะว่า ดัชนีนิกเกอิในญี่ปุ่นมีโอกาสปรับลงอีก 10-15% ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า เนื่องจากบริษัทในญี่ปุ่นพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนเพื่อสร้างผลกำไร ซึ่งปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งสองส่วนจะได้รับแรงกระทบอย่างหนักเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว ****ไอเอ็มเอฟ ยอมรับสถานการณ์โคม่า ขณะที่นายโดมินิค สเตราส์-คาห์น ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แสดงความเห็นดังกล่าว หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงอย่างรุนแรง และอุปสงค์(ความต้องการ)ในสกุลเงินกับพันธบัตรที่มีความปลอดภัยสูงพุ่งขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอตัวลงอย่างรุนแรงเกินคาด "สถานการณ์ขณะนี้อยู่ในขั้นร้ายแรง ทุกประเทศในโลกกำลังได้รับความเสียหายจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง โดยเฉพาะทุกประเทศที่พัฒนาแล้ว" นายสเตราส์-คาห์นกล่าวเตือนว่า อัตราการเติบโตของประเทศตลาดเกิดใหม่อาจได้รับแรงกดดันจากแนวโน้มปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐด้วย "ตลาดการเงินไม่พึงพอใจกับมาตรการที่ประธานาธิบดีบุชเสนอมา ซึ่งเราเห็นว่าตลาดไม่มีปฏิกิริยาในทางบวกต่อข้อเสนอนี้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า การหารือในสหรัฐมุ่งเน้นไปที่เรื่องความเสี่ยงและความจำเป็นที่จะต้องสกัดกั้นความเสี่ยงดังกล่าวโดยใช้นโยบายการเงิน แต่ไม่ใช่เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว" จากคุณ : peter 99 - [ 24 ม.ค. 51 01:52:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ****ธปท.ชี้บาทกลับมาอ่อนเหตุนักลงทุนขนเงินออก สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วง 2 วันที่ผ่านมา (21-22 ม.ค.) เงินบาทเริ่มเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนค่าลงบ้าง โดยเมื่อ 21 มกราคม 2551 เงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 33.03-33.04 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาด 33.09-33.11 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และเปิดตลาดวันที่ 22 ม.ค. อยู่ที่ 33.12-33.14 บาท และปิดตลาดที่ระดับ33.18-33.19 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง เห็นสัญญาณการเข้าแทรกแซงค่าเงินของธปท. ประกอบกับมีเม็ดเงินจากการขายหุ้นของนักลงทุนที่ไหลออกไป จากที่ก่อนหน้านี้ ค่าเงินบาทแข็งค่าที่สุดแตะระดับ 33.03-33.05 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 18 ม.ค. หรือนับจากต้นปี 2551 เงินบาทแข็งค่าขึ้น 1.7 % ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า ในช่วง 2-3 วันที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าเพราะมีสัญญาณการไหลออกของเงินในช่วงนี้ประมาณ 400-500 ล้านบาทแล้ว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะยังมีการไหลออกอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเม็ดเงินที่จะเข้าไปช่วยเสริมสภาพคล่องให้บริษัทแม่ในสหรัฐที่ถูกกระทบจากปัญหาซับไพร์ม ประกอบกับเป็นไปตามแนวโน้มของตลาดหุ้นในเอเชียทั้งตลาดที่มีการเทขาย ต่อกรณีดังกล่าว นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวให้ความเห็นถึง สถานการณ์ค่าเงินบาทว่า 2-3 วัน (21-22 ม.ค.) ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเริ่มปรับตัวอ่อนค่าลง ส่วนหนึ่งเพราะผู้ส่งออกเริ่มชะลอการเทขายดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นไปตามที่ธปท.เคยประเมินไว้ว่าค่าเงินบาทมีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวได้เป็น 2 ขา คือ แข็งค่าและอ่อนค่า โดยที่การชะลอการเทขายดอลลาร์สหรัฐของผู้ส่งออก อาจจะมาจากที่ต้องการรอดูสถานการณ์ ขณะที่การนำเข้าเริ่มมีออร์เดอร์บ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าเงินในปีนี้มีโอกาสผันผวนทั้งปี จึงไม่ควรเก็งกำไรจากค่าเงินเพราะไม่สามารถคาดเดาได้ ทางด้าน นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง ธปท. กล่าวว่า เงินบาทที่เริ่มปรับตัวอ่อนลงส่วนหนึ่งเป็นผลจากที่นักลงทุนเทขายหุ้นในตลาดโดยช่วงที่ผ่านมามีเงินจากการขายหุ้นไหลออกไปบ้างแต่ไม่มากนัก ซึ่งในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมายังไม่ได้ดูตัวเลขการไหลออกของเงินที่มาจากการขายหุ้นของนักลงทุน เพราะยังไม่ครบกำหนดระยะเวลาที่จะนำเงินออก นอกจากนี้เริ่มเห็นสัญญาณว่ามีการซื้อดอลลาร์กลับทั้งจากนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ จากที่ช่วงก่อนหน้านี้มีการเทขายดอลลาร์ "2วันที่ผ่านมานี้ ผู้ส่งออกชะลอการเทขายดอลลาร์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรอดูสถานการณ์ ขณะที่การนำเข้าเริ่มมีสัญญาณเพิ่มขึ้นบ้าง โดยเฉพาะพวกที่มีออเดอร์ประจำ เช่นนำเข้าน้ำมันที่มีการนำเข้ามากขึ้น หากประเมินตั้งแต่ต้นปีเงินที่ออกไปในส่วนของเงินที่นักลงทุนเทขายหุ้นก็มีผลต่อการทำให้บาทอ่อนค่าลง ซึ่งธปท.ยังไม่ได้ตรวจสอบตัวเลขว่ามีการนำเงินออกไปมากน้อยแค่ไหน" จากคุณ : peter 99 - [ 24 ม.ค. 51 01:53:00 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จากคุณ : NAI-A SIKHIU - [ 24 ม.ค. 51 05:39:24 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ข่าวร้ายเริ่มท่วมตลาด ระยะสั้นๆหุ้นหลายตัวจะถูกกว่าความเป็นจริง มีโอกาสรีบาวน์แรงๆได้เป็นระยะ จากคุณ : เล่นรอบ - [ 24 ม.ค. 51 05:47:02 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ท่ามกลางวิกฤติมีโอกาสเสมอ..... จากคุณ : choc - [ 24 ม.ค. 51 05:48:44 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สงสัยจอร์จ โซรอส กำลังเก็บหุ้นอย่างอุตลุดจ้าละหวั่นสนุกสนานสุดมันส์อยู่ จอร์จปล่อยข่าวเองง่ะ จากคุณ : วษณ - [ 24 ม.ค. 51 06:34:50 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ยังไงก็ลงแบบ ซอฟต์หน่อยนะครับ จะได้แย้บๆ ถอย แย้บ ถอย แบบวันนั้นที่พี่แกปล่อยหมดน็อคเลยนี่ไม่ไหว จากคุณ : Bomb308 - [ 24 ม.ค. 51 07:21:21 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เวลามันจะเอาให้ลง  มันก็จะบอก ไอ้โน่น ก็แย่  ไอ้นี่ก็แย่ จะเชื่อใจคนอย่าง จอร์จ โซรอสเหรอ   รู้มะ  ว่า มันทำอะไรอยู่  5555555555 จากคุณ : หนึ่ง..ช้อนชา - [ 24 ม.ค. 51 07:33:09 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ยังเชื่ออยู่เหรอ ไม่นานนี้ไอ้นี่ทำควอนตั้มฟันด์เจ๊งเป็นพันล้านไม่เอามาเขียนหนังสือบ้างเหรอ จากคุณ : Mollusk - [ 24 ม.ค. 51 07:46:24 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ดีๆ  ใกล้เวลาซื้อแล้ว......5555   จากคุณ : Duo-Core - [ 24 ม.ค. 51 09:05:14 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ใกล้แล้ว ยิ่งมีข่าวร้ายๆ ให้รายย่อย ถอดใจ Panic sell ลงมามากๆ  แสดงว่าจวนจะจบขาลงแล้วล่ะ  เป็นไปตาม Dow Theory เป๊ะเลย จากคุณ : kitty63 - [ 24 ม.ค. 51 09:09:34 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อยากให้คิดนิดนึงครับ ทำไมคนอย่าโซรอสต้องออกมาเตือน ทั้งๆที่เค้าก็หากินกับเศรษฐกิจอยู่แล้ว ผมสงสัย ไม่รู้คนอื่นสงสัยป่าว...ดังนี้ เข้าใจว่า ต้องการให้คนตกใจมากกว่าที่เป็น เพื่อที่ว่า จะขายทรัพย์สิน/อสังหา ออกมาในราคาที่ต่ำๆ ซึ่งจากวิกฤตก็ต่ำแล้ว จะได้หาจังหวะเข้าทะยอยซื้อ ซึ่งในรูปแบบนี้ ก็จะได้ราคาที่ต่ำกว่าที่ตกใจธรรมดาเป็นตกใจสุดขีด ตอนนี้โซรอสคงถือเงินสดไว้มากหลังจากที่ทุบลงมาเรื่อยๆ และกำลังเล็งจะเข้าซื้อ แต่อยากให้ได้ราคาต่ำๆในช่วง2-3เดือนนี้ ผมไม่ได้อยากให้เชื่อ แต่เก็บเอาไว้ให้คิดนะ โซรอสทำกินแบบนี้มานานแล้ว เค้าจะหวังดีเพื่ออะไร... จากคุณ : โต้คลื่น - [ 24 ม.ค. 51 09:17:14 A:125.24.99.124 X: TicketID:147236 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มี loser ก็ต้องมี winner เป็นธรรมดา เงินอยู่ในระบบเท่าเดิม แสดงว่าเงินกำลังไหลไปที่ใดที่หนึ่ง ใครมองออก ก็รวยเละ จากคุณ : 3CCD - [ 24 ม.ค. 51 09:40:18 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คุณ จขกท ครับ มั่นใจไหมครับ  แน่ใจนะครับ ชอร์ตโลดครับ เอาซักสิบสัญญาเบาะๆ  ขอเชียร์ให้กล้าทำ สมกับความเชื่อ จากคุณ : thepthaiza - [ 24 ม.ค. 51 10:15:24 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เห็นด้วยกับคุณ โต้คลื่น ครับ โดยพื้นฐานสถานะตอนนี้เอง อเมริกาเองก็ไม่สู้ดีนัก ปัญหาซับไพร์มต่างๆมีอยู่จริง เจอโซรอสซ้ำไปอีก ก็คงกะทุบซื้อของถูก โซรอสเองน่าจะถือเงินสดไว้เยอะ เตรียมซื้อของถูก ตอนนี้ก็ทุบไปเรื่อยๆ จากคุณ : BeeZa - [ 24 ม.ค. 51 10:25:58 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เจ้าเล่ห์ จากคุณ : pungee1 - [ 24 ม.ค. 51 10:28:48 ]

ความคิดเห็นที่ 20 โซรอสคงพยายามทำตัวเป็น Catalyst ครับ คือไม่ได้จะทำให้มันเลวร้ายมากไปว่าที่ควรจะเป็น แต่คงจะตั้งใจ ให้มันเลวร้ายเร็วกว่าที่ควรจะเป็น จากคุณ : Capo - [ 24 ม.ค. 51 11:42:54 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าภายในครึ่งปีหลัง  เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัว  (อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ) อเมริกาชะอย่าง  มักจะทำอะไรก็ได้ที่เหนือความคาดหมาย  โดยเฉพาะ อังเคิ้ลเบนด้วยแล้วคาดเดาความคิดยากมาก   อาจใช้วิธีออก บอนด์ไม่มีดอกเบี้ย  หรือถ้าขณะนี้อเมริกากำลังเก็บเงิน $US ที่กระจายอยู่ทั่วโลกคืนในราคาที่ถูกมาก   และหากทั่วโลกปล่อย $US กลับคืนไป    ทั้งๆ ที่หลาย ๆ สิ่งในโลกนี้ยังต้องซื้อด้วยเงิน $US อยู่   ยังคงเป็นคำถามคาใจอยู่ว่าแล้วที่สุดใครได้ใครเสีย อันนี้เป็นเรื่องที่ดิฉันลองสมมุติเองนะคะ แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 51 15:33:05 จากคุณ : pisoran - [ 24 ม.ค. 51 15:30:11 ]