ความคิดเห็นที่ 1
- หุ้นคืออะไร
หุ้น ก็คือเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของกิจการโดยการร่วมทุน เช่นเมื่อเราต้องการทำธุรกิจกับเพื่อน เราก็เอาเงินมารวมกัน แล้วทำกิจการ และเพื่อป้องกันการคดโกงกันในภายหลัง เราและเพื่อนก็จะต้องทำสัญญาต่อกันว่าได้ลงทุนร่วมกัน รูปแบบหนึ่งที่บอกว่าคนหรือกลุ่มคน ได้ร่วมทุนกันทำธุรกิจ ก็คือการแบ่งเงินทุนออกเป็น "หุ้น" แต่ละ "หนึ่งหุ้น" ก็จะมีส่วนเป็นเจ้าของเท่าๆ กัน คนที่มีหุ้นหรือเรียกว่า "ถือหุ้น" มากกว่า ก็จะมีส่วนเป็นเจ้าของมากกว่าคนที่ถือหุ้นน้อยกว่า เป็นต้น
ผู้ที่ถือหุ้น จะได้รับผลประโยชน์จากการถือหุ้นในหลายลักษณะ เช่นได้รับปันผล, หรือเมื่อมีการเพิ่มทุน ก็จะได้รับสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนก่อนผู้อื่น และอาจจะในราคาถูกกว่าผู้อื่น เป็นต้น
หุ้น สามารถจำหน่ายจ่ายโอนกันได้ ดังนั้นแล้วเมื่อมีการจำหน่าย ราคาก็สามารถที่จะเปลี่ยนไปได้ตามความนิยม หรือตามความสามารถในการทำเงินของกิจการนั้นๆ หากกิจการทำเงินได้ดี ได้มาก และมั่นคง เจ้าของหุ้นก็สามารถขายหุ้นในราคาที่สูงได้ (เพราะมีคน "ยอมจ่ายเงินแพงขึ้น" เพื่อแลกกับกิจการที่มั่นคง, ทำเงินได้ดี นั้นๆ) แต่ในทางตรงกันข้าม หากกิจการประสบภาวะขาดทุน และไม่สามรถแข่งขันได้ ราคาหุ้นก็อาจจะตกต่ำลงมามากเนื่องจากไม่มีใครต้องการ
จริงๆ แล้วที่เราเรียกว่าหุ้น ยังสามารถแบ่งออกได้อีกหลายประเภทคือ หุ้นสามัญ, หุ้นบุริมสิทธิ, และหุ้นกู้ โดยที่ทั้งสามอย่างนี้ บอกถึงความมีส่วนเกี่ยวพันกับบริษัท แต่ว่าในลักษณะที่ต่างกัน
- หุ้นสามัญ (Common Stocks) คือเอกสารที่บอกถึงความมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในบริษัท มีสิทธิในการออกเสียงเพื่อการบริหารงาน และมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่นสิทธิในเงินปันผล สิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน สิทธิในการได้รับจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ (วอแรนท์ - Warrant) เป็นต้น ดังนั้น การที่เราเป็นเจ้าของหุ้น ก็เหมือนกับว่าเรามีส่วนในการเป็นเจ้าของบริษัทด้วย โดยผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมในการลงทุนในหุ้นนั้นก็คือ ผลตอบแทนจากเงินปันผล, ผลตอบแทนจากมูลค่าหุ้นที่ (อาจจะ) เพิ่มขึ้น, และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในการซื้อหลักทรัพย์เกี่ยวพันกับบริษัทในราคาต่ำกว่าบุคคลภายนอก ไม่ใช่เพียงแต่การซื้อมาแล้วขายไปเพื่อกำไรที่เกิดขึ้นจากราคาที่เปลี่ยนแปลงสูงขึ้นเพียงอย่างเดียว
- หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stocks) คล้ายกับหุ้นสามัญ เพียงแต่ว่าไม่มีสิทธิออกเสียงในการบริหาร แต่มีสิทธิประโยชน์ด้านเงินปันผลมากกว่าหุ้นสามัญ กล่าวคือเมื่อบริษัทจะจ่ายปันผล จะต้องจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นบุริมสิทธินี้ก่อน หลังจากนั้นจึงจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นสามัญ เป็นต้น รายละเอียดของบุริมสิทธิที่พึงจะมี จะต้องดูในเอกสารของบริษัทนั้นๆ อีกครั้งหนึ่ง
- หุ้นกู้ (Bonds) พวกนี้ จริงๆ แล้วเป็นเอกสารแสดงความเป็นเจ้าหนี้ต่อบริษัทผู้ออกหุ้นกู้นั้น ซึ่งก็คือการที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ ได้กู้เงินผู้ซื้อหรือผู้ถือหุ้นกู้นั้นเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินกิจการ โดยสัญญาว่าจะจ่ายค่าตอบแทน (ดอกเบี้ยนั่นแหละ) ให้กับผู้ถือเป็นจำนวนเท่าใด เป็นเวลานานเท่าใด และครบกำหนดไถ่ถอนเมื่อใด ซึ่งเมื่อครบกำหนดแล้ว บริษัทก็จะนำเงินสดมาซื้อหุ้นกู้นั้นคืนจากผู้ถือตามราคาหน้าตั๋ว ซึ่งก็คือการใช้หนี้นั่นแหละครับ ทั้งหนี้ หุ้นกู้เอง ด้วยตัวมันแท้ๆ แล้วถือว่าเป็นตราสารหนี้ (ส่วนหุ้นสามัญ, หุ้นบุริมสิทธิ เป็นตราสารทุน) แต่หากหุ้นกู้ใดถูกกำหนดไว้ว่าสามารถแปลง (ร่าง) เป็นหุ้นสามัญได้ด้วยตามแต่ที่จะได้ตกลงกันไว้ ก็จะเป็นตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ผู้ลงทุนจะต้องไปตรวจดูรายละเอียดของหุ้นกู้นั้นๆ อีกครั้งหนึ่ง
มีข้อหนึ่ง ที่ผมอยากจะบอกเล่าให้กับท่านนักลงทุนหน้าใหม่ได้ทราบ คือการซื้อขายหุ้น ก็เหมือนกับสินค้าทั่วไป คือมันมีราคา เพราะมีคนต้องการ เราขายสินค้าหรือหุ้นได้ทั้งหมดโดยไม่เหลือ ก็เพราะมีคนต้องการสินค้านั้น หรือหุ้นนั้นในปริมาณที่เรามีอยู่ คือวันหนึ่งๆ ซื้อขายกันไม่มากเท่าไร ซื้อยากขายยาก ซึ่งเราเรียกว่าเป็นหุ้นประเภทสภาพคล่องต่ำนั่นเอง ดังนั้นแล้ว หากเรามีหุ้นที่สภาพคล่องต่ำ คือไม่ค่อยมีการซื้อขาย การที่เราจะเปลี่ยนเป็นเงิน "ทั้งหมด" คือขายหุ้นได้ทั้งหมดในราคาหุ้นละเท่าๆ กับราคาสุดท้ายบนกระดาน ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก หรือหากเมื่อใด ทั้งที่บริษัทที่เราถือหุ้นอยู่ เป็นบริษัทที่ดี จ่ายเงินปันผลสูง การเติบโตดี เรียกว่าดีทุกอย่าง แต่ไม่มีใคร Bid เพื่อซื้อหุ้นนั้นบนกระดาน เราก็ขายไม่ได้ นะครับ ดังนั้นแล้ว เมื่อเราซื้อหุ้น (โดยเฉพาะหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ) เราจะต้องคิดว่ามันให้ผลตอบแทนได้ดี เมื่ออยู่กับเราไปเรื่อยๆ เราไม่เดือดร้อนแม้ว่าขายไม่ได้ หุ้นประเภทนี้เราต้องมองเป็นหุ้นลงทุน ไม่ใช่เก็งกำไร เพราะราคาจะกระโดดไปมาได้มาก การ Bid (ต่อราคาเพื่อซื้อ) /Offer (ตั้งราคาเพื่อขาย) อาจจะไม่ต่อเนื่องกันได้ ตรงกันข้ามกับหุ้นประเภทที่มีสภาพคล่องสูงๆ หุ้นเหล่านี้ซื้อง่ายขายคล่อง สามารถเก็งกำไรได้ง่าย (ถ้าจะทำ) อันนี้ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณานะครับ
จากคุณ :
stoes
- [
19 ก.พ. 51 07:48:43
]
|
|
|