Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ไม่มีอะไรที่ผมต้องการ แล้วซื้อไม่ได้ Posted by: MudleyGroup

    ไม่มีอะไรที่ผมต้องการ แล้วซื้อไม่ได้

    คำกล่าวข้างต้นดูเหมือนจะเป็นคำกล่าวที่เต็มไปด้วยความโอหัง ซึ่งดูเหมือนคำกล่าวนี้มักจะหลุดมาจากตัวละครที่มีเงินมากมายมหาศาล แต่คำกล่าวข้างต้นนี้แหล่ะ ที่ผมกล้าจะกล่าวขึ้น ผมซึ่งมีฐานะอยู่แค่ชนชั้นกลาง เหตุไฉนจึงกล้ากล่าวคำพูดเช่นนั้นได้เต็มๆปาก ถ้าถามว่าผมมีเงินซื้อ S Class หรือคฤหาสน์หลังใหญ่โตหรือเปล่า
    ผมคงตอบว่าไม่มีแม้จะเศษเสี้ยวของยางรถยนต์หรือกำแพงคฤหาสน์ หลายท่านอาจจะสงสัยต่ออีกว่าแล้วทำไมผมยังขอยืนยันคำพูดเดิม ลองดูถึงเหตุผลที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้ ซึ่งจะทำให้ทุกท่านทุกชนชั้นไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหนก็กล้าที่จะกล่าวคำพูดนี้ได้เต็มๆปากเช่นผม

    โดยปกติแล้วพฤติกรรมการซื้อของชิ้นใดชิ้นหนึ่งแล้ว สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นก็คือ “ความต้องการ” เมื่อมีความต้องการเกิดขึ้นคนเราก็พร้อมที่จะควักกระเป๋าจ่ายเงินเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการนั้นมาครอบครอง แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัดของแต่ละบุคคลทำให้สามารถซื้อของได้ในระดับราคาที่แตกต่างกันไป ตามแต่สถานะทางการเงินส่วนบุคคล

    เมื่อเงินในกระเป๋าไม่เพียงพอผู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะพยายามเพิ่มอำนาจการจับจ่ายด้วยเครื่องมือทางการเงินต่างๆไม่ว่าจะเป็นการกู้ การผ่อน การขอวงเงินจากบัตรเครดิต ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลพวงของความเจริญก้าวหน้าของโลกทุนนิยม ผู้คนส่วนใหญ่เหล่านี้หารู้ไม่ว่าตนเองได้ตกเข้ามาสู่กับดัก “ความต้องการ” ของโลกทุนนิยมยุคใหม่เสียแล้ว
    เนื่องจากมนุษย์ทุกคนมีความจำเป็นต้องบริโภค นายทุนตลอดจนผู้ประกอบการต่างๆก็เห็นโอกาสที่จะเพิ่มเม็ดเงินในกระเป๋าตนเองด้วยการเสนอขายสินค้าต่างๆเพื่อสนองความต้องการไล่ตั้งแต่ปัจจัยสี่จนถึงของฟุ่มเฟือยต่างๆ แต่การเสนอขายธรรมดาที่มีมาแต่โบราณกาลด้วยการวางสินค้าไว้เฉยๆ แล้วรอให้ผู้มีความต้องการมาเสาะแสวงหา จากนั้นจึงทำข้อตกลงต่างๆจนนำมาซึ่งการซื้อขายในท้ายที่สุดดูจะไม่เพียงพอกับความต้องการรวมถึงเป้าหมายการประกอบการของพวกนายทุนเสียแล้ว
    ในเมื่อพวกเขามีอำนาจทางการผลิตเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลพวงมาจากวิทยาการสมัยใหม่ สินค้าหลากหลายทั้งสีสรรทั้งรูปทรงที่สวยงามพร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของมนุษย์วางเรียงรายมากมายอยู่ใน Warehouse ทั่วโลกพร้อมที่จะปล่อยออกมาทุกเมื่อ ขาดก็เพียงแต่ลูกค้าที่จะวิ่งเข้าหาเท่านั้น อย่ากระนั้นเลยนายทุนผู้มีสมองอันปราดเปรื่องก็คิดค้นศาสตร์ทางการตลาดขึ้นมา แทนที่จะรอลูกค้าวิ่งเข้าหาทำไมเราไม่เป็นฝ่ายออกไปหาลูกค้า แล้วจัดการกระตุ้นความต้องการของลูกค้าให้เกิดขึ้นผ่านทางสื่อและช่องทางการขายต่างๆเพื่อเพิ่มยอดขายและเม็ดเงินในกระเป๋าตนเองล่ะ เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วนายทุนทั้งหลายก็เริ่มปฏิบัติการเพิ่มยอดขายสินค้าที่อยู่ในมือตนเองเป็นผลสำเร็จ
    จนในท้ายสุดนายทุนผู้เป็นหัวเรือใหญ่ดูจะไม่ใช่บุคคลหรือกลุ่มคนเพียงหยิบมือที่ปฏิบัติตามวิธีดังกล่าว นายทุนรายย่อยเมื่อเห็นรายใหญ่ประสบความสำเร็จก็เริ่มลงมือตาม จนในท้ายสุดตลาดผูกขาดของสินค้านั้นๆก็ล่มสลาย เกิดการแข่งขันกันกระตุ้นความต้องการ การแย่งชิงและการเพิ่มปริมาณทั้งการให้ข้อมูลข่าวสารทางสื่อและช่องทางต่างๆ จนในท้ายสุดดูจะกลายเป็นการยัดเยียดข้อมูลให้แก่ลูกค้ามากเกินความจำเป็นด้วยซ้ำ
    ดูเหมือนว่าการการต่อสู้ทางเกมส์ธุรกิจสมัยใหม่นี้จะก่อให้เกิดความต้องการในตัวมนุษย์มากเกินความจำเป็น จากเดิมที่ต้องการสินค้าเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงการมีชีวิต ก็ต้องการมากขึ้นเพื่อตอบสนองเพียงความอยาก จนทำให้รายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย จนท้ายสุดต้องไปกู้หนี้ยืมสินอันก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนและคนใกล้ชิด สิ่งเหล่านี้ดูจะกลายเป็นวัฎจักรในชีวิตของมนุษย์ส่วนใหญ่ไปเสียแล้ว

    อย่ากระนั้นเลยหากมนุษย์คนใดต้องการวิ่งหนีจากกับดัก “ความต้องการ” แล้วก็ต้องทำตัวเป็นคนส่วนน้อยให้ได้ คนส่วนน้อยที่สามารถหลุดจากกับดักนี้ได้ก็คือผู้ที่ควบคุมความต้องการได้ ไม่ปล่อยให้สิ่งยั่วยุที่มาจากทางสื่อต่างๆเข้าครอบงำจิตใจไปกระตุ้นให้เกิดความอยากได้ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วท่านทั้งหลายก็จะสามารถซื้อทุกสิ่งที่ใจปรารถนาได้ เพราะท่านรู้จักคำว่าพอ สิ่งใดที่ท่านไม่สามารถซื้อหรือเป็นสิ่งที่มากเกินพอดีกับชีวิตก็เพียงแต่ตัดสิ่งนั้นออกจากใจไปเสีย เท่านี้ในจิตใจของท่านก็จะเหลือแต่สิ่งที่ท่านต้องการอย่างถ่องแท้และสามารถซื้อได้ไม่เกินกำลังทรัพย์ของท่าน

    บทความข้างต้นนี้ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงหรือให้ร้ายผู้ประกอบการหรือศาสตร์ใดๆก็ตามที่มีการกล่าวอ้างถึง การเขียนบทความดังกล่าวเพียงเพื่อสนับสนุนแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” และหวังจะให้แง่คิดเกี่ยวกับการเงินส่วนบุคคลเล็กๆน้อยๆเท่านั้น เนื่องจากตัวผู้เขียนเล็งเห็นถึงการให้ความสำคัญของทรัพย์สินมากกว่าคุณความดีซี่งยังมีอยู่มากในสังคมไทย ดังนั้นในย่อหน้าสุดท้ายนี้จึงอยากจะให้คำนิยามของคำว่า “คนรวย” เสียใหม่ เพื่อเป็นการยกระดับทางจิตใจและไม่ให้เกิดกิเลสทางวัตถุเข้าครอบงำ

    คนรวย สำหรับนิยามใหม่นี้คนรวยมิได้หมายถึงคนที่มีทรัพย์สินมากต้องรวยพันล้านหรือหมื่นล้าน หากแต่คนรวยก็คือคนที่มีรายได้มากกว่ารายรับ ใช้จ่ายอย่างพอเพียง ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน และหมั่นทำบุญให้ทานตามแต่กำลังทรัพย์และศรัทธา
    ดังนั้นด้วยนิยามใหม่นี้ไม่ว่าใครก็ตามก็เป็นคนรวยได้ขอเพียงแต่รู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัดและอดออม
    เมื่อถึงเวลานั้นประเทศไทยก็จะเต็มไปด้วยคนรวย เมื่อทุกคนเป็นคนรวยหมดก็จะไม่มีการแบ่งแยกเขาหรือเราด้วยเหตุผลจากจำนวนเงินที่อยู่ในกระเป๋า และคุณค่าของมนุษย์ก็จะถูกวัดจากบรรทัดฐานทางความดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้เขียนได้แต่หวังว่าจะเกิดขึ้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ และขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงที่กรุณาอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ขอบคุณครับ
    :)

    MudleyGroup

    แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 23:04:31

    จากคุณ : KENG76 - [ 21 ก.พ. 51 22:59:00 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom