ความคิดเห็นที่ 1 www.thaivi.com จากคุณ : luckydog2 - [ 28 ม.ค. 51 23:47:20 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เอ เค้ามีบริษัทเยอะแยะเลยไม่ใช่เหรอครับ จากคุณ : DD - [ 29 ม.ค. 51 00:03:00 A:210.203.182.73 X: TicketID:100823 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ใช่ครับ เค้ามีบริษ้ทมากมาย แต่เกิดจากการลงทุนเท่านั้น ซึ่งตัวเค้าไม่ได้เข้าไปบริหารแต่อย่างใด จะมีก็แต่บริษัทเบริกไชน์ ที่เค้าทำหน้าที่ บริหารการลงทุนโดยมี พนง แค่ 11 คนเท่านั้น ผมว่า จขกท ศึกษาถูกคนแล้วครับ อยากประสพความสำเร็จ ทางด้านหุ้น ก็ควรฟังคนที่เค้าประสพความสำเร็จมาก่อน จากคุณ : โจ (k_jojo) - [ 29 ม.ค. 51 00:22:28 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เก่งครับ ผมชอบมาก รวยด้วยเงินของคนอื่น ใช้เงินน้อยงัดเงินมาก ใช้จังหวะเป็นและเก่ง เอาเงินที่ต้องจ่ายคืนช้า มาลงทุนในสิ่งที่ให้ผลตอบแทนเร็ว ใช้กลไกตลาดทุน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กิจการที่เข้าไปลงทุน ให้คนอื่นรับความเสี่ยงแทน ให้คนอื่นทำงานแทน ให้คนอื่นเหนื่อยแทน รู้ว่าอะไรคือมั่งคั่ง อะไรคือมายา สรุปชอบเค้า เลยเห็นดีไปหมด จากคุณ : ช้างทมิฬ - [ 29 ม.ค. 51 00:23:47 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เป็นคนที่มีความคิดในเชิงบริหาร คำนวณ และวิเคราะห์ได้เยี่ยมมากครับ เขามองว่าตลาดหุ้น คือตลาดที่เอาบริษัทมาขาย เมื่อไหร่ที่ของดี ราคาถูก ก็ซื้อ ปรัชญาของเขาบางหัวข้อ ที่ผมเชื่อว่า นักลงทุนไทยเกินกว่า 90% ทำไม่ได้ "ถ้าในชีวิตนี้คุณซื้อหุ้นได้ 20 ครั้ง ตอนนี้ คุณจะซื้อมันหรือไม่" "จงอย่าตีลูกเบสบอลที่ขว้างเข้ามาทุกลูก ให้เลือกตีเฉพาะลูกที่คุณมั่นใจที่สุด" "ถ้าวันพรุ่งนี้ ตลาดจะปิดไปอีก 5 ปี คุณจะซื้อหุ้นอะไร" "ถ้าคุณทนเห็น port คุณ -50 % ไม่ได้ ก็อย่ามาเล่นหุ้น" "การลงทุนหุ้นในระยะยาว คือ การลงทุนในหุ้นที่คุณไม่คิดว่าจะขายมันไปตลอดชีวิต" "ลงทุนในธุรกิจ low-tech ที่คุณเข้าใจมัน อย่าลงทุนในธุรกิจที่คุณไม่เข้าใจ ( Low-tech ในความหมายของเขา คือ อิฐ เหล็ก ปูน ถ้า hi-tech ก็พวก ธุรกิจดอทคอม ) ลงทุนในธุรกิจที่คุณจะเห็นภาพในอีก 10 ปี ข้างหน้าก็ธุรกิจนั้นได้" หัวใจสำคัญในความสำเร็จของเขา อยู่ที่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของเขาเองครับ ( เป็นสิ่งที่เลียนแบบได้ยากมาก ) จากคุณ : seun - [ 29 ม.ค. 51 01:11:19 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เป็นคนรวยคนที่2ที่พูดคล้ายๆกันที่ผมเคยได้ยิน ตอบเหมือนกำปั้นทุบดิน จงแสวงหาธุรกิจที่ยอดเยี่ยม คุณควรลงทุนในธุรกิจที่แม้กระทั่งคนโง่ๆก็ยังบริหารมันได้ เพราะวันนึงอาจมีคนโง่ๆเข้ามาบริหารธุรกิจนั้นได้ ไม่ว่าธุรกิจจะถูกกระทบด้วยปัจจัยหลากหลายที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า หรืออะไรทำนองนั้น แต่สิ่งที่สำคัญจริงๆคือคุณต้องอยู่ในธุรกิจที่ถูกต้อง กรณีตัวอย่างคลาสสิกคือโคคา-โคล่า(ผมว่าเขารวยเพราะไอ้นี่หละ) โคคา-โคล่าเข้าสู่ตลาดหุ้นในปี1919ราคา40เหรียญต่อหุ้น ในปีต่อมามันลดลงไปเหลือ19เหรียญ หลังสงครามโลกครั้งที่1ราคาน้ำตาลเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก คุณจะเสียเงินไปกว่าครึ่งหากคุณซื้อหุ้นตอนมันเพิ่งเข้าตลาด แต่ถ้าคุณถืออยู่จนถึงวันนี้และนำปันผลที่ได้รับกลับไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง มันจะมีมูลค่า1.8ล้านเหรียญ เราเจอภาวัเศรษฐกิจตกต่ำหลายครั้ง ภาวะสงครามหลายครั้ง ราคาน้ำตาลขึ้นๆลงๆ มีเรื่องต่างๆเป็นล้านๆเรื่องเกิดขึ้น การพิจารณาว่าสินค้าตัวนั้นดีจริงหรือไม่ และสถานะทางการเงินของกิจการนั้นจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ จะเป็นประโยชน์กับเรามากกว่าการที่เรามัวแต่คิดว่า เราจะกระโจนเข้า หรือกระโจนออกจากหุ้นตัวนั้น จากคุณ : จัสครับ - [ 29 ม.ค. 51 07:07:15 A:61.19.66.98 X: TicketID:162426 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เขาห้องสมุด หรือร้านหนังสือดูครับ มีให้อ่านเป็น 10ๆ เล่ม จากคุณ : ส.สลึง - [ 29 ม.ค. 51 07:24:33 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จะมีกี่คนที่วิ่งเล่นในตลาดหุ้นตั้งแต่เด็ก... แล้วมองเห็นตัวเองเป็นเจ้าของหุ้นในกระดานที่กำลังซื้อขาย... จะมีกี่คนที่ประสบความสำเร็จในตลาดแล้วโด่งดัง... จะมีกี่คนที่เอาเงินออมทั้งหมดในชีวิตมาลงทุนแล้วหายไป... จะมีกี่คนที่ฆ่าตัวตายเพราะหุ้นตก... จะมีกี่คนที่เป็นหนี้เพราะลงทุนแบบผิดๆ... ผมยากบอกว่าทุกๆ อย่างมันมีสองด้าน บ้างครั้งเรามองด้านดีจนลืมด้านลบ บ้างครั้งเรามองด้านลบจนไม่กล้าที่จะทำ สุดท้ายเราเท่านั้นจะตอบตัวเองได้ว่าเรากำลังทำอะไร การลงทุน...มันมากกว่าที่คุณรู้ จากคุณ : เก่ง (keng13) - [ 29 ม.ค. 51 09:00:35 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไปห้องสมุด หรือไม่ก็ตามร้านหนังสือครับ นายอินทร์ SE-ED B2S มีหนังสือเกี่ยวกับตัวเค้า ความคิดของเค้า และสิ่งต่างๆเกี่ยวกับเค้าเยอะมากๆครับ จากคุณ : เด็กชายบ้องตื้น - [ 29 ม.ค. 51 09:39:34 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมคิดว่า ด้วยความที่แกเป็นคนรุ่นเก่าน่ะ แก bias เรื่องธุรกิจเทคโนโลยี ใหม่ ๆ ไปหน่อย เพราะแกไม่เข้าใจ( ก็เหมือนผู้ใหญ่ทั่วไปใช้คอมสู้เด็กไม่ได้ ประมาณนี้) แกจึงพลาดหุ้นไมโครซอฟไป ไม่งั้นแกคงรวยเป็นอันดับ 1 ของโลกล่ะ จากคุณ : คุณปุน นักลงทุนรายย่อย (คุณปุน) - [ 29 ม.ค. 51 09:54:52 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ปู่บัฟเฟตต์ แกไม่ได้แอนตี้เทคโนโลยี แต่แกจะลงทุนเฉพาะธุรกิจที่แกเข้าใจและประเมินมูลค่าของบริษัทออกมาได้เช่น หุ้นทอฟฟี่ หุ้นประกันภัย ในส่วนหุ้นเทคโน แกบอกว่า แกคิดไม่เป็นจริงๆ ว่า จะประเมินมูลค่าของบริษัท หรือ ซอร์ฟแวร์ ออกมาได้อย่างไร ในขณะที่ ตอนนั้น ยุค dot com บูมสุดๆ แต่แกไม่เข้าไปลงทุน ก็ได้รับคำเหน็บแนมตลอดว่า หมดยุคของแก เพราะแกพลาดรถไฟเที่ยวสำคัญ เป็นนักลงทุนยุดไดโนเสาร์ แกก็ไม่เดือดร้อนไร สุดท้าย พอยุค dot com ล่มสลาย แกก็เข้าไปเก็บหุ้นชั้นเยี่ยมในธุรกิจที่เล็งไว้(ไม่ใช่ บ เกี่ยวกับเทคโน หรือเนท) มาและครองตำแหน่ง อันดับ 2 เศรษฐีโลกได้มาจนทุกวันนี้ (รู้สึกว่า ตอนนี้จะเป็นอันดับ 3) ล่าสุดที่อ่าน รู้สึกจะได้กำไรจาก ปิโตรไชน่าไป 8 เท่า และก็ขายออกไป บอกว่า ถ้าตก จะเข้าไปซื้อ จากคุณ : JChai - [ 29 ม.ค. 51 10:36:43 A:58.8.243.237 X: TicketID:087120 ]

ความคิดเห็นที่ 12 การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ต้องลงทุนระยะยาวและต้องมีความอดทนและต้องคอยศึกษาและติดตามปัจจัยพื้นฐานหุ้นเป็นหลักและคอยสังเกตผลประกอบการให้ดีแล้วจะได้กำไร จากคุณ : value invester (value invester) - [ 29 ม.ค. 51 18:19:10 ]

ความคิดเห็นที่ 13 บัฟเฟต สร้างผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยตลอดชีวิตของเขาคือ 30% ต่อปีและทบต้น โดยไม่นำเงินออกมาใช้ โดยเริ่มจากเงิน 100000 เหรียญ ตอนนี้มีเกือบ 50000 ล้านเหรียญ ถ้าคุณทำได้แบบบัฟเฟต จากอายุ 20 จากเงิน 100000 บาท คุณก็จะมีประมาณ 38000 ล้านบาท ตอนอายุ 70 จากคุณ : Jessepo - [ 29 ม.ค. 51 19:50:29 ]