ความคิดเห็นที่ 1 เห็นด้วยครับ สนับสนุนเต็มที่ :) เป็นการออมอย่างหนึ่ง ประกันความไม่แน่นอนในอนาคต (ควรซื้อประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุแนบท้ายกรรมธรรม์ไว้ด้วย) ได้รับเงินคืนตลอดอายุกรรมธรรม์ มีสิทธิ์ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา .... จากคุณ : tuxpower - [ 7 เม.ย. 51 18:48:14 ]

ความคิดเห็นที่ 2 หลังไมค์ไปให้แล้วนะ จากคุณ : เก๋ (nookea) - [ 7 เม.ย. 51 19:19:51 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คนแนะนำคุณคงขายประกันอะดิ หาภาระใส่ตัวแท้ๆ เห็นมีหลายคนในนี้ถามว่าทำไงถึงจะได้เงินคืน เซลขายประกันได้ค่าคอมปีแรกครึ่งนึงของที่คุณจ่ายไปรู้หรือเปล่าครับ จากคุณ : napaznan - [ 7 เม.ย. 51 19:23:14 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เห็นด้วยกับคุณ  คหที่3  แต่เจ้าของกระทู้อยากทำประกัน  เอ  ผมว่าคุณเจ้าของกระทูสมัครเป็นตัวแทนเลยจะดีกว่าคร้าบ  เสียเงินน้อยลง  ความคุ้มครองเมือนเดิม  ผลประโยชนืเหมืนเดิม  ผมก็ทำแบบนี้อะครับ จากคุณ : tg (tinnapat-ton) - [ 7 เม.ย. 51 20:00:48 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เอ  ตอนนีได้ข่าวว่าไทยประกันมีประกันแบบอ้างอิงดัชนี  เซท  50  เอ  ผมเองก็ไม่แน่ใจ  ลองศึกษาดูนะครับเผื่อว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดี จากคุณ : tinnapat-ton - [ 7 เม.ย. 51 20:02:52 ]

ความคิดเห็นที่ 6 หลังไมค์ไปแล้วครับ จากคุณ : godjae - [ 7 เม.ย. 51 21:41:02 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขออนุญาตนอกประเด็นของเจ้าของกระทู้ไปเล็กน้อยนะครับ เพราะอดไม่ได้จริง ๆ กับเรื่องค่าคอมครึ่งนึง ถ้าเซลขายประกันได้ค่าคอมปีแรกจริง สูงถึง 50% ของเบี้ยประกันที่ชำระ ป่านนี้หมีพูคงโดนลูกค้าหักคอจิ้มน้ำพริกไปเรียบร้อยแล้วล่ะ อยากรู้เหมือนกันบริษัทประกันชีวิตไหนล่ะ ที่ปัจจุบันให้ค่าคอมปีแรกกับตัวแทนสูงถึง 50% ของเบี้ยประกันที่ชำระ หมีพูจะได้ย้ายหุ่นอวบ ๆ ไปขายประกันให้กับที่นั่น จะขายให้แบบลืมตายเลยเชียวล่ะ อยากได้เหมือนกันนะค่าคอม 50% เนี่ย เห็นพวกด็อกเตอร์ทั้งหลายอวดรู้กันอยู่นั่นแหละเรื่องค่าคอม 50% ถ้ามันได้จริงขนาดนั้น แล้วพวกด็อกเตอร์ที่ทำตัววิเศษวิโสทั้งหลายนั่น ทำไมไม่มาเป็นตัวแทนเลยซะล่ะให้รู้แล้วรู้รอด จะมางอมืองอก่องอขิง กินเงินเดือนประจำกันทำไมมิแซ่บ ใครทราบข้อมูลที่แท้จริงและถูกต้องด้วย ลองบอกชื่อบริษัทประกันแห่งนั้นมาสิครับ ว่าเขาจ่ายค่าคอมสูงถึง 50% ของเบี้ยประกันปีแรกจริงหรือไม่ จะได้ส่งต่อให้ทาง คปภ. เข้าไปตรวจสอบ จะได้ระดมตัวแทนให้มาเรียกร้องกันเยอะ ๆ เพราะทุกวันนี้บริษัทประกันหลายที่ ก็ได้ขายผ่านช่องทางอื่น ๆ เยอะแยะมาขายแข่งกับตัวแทน (กลัวแต่ว่าเรื่องคอม 50% จะเป็นกับดักรีครูต เป็นเหยื่อล่อให้คนที่ไม่รู้เหนือใต้ เข้าไปทำงานเป็นตัวแทนซะมากกว่า) แต่ถ้าเป็นบริษัทประกันชีวิต ที่จ่ายค่าคอมปีแรกสูงกว่าที่อื่นมากเลยน่ะ (แต่ก็ไม่ถึง 50% หรอกนะ) หมีพูก็ทราบดีอยู่ จะให้บอกชื่อดีมั้ยเนี่ย กลัวตัวแทนเขาจะโดนลูกค้าไปหักคอ เด๋วไม่ต้องกินข้าวกันพอดี พวกแกลบ พวกรำข้าวยิ่งแพง ๆ อยู่ด้วย (เขาหมายความว่าทุกวันนี้จะกินแกลบกันอยู่แล้ว) ============================================================= มาเข้าเรื่องของเจ้าของกระทู้นะครับ 1.เป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว มีคนแนะนำว่าควรทำประกัน เนื่องจากถ้าเป็นอะไร แม่จะได้มีเงินใช้ อ่านรายละเอียดดูคิดว่าเหมาะกับแบบสะสมทรัพย์ที่สุด (0^0) คุณอายุยังน้อย หน้าที่การงานและการเงินอาจจะเพิ่งเิริ่มเข้าที่เข้าทาง อีกทั้งเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวด้วย ถ้าดูจากโจทย์ของคุณแล้ว หมีพูให้ความเห็นที่แตกต่างจากคนอื่นครับ หมีพูเห็นว่าแบบที่เหมาะกับคุณนั้นเป็นแบบคุ้มครองตลอดชีวิต ที่ชำระเบี้ยประกันต่ำ ๆ  แต่ให้ทุนประกันชีวิตสูงมากๆ จึงจะตอบโจทย์ข้อนี้ของคุณได้ถูกต้องที่สุดครับ ไม่ใช่แบบประกันสะสมทรัพย์ที่ตัวแทนหลายคนชอบเสนอขาย เพราะขายง่ายและเห็นผลประโยชน์จูงใจได้ดีกว่า แต่ไม่คุ้มค่าสำหรับลูกค้าเลยเมื่อเทียบกับความคุ้มครองที่ได้รับ 2.ประกันชีวิตสะสมทรัพย์เมื่อคำนวณแล้วคุ้มค่าจริงหรือไม่คะ หรือควรจะลงทุนรูปแบบอื่นดีกว่า (0^0) ให้ตอบตามตรงและเป็นกลางที่สุด บอกได้เลยว่าไม่คุ้มครับ (นี่ระดับตัวแทนมาตอบเองเลยนะ) ลองคำนวณกลับออกมาเป็นอัตรา IRR ที่แท้จริงสิครับ เผลอ ๆ กองทุนตราสารหนี้ต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้ยังให้ผลตอบแทนที่ดีมากกว่าด้วยซ้ำ แต่...ย้ำว่ามีแต่ ถ้าคุณมีฐานภาษีที่สูงมากเช่น ฐานภาษีปีละ 20% ขึ้นไป คุณจะได้เปรียบมาก ๆ จากกรมธรรม์ประเภทสะสมทรัพย์ที่เน้นนำไปลดหย่อนภาษีเป็นหลัก เนื่องจากเงินคืนลดหย่อนภาษีนั้น จะได้กลับคืนสูงมากเช่นกัน (ลองนำไปเปรียบเทียบดูให้ดี ๆ แล้วจะพบว่าประกันสะสมทรัพย์บางแบบ ดีกว่า RMF & LTF ด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับการลงทุนในระยะเวลาที่เท่ากัน แถมไม่ต้องติดเงื่อนไขคืนภาษีย้อนหลังอย่าง RMF & LTF ด้วย) ซื้อประกันก็เหมือนซื้อร่มติดตัวนะครับ ฝนไม่ตก แดดไม่ออก ถือร่มไว้ก็รู้สึกเกะกะมือ น่ารำคาญเหลือเกิน อยากจะทิ้งอยู่ร่ำไป แต่พอฝนตกหรือแดดออก เราจะรู้สึกดีขึ้นมาทันทีว่า โชคดีมีร่มติดตัว เอาอออกมากางได้ทันเวลา คราวนี้แหละจะเริ่มรู้สึกว่าร่มเราไม่สวยเลย หรือร่มเล็กเกินไป ทำไมไม่ซื้อร่มที่สวยกว่านี้ ใหญ่กว่านี้ ฯลฯ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 7 เม.ย. 51 22:26:39 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ชื่นชมเจ้าของกระทู้ครับ เห็นด้วยมากๆ ครับ ทำประกันตั้งแต่อายุยังน้อย เบี้ยถูกครับ คุ้ม จากคุณ : tonytui - [ 7 เม.ย. 51 22:34:54 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ชอบคำตอบคุณหมีพูฯ นะ เป็นกลางดีครับ และ ก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องว่าคนขายได้ 50% (แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกเนอะ ยิ่งในเมืองไทย ไม่กล้าหลบหลู่ 555) ทั้งๆที่ไม่เคยขายประกัน แต่คนใกล้ตัวอยู่ในวงการ อิ อิ อ่านแล้วก็งงๆ ว่า ไปเกี่ยวอารัย กับดอกเตอร์ แต่ก็แค่แอบสงสัย เพราะเรามันไกลปืนเที่ยง ฝากให้ จขกท คิดตามนี้นะ 1. ถ้ายังไม่มีประกันเลย แล้วมีห่วงมีผูกพัน ให้ซื้อประกัน ครับ ซื้อแบบให้พอดีๆ จ่ายไหว อย่าซื้อเพราะเพื่อนขาย อย่าซื้อซ้ำๆ ซื้อด้วยเหตุผลว่า ถ้าเราไม่อยู่ คนข้างหลัง อยู่ได้ก็โอเค 2. สมัยนี้ ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ ตรงที่ ประกันมีให้เลือก เป็นแบบผสม การออมทรัพย์ ไม่ต้องเสียเบี้ยไปฟรีๆ ทั้งหมดเหมือนเมื่อก่อน ทำให้พวกเรา กล้าซื้อ คนขายประกัน ก็ขายง่ายขึ้น 3. ซื้อประกัน อย่าไปคิดมากว่าเป็นการลงทุน อย่าไปหวังผลตอบแทนสูง หรือจะรวยจากประกัน ซื้อเพราะเราใช้มันประกันความไม่แน่นอนในอนาคต ถ้าจะคิดเรื่อง ลงทุน ดูตราสารการเงินอื่นๆ เช่น หุ้น หุ้นกู้ พันธบัตร ครับ อยากเรียนรู้เพิ่มเติม ก็แวะมาคุยกันได้ I'm the member of http://qinvestment.ning.com จากคุณ : th_sme - [ 8 เม.ย. 51 00:03:58 A:64.83.226.247 X: TicketID:031165 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ทำประกันเพื่อคนข้างหลัง ทำเมื่อไม่มีเงินเก็บสะสมเงินก้อนไว้เลย เป็นอะไรไป คนข้างหลังจะได้บรรเทาเบาบางมีเงินไว้ใช้ หรือกรณีผ่อนบ้าน  ก็มีเงินจ่ายค่าบ้านไป  แต่.......วงเงินที่ส่ง ต้องไม่เป็นภาระมาก รายได้เราสามารถส่งได้ โดยคล่องตัว(อย่าส่งเกินตัว)  ค่าคอมฯได้มากจริงครับ  เพื่อนผมที่พอรู้จักเคยบอก ปีแรกได้40%ของเงินที่ส่ง  อาชีพก็คืออาชีพ  ไม่ก้าวก่ายกัน  ขอให้เลือกบริษัทที่ดี  มั่นคงมากๆ   เราซื้อ  ได้รับตามข้อตกลงสัญญาณถูกต้อง  เรื่องอื่นก็ว่ากันไป ผลตอบแทนจริงๆ แบบสะสมทรัพย์ เคยคิดเฉลี่ย"ต่อปี"ต่อยอดเงินที่ส่ง อยู่ประมาณ2% เวลาที่เขาบอกได้เงินคืน118%อะไรทำนองนี้หมายถึงรวมเงินต้น+ดอกเบี้ยทั้งหมดในระยะ1Xปีที่ส่ง..........แต่ได้วงเงินคุ้มกัน+หักษีแทน   ส่วนตัวไม่ได้ทำ  เพราะมีเงินออมอยู่แล้วพอสมควร(แก่แล้ว)  ไม่มีหนี้สิน เอาเงินไปหาเงินได้มากกว่า.........ถ้าอายุน้อย  ก็น่าซื้อนะ   อย่าส่งมากเกินตัว  ถ้าส่งไม่ได้  เงินที่ส่งไปแล้วโดยกินรวบนะครับ ไม่อยากส่งต่อ  บริษัทเขาชอบ......คิดดีๆนะครับเรื่องยอกเงินที่จะส่ง/ปี อย่าฟังเสียงคนขายมาก  เอาแบบพอเพียง.....เพียงพอ จากคุณ : pungee1 - [ 8 เม.ย. 51 06:57:08 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่มีคำว่ากินรวบนะครับ ประกันชีวิตนะครับไม่ใช่หวยกินรวบ และบริษัทประกันชีวิตก็ไม่ค่อยปลื้มด้วย ตัวแทนก็จะถูกเพ่งเล็ง อาจจะโดนตัดเกรด ตัดแต้ม ตัดผลงาน ถ้ากรมธรรม์ขาดอายุหรือถูกยกเลิกก่อนกำหนด เพราะเป็นการตัดหนทางของเงินที่จะต้องถูกนำไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง ตามแผนการลงทุนที่วางไว้ เพื่อจะได้นำมาจ่ายคืนในรูปของผลประโยชน์และความคุ้มครองต่าง ๆ ตามที่ได้กำหนดตกลงไว้กับผู้เอาประกันทั้งหลาย ไหนยังต้องสำรองเงินเบี้ยประกันไว้ตามกฎหมายอีก ไหนจะค่าใช้จ่ายในการออกกรมธรรม์ ค่าใช้จ่ายในการตรวจสุขภาพ (ถ้ามี) ค่าใช้จ่ายในการตามสืบข้อมูลบางอย่างที่ผู้เอาประกันได้ให้ไว้อย่างน่าสงสัย (บางกรณี) ไหนจะค่าคอมมิชชั่นของฝ่ายขายอีก นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องเกิดมีตารางมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ขึ้นมาในกรมธรรม์ทุกฉบับ เหมือนกับเวลาเราร้อนเงินด่วน ๆ เอาเช็คเงินสดล่วงหน้าไปขายให้กับธนาคารที่รับซื้อ เขาก็ไม่ให้ยอดเต็มตามหน้าเช็คหรอกครับ แต่จะมีการ discount ยอดเงินจากหน้าเช็คด้วย รู้มั้ยว่าหลายบริษัทมีนโยบายนี้ ถ้าผู้เอาประกันคนไหนใช้สิทธิยกเลิกกรมธรรม์รับเงินเวนคืนไปแล้ว หรือใช้สิทธิขยายเวลา หรือใช้สิทธิมูลค่าเงินสำเร็จ หรือปล่อยให้กรมธรรม์ขาดอายุแล้วยังไม่ต่ออายุกลับมา ก่อนครบกำหนดสองปี (หรือสามปี แล้วแต่บริษัทจะกำหนด) แม้วันหลังผู้เอาประกันคนเดิมนั้นจะกลับมาซื้อกรมธรรม์ฉบับใหม่ที่บริษัทเดิม ตัวแทนที่ขายฉบับใหม่นั้น (ไม่สนว่าจะเป็นตัวแทนเดิมหรือตัวแทนใหม่) เขาจะไม่ได้ค่าคอมมิชชั่นจากฉบับใหม่นั้นเลย หนำซ้ำถ้าค่าคอมฉบับใหม่สูงกว่าฉบับเก่า อาจจะต้องถูกจ่ายชดเชยกลับคืนให้บริษัทประกันด้วยซ้ำ (ขึ้นอยู่กับความเมตตาปราณีของบริษัท) น้อง ๆ ตัวแทนใหม่ ๆ ทั้งหลายเคยทราบมั้ย นี่แหละเป็นไม้ตายของบริษัทประกัน เพื่อปรามและหักหลังตัวแทนที่ไม่ดีบางคน เพื่อไม่ให้ไปยุแหย่ลูกค้าให้ยกเลิกกรมธรรม์เดิมแล้วมาทำกรมธรรม์ใหม่กับตน เพราะหวังค่าคอมมิชชั่นปีแรก แม้ว่าลูกค้าจะเป็นคนตัดสินใจขอยกเลิกฉบับเดิมเอง แล้วมาทำกรมธรรม์ฉบับใหม่โดยสุจริตใจกับตัวแทนใหม่ ลูกค้าเดินเรื่องให้ตัวแทนเองเลย เพื่อขอยกเว้นกฎนี้ ตัวแทนใหม่ก็ยังไม่ได้รับยกเว้นเลย (บางทีลูกค้าสงสาร เลยช่วยหาลูกค้ารายใหม่ให้ก็มี) สรุปว่าจะดีจะร้ายตัวแทนน่ะโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง หากมีปัญหาด้านการเงินเพื่อชำระเบี้ยประกันภัย ควรทำอย่างไร เมื่อผู้เอาประกันภัยประสบปัญหาทางด้านการเงินในการชำระเบี้ยประกันภัย หลังจากที่ได้ทำประกันชีวิตไปแล้ว มีวิธีการแก้ปัญหาดังต่อไปนี้ 1. การลดจำนวนเงินเอาประกันภัย จะช่วยให้เบี้ยประกันภัยที่ต้องชำระลดลง โดยผู้เอาประกันภัยจะต้องไปติดต่อที่บริษัทหรือสาขาของบริษัทที่ได้ทำประกันชีวิตไว้ 2. การขอเปลี่ยนแบบการประกันชีวิต แบบการประกันชีวิตที่มีเงื่อนไขการจ่ายเงินผลประโยชน์มาก ๆ เบี้ยประกันภัยที่ต้องชำระในแต่ละงวดจะมีจำนวนมากด้วย การขอเปลี่ยนเป็นแบบที่มีเงื่อนไขการจ่ายผลประโยชน์ที่น้อยลง จะทำให้เบี้ยประกันภัยที่ต้องชำระในแต่ละงวดจะมีจำนวนน้อยลง โดยผู้เอาประกันภัยจะต้องไปติดต่อที่บริษัทหรือสาขาของบริษัทที่ได้ทำประกันชีวิตไว้ 3. การขอยกเลิกสัญญาเพิ่มเติมกรมธรรม์ประกันภัย เช่นสัญญาเพิ่มเติมการประกันอุบัติเหตุ เป็นต้น สัญญาเพิ่มเติมดังกล่าวส่วนมากจะมีระยะเวลาในการให้ความคุ้มครองเพียงหนึ่งปี การขอยกเลิกสัญญาเพิ่มเติมออกไป จะลดจำนวนเบี้ยประกันภัยที่จะต้องชำระในแต่ละงวดได้ โดยแจ้งให้บริษัททราบและไม่ต้องชำระเบี้ยประกันภัยของสัญญาเพิ่มเติมนั้นต่อไป 4. การขอเปลี่ยนงวดการชำระเบี้ยประกันภัย ถ้าการชำระเบี้ยประกันภัยของแบบการประกันชีวิตที่ทำไว้เป็นรายปี ก็สามารถขอเปลี่ยนงวดการชำระเบี้ยประกันภัยจากรายปี เป็นราย 6 เดือน หรือราย 3 เดือน หรือรายเดือน เพื่อแบ่งจำนวนเบี้ยประกันภัยที่ต้องชำระในแต่ละครั้งให้น้อยลง 5. การขอเปลี่ยนกรมธรรม์เป็นกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จหรือขยายเวลา เมื่อชำระเบี้ยประกันภัยมาแล้วจนมีมูลค่าเวนคืนเงินสดเกิดขึ้น ผู้เอาประกันภัยสามารถไปติดต่อบริษัทหรือสาขาของบริษัทที่ทำประกันชีวิตไว้ เพื่อแปลงเป็นกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จหรือขยายเวลา “กรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ” คือการแปลงกรมธรรม์ที่ทำให้ผู้เอาประกันภัยยังคงได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์เดิมหรือตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ โดยยังคงมีระยะเวลาความคุ้มครองเท่าเดิม แต่จำนวนเงินเอาประกันภัยลดลง “กรมธรรม์ขยายเวลา” คือการแปลงกรมธรรม์เดิมเป็นกรมธรรม์แบบชั่วระยะเวลาที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยเท่าเดิม แต่ระยะเวลาความคุ้มครองลดลง ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่ขยายออกไป ผู้รับประโยชน์ก็จะได้รับจำนวนเงินเอาประกันภัย แต่ถ้าผู้เอาประกันภัยมีชีวิตอยู่จนครบระยะเวลาที่ขยายออกไป กรมธรรม์ก็จะสิ้นผลบังคับโดยที่จะไม่ได้รับจำนวนเงินเอาประกันภัย หรืออาจจะมีมูลค่าเงินบางส่วนคืนกลับมาให้ (ถ้ามีระบุไว้ในกรมธรรม์) 6. การขอกู้ยืมเงินโดยมีกรมธรรม์ประกันภัยเป็นประกัน เมื่อชำระเบี้ยประกันภัยมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือกรมธรรม์มีมูลค่าเวนคืนเงินสดเกิดขึ้น ผู้เอาประกันภัยสามารถกู้ยืมเงินได้โดยจำนวนเงินที่กู้ได้ไม่เกินมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ เครดิตข้อมูลข้างต้น : สำนักงาน คปภ. (กรมการประกันภัย-เดิม) จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 8 เม.ย. 51 07:52:40 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แบงค์ทหารไทย มี TMB Saving Plus ฝากเงินแล้วมีประกันชีวิต ได้ 20 เท่าของเงินฝาก ได้สูงสุดไม่เกินห้าแสนบาท ถอนมาใช้ก็ได้ ถ้าสนใจ ก็ลองแวะไปถามดูจ้า..... . จากคุณ : รัตนาธิเบต - [ 8 เม.ย. 51 08:20:37 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขออนุญาตวกกลับมาเรื่องค่าคอมสูงอีกครั้งนึง กลัวว่าหลายท่านจะเข้าใจผิดว่าแบบประกันทุกแบบนั้นได้ค่าคอมสูงเหมือนกันหมด สงสารตัวแทนกันบ้างเถอะครับ โดนข้อหานี้ประจำ (เป็นข้ออ้างในการหักคอตัวแทนเพื่อขอลดเปอร์เซ็นต์) ความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ในปัจจุบันนี้ค่าคอมมิชชั่นปีแรกของแต่ละแบบประกันนั้นไม่เท่ากันเลยครับ ยิ่งตอนนี้แบบประกันฮอตฮิตลดหย่อนภาษีได้สูง ๆ เบี้ยสูง ๆ ส่งสั้น ๆ ขายง่าย ๆ จำเป็นต้องซื้อไว้เพื่อลดหย่อนภาษีเท่านั้น เพราะลูกค้าจะได้นำไปลดหย่อนภาษีได้เยอะ ๆ นี่ค่าคอมต่ำมาก ๆ บางแห่งให้ค่าคอมแค่ 1% !!!! เพราะฉะนั้นใครที่บอกว่าได้ค่าคอม 50% น่ะ โปรดบอกหน่อยเถิดว่าเป็นบริษัทไหน หมีพูจะได้ไปขายที่นั่นให้ลืมอ้วนกันเลยเชียว บางแห่งก็ให้ค่าคอมแบบประกันนี้แค่ 5% และถ้าลูกค้าชำระผ่านบัตรเครดิต ตัวแทนจะโดนหักค่าธรรมเนียมการใช้บัตรของลูกค้าไปอีก 1.50-3% ของค่าเบี้ยประักัน!!!! (แล้วแต่ประเภทบัตร) กรี๊ดดดดดดด..... (คราวนี้เข้าใจหรือยังว่าทำไมตัวแทนส่วนใหญ่ ถึงไม่ชอบให้ลูกค้าจ่่ายเบี้ยประักันผ่านบัตร เพราะตัวแทนโดนเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บัตรของลูกค้าทุกครั้งที่ชำระ ไม่ว่าจะชำระในปีไหน ๆ ก็ตาม) คราวนี้พวกด็อกเตอร์ที่ชอบพูดอวดรู้ว่า ตัวแทนได้กินเงินของท่านทั้งหลายไปเกินครึ่งน่ะ จะมาลองขายประกันดูบ้างมั้ยล่ะ บางแห่งใจดีหน่อยให้ค่าคอมสูงอีกนิดคือ 10% ก็มี นี่ยังไม่รวมการหักส่วนลดอันโหดร้าย ที่ลูกค้าบางคนขอหักคอตัวแทนก็มีนะ ก็ตัวแทนไม่ดีบางคนนั่นแหละ เสี้ยมดีนัก ทำนองว่าข้าขายให้ลูกค้าคนนี้ไม่ได้ คนอื่นก็อย่าหวังได้เลย บอกลูกค้าไปเลยเว่อร์ ๆ หน่อยว่าประกันน่ะตัวแทนได้ค่าคอมสูงเท่าโน้นเท่านี้ ถ้าลูกค้าอยากทำก็ไปหักคอคนอื่น....ดูพวกนี้มันทำสิ นิสัยไม่ดี ให้ข้อมูลผิด ๆ แล้วยังทำให้ตัวแทนดี ๆ พลอยเสื่อมเสียโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปด้วย และไม่อยากจะบอกว่าลูกค้าบางคนก็ร้ายกาจเหลือเกิน จะให้ตัวแทนกินแกลบแทนข้าวกันหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ บางคนยังไม่ทันได้คิดตรึกตรองอะไรเลย ถามมาก่อนเลยว่า ถ้าพี่ทำแล้วเธอจะลดเปอร์เซ็นต์ให้พี่ได้เท่าไหร่....กรี๊ดดดดด สติแตก ขอเรียนเชิญคุณพี่ไปวิกหน้าเถอะ ตัวแทนวิกนี้ขอไม่ต้อนรับคุณพี่สักคนนะก๊าบ เพราะลูกค้าคุณภาพดีมีอยู่มากมาย ซึ่งตัวแทนคุณภาพดีอย่างเรา ก็พร้อมจะทุ่มเทใจบริการให้อย่างเต็มที่เช่นกันครับ สมัยนี้ตัวแทนก็เลือกลูกค้าเหมือนกันนะครับ แต่ไม่ใช่เลือกที่เงินนะครับ เลือกที่ลูกค้าให้เกียรติซึ่งกันและกัน คุยกันเข้าใจดีและรู้เรื่อง (ตัวแทนที่ดีมีความสามารถอธิบายของยาก ๆ ให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ครับ ไม่ต้องกลัว) ไม่ใช่ลูกค้านัดไปพบวันนี้ ตัวแทนยังไม่ทันจะอธิบายสิ่งที่ลูกค้าต้องรู้ ลูกค้าก็บอกว่าเข้าใจดีค่ะ ทราบค่ะ รู้แล้วค่ะ ดิฉันรีบ แฟนรออยู่ จะไปดูหนัง จะให้เซ็นตรงไหนเคอะ อ่อ บัตรประชาชนไม่พร้อมค่ะ ไม่ได้พกเงินติดตัวมาค่ะ ฯลฯ (...แล้วสูจะนัดตูมาหาตอนนี้ทำเมี้ยว มิแซ่บ) แต่พอวันหน้าเกิดปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยหรือใหญ่โต ก็รีบโทรเข้ามาแว๊ด ๆ ใส่ตัวแทนแล้วโกหกหน้าตายว่า ตัวแทนไม่เคยบอกดิฉันเลย ไม่เคยแนะนำเลย ทำไปเพราะไม่รู้ แค่อยากช่วย.....ฮือๆๆๆ ตูไม่ได้อดอยากปากแห้งอับจนไร้หนทางไร้อนาคตถึงกับต้องไปขอทานใครกิน ตูมีศักดิ์ศรีในตัวเองและยึดมั่นในวิชาชีพนะเฟ้ย อย่าดูถูกกันมากนัก ไปเลยประตูอยู่โน่น (ตูนี่แหละเดินออกไปเอง...ฮ่าๆๆๆ) จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 8 เม.ย. 51 08:26:55 ]

ความคิดเห็นที่ 14 รู้สึกว่า เริ่มได้ยินตัวแทนประกันเปลี่ยนมาใช้คำว่า "ลงทุน" กันบ่อยมากขึ้น สมัยก่อนเปลี่ยนจาก "ทำประกัน" มาเป็น "การออมเงิน" อันนี้ยังยอมรับได้ แต่ว่าการเปลี่ยนมาใช้คำว่า "ลงทุน" อันนี้รับไม่ได้ จากคุณ : THE_NGAK - [ 8 เม.ย. 51 10:11:52 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตอนนี้ในประเทศไทยมีประกันชีวิตที่ควบกับ "การลงทุน" แล้วนะครับ (ต่างประเทศมีมาแล้วเป็นสิบๆปี)  อย่างแบบประกันที่มีการอ้างอิงดัชนีหุ้นต่าง ๆ ก็ถือเป็นประกันควบการลงทุนครับ ฉะนั้นคงต้องดูเป็นกรณี ๆ ไปนะครับ ถ้าเป็นแบบประกันที่เน้นสะสมทรัพย์เป็นหลัก อันนี้พออนุโลมเรียกว่าออมเงินได้บ้าง (เพราะยังไงก็ยังมีส่วนของประกันชีวิตคุ้มครองอยู่ส่วนนึง) แต่ไม่ควรเรียกว่าเงินฝากเป็นอันขาด พวกแบงก์แอสชัวรันส์ทั้งหลายนี่แหละตัวดี ชอบบอกนักว่าเป็นเงินฝากประเภทนึง แล้วไงล่ะ พอลูกค้าจะมาถอนเงินกลับออกไปไม่ได้ โดนสับเละเลย ตัวแทนที่ไม่ใช่แบงก์ก็เลยโดนหางเลขไปด้วย ไม่รู้ว่าทำไมบริษัทประกันบางแห่งถึงมีสองมาตรฐานก็ไม่รู้ ห้ามตัวแทนไม่ให้บอกลูกค้าว่าเป็นเงินฝาก ให้บอกว่าเป็นประกันชีวิต แต่พอเอาไปขายที่ธนาคารดันให้บอกได้ว่าเป็นเงินฝากชนิดหนึ่ง มันน่า.... แต่ถ้าเป็นแบบประกันที่เน้นคุ้มครองสูง ๆ เป็นหลัก ก็ควรเรียกว่าประกันชีวิตตามเดิมจะเหมาะสมครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 8 เม.ย. 51 10:22:19 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ส่วนตัวเคยถูกกระทำแบบ คห.11 ค่ะ ตัวแทนชักชวนให้ยกเลิกกรมธรรม์เก่าแล้วทำกรมธรรม์ใหม่กับเค้า ก็ทำตามเค้าแนะไป ปรากฏว่ากรมธรรม์เก่ายังไม่ครบ 3 ปี ยกเลิกไม่ได้ บลาๆๆๆๆ สารพัดเหตุผลที่ตัวแทนอ้าง แต่เราจ่ายของใหม่ได้ของใหม่มาแล้วนิ ตัวแทนเลยรับกรรมจ่ายต่อเองอีก 1 ปี ไม่งั้นเค้าจะโดนตัดคะแนนความดีความชอบที่เพิ่งได้มาหมาดๆ แถมแอบรู้มาว่าค่าคอมกรมธรรม์ใหม่ก็ไม่ได้ เพิ่งเข้าใจที่คุณหมีฯ อธิบายวันนี้นี่เอง เวรกรรมมีจริงนะนี่ กรรมธรรม์เจง เจง ป.ล.คุณหมีฯ กำลังมีวันนั้นของเดือน หรือว่ากะลังเข้าวัยทองคะ วันนี้ระบายซะหมดไส้หมดพุงเลย ห่วงกลัวผอม (ล้อเล่นอย่าโกรธนาคะ) จากคุณ : DISIDA - [ 8 เม.ย. 51 11:37:11 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าเป็นวัยท้องน่าจะโอเคมากกว่านะครับคุณ DISIDA ฮ่าๆๆๆๆ ทุกวันนี้ก็อวบอ้วนพีเหมือนหมีท้องอยู่แว้วววว เอิ๊กๆๆๆๆ เด๋วหยิบยาบำรุงมากินก่อนนะ..... กรี๊ดดดด หยิบผิด หยิบไวอะกร้ามากินเฉยเลย ช่วยด้วยยยยย จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 8 เม.ย. 51 12:16:56 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมเห็นพวกเกลียดประกันชีวิตมาเยอะครับ ส่วนใหญ่เห็นทำประกันรถทุกคนเลย กลัวรถพัง รถหาย ตัวตายช่างมัน หนี้สินก่อไว้ ให้คนข้างหลังใช้แทน เฮ้อ..เหมือนเอาปังตอไปปอกแอ๊ปเปิ้ล..ทำไปได้ จากคุณ : หยกน้อย (alfalfa) - [ 8 เม.ย. 51 12:33:56 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าเขาเกลียดประกันชีวิต เราก็จะไปขายประกันรถให้เขาแทน เอิ๊กๆๆๆๆ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 8 เม.ย. 51 13:19:12 ]

ความคิดเห็นที่ 20 งั้นต้องขายประกันทุกอย่างแต่ไม่ประกันความพึงพอใจ จากคุณ : Godgate - [ 8 เม.ย. 51 13:49:37 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แม้จะขายประกันทุกอย่าง แต่ทุกอย่างที่ขาย ก็ต้องให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจด้วยสิครับ สินค้าต้องเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อ ซื้อแล้วดีใจ ผู้ขาย ขายแล้วยินดีครับ เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป เขาอาจจะเปลี่ยนใจกลับมาชอบประกันชีวิตบ้างก็ได้ครับ จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 8 เม.ย. 51 14:39:01 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เห็นด้วยกับคุณ หมีพูหมูพี ค่ะ อายุยังน้อย หากเลือกจากวงเงินคุ้มครองเท่ากัน ประกันแบบตลอดชีพ (ไม่ได้ปันผลคืน) จะคุ้มกว่า เนื่องจาก 1. จ่ายเบี้ยน้อยกว่าในวงเงินคุ้มครองเท่ากัน ( ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ได้ ) 2. อายุ 24 จ่ายเบี้ย 20 ปี พออายุ 44 หยุดส่ง ที่เหลือคุ้มครองตลอดชีพ อยากได้วงเงินไหนเพิ่มค่อยซื้อเพิ่มทีหลังก็ยังได้ เพราะอีกหน่อยคุณอาจจะมีรายได้เพิ่มอีกมาก ( แต่ก็ต้องเผื่อเรื่องอุบัติเหตุทางการเงินนะคะ ใครๆ ก็โดนได้ ) 3. หากต้องการแบบสะสมทรัพย์ ลองไปถามหาจากพวกธนาคารจะดีกว่า เพราะว่าระยะเวลาเริ่มต้นจนจบโครงการ มีเริ่มที่ 5-7 ปี ( ไม่ค่อยแน่ใจ ) ผลตอบแทน หากคิดเทียบอัตราเงินเฟ้อ ก็ได้พอๆกัน  ของพวกที่จ่าย 100% ได้คืน 215% เนี่ย หารต่อปีมาเยอะกว่า ดอกฝากประจำ+อัตราเงินเฟ้อ จิ๊ดเดียวเอง 4. หากคุณเริ่มแบบประกันตลอดชีวิต ( ไม่เน้นเงินคืน ) ยิ่งเริ่มเร็ว เราจะยิ่งกำไรระยะเวลาการคุ้มครอง เพราะเขาจะคุ้มครองเราจนตาย เราและสามีเองก็ทำแบบประกับตลอดชีพ เผื่อให้ลูกไว้ใช้ และทำแบบปันผลระยะสั้นกับทางธนาคาร เพื่อลดหย่อนภาษี ( เพราะบางทีอาจจะมาเปิดกิจการเอง เราก็สามารถหาค่าใช้จ่ายมาหักในกิจการได้  หรือว่าตกงาน จะได้ไม่เดือดร้อน เพราะผูกพันระยะยาว ) ทั้งนี้ ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับคุณเองเป็นหลัก ว่าต้องการแบบไหน มีความพร้อมแค่ไหน ส่วนตัวเราเอง ทำประกันเราไม่เน้นต่อค่าคอมคนขาย แต่เราจะดูความมั่นคงของบริษัท และความเป็นมืออาชีพของตัวแทน ว่าคุณทำมานานแค่ไหนแล้ว พวกที่สักแต่ขายๆ พอเบื่อหรือทำไม่ได้เป้าแล้วเลิกไป ทิ้งลูกค้าให้ตัวแทนอีกคนดูแล คิดดูสิ ปีแรกได้ % เยอะ ปีต่อๆไป บริษัทจ่ายจิ๊ดเดียว ถ้าตัวแทนไม่ดี คิดแต่ผลตอบแทน เป็นแค่รายได้พิเศษ ไม่ใช่อาชีพหลัก เขาจะเลิกขาย ไปทำกินอย่างอื่น  แล้วใครจะมาดูแลเราต่อล่ะ ( ถึงคุณคิดว่า ติดต่อบริษัทตรงก็ได้เถอะ ) แต่ก็จะมีหลายๆอย่างมากๆนะ ที่ตัวแทนที่ดี จะให้คำปรึกษาคุณได้ และช่วยรักษาผลประโยชน์ของลูกค้าจริงๆ ขอให้เจอตัวแทนที่ดีค่ะ จากคุณ : babysang - [ 8 เม.ย. 51 16:11:23 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 8 เม.ย. 51 16:38:21 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อย่าลืมการเสื่อมค่าของเงินเข้าไปด้วยนะครับ แม่ยายผมยอมอดออมแต่ยังสาว สุดท้ายตายก็ได้ห้าหมื่น แต่ที่แย่สุดๆ นัดวันรับเช็คอย่างดิบดี แถมก่อนไปโทรคอนเฟิร์มอีกรอบ สุดท้ายไปถึงให้ผมนั่งรอ"ท่าน"ของน้องๆเซ็นชื่ออีกเกือบสามชั่วโมง ประทับใจจริงๆ จากคุณ : weeras - [ 8 เม.ย. 51 16:59:59 ]

ความคิดเห็นที่ 25 การเสื่อมค่าของเงินในอนาคต (หรือจะเรียกว่าเงินเฟ้อก็น่าจะได้มังครับ) อาจจะทำให้ลูกค้ากลัวว่า ผลประโยชน์จากการประกันชีวิตจะไม่ทันกับเงินเฟ้อ เพราะค่าของเงินลดลงตลอดเวลา ก็ควรเพิ่มทุนประกันชีวิตให้มากขึ้นเมื่อมีโอกาส จึงจะเป็นการตัดสินใจที่ดีและเหมาะสมที่สุดครับ ทุกวันนี้แม้แต่หมีพูเองก็มีการอัพทุนประกันเพิ่มขึ้นเป็นระยะ ๆ ครับ เพื่อให้ทันกับเงินเฟ้อ โดยยังต้องอยู่ในงบประมาณที่เราส่งไหวด้วย ที่ผ่านมาล่าสุดนี่ก็เพิ่งเพิ่มทุนประกันชีวิตให้ตัวเองไปอีกสองแสน เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมานี่เอง แล้วก็เลยถือโอกาสเพิ่มค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุและลอบทำร้ายไปอีกห้าหมื่น ก็พอใจแระ รออีกสักปีสองปี ค่อยเพิ่มเติมปรับปรุงกันอีกที สมัยก่อนทุนประกันล้านนึงนี่ ดูหรูเลิศอลังการงานสร้างมากๆๆๆ เพราะสมัยก่อนเงินล้านนี่ใหญ่มาก แต่คล้อยหลังไปไม่กี่ปีเอง ทุนประกันชีวิตแค่ล้านนึงนี่เฉย ๆ ไปเลยนะ แต่ปัญหาคือจะจ่ายเบี้ยประกันไหวอ๊ะป่าว เพราะตัวแทนบ้านเราชอบขายแต่ประกันสะสมทรัพย์ คนซื้อก็ชอบซื้อประกันสะสมทรัพย์ เพราะคนขายบอกแค่แบบประกันนี้....อืมมม ถ้าประกันสะสมทรัพย์ทุนประกันล้านนึงนี่ส่งเบี้ยหัวฟูเหมือนกันนะ แต่ถ้าเป็นแบบคุ้มครองสูง ๆ เบี้ยประกันต่ำ ๆ ทุนประกันล้านนึง สำหรับวัยกลางคน เบี้ยประกันก็จะตกปีนึงแค่หมื่นกว่าบาทเอง จากคุณ : หมีพูหมูพี - [ 8 เม.ย. 51 17:40:27 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ในเรื่องการเสื่อมค่าของเงิน มีหนทางหนึ่งที่จะทำให้เงินทันการเสื่อมค่าคือต้องลงทุนให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินเฟ้อ สมมุติอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยแต่ละปีประมาณ 5 เปอร์เซ็น นั่นคือคุณต้องลงทุนให้ได้ผลอย่างน้อย 5 เปอร์เซ็น แต่การประกันชีวิตเป็นการประกันความเสี่ยงในสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ ความไม่แน่นอน ดังนั้นเมื่อเป็นคนละจุดหมายกันการเปรียบเทียบกันจริงๆ มันจึงยาก แต่ให้เทรดกันดูว่า จริงๆแล้ว ผลตอบแทนที่ได้จากการทำประกันชีวิตเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2-3 เปอร์เซ็น (เคยอ่าน พรบ ประกันชีวิต 2535) คือ สูงสุดอยู่ที่ 3 เปอร์เซ็น แล้วฝากธนาคารล่ะ ตอนนี้ก็คงไม่เกิน 2.5 เปอร์เซ็น (ประจำ) ก็คิดเสียว่า ส่วนต่างประมาณ 2 เปอร์เซ็นนั้น(เมื่อเทียบกับเงินเฟ้อ) คือ ค่าคุ้มครองความเสี่ยงนั่นเอง ซึ่งผมว่าคุ้มกับการที่คนข้างหลังอย่างน้อยยังพอมีค่าใช้จ่ายในช่วงแรก ฝากท้าย โดยทั่วไปจะนำเงินประมาณ 10 เปอร์เซ็นของรายได้(หรือเงินเดือนประมาณ1เดือน) มาเป็นการจ่ายเบี้ย (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระเบี้ยของแต่ละคนด้วยว่าใครสามารถจ่ายได้มากน้อยแค่ไหน) โดยจริงๆ แล้วหากเราฝากธนาคารอย่างเดียวเงินฝากจะมีที่ 100 เปอร์เซ็น แต่หากแบ่งเงิน 10 เปอร์เซ็นออกมาจะสามารถสร้างเงินที่มีความคุ้มครองอีกประมาณ 100 เปอร์เซ้น นั่นคือ ทั้งหมดแล้วคุณจะมีวงเงินทั้งหมด 190 เปอร์เซ็น ทำให้สามารถใช้เงินฝากตรง 90 เปอร์เซ็นนั้นได้อย่างสบายใจหรือใครจะนำ 90 เปอร์เซ็นไปลงทุน ก็ไม่ว่ากัน จากคุณ : ทัณฑ์มนุษย์ - [ 9 เม.ย. 51 09:07:07 A:203.151.85.241 X: TicketID:168075 ]