ความคิดเห็นที่ 1 Q: มาตรการกันสำรอง 30% คืออะไร? A: รู้กันหมดแล้วมั้งครับ ^^" เพื่อความเข้าใจดียิ่งขึ้นนะครับ ผมขออนุญาตเอาของเก่ามาหากินอีกรอบนะครับ :) แนะนำทุกท่านอ่านสองกระทู้นี้ประกอบ จะได้เข้าใจบริบทของประเทศไทยตอนนั้นดียิ่งขึ้นครับ ว่าค่าเงินแข็งเพราะอะไร แข็งจนทำให้แบงค์ชาติต้องออกมาตรการกันสำรองออกมา รวมถึง 19 ธันวาคม 2549 วันที่ตลาดหุ้นไทยพินาศร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ บาทแข็งเพราะอะไร และแบงค์ชาติทำอะไรอยู่? http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2006/12/I4955276/I4955276.html มาตรการ 18 ธ.ค. 2549 : แบงค์ชาติทำอะไรลงไป? http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2006/12/I4997972/I4997972.html สองกระทู้นั้น อธิบายค่อนข้างจะละเอียด เพราะฉะนั้น กระทู้นี้จะไปอย่างเร็วๆ นะครับ (ถ้าใครตามไม่ทัน หรือสงสัย ถามเลยนะครับ ถ้าตอบได้จะตอบให้ ^^ ) เอาสั้นๆ ง่ายๆ นิดหนึ่งละกันครับ มาตรการกันสำรอง 30% คือ มาตรการที่แบงค์ชาติออกใช้เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2549 เพื่อป้องกันไม่ให้เงินทุนต่างชาติ เข้ามาเก็งกำไรค่าเงินในประเทศ หลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2549 ชนิดแข็งขึ้นเร็วที่สุดในภูมิภาค ทำให้แบงค์ชาติต้องออกมาจัดการอะไรสักอย่าง สุดท้ายก้อมาลงตัวที่มาตรการกันสำรอง 30% (หรือภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่า Unremunerated Reserve Requirement: URR ครับ) โดยสรุป มาตรการที่ว่านี้ คุณกำเงินมาลงทุน 100 แต่คุณจะได้เงินไปลงทุนแค่ 70 อีก 30 แบงค์ชาติจะเก็บไว้ (ไม่ได้ดอกเบี้ยด้วย) ถ้าคุณจะแลกเงินคืนกลับภายในหนึ่งปี ไอ้ 30 ที่แบงค์ชาติเก็บไว้อ่ะ แบงค์ชาติจะคืนคุณแค่ 20 มาตรการดังกล่าวทำให้คนที่ตั้งใจนำเงินเข้ามาเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนในประเทศไทย ต้องคิดหนัก เพราะนำเงินไปเก็งได้เพียง 70% และถ้าถอนเงินออกภายใน 1 ปีต้องเสีย 10% ของเงินจำนวนดังกล่าว อย่างไรก็ตาม มาตรการ URR มีการผ่อนปรนเรื่อยมา เช่นการเปิดโอกาสให้เงินลงทุนในตลาดตราสารหนี้และการกู้ยืมเงินจากภายนอก ถ้าไม่ต้องการโดนกันสำรอง สามารถทำ Fully Hedge แทนได้ ดังรูป presentation ช่วงนี้ ผมเอา presentation ของแบงค์ชาติที่แสดงต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 17 มาจาก link นี้นะครับ http://www.bot.or.th/bothomepage/General/PressReleasesAndSpeeches/PressReleases/News2550/Thai/n6250t.htm ส่วนที่เป็นสไลด์อยู่ด้านล่างๆ ของ link ครับ จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:23:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Q: ทำไมแบงค์ชาติต้องออกมาตรการ URR ? A: เนื่องจากตอนนั้น ค่าเงินเราแข็งขึ้นผิดปกติครับ โอเคล่ะ ตอนนั้นทุกคนเข้าใจว่า เหตุผลสำคัญของการแข็งค่าของเงินบาท คือ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทกลับแข็งขึ้นมากกว่าชาวบ้านชาวช่องในภูมิภาคนี้ แสดงให้เห็นว่า การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ เป็นเพียงสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บาทแข็งเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:24:09 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Q: แล้วมาตรการ URR ได้ผลไหม? A: จุดประสงค์หลักของ URR คือป้องกันไม่ให้มีเงินเข้ามาเก็งกำไรค่าเงิน เพื่อไม่ให้บาทแข็งตัวเร็วเกินไปนัก จนระบบเศรษฐกิจ (โดยเฉพาะผู้ส่งออก) ปรับตัวไม่ทัน จากคำบอกเล่าของแบงค์ชาติ เค้าว่าได้ผลนะครับ ดังตาราง มาดูกันทีละข้อครับ ;) จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:24:26 ]

ความคิดเห็นที่ 4 1. ลดการเก็งกำไรค่าเงินบาท ในลักษณะ one-way bet กล่าวคือ URR ช่วยไม่ให้บาทแข็งเร็วเกินไป อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า URR จะทำให้บาทมันอ่อนนะครับ คือ แม้จะไม่ทำให้บาทอ่อนลง แต่ก้อช่วยให้แข็งในอัตราที่ช้าลง และไปกับภูมิภาคมากขึ้น และลดความผันผวนให้กับค่าเงิน ไม่ให้สวิงเกินไป แบบเช้าฟอร์แต่ปิดเขียวแบบหุ้นบางตัว (ฮึ เคือง) ถ้าพูดภาษาหุ้น ก้อต้องบอกว่า มาตรการห้ามเนต ทำให้ Live ไม่ถึงเป้า 30 บาทเร็วเกินไป แทนที่จะถึง 30 บาท 1 อาทิตย์หลังแตกพาร์ ก้อเป็น 1 เดือนแทน (ไม่ได้บอกว่าจะไม่ถึง ฮา) และเป้าสั้นๆ ต่อไป 40 บาท  รักษาเนื้อ รักษาตัวดีดี อาจจะไปสองหลักอีกรอบ ^^" นอกเรื่องล่ะๆ เผอิญขายหมูไป ขอบ่นหน่อย  :) จากรูปจะเห็นว่า บาทดิ่งลงเรื่อยๆ ก่อน URR พอมีมาตรการ URR บาทก้อเด้งกับไปที่เดิม ก่อนหน้าที่จะดิ่งลง และค่อยๆ แข็งขึ้นอย่างช้าๆ ไม่ได้วิ่งลงทางเดียวแบบในตอนก่อน URR ครับ จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:24:57 ]

ความคิดเห็นที่ 5 2. ชะลอเงินทุนไหลเข้า เพื่อให้สามารถดูแลค่าเงินบาทให้สอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาคโดยเฉพาะในช่วงที่มีความเสี่ยงจาก USD slide จากรูปจะเห็นได้ว่า เงินทุนไหลเข้าที่มากถึง 13,616 ล้านดอลลาร์หรือคิดเป็น 6.6% ของ GDP ในช่วงปี 2006 นั้น ลดลงเหลือเพียง 6,958 ล้านดอลลาร์ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2007 หรือเพียง 3.9% เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าพิจารณาว่าในปี 2007 สหรัฐเจอปัญหาเศรษฐกิจหนักมาก จนหลายฝ่ายคาดว่า จะประสบกับการถดถอยทางเศรษฐกิจ หรือ recession ยิ่งทำให้นักลงทุนที่ถือเงินดอลลาร์ ต้องการขายออกมา และมองหาการลงทุนอื่นๆ ในประเทศต่างๆ มากขึ้น แต่เงินไหลเข้าไทยกลับไม่มากอย่างปีก่อนๆ ถ้าคิดแง่นี้ ก้อโอล่ะ URR สอบผ่าน :) แต่ที่นักลงทุนไม่นำเงินเข้ามาในไทย เป็นเพราะ URR เหตุผลเดียวหรือเปล่า? ผมไม่ทราบนะครับ แค่ต้องการตั้งข้อสังเกตว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ URR แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด ความไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจในประเทศ ปัญหาความไม่สงบจากความขัดแย้งทางการเมือง การปฏิวัติ นี่หรือเปล่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เงินลงทุนต่างชาติ ข้ามประเทศไทยไปประเทศอื่นๆ ก้อแค่สงสัย ใครตอบได้ ช่วยหน่อย ^^" จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:25:14 ]

ความคิดเห็นที่ 6 3. ให้เวลาแก่ภาคเอกชนในการปรับตัว เหตุผลสำคัญที่รัฐกลุ้มใจมากๆ เวลาบาทแข็ง ก้อคือภาคส่งออกครับ ทุกท่านคงทราบนะครับ ว่า บาทแข็งเนี่ยไม่ดีต่อการส่งออก อ๊ะ อะไรนะครับ ยังไม่ค่อยเข้าใจเหรอครับ แหม งั้นนี่เลยครับ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กระทู้นี้ครับ (ของเก่าหากินอีกแล้วว ^^" ) http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2007/07/I5613790/I5613790.html เรื่องของเรื่องคือ โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศเรามีการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนครับ มาอัพเดทกันดีกว่า สภาพัฒน์เพิ่งจะประกาศตัวเลข GDP Q4 ออกมาเมื่ออาทิตย์ก่อนเอง GDP ทั้งปี 2550 ของไทยมีมูลค่า 8,485,200 ล้านบาท แปลหยาบๆ ว่า ประเทศไทยสามารถทำรายได้ได้ประมาณ 8 ล้านล้านบาท ซึ่งรายได้ 8 ล้านๆ บาทเนี่ย มาจากการส่งออกสินค้าและบริการ 6,209,513 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73.2% ของรายได้ทั้งหมด (GDP) เว้ากันตรงๆ เหตุผลสำคัญ(ที่สุด) ที่แบงค์ชาติต้องนำ URR มาใช้ เพราะกลัวภาคส่งออกสูญเสียความสามารถในการแข่งขันครับ แปลเป็นไทยคือ แบงค์ชาติกลัวว่า บาทแข็งจะทำให้สินค้าไทยแพงขึ้นในสายตาลูกค้าต่างชาติ และจะทำให้การส่งออกของเราลดลง ส่งผลให้ GDP ของเราลดลงในท้ายที่สุดครับ source: NESDB http://www.nesdb.go.th/Default.aspx?tabid=95 จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:25:34 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ซึ่งมาตรการ URR เหมือนเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ส่งออกตื่นตัวว่า บาทกำลังจะแข็งขึ้นนะ ผู้ส่งออกต้องปรับตัวนะ ซึ่งเป็นที่น่ายินดี ผู้ส่งออกปรับตัวได้ค่อนข้างเร็ว โดยดูได้จาก 2 อย่างดังนี้ 3.1 ผู้ส่งออกมีการทำ Hedging ค่าเงินมากขึ้น จากรูปจะเห็นได้ว่า hedging ratio ของผู้ส่งออกไทย เมื่อเดือนกันยายน 07 มีประมาณ 32% เพิ่มขึ้นจาก 23% ในเดือนพฤศจิกายนปี 06 hedging แปลง่ายๆ คือ การที่ผู้ส่งออกตกลงกับธนาคารถึงอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น ผู้ส่งออก A บอกกับธนาคาร B ว่า ไม่ว่าอัตราแลกเปลี่ยนในเดือนธันวาคมปีนี้ (2008) เป็นเท่าไรก้อตาม ผมจะเอาเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาแลกเป็นเงินบาทกับคุณ และคุณต้องใช้ rate 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐกับผมนะ แบงค์ B อาจคิดค่า premium (หรือ Discount) นิดหน่อย อันนี้เราเรียกว่าการทำ forward ครับ นั่นหมายความว่า ผู้ส่งออกไทยตื่นตัวกับการทำ hedging มากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:26:01 ]

ความคิดเห็นที่ 8 3.2 การส่งออกของไทย กระจายตัวออกจากสหรัฐมากขึ้น สไลด์ของแบงค์ชาติก้อมี แต่ตัวเลขไม่อัพเดท ผมเลยทำเอาใหม่มาให้ดู จากรูปจะเห็นได้ว่า การส่งออกของไทยในปี 2007 กระจายตัวออกจากสหรัฐมากขึ้น แม้ว่า growth rate ของการส่งออกไปสหรัฐจะลดลง 1.2% ในปี 2007  แต่การส่งออกไปประเทศอื่นๆ กลับเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว โดยประเทศอย่างญี่ปุ่น, ยุโรป, อาเซียน, ตะวันออกกลาง, ออสเตรเลีย, จีน, ฮ่องกง, อินเดีย เป็นต้น  ประเทศเหล่านี้มี growth rate ระดับ 2 digit ทั้งนั้น ไม่น่าแปลกใจที่ แม้ค่าเงินจะแข็งพรวดพราดในปี 2007 โดยแข็งขึ้นถึง 5.94% (คำนวณจากค่าเฉลี่ยเงินบาทเดือนธันวาคม 2550 ที่ 33.7044 เทียบกับค่าเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2549 ที่ 35.8337)  แต่การส่งออกของไทยกลับเติบโตได้ในระดับ 17.5% สุดยอดดดด ^o^ อย่างไรก้อตาม ผู้ส่งออกหลายรายตะโกนกลับมาว่า "ก้อเพราะขายในประเทศมันไม่มีคนซื้อตะหากล่ะ(ว้อยย)" อ้าว เหรอครับ  แป่ววว ;) เอาเถอะ อย่างน้อยเราก้อสรุปได้ว่า ผู้ส่งออก(แม้จะบ่นอยู่ทุกวันว่าบาทแข็งจะตายแล้วนะ) สามารถปรับตัว รับมือกับการแข็งค่าของเงินบาทได้ดีขึ้น :) source: ตารางที่ 44.1สินค้าออกและสินค้าเข้าจำแนกตามกลุ่มประเทศ (ดอลลาร์ สรอ.),   ฐานข้อมูลเศรษฐกิจไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย http://www.bot.or.th/bothomepage/databank/EconData/EconFinance/index03.htm จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:26:18 ]

ความคิดเห็นที่ 9 4. ให้เวลาแก่มาตรการต่างๆ ของทางการมีผลต่อเศรษฐกิจ ทุกท่านคงทราบดีว่า เราต่างก้อมองว่าค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนตัวลงต่อเนื่อง เพราะฉะนั้น ภาครัฐจึงออกมาตรการทั้งหลายออกมาเพื่อให้ภาคธุรกิจและระบบเศรษฐกิจปรับตัวรับความเสี่ยงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ถ้าค่าเงินแข็งเร็วเกินไป มาตรการที่ภาครัฐออกมาคงยังไม่ทันเห็นผล คนไข้อย่างเศรษฐกิจไทยคงตายก่อนที่ยาจะออกฤทธิ์ URR อาจไม่ใช่ยาที่ใช้รักษาโลก แต่ก้อเหมือนยาชาที่ให้คนไข้ ให้คนไข้อึดขึ้นอีกหน่อย เพื่อรอยาที่หมอฉีดให้ไปออกฤทธิ์ รวมถึงการผ่าตัวของคุณหมอชอคโกเลี้ยบ (ฮา) ในอนาคตอันใกล้นี้ ;) จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:26:38 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Q: ว้าวววๆๆๆ (นึกถึงโฆษณาฮอลล์สีดำจะขำมาก ^^" ) URR นี่มีแต่ข้อดีเลยเนอะ? A: เปล่าเลยครับ ยาทุกชนิดมีผลข้างเคียงทั้งนั้นล่ะ URR มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนภายนอก แม้ URR จะไม่ได้บังคับต่อการลงทุนทางตรงจากภายนอก (Foreign Direct Investment: FDI) แต่มันก้อทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่เชื่อมั่นว่า ภาครัฐจะมาเล่นตลกอะไรกับเงินของเค้าหรือเปล่า และทำให้ตลาดตราสารหนี้ ซึ่งโดน URR เงียบเหงาไปเลย เพราะขาดผู้ซื้อรายสำคัญคือต่างชาติ ภาคเอกชนที่กู้ยืมเงินจากภายนอก ก้อลำบาก ต้องเอาเงินไปฝากไว้ที่สิงคโปร์บ้าง ฮ่องกงบ้าง เพราะถ้านำเข้ามาในไทย โดน URR ที่สำคัญ มันทำให้ตลาดค้าเงินตรากลายเป็นสองตลาดคือ offshore และ onshore ครับ ข้อเสียสำคัญที่มีสองตลาดแบบนี้คือ ทำให้ตลาดเกิดความสับสนว่า ค่าเงินบาทที่แท้จริง ควรจะเป็นเท่าไรกันแน่ ประเด็นสำคัญที่ผมเคยพูดไปแล้วคือ บาท offshore ที่มันแข็งอ่ะ เพราะมันไม่มี volume และ bid-offer มันน้อย เวลาคนอยากได้บาท ก้อต้องเคาะหลายช่องหน่อย ทำให้ผันผวนได้ง่าย และมันทำให้ตลาด onshore กลัวว่า ค่าเงินบาทจะแข็งตาม offshore ครับ พอคนกลัวแบบนั้น ก้อเทขายดอลลาร์ใน onshore กันใหญ่ ทำให้บาทใน onshore แข็งตามไปด้วย ตลกไหมละครับ อธิบายภาษาหุ้นดีกว่า ลองจินตนาการว่ามีหุ้น bliss กะ bliss-w1 ในตลาดจำนวน 100 ล้านหุ้น กับ 100,000 หุ้นตามลำดับ bliss แม่มี bid-offer วางช่องละ 1 ล้าน แต่ bliss ลูกวางช่องละ 500-1000 หุ้น ผมมี bliss-w1 อยู่ 10,000 หุ้น แล้วเดือดร้อนต้องการใช้เงินสด ผมก้อเลยเทขายทิ้งซ้ายหมดเลย เนื่องจากไม่มีคนวาง bid เลยมันก้อไหลรูดไปยันฟอร์ คนที่มี bliss แม่ เห็น bliss ลูกไหลไปยันฟอร์ ก้อตกใจกันใหญ่ เฮ้ยย มันเกิดอะไรขึ้นอ่ะเนี่ย ข่าวอะไรเนี่ย ไม่ทันจะได้ดูอะไร พี่ท่านก้อโยน bliss แม่ แห่ตามกันใหญ่ ทำให้ bliss แม่ไหลลงตามไปด้วย ทั้งที่ bliss แม่มันควรจะชี้นำราคา bliss ลูกด้วยซ้ำ เพราะ bliss แม่ marketcap มันเยอะกว่ามากๆ เห็นภาพไหมครับ นั่นละคล้ายๆ ตลาด offshore กับ onshore ไทยในปัจจุบัน T-T ข้อเสียของ URR อ่ะมีเพียบ แบงค์ชาติก้อรู้ และย้ำอยู่เสมอว่า นี่เป็นมาตรการชั่วคราวเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจะยกเลิกเอง จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:26:53 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Q: แล้วทำไมเพิ่งมายกเลิกตอนนี้ล่ะ สงสัยโดนคุณหมอชอคโกเลี้ยบบีบแน่ๆ เลย? A: ผมขอยืนยันอีกหนึ่งเสียงว่า ฝ่ายการเมืองบีบแบงค์ชาติยากครับ เพราะถ้าเอาออกเพราะการเมืองจริงๆ คงเอาออกตั้งแต่วันที่คุณสุรพงษ์เข้าพบคุณธาริษาแล้ว แต่วันนั้นคุณสุรพงษ์มีทีท่าอ่อนลง เมื่อเข้าพบคุณธาริษา ที่สำคัญ ความเชื่อมั่นของต่างชาติต่อเศรษฐกิจไทยยิ่งน้อยอยู่แล้ว ฝ่ายการเมืองคงไม่บ้าพอที่จะแสดงให้เห็นว่า การเมืองสามารถบีบแบงค์ชาติได้ เพราะถ้าแบงค์ชาติอยู่ภายใต้การเมืองหรือกระทรวงการคลังแล้ว เวลาแบงค์ชาติจะทำอะไร แทนที่จะทำเพื่อเศรษฐกิจของประเทศก่อน กลับต้องทำตามความต้องการของฝ่ายการเมืองก่อน ซึ่งแบบนั้นมันขาดการถ่วงดุลที่ดี ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นโดยรวมครับ ถ้าใครตามข่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 29 ก.พ. ที่ผ่านมา จะทราบว่า ตอน 14.00 น. แบงค์ชาติมีการแถลงข่าวเศรษฐกิจรายเดือน (แบงค์ชาติมาเล่าให้ฟังว่า เศรษฐกิจเดือนที่ผ่านมาเป็นอย่างไร มีทุกๆ วันสิ้นเดือน) ซึ่งเวลานั้น ดร.อมรา ศรีพยัคฆ์ คนที่แถลงข่าว กล่าวเกี่ยวกับมาตรการ URR ด้วยว่า ปัจจุบันสถานการณ์ก้อเอื้อให้ยกเลิก URR อยู่แล้ว แต่จะยกเลิกเมื่อไร ให้ติดตามดู ( http://www.ryt9.com/news/2008-02-29/iqcb100ed9c4c43a4e32b27d0bffaef234/ ) พอข่าวนี้ออกมาในตลาด ทุกคนก้อเก็งกันว่า แบงค์ชาติเตรียมยกเลิกมาตรการ URR แล้ว ตามการคาดการณ์ของตลาดก่อนหน้านี้ (บทวิเคราะห์ของ SCBC เช้าวันนั้น เก็งถึงขนาดว่า แบงค์ชาติอาจยกเลิก URR วันนี้ โห อะไรจะแม่นยังกะตาเห็นแบบนั้น ^^ ) สักตอนบ่ายสามกว่าๆ ก้อมีข่าวออกมาในตลาดว่า แบงค์ชาติเรียกสื่อมวลชนไปพบเวลา 16.00 น. เพื่อแถลงข่าวด่วน แม้ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ทุกฝ่ายก้อเดาได้ว่า น่าจะยกเลิก URR (หุ้นอสังหาวิ่งรับข่าวน่าดู ^^ ) ในที่สุด แบงค์ชาติก้อยกเลิก URR ตามคาด อีกทั้งยังย้ำอย่างหนักแน่นว่าไม่ได้ถูกกดดันจากฝ่ายการเมือง จาก presentation วันที่ 17 ธันวาคมปีที่แล้ว แบงค์ชาติบอกว่า เงื่อนไขในการพิจารณายกเลิกมาตรการ URR เค้าดูจาก 4 ปัจจัยดังรูปครับ เรามาดูกันทีละตัวว่า 4 ตัวที่ว่านี้ ปัจจุบันมันเอื้อให้ยกเลิกมาตรการ URR อย่างไร จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:27:17 ]

ความคิดเห็นที่ 12 หมายเหตุ : ข้อมูลเศรษฐกิจในช่วงนี้ นำมาจากรายงานเศรษฐกิจรายเดือนของธปท. ที่แถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยคุณสามารถเปิดเข้าไปดูเองได้ที่; รายงานรายเดือน : http://www.bot.or.th/BOTHomepage/DataBank/Econcond/econreport/monthly/index_th_i.asp presentation สำหรับแถลงข่าว : http://www.bot.or.th/BOTHomepage/DataBank/Econcond/pressrel/monthly/index_th_i.asp 1. เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง เศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ผลักดัน (push) ให้ภาคธุรกิจต้องหันไปส่งออกมากขึ้น (ตัวอย่างชัดๆ เลยคือ เครือซีเมนต์ไทยครับ ที่ยอดขายปูนในประเทศตกต่ำมาก ตามการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ SCG ต้องหันไปหาตลาดปูนต่างประเทศแทน) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเศรษฐกิจในประเทศดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากประชาชนในประเทศเริ่มจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น (ดูได้จากตัวเลข PCI ที่ปรับดีขึ้นต่อเนื่อง) รวมถึงการลงทุนในประเทศก้อปรับดีขึ้นเช่นกัน (PII มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง) ตามรูป อีกทั้ง รัฐบาลชุดใหม่เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย Mega projects ต่างๆ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ จะฉุดเศรษฐกิจในประเทศให้กลับมาเติบโตได้ดีขึ้นตลอดช่วงปีนี้ครับ นอกจากนี้ ภาคเอกชนมีการปรับตัวดีขึ้น ดังที่ได้พูดไว้แล้วในความเห็นข้างต้น แบงค์ชาติมั่นใจว่า ถ้าบาทแข็งขึ้น จนทำให้ผู้ส่งออกสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ผู้ส่งออกสามารถหันกลับมาหาตลาดในประเทศได้เพิ่มขึ้น และตลาดในประเทศจะช่วยรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีขึ้น ในระยะถัดไปครับ จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:27:36 ]

ความคิดเห็นที่ 13 2.และ 3.  ความสมดุลของ FX flow จากการค้าและเงินทุน และ ความเสี่ยงจากการไหลเข้าของเงินทุนจำนวนมากจาก USD (เงินดอลลาร์สหรัฐ) ที่อาจอ่อนค่าลงได้อีก ตัวตารางเราจะเห็นได้ว่า เงินทุนไหลเข้าในปี 2007 ในส่วนของ non-bank เหลือเพียง 2,245 ล้านดอลลาร์ หลังเงินทะลักเข้ามาถึง 13,616 ล้านดอลลาร์ในปี 2006 นอกจากนี้ การส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศของภาครัฐเริ่มได้ผล เพราะในปี 2007 เรามีเม็ดเงินไปลงทุนต่างประเทศถึง 8,376 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นตั้ง 5 เท่าจาก 1,563 ในปี 2006 จะเห็นว่าเงินทุนไหลเข้าออกเริ่มมีความสมดุลมากขึ้น (แม้ Balance of Payment ของไทย จะเกินดุลอยู่มหาศาลเนื่องจากการส่งออกที่เติบโตถึง 18.1% ในปี 2007 ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัด (current account) ของไทยเกินดุลถึง 14.9 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 2.2 ล้านดอลลาร์ในปี 2006) ส่วนความเสี่ยงเรื่องเงินทุนไหลเข้า โดยเฉพาะเงินที่จะไหลเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินนั้น ภาครัฐ โดยกระทรวงการคลัง จะออกมาตรการเพื่อมาจัดการปัญหาตรงนี้ต่อไป (เห็นข่าวจากโพสท์ทูเดย์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มี 8 มาตรการ อาทิ การเร่งแปลงหนี้สินของภาครัฐจากดอลลาร์มาเป็นบาท, การส่งเสริมให้มีการไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น, ออกพันธบัตรเพื่อกู้ยืมเงินในประเทศแทนการกู้จากต่างประเทศที่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน บลาๆๆ) จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:28:00 ]

ความคิดเห็นที่ 14 4. เครื่องมือที่จำเป็นในการดูแลค่าเงิน คุณธาริษาบอกว่า ภายใต้ พรบ.ธปท.ฉบับใหม่นี้ ทำให้แบงค์ชาติมีเครื่องมือมากขึ้นในการดูแลสภาพคล่องและค่าเงิน ซึ่งรายละเอียดผมสารภาพว่า ไม่เคยศึกษาตรงนี้ ขออนุญาตข้ามละกันครับ เอาเป็นว่าผมเชื่อคุณธาริษาแล้วกัน ^^" นอกจากนี้แบงค์ชาติจะออกมาตรการเสริมเพื่อรองรับการยกเลิกการยกเลิก URR ดังกล่าว โดยการปรับปรุงมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท ซึ่งเนื้อหาส่วนนี้มันเกิน scope ของกระทู้นี้ ใครสนใจดูได้จาก link นี้นะครับ http://www.bot.or.th/bothomepage/General/PressReleasesAndSpeeches/PressReleases/News2551/Thai/n0951t_annex2.pdf จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:28:15 ]

ความคิดเห็นที่ 15 Q: แล้วการยกเลิก URR จะส่งผลต่อเศรษฐกิจต่อไปอย่างไรอ่ะ? A: คิดง่ายๆ นะครับ ทุกคนน่าจะเดาได้ว่า เงินลงทุนที่ถูกกั้นไม่ให้เข้าประเทศมาในช่วงที่ URR บังคับใช้ น่าจะไหลเข้ามาเพิ่มขึ้น (ถ้าเค้ายังสนใจประเทศไทยอยู่นะครับ ฮา) และแน่นอน คงทำให้บาทแข็งขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก แม้แบงค์ชาติจะแทรกแซงขนาดไหนก้อตาม แข็งไปขนาดไหน คงยากจะตอบครับ บางโบรกให้เป้าสั้นๆ 29.xx   โอ้ว แม่เจ้า แต่ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 31บาท +/- ในสิ้นปีนี้ ตลาดที่เคยโดนกันไว้ อย่างตลาดตราสารหนี้และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คงจะกลับมาคึกคักมากขึ้น ตลาดที่ไม่เกี่ยวอย่าง ตลาดหุ้น คงได้อานิสงส์ไปด้วย หุ้นกลุ่มที่ต้องการเงินลงทุนจากภายนอกเยอะๆ อย่างกลุ่มอสังหา รับเหมา แบงค์ คงวิ่งกันอุตลุด ^^" (คำเตือน ผมถือหุ้นพวกนี้เต็มปอด ก่อนจะเคาะก้อคิดดีดีนะครับ เดี๋ยวจะหาว่ามาเชียร์หุ้นตัวเอง ฮา) ส่วนภาคเศรษฐกิจจริง อย่างการส่งออก คงได้รับผลกระทบบ้าง แต่ไม่มากนัก ตามเหตุผลที่ให้ไว้ข้างต้น เช่น เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น, การส่งออกกระจายไปประเทศต่างๆ มากขึ้น, ผู้ประกอบการมีการป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น บลาๆๆ หรือคุณคิดว่าไงครับ อยากฟังๆ ^^ จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:28:29 ]

ความคิดเห็นที่ 16 Q: ขออีกคำถาม ทำไมแบงค์ชาติดื้อไม่ยอมลดดอกเบี้ย เพื่อแก้ปัญหาบาทแข็ง และกระตุ้นเศรษฐกิจ? A: ก่อนอื่นนะครับ คนที่ตัดสินใจเรื่องขึ้นลงดอกเบี้ย ไม่ใช่แบงค์ชาติโดยตรงนะครับ แต่เป็นคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งมี 7 คน ประกอบไปด้วย ผู้แทนจากแบงค์ชาติ 3 คน และที่เหลือ 4 คนจากหน่วยงานอื่นๆ เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่แค่แบงค์ชาติหน่วยงานเดียว ที่ไม่เห็นด้วยกับการลดดอกเบี้ย เท่าที่ประมวลมา พอจะสรุปให้ฟังได้ดังนี้ครับ เหตุผลแรกคือ แบงค์ชาติเห็นว่า การลดดอกเบี้ยไม่ได้ช่วยทำให้บาทอ่อนลงได้ ไอ้ครั้นจะบอกว่า เพราะดอกเบี้ยบ้านเราสูง ทำให้คนอื่นนำเงินมาลงทุน(เก็งกำไร)เยอะ ก้อฟังไม่ค่อยขึ้น เพราะเวลาคนเข้ามาเก็งกำไร ดอกเบี้ยเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น มีปัจจัยอื่นๆ ตั้งเยอะ ที่เค้าพิจารณาก่อนที่จะเข้ามาเก็งกำไร สอง การลดดอกนอกจากจะไม่ช่วยให้บาทอ่อนลงแล้ว จะส่งผลให้เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นมาอีก ยิ่งตอนนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเงินเฟ้ออย่างน่ากลัวนะครับ ไม่งั้นคุณมิ่งขวัญคงไม่เครียดจนไม่สบายหรอก ^^ ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกทำให้ราคาสินค้าบ้านเราปรับสูงตามเพิ่มขึ้น ถ้าเราลดดอกอีก อาจส่งผลให้ ปัญหาเงินเฟ้อเลวร้ายกว่านี้ครับ และสาม ที่สำคัญ การลดดอกอาจไม่ช่วยกระตุ้นการลงทุน แต่อาจส่งผลตรงกันข้ามคือ ทำลายการลงทุนก้อได้ ???? งงไหมครับ ผมได้ยินครั้งแรกยังงงเลย ลดดอกมันจะทำลายการลงทุนอย่างไง (ฟร่ะ) ก่อนอื่นดูรูปที่ผมทำมาให้ดูข้างล่างประกอบก่อนนะครับ สังเกตุเห็นอะไรไหมครับ ;) (ใครตอบถูกเดี๋ยวให้หุ้นเก็งขาดทุน 1 ตัว ฮา ^^" ) จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:28:49 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คำตอบคือ โครงสร้างดอกเบี้ยบ้านเราขนาดนี้ บิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด 2 เรื่องคือ 1. ส่วนต่างระหว่างเงินกู้และเงินฝาก (Spread) เพิ่มขึ้น กนง.ทยอยลดดอกเบี้ยมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2007 และจากตารางเราจะเห็นว่า spread ในเดือน ธ.ค. 2006 อยู่ที่ (7.69 - 4.00) = 3.69% แต่ spread ในเดือน ธ.ค. 2007 (ภายหลังที่กนง.ลดดอกเบี้ยแล้ว) อยู่ที่ (6.87 - 3.21) = 4.56% หมายความว่าไงครับ? ก้อหมายความว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ มันไม่ได้ลดมากเท่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากไงครับ จะด้วยเหตุผลอะไรก้อแล้วแต่ (ความผิดของใครก้อแล้วแต่ด้วย) ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ยังมีช่องว่าง (room) ให้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงได้อีก โดยไม่จำเป็นต้องให้ กนง ลดดอกเบี้ยนโยบายด้วยซ้ำ เห็น ธพ. บางแห่งชอบอ้างว่า เศรษฐกิจชะลอตัวลง ปล่อยกู้ได้ยากขึ้น ถ้าลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง จะทำให้ความเสี่ยงของแบงค์เพิ่มขึ้น และอาจทำให้แบงค์อยู่ไม่ได้   ก้อว่ากันไป แต่ถ้าดอกเบี้ยเงินกู้ของธพ. มันไม่ลงมาซะอย่าง กนง ลดดอกเบี้ยแค่ไหน ก้อกระตุ้นการลงทุนลำบากครับ ที่สำคัญ 2. สังเกตไหมครับ ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 เดือนที่แท้จริง ติดลบ! (ดอกเบี้ยที่จริงหมายความว่า เอาอัตราดอกเบี้ย 12 เดือนข้างล่าง ลบด้วยอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในอีก 12 เดือนข้างหน้าครับ) จากรูปจะเห็นว่าเดือนมกราคม อยู่ที่ -1.0% แปลเป็นภาษาชาวบ้านคือ ถ้าคุณเอาเงินไปฝากธนาคาร 12 เดือน ผลตอบแทนที่คุณได้จะติดลบครับ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ สูงกว่า ดอกเบี้ยเงินฝาก เข้าใจไหมครับ? สมมติว่า ณ วันนี้ คุณมีเงิน 100 บาท ในขณะที่ก๋วยเตี๋ยวในปัจจุบันอยู่ที่ชามละ 20 บาท แสดงว่า ณ วันนี้เงินของคุณซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 5 ชาม คุณนำเงิน 100 บาทไปฝากประจำ 1 ปี ได้ดอกเบี้ย 20% ต่อปี แสดงว่าสิ้นปี คุณจะมีเงิน 120 บาท ถ้าเงินเฟ้อเป็น 0% แสดงว่าก่วยเตี๋ยวราคาเท่าเดิม นั่นหมายความว่าคุณซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เพิ่มขึ้นเป็น 6 ชาม แต่ถ้าเงินเฟ้อสูงกว่าดอกเบี้ย สมมติว่าเป็น 100% นั่นทำให้ก๋วยเตี๋ยวแพงขึ้นเป็น 40 บาท แสดงว่าแม้คุณจะมีรายได้เป็นตัวเงินเพิ่มขึ้นเป็น 120 ก้อตาม แต่คุณกลับซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เพียง 3 ชามเท่านั้น น้อยกว่าตอนก่อนฝากเงินเสียอีก ถ้าคุณรู้ว่า ถ้าคุณฝากเงินไว้เฉยๆ แทนที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น รายได้กลับลดลงเสียอีก เป็นคุณ คุณจะฝากเงินไหมครับ? ใช่ม้า :) ด้วยเหตุผลนี้ล่ะครับ การที่ดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ มันไม่จูงใจให้คนออมเงิน ยิ่งถ้า กนง ลดดอกเบี้ย จะยิ่งทำให้ดอกเบี้ยเงินฝากลดลงมาอีก (แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ลด??) และทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบหนักเข้าไปอีก ถ้าประเทศเราขาดเงินออม เราจะเอาเงินที่ไหนไปลงทุนครับ? เห็นไหมครับ กนง คงลดดอกอีกได้ไม่มากนักในช่วงเวลาที่เหลือ อาจจะสัก 0.75% ตลอดปีนี้น่าจะได้อยู่ (ต้องดูดอกเบี้ยประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐประกอบด้วยครับ) อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการลดดอกเบี้ยอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ต้นทุนในการแทรกแซงค่าเงินของธปท จะลดลง เราคงคาดการณ์ได้ว่า หลังยกเลิก URR แล้ว แบงค์ชาติคงต้องแทรกแซงด้วยการไล่ซื้อดอลลาร์อย่างหนัก และต้องออกพันธบัตรเพื่อไล่ซื้อบาทในตลาดกลับมาในมือต่ออีก (หรือที่เราเรียกว่าการทำ sterilization ครับ) เพื่อป้องกันไม่ให้เงินบาทอยู่ในระบบมากเกินไป จนเกิดปัญหาเงินเฟ้อ ถ้าดอกเบี้ยต่ำ พันธบัตรของธปท. ก้อจะต่ำตามไปด้วย และจะทำให้ต้นทุนในการทำ sterilization ต่ำตามในที่สุดครับ จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:29:13 ]

ความคิดเห็นที่ 18 จบแล้วครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ ความจริงเขียนกระทู้เรื่อง Subprime อยู่ พอดีเจอเรื่องนี้ด่วนกว่า เลยลัดคิวมาก่อน ^^"   อีกไม่นานจะนำมาให้อ่านครับ อ้อ ใน blog ผม ผมปิดไว้ เพราะข้างในมันไม่มีอะไรเลยครับ กะลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เห็นมีหลายท่านหลังไมค์มาอยากเข้าไปอ่าน ตั้งใจว่า อยากเก็บกระทู้เก่าๆ ที่เคยเขียนไว้ใน blog อ่ะครับ ทำเสร็จเมื่อไร จะมาบอกอีกที :) พบกันใหม่โอกาสหน้าครับ สวัสดีครับ จากคุณ : m_ple - [ 3 มี.ค. 51 08:29:43 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เป็นกระทู้ที่ดีมากๆเลยครับ ให้ความรู้แก่กบตัวน้อยๆอย่างผมได้ดีทีเดียว ว่างๆจะมาอ่านเต็มๆนะครับ แต่ตอนนี้ขอโวต ก่อนดีกว่า จากคุณ : เด็กชายบ้องตื้น - [ 3 มี.ค. 51 09:09:27 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณครับ จากคุณ : Palace - [ 3 มี.ค. 51 09:11:58 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณที่ให้ความรู้คร๊าบผ๋ม จากคุณ : esso (ess2esso) - [ 3 มี.ค. 51 09:25:04 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : kanutoure - [ 3 มี.ค. 51 09:47:48 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณมากๆครับ เอ้าดันไป 1 จึ๊ก จากคุณ : นายโอ้นโต้น - [ 3 มี.ค. 51 10:12:32 ]

ความคิดเห็นที่ 24 +1 จากคุณ : ในแม่น้ำ - [ 3 มี.ค. 51 10:55:05 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณครับ ^^)b จากคุณ : 3MOG - [ 3 มี.ค. 51 10:55:10 ]

ความคิดเห็นที่ 26 โหวตให้ก่อน  อ่านทีหลัง จากคุณ : endophine - [ 3 มี.ค. 51 11:12:03 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ฝากท่านอธิบายต่อเรื่องที่ลงในไทยรัฐด้วยซิครับ ผมความรู้น้อยอ่ะครับ http://www.thairath.co.th/news.php?section=society03&content=80935 จากคุณ : esso (ess2esso) - [ 3 มี.ค. 51 12:00:56 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณคร้าบพี่ m_ple อิอิ น่ารักกว่า น้อง Ple ของพี่ Kimmy ซะอีก จากคุณ : LoveLyFamiLy - [ 3 มี.ค. 51 12:46:28 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ จากคุณ : พิษประจิม - [ 3 มี.ค. 51 12:49:43 ]

ความคิดเห็นที่ 30 Vote !!!!! จากคุณ : KENG76 - [ 3 มี.ค. 51 13:16:44 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ดี มากๆ    ครับ..... ขอบคุณ   ครับ.... จากคุณ : sugar1 - [ 3 มี.ค. 51 13:18:21 ]

ความคิดเห็นที่ 32 โอ้ว เยี่ยมครับ save ไว้ก่อนเดี๋ยวกลับมาอ่าน จากคุณ : Killy - [ 3 มี.ค. 51 14:06:55 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ..... เข้ามาหาความรู้ครับ จากคุณ : เรารักหมีแพนด้า - [ 3 มี.ค. 51 14:11:48 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณครับ...อ่านแล้วเพลินดี...แถมได้ความรู้เพียบ... จากคุณ : เมโร่แมน - [ 3 มี.ค. 51 15:11:43 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณครับ จากคุณ : 821 (บัตรผ่าน 821) - [ 3 มี.ค. 51 15:36:15 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ยังอ่านไม่จบ เด๋วตามมาอ่านต่อครับ จากคุณ : Mr.Messenger - [ 3 มี.ค. 51 15:45:28 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณครับ เข้าใจอะไรได้อีกเยอะ จากคุณ : Nirusl - [ 3 มี.ค. 51 16:15:41 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : aom - [ 3 มี.ค. 51 16:16:30 A:203.157.210.3 X: TicketID:160309 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ... ขอบคุณครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 3 มี.ค. 51 17:31:08 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณครับ... จากคุณ : helga - [ 3 มี.ค. 51 17:59:16 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณครับ... จากคุณ : wancha - [ 3 มี.ค. 51 20:00:27 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณครับ จากคุณ : Axl - [ 4 มี.ค. 51 00:30:48 A:203.156.42.74 X: TicketID:140031 ]

ความคิดเห็นที่ 43 บาลโชเย่ สปาสิบ้า ขอบคุณครับ จากคุณ : V_Accy - [ 4 มี.ค. 51 02:11:58 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณครับ ----------------------------------------------------------------------- จากความคิดเห็นที่ 5 13,616 ล้านดอลลาร์ รวมยอดของเทมาเส็กต้นปี 2006 หรือเปล่าครับ .......... ตรงนี้นับเป็น Portfolio Investmentหรือเปล่า ช่วงหลังๆ เงินไหลเข้าช้าลงเพราะมันแข็งขึ้นเยอะแล้วหรือเปล่าครับ ----------------------------------------------------------------------- ผมเห็นด้วยเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่มีเงินเฟ้อสูงไม่ช่วยเศรษฐกิจครับ น่าจะให้ ธปท. ไปอบรมสั่งสอนพวกคณะกรรมการ Fed ของสหรัฐฯ การลดดอกเบี้ยที่สหรัฐฯ มีผลอย่างเดียวกันเปี๊ยบเลยครับ ...........แทนที่จะช่วยเหลือลูกหนี้ที่กำลังจะตาย กลับทำร้ายผู้มีเงินฝากให้ตายไปด้วย อาทิตย์ก่อนผมเคยเขียนไว้ในห้องไกลบ้านว่า เมื่อปี 2006 กู้เงินซื้อบ้าน ธนาคารคิดดอกเบี้ย 5.85-6% ต่อปี (30 ปี fixed) วันนี้ ดอกเบี้ยกู้เงินซื้อบ้าน (30 ปี fixed เช่นกัน) สำหรับลูกค้าชั้นดียังอยู่ที่ 5.95% ..............ทั้งๆ ที่Fed ลดดอกเบี้ยไปแล้ว 2.25% แต่ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่จ่ายดอกเบี้ยสูงๆ ของผมลดจาก 5.35% เหลือ 3.40% ----------------------------------------------------------------------- รอติดตามอ่านกระทู้คุณ m_ple นะครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ จากคุณ : academician - [ 4 มี.ค. 51 03:48:37 A:130.18.158.60 X: TicketID:075095 ]

ความคิดเห็นที่ 45 อ่านจบแล้ว .... ขอบคุณนะคะ อ่านเข้าใจง่ายดีค่ะ ^o^ จากคุณ : มือใหม่.. ไม่ได้จบ finance (lanseh) - [ 4 มี.ค. 51 08:28:54 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : MadameLEE - [ 4 มี.ค. 51 10:57:30 ]

ความคิดเห็นที่ 47 สุดยอดไปเลยครับ อธิบายเยี่ยม เข้าใจง่าย ขอบคุณมากๆครับ ขอสมัครเป็นแฟนคลับ อิอิ จากคุณ : YodRak (iyod) - [ 4 มี.ค. 51 12:30:42 ]

ความคิดเห็นที่ 48 โอวว ชอบมากเลย กำลังไม่เข้าใจว่ามันมีผลกระทบมากน้อยเพียงใด  ขอบคุณมากๆๆ เลย  จะรออ่าน supprime ด้วยค่ะ จากคุณ : แฟนNesta - [ 4 มี.ค. 51 13:31:31 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณครับ ช่วยให้ความรู้และคลายข้อสงสัยให้ผม ขอบคุณครับ จากคุณ : มันเป็นเช่นนี้นี่เอง - [ 4 มี.ค. 51 13:36:14 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ดีมั่กๆๆ จะขอติดตามอ่านต่อไป นะท่าน จากคุณ : โอ_ว้าว - [ 4 มี.ค. 51 13:53:58 A:192.168.11.76 X:141.227.5.1 TicketID:169814 ]

ความคิดเห็นที่ 51 มาตรการโง่ๆ ที่ไม่ได้ช่วยสิ่งที่อ้างถึง และเอาเงินในคลังมาถลุงเล่นๆโดยที่เงินบาทก็ยังแข็งไปเรื่อยๆ จากคุณ : น้องส้มเด็กดี - [ 4 มี.ค. 51 17:09:57 ]

ความคิดเห็นที่ 52 โหวตให้ครับ จากคุณ : kgkg - [ 4 มี.ค. 51 17:27:26 ]

ความคิดเห็นที่ 53 มีประโยชน์มาก ช่วยให้เข้าใจภาพรวมได้ง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ จากคุณ : sagitgirlth - [ 4 มี.ค. 51 20:14:54 ]

ความคิดเห็นที่ 54 มีคนเอาไปโพส ที่ รดน ค่ะ น่าสนใจเลยตามมาดู ได้ความรู้มากมาย ขอบคุณนะคะ ที่อธิบายเรื่องยากๆ ให้ง่ายขึ้น... จากคุณ : ไฮเดรนเยีย - [ 4 มี.ค. 51 21:12:37 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ขยัน และ ให้ความรู้ ขอบคุณค่ะ แอบสงสัยนิดนึง ทำงานหน่วยงานไหนค่ะเนี่ย จากคุณ : แนนแนน - [ 4 มี.ค. 51 23:31:41 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ออกมาตรการมา ก้อโดนด่า ไม่ทำอะไรก็โดนด่า นู้น ก้อผิด นี่ก้อผิด ของงี้มันไม่มีผิดถูกหรอกครับ ผล มันได้มาจาก ทฤษฏีที่คาดกันไว้เท่านั้น แต่เมื่อผลออกมาแล้วมันไม่ดี ผู้ออกมาตรการต่างโดน ด่า ว่า ห่วย.... จากคุณ : malangsap - [ 5 มี.ค. 51 00:32:01 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขอถามคุณ m_ple หรือท่านผู้รู้อื่นๆหน่อยครับ ถ้ารู้ว่าดอกเบี้ยเงินกู้มีส่วนต่างมากขนาดนั้น ธปท มัวทำไรอยู่ไม่มาดูแลให้มีการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เหมาะสม อันนี้รวมถึงดอกเบี้ยบัตรเครดิต ที่คิดตั้ง20% ยิ่งของต่างชาติยิ่งคิดดอกมากกว่ามากมาย แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 51 00:53:38 จากคุณ : kuikan (kuikan :-)) - [ 5 มี.ค. 51 00:50:49 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณครับ จากคุณ : PH-CKA - [ 5 มี.ค. 51 19:47:04 ]

ความคิดเห็นที่ 59 แจ่มครับ จากคุณ : Thales of Miletus - [ 5 มี.ค. 51 20:50:27 ]

ความคิดเห็นที่ 60 พอดีช่วงนี้งานยุ่งนิดหน่อย ตอบกระทู้ช้าไปนิด อย่าว่ากันนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ และขอบคุณทุกๆ เสียงขอบคุณ ที่สำคัญ ทุกๆ โหวตนะครับ ^^ งวดนี้ไม่ค่อยมีคำถามแฮะ แสดงว่า จขกท เขียนรู้เรื่อง (ฮา)  ;) คห.27 คุณ esso2esso link ที่คุณส่งมามันเปลี่ยนไปแล้ว ผมจำรายละเอียดไม่ได้ แต่คร่าวๆ คือ คุณลมเปลี่ยนทิศ เค้าให้ความเห็นว่า แบงค์ชาติน่าจะคุมค่าเงินอยู่ เนื่องจาก พรบ ธปท ฉบับใหม่ เพิ่มความคล่องตัวให้ธปท ในการจัดการกับค่าเงินและเงินสำรองมากขึ้น ซึ่งผมไม่เข้าใจว่า คุณไม่เข้าใจอะไร รบกวนให้รายละเอียดหน่อยนะครับ ถ้าตอบได้ เดี๋ยวลัดคิวให้เลย ^^ คห.28 คุณ LoveLyFamiLy แน่นอนครับ น้อง Ple นั้น ไว้ใจไม่ได้ อุตส่าห์ไว้ใจว่างบจะออกมาสวย ปันผลจะงาม โบรกต่างชาติเชียร์กันจริงๆ แล้วเป็นไงครับ ก่อนประกาศปันผลปิด 5.30 ปันผล 20 สตางค์ (หรือ 25?) หุ้นเปิดวันนั้น 5.20 (มั้ง) คัทกันแทบไม่ทัน ไม่เคยได้ตังค์กะน้องเค้าเลยย ให้ตายเหอะ คราวหน้า ถ้ารักกันจริง อย่าถามถึงเปิ้ลครับ (ให้ถามถึง bliss แทน ฮา) คห.27 พี่ academician เงินของเทมาเซ็กคิดว่าน่าจะรวมอยู่ในก้อนนี้นะครับ และอาจทำให้เกิด bias ในการวิเคราะห์ได้ (ผมลืมนึกถึงไปเลย) ส่วนหลังๆ ที่เงินไหลเข้าน้อยลง มีเหตุผลมากเลยครับ ที่มันอาจจะเป็นเพราะว่า เงินมันแข็งขึ้นมาเยอะแล้วก้อได้ ข้อสังเกตของพี่ ทำให้ผมรู้สึกตัวเลยว่า ผมยังรู้น้อยมาก ชั่วโมงบินยังน้อยนัก คนเก่งๆ ที่ผมรู้จัก เค้ามักจะจับประเด็นอะไรที่เด็กๆ (อย่างผม) มองข้ามได้เสมอๆ ชนิด เค้ารู้ดีกว่าคนทำอีก ทั้งที่เราทำมาเองกับมือ ผมเคยทำรายงาน ส่งตัวเลขให้ผู้ใหญ่ในองค์กรผมอ่าน เค้าดูผ่านๆ แล้วก้อบอกว่า พี่ว่าตัวเลขตรงนี้ผิด พี่ไม่รู้นะว่ามันผิดจริงหรือเปล่า แต่พี่ดูแล้วมันแปลกๆ (ตอนนั้น ผมก้อดู ไม่เห็นมันจะแปลกตรงไหน) พี่ก้อไม่รู้เหมือนกันว่าผิดตรงไหน แค่ตงิดๆ ตอนหลังกลับมาดู ก้อพบว่าผิดจริงๆ ด้วย ^^" ขอบคุณที่ช่วยขัดเกลาครับ :) คห.57 คุณ kuikan ผมไม่ทราบว่ากฏหมายให้อำนาจแบงค์ชาติในการกำหนด spread ขั้นสูง ขั้นต่ำ หรือเปล่า เพราะปกติที่ทราบ เค้าให้กลไกลตลาดเป็นตัวกำหนดครับ :) ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ ;) จากคุณ : m_ple - [ 5 มี.ค. 51 22:52:31 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 6 มี.ค. 51 17:08:25 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ขอบคุณครับ : ) ... บุญรักษาครับ : ) จากคุณ : Bother Boy ! - [ 6 มี.ค. 51 18:05:03 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณครับ ผม คาราวะ 1 เหยือก จากคุณ : ก้อนหินขยับ - [ 7 มี.ค. 51 00:21:49 ]

ความคิดเห็นที่ 64 Khun m_ple พอเดาข้อมูล ที่ Khun ธาริสา บอกว่า หาก ช๊อคโกเลี๊บบ รู้แล้วจะ .หนาว. หรือปล่าวครับ???? จากคุณ : (Peter) - [ 7 มี.ค. 51 06:49:24 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ขอบคุณมากๆคะ ได้ความรู้ดีจิงๆคะ ต้องขอโหวตให้คะ ปล. น้องใหม่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ จากคุณ : น้องใหม่ (Little WhiteR@SE) - [ 7 มี.ค. 51 11:40:20 ]

ความคิดเห็นที่ 66 มาลงชื่อขอบคุณ โหวต และเก็บเข้าคลังกระทู้ครับ จากคุณ : Azure_Mile - [ 8 มี.ค. 51 12:04:43 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ขอบคุณมากๆ ครับ จากคุณ : teeranet - [ 8 มี.ค. 51 18:30:15 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ความคิดเห็นที่ 64   นั่นสิ ผมอยากรู้จัง ว่าอะไร เห็นแล้วจึงหนาว ท้ายที่สุด เลี๊ยบไม่หนาว  แต่ Khun ธาริสา หุบหน้ากลับไป มันคืออะไร หนอ   ตามนั้น จากคุณ : ไม้กล้า - [ 8 มี.ค. 51 21:04:45 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ดีครับ จากคุณ : fountain - [ 9 มี.ค. 51 19:21:55 ]

ความคิดเห็นที่ 70 คุณ (Peter) คห. 64 ไม่ทราบครับ แต่ให้เดานะครับ มีคำอธิบายที่เป็นไปได้คือ 1. เป็นข้อมูลที่บ่งบอกได้ว่า ถ้ายกเลิก URR จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจไทย หรือ 2. ข้อมูลอะไรไม่มีหรอก แต่ขอเวลาอีกหน่อย เพื่อหาจังหวะยกเลิก URR และเพื่อไม่ให้ตลาดเก็งกำไรค่าเงินมากไปกว่านี้ เพราะขืน ธปท บอกว่า จะยกเลิกจริงๆ คนคงเก็งกำไรค่าเงินกันสนุกสนาน (แบบ one-way bet ด้วย) ผมก้อคิดได้แค่สองข้อนี่เองครับ ซึ่งจะเป็นข้อไหน คงไม่มีใครทราบหรอกครับ นอกจาก ธปท และกระทรวงการคลัง ;) จากคุณ : m_ple - [ 9 มี.ค. 51 21:24:27 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : sommie - [ 11 มี.ค. 51 11:13:03 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ขอบคุณครับ จากคุณ : เพื่อนพูห์ - [ 13 มี.ค. 51 16:04:31 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ขอบคุณมาก ๆ ครับ อธิบายได้เข้าใจง่ายจริง ๆ จำชืุ่อนี้ไว้ครับ จะได้ตามอ่านกระทู้ถูก จากคุณ : รพินทรนารถ - [ 13 มี.ค. 51 20:42:03 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ... เยี่ยมเลยครับ จากคุณ : Mr.Zack - [ 13 มี.ค. 51 21:23:08 ]

ความคิดเห็นที่ 75 +1 จากคุณ : บันโดะ - [ 22 มี.ค. 51 22:43:34 ]