PANTIP.COM : I6272336 เตือนภัยซึนามิ ตรั้งที่ 2 อย่าหลงระเริงกีบหุ้นรีบาวน์ [หุ้น]

ความคิดเห็นที่ 22

สิ่งที่กระทบกับราคาหุ้นตอนนี้ อยู่ที่ว่า ราคาหุ้นที่ลดลงมา ตลอดจนถึงความรับรู้ของนักลงทุน มันตอบรับปัญหา sub prime รึยัง ตอบรับมากเกิน หรือน้อยเกินไป

นอกจากนี้ มันอยู่ที่ว่า บริษัทต่างๆ ซุกขยะไว้ใต้พรมแค่ไหนด้วย

บทวิเคราะห์ข้างบน น่าจะเกิดขึ้นตอน ต้นเดือน มค นี้
ยังไม่รวม แผนกระตุ้น ศก 150 พันล้านเหรียญ และ การลดดอกฉุกเฉิน 0.75%

ประมาณกันว่า earning ของ บจ ในสหรัฐ จะลดลง 20 % ใน Q4
(ยังกำไร แต่กำไรลดลง 20% )
แต่ถ้าแยก สถาบันการเงินออกจาก บจ
บจ ที่เหลือ จะยังมีกำไรโต 11 %

PE ของสถาบันการเงินใหญ่ๆในอเมริกาหลายแห่ง เหลือ 7 กว่าๆแล้ว เพราะราคาหุ้นปรับลดลงล่วงหน้า แซงผลประกอบการที่ลดลง

ผมมองว่า ราคาหุ้นปรับตัวลดลง แซง subprime ไปแล้ว
การรับรู้ของนักลงทุน ก็รับรู้เลวร้ายเกินไปแล้วเช่นกัน

Dow ลดลงจาก 14200 ไปต่ำสุด 11600 คือประมาณ 20 %
ทั้งๆที่ sub-prime ไม่ได้มีน้ำหนักต่อ ศก สหรัฐ มากถึง 20 %

ใน ต้มยำกุ้ง crisis เราล้ม เราชักดาบกันเป็นทอดๆ หนี้ธุรกิจ ก็เดี้ยงตามไปด้วย เพราะค่าเงิน มัน x2 ในชั่วข้ามคืน ยอดเงินกู้และดอกเบี้ยของหนี้ ตปท มัน x2 ทำให้บริษัทใหญ่ๆ หลายรายที่ป้องกันความเสี่ยงไม่พอ ต้องกลายเป็นหนี้เสียในทันที ขาดสภาพคล่อง ชักดาบ supplier ล้มกันเป็นทอดๆ

แต่ของสหรัฐ มันแค่ หนี้บ้าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนี้ทั้งหมด
สมมติ ตีเล่นๆ ว่า คือมูลค่า 20 % ของหนี้ทั้งหมด ที่เหลือ คือ หนี้ธุรกิจ หนี้รถ หนี้บัตรเครดิต

ในบรรดาหนี้บ้าน 20% อาจเป็น subprime เพียงแค่ 20 % ที่เหลือเป็นหนี้ชั้นดี หนี้ปกติ

20 % ของ 20% คือ 4 % ของหนี้ทั้งหมด แต่ไหงกลับทำให้หุ้นลง 20 %

ทั้งหมดนี้ มันเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น เรื่องของการรับรู้ ของนักลงทุน

เรื่อง ศก ผมมองว่า 30 % มันเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น
คนกล้าใช้ กล้าลงทุน หรือ คนกลัวไม่ใช้จ่าย และถอนการลงทุนออกมา

effect ของ sub prime มันน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับ effect ความเชื่อมั่น ที่อยู่ในใจนักลงทุนทั่วโลก

ตัวอย่างเช่น Dow ลง เพราะ subprime ส่วนหุ้นรอบนอกอื่นๆ เช่น Microsoft ก็ลงตาม Dow แต่ Microsoft ไม่ควรจะลง เพราะกำไรก็โตตั้ง 70% แต่ที่มันลง เป็นเพราะจิตวิทยา เพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ตัวความเชื่อมั่นนี่แหล่ะที่จะทำให้เกิด recession

ผมกลัว recession มากกว่า แต่จากที่ดู recession ก็เกิดยาก
recession เกิดไม่เกิด มันอยู่ที่ ความเชื่อมั่น ไม่ได้อยู่ที่ว่า sub prime จะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะ sub prime นั้น อย่างมากก็ ต้องตั้งสำรองไปอีก 2 ไตรมาส ก็น่าจะจบ

ปัญหาตอนนี้ คือ เรื่องความเชื่อมั่น ของคนอเมริกัน ถ้าไม่เชื่อมั่น หยุดใช้จ่าย ถอนการลงทุน GDP มันก็หด พอมันหดต่ำกว่า 1-2 % เราก็เรียกว่า recession

อเมริกาจึงพยามทำทุกอย่าง เพื่อเรียกความเชื่อมั่น และเพิ่มเงินจริงๆ เข้าไปในระบบ พยามให้คนอเมริกันทำสิ่งที่ถนัดที่สุด คือ ใช้จ่าย ใช้จ่าย ใช้จ่าย

การลดดอก 0.75% นอก schedule ก่อนหุ้นเปิด 1 ชั่วโมง ถ้าเป็นบ้านเรา ไม่มีทางทำได้ ถ้าทำ คงโดนด่ารอบทิศว่าปั่นหุ้น เห็นแก่คนเล่นหุ้นส่วนน้อย

นอกจากนี้ อเมริกากำลังจะมีการเลือกตั้ง มีความหวังในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ

สิ่งที่เราต้องมาเดาคือ ความเชื่อมั่น มันต่ำสุดรึยัง และมันจะต่ำ จนมีผลลากให้เกิด recession รึเปล่า ตลอดจนถึง รัฐบาล จะแก้ปัญหาได้หรือไม่ จะกระตุ้นเศรษฐกิจยังไง

GDP = consumption + investment + (government spending) + (exports − imports),

a recession is a decline in a country's gross domestic product (GDP), or negative real economic growth, for two or more successive quarters of a year

สรุปคือ เลิกพูดเรื่อง subprime มาพูดถึง recession ดีกว่า
subprime คนรับรู้กันมากเกินไปแล้ว
Q4 ที่ผ่านมาก็ตั้งสำรองกันมากสุด
Q1 กับ Q2 จะไม่มากกว่านี้

คำถามที่น่าสนใจ มีอยู่ 3 ข้อ

1 recession จะเกิดไม่เกิด
2 เอเซีย และ ไทย จะ แยกตัว ออกจาก อเมริกาได้หรือไม่ เมื่อไหร่
3 หุ้นลงเพราะคนขาย ต่างชาติขายไม่หยุด จะหยุดเมื่อไหร่

ข้อ 1 1 recession จะเกิดไม่เกิด
ผมมองว่า 90% ไม่เกิดแน่ ที่พูดๆ กันว่าจะเกิด ก็เพื่อจะขายข่าวให้ดูน่ากลัวของสื่อ ภาคการผลิต กำไรของ บจ ยังดีมากอยู่ รัฐบาลเค้า ก็กล้าหาญในการแก้ปัญหา เงินลงทุนจากพวกอาหรับ และเอเซีย ก็พร้อมที่จะลงทุนในอเมริกา

2 เอเซีย และ ไทย จะ แยกตัว ออกจาก อเมริกาได้หรือไม่ เมื่อไหร่

fact อีกอย่างนึงคือ เอเซีย ไม่จำเป็นต้องอาศัยอเมริกามากถึงขนาดนั้น
จีนและอินเดีย รวมกัน ก็มีประชากรเกือบครึ่งของโลก แต่สาเหตุที่หุ้นเอเซียลงหนักตามอเมริกาในช่วงนี้ เพราะที่ผ่านมามันขึ้นไปมาก มันมี gap ให้ลงเพราะที่ผ่านมามันเวอร์ไป พอมีเรื่อง subprime อยู่แล้ว เลยปรับฐานกลับมาสู่พื้นฐาน ถ้าดูกราฟ month จะเห็นว่า เอเซีย หรือแม้แต่ อเมริกา ก็ยังเป็นขาขึ้น asia rising ขึ้นมา 2-3 ปีติด ตอนนี้ปรับฐานไป 3 เดือน แต่ก็ยังอยู่เหนือ ma 10 เดือน

ไทยเราเองก็เช่นกัน PE เราตอนนี้ 11 เท่า P/BV 1.79
การเมืองเราก็ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว(หวังว่า)
GDP เราก็โตเกือบ 5 %
กำไร บจ ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นในปีนี้

3 หุ้นลงเพราะคนขาย ต่างชาติขายไม่หยุด จะหยุดเมื่อไหร่

ข้อ 3 นี้สุดจะคาดเดา เพราะต่างชาติอาจไม่ได้มองว่าหุ้นไทยแย่ หุ้นไทยแพง บทวิเคราะห์เค้าก็เชียร์ลูกค้าซื้อ target price สูงลิบ
แต่ที่ขาย เป็นเพราะสภาพคล่อง เค้าอาจต้องเอาเงินไปใช้ที่อื่น
อาจต้องเอาเงินกลับ เพราะโดนไถ่ถอนหน่วยลงทุน เนื่องจากความเชื่อมั่นลดต่ำลง

ผมเลยขอสรุปว่า ระยะสั้น หุ้นเราเป็นไปตามแรงซื้อขายต่างชาติ ขึ้นหรือลงก็ได้
แต่ระยะกลาง และระยะยาว ดีกว่านี้แน่ๆ upside มีมากกว่า downside
ซื้อหุ้นพื้นฐานดีหลายตัวตอนนี้ มันถึงจุดที่เรียกว่า ติดก็ไม่กลัวแล้ว เพราะปันผล มันมากกว่าฝากแบงค์หลายเท่า

ที่ผ่านมา ต่างชาติเอาเงินออก แสนล้าน จากสี่แสนล้าน ทำให้หุ้นลงมา 200 จุด แต่ต่อให้เค้าเอาเงินออกอีก แสนล้าน หุ้นอาจลงอีกแค่ 50 จุดเองก็ได้
เหมือนช่วงปี 45 -47 ต่างชาติขาย 9 หมื่นล้าน แต่หุ้นกลับขึ้นจาก 300 มา 750 จุด

3 แสนล้าน ที่ต่างชาติถืออยู่ น่าจะเป็นเงินเย็นก็เยอะอยู่ ตัวเลขตัวนี้ไม่น่ากลัวเลย เพราะระบบเงินฝาก ถ้าจำไม่ผิด เรามี 4 ล้านล้าน หยิบตรงนี้มา 8 % ก็ cover แรงขายต่างชาติทั้งหมด

หรือถ้ามองว่า ต่างชาติจะขายอีกแค่ 5 หมื่นล้าน เราหยิบเงินฝากมา 1% ก็ cover แรงขายที่ต่างชาติจะขายออกมา

เพียงแต่ว่า เงินเราเองเวลาเราซื้อ เรางก เราตั้ง bid ต่ำลงไป ช่องสองช่อง แต่ต่างชาติ เค้าขายเคาะซ้ายทุกราคา เวลาต่างชาติซื้อหรือขาย มันเลยทำให้หุ้นขึ้นหรือลงได้

นี่ยังไม่รวม กองทุนพยุงหุ้น และกองทุนเฉพาะกิจต่างๆ เช่น กบข ประกันสังคม

ขอให้ความเชื่อมั่นเรากลับมา ทั้งจากการเมือง และผลการดำเนินงาน บจ
ถึงตอนนั้น ผมมองว่า เราจะเห็นปรากฎการณ์เหมือนปี 45-47 อีกครั้ง
คือ ต่างชาติขายเยอะ หุ้นก็ลบแค่ 2-3 จุด แต่วันไหนต่างชาติหยุดขายหรือซื้อ จะบวก 5-8 จุด

ดูอย่างวันศุกร์ ต่างชาติหยุดขาย ซื้อ 300 ล้าน หุ้นกลับ rebound ไป 30 กว่าจุด

พวกเราทุกคนตระหนัก ว่าหุ้นมันถูกมากแล้ว ลงมาแรงไป เร็วไป แต่เรากังวลว่ารอบนอกบ้านเราไม่ดี และต่างชาติยังขาย เราเลยไม่ซื้อบ้าง ขายตามออกมาบ้าง short against port บ้าง

แต่หากเรามองกันแล้วว่า downside มันไม่มี แม้ต่างชาติขาย พันสองพันล้าน มันก็ไม่ลงมาก ปรากฎการณ์เหมือนครึ่งปีหลังปี 2003 ที่ต่างชาติขาย 5หมื่นล้าน แต่หุ้นกลับขึ้นจาก 400 ไป 800 จุด จะกลับมาอีกครั้ง

กองทุนทุกวันนี้ ก็โตขึ้นมาก เอาแค่ กองทุนรวมของไทยพานิชย์ทุกกองรวมกัน ก็มีมากกว่า 350,000 ล้าน มากกว่าเงินคงค้างของต่างชาติ เพียงแต่ว่าเงินตรงนี้ เค้าไม่ได้ลงในหุ้นทั้งหมด อีกไม่นาน เราคงต้องมาดู net กองทุน แทนที่จะเป็น net ต่างชาติ เสียอย่างเดียว ที่กองทุนเรา ชอบตีหัวเข้าบ้าน ไม่ซื้อยาวๆ ขายยาวๆ เหมือนต่างชาติ

อย่างรอบ 21 ธค ถึง สิ้นปี หุ้นขึ้นมา 60 จุด เพราะฝีมือกองทุน โดยที่ต่างชาติ ยังไม่ได้เริ่มซื้อกลับเลย

จากคุณ : จิตผู้รู้ - [ 27 ม.ค. 51 14:27:46 ]

ความคิดเห็นที่ 31

ขาใหญ่ล้างพอร์ตหนีซับไพรม์ + ยอมตัดขาดทุนหุ้นก่อนเสียหายยับ! 'หมอบุญ' เผ่นโยกลงทุนในตราสารหนี้

กรณีตลาดหุ้นทั่วโลกและหุ้นไทยยังมีแนวโน้มผันผวนแรงจากความกังวลเศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกาชะลอตัวที่เป็นผลมาจากวิกฤติตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยลูกหนี้ด้อยคุณภาพ(ซับไพรม์) นั้น "ฐานเศรษฐกิจ"ได้สำรวจกลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นพร้อมคำแนะนำในการลงทุน พบว่าส่วนใหญ่นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นหลายรายได้ลดการลงทุนในหุ้นลงจนเหลือศูนย์

นายสมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์ หรือ เสี่ยแตงโมและเสี่ยแมนชั่น กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงอันตราย และเท่าที่เล่นหุ้นมา 18 ปี ยังไม่เคยเห็นถึงความรุนแรงของนักลงทุนต่างชาติที่เทขายอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนักลงทุนควรถือเงินสดไว้ดีที่สุด และจะต้องรู้จักเอาตัวรอดให้ได้ โดยแนะนำให้ทยอยเข้าลงทุนได้ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเริ่มเป็นขาขึ้น ส่วนหุ้นตัวเล็กและหุ้นเก็งกำไรก็เช่นกันนักลงทุนจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มนี้เป็นรายนาทีเพราะการลงทุนในหุ้นเก็งกำไรมีโอกาสขาดทุนสูง สำหรับนักลงทุนที่ยังสนใจหุ้นเก็งกำไรก็ควรมีเป้าหมายทำกำไรชัดเจน เช่น 10 % ก็เพียงพอแล้ว

สำหรับนโยบายการลงทุนส่วนตัว ได้ปรับพอร์ตเป็นศูนย์ตั้งแต่ต้นปี 2551 และยอมรับว่าปี 2550 นั้นได้ตัดสินใจผิดพลาดที่เข้าลงทุนในหุ้นประมาณ 50 % ของพอร์ต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เนื่องจากคาดว่าหลังเลือกตั้งหุ้นไทยน่าจะฟื้นตัว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ตลาดปรับตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีมานี้ จึงได้ตัดสินใจขายตัดขาดทุนประมาณ 7-8 % เนื่องจากมองว่าหากยังถือหุ้นอยู่ต่อไปอาจทำให้ขาดทุนเพิ่มถึง 20 %

นายธนกฤต เลิศผาติ หรือ ไฮ้ส้มตำ แนะนำว่า ในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวนแรงนี้ นักลงทุนไม่ควรรีบร้อน โดยควรเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น และสไตล์การลงทุนส่วนตัวนั้นจะลงทุนเมื่อเห็นโอกาสแบบนี้มาเท่านั้น โดยดูจังหวะเข้าลงทุนในช่วงที่ดีที่สุดก็สามารถสร้างผลตอบแทนให้หลายเท่าตัว

อย่างไรก็ตามนายธนกฤต กล่าวว่า สำหรับพอร์ตส่วนตัวนั้นในปีที่ผ่านมา ไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเลย เนื่องจากเห็นสัญญาณที่ไม่ดีตั้งแต่เกิดเหตุปฏิวัติแล้ว (ก.ย.2549)ทำให้ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร จึงได้ลดพอร์ตการลงทุนส่วนตัวลงเหลือศูนย์เช่นกัน แต่ก็มีบ้างที่เข้าลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีประมาณ 10-20 % ของพอร์ต และถือประมาณ 1 สัปดาห์ถึง 1 เดือนเท่านั้น และเริ่มหันไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แทน คือ ซื้อขายคอนโดมีเนียม เพราะมองว่าอย่างน้อยๆหากให้ปล่อยเช่าก็ยังได้ค่าเช่า

นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลปิยะเวท และนักลงทุน กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนส่วนตัวนั้น ได้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงและเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้เป็นมากกว่า 50 % ของพอร์ต จากเดิมที่ลงทุนในตราสารนี้เพียง 20 % ของพอร์ตเท่านั้น

สาเหตุที่ลดการลงทุนในหุ้น เนื่องจากมองว่า ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงผันผวนจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ควรแบ่งสัดส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 30 % หุ้นในประเทศ 30 % และที่เหลือ 40 % ลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทยหากปรับตัวลงที่ระดับ 700 จุด หรืออัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี เรโช )ต่ำกว่า 10 เท่า จึงจะน่าสนใจแต่ก็ควรทยอยลงทุน

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนในตลาดหุ้น ที่มีนโยบายลงทุนระยะยาว แนะนำว่า นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงหุ้นขนาดใหญ่ที่นักลงทุนต่างชาติลงทุน อีกทั้งมองว่าการเข้าลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ช่วงนี้ถือว่าเร็วเกินไปสำหรับนักลงทุนในประเทศ เนื่องจากมองว่าราคายังมีโอกาสลงต่อ โดยควรเข้าลงทุนที่ดัชนี 700 จุด

จากคุณ : academician - [ 28 ม.ค. 51 12:21:31 A:130.18.158.101 X: TicketID:075095 ]