ความคิดเห็นที่ 1 Q: ไม่ต้องอารัมภบทพี่ ชี้ชัดๆ เลยว่า ทำไมอยู่ๆ ข้าวถึงแพงขึ้นมา? A:  มีผู้รู้หลายท่านพยายามจะอธิบายเหตุผลที่ข้าวแพงขึ้นมาในช่วงนี้ ซึ่งต่างก้อเชื่อในเหตุผลแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะสำนักไหน ปัจจัยที่มักถูกพูดถึงบ่อยๆ มีดังนั้นครับ ปัจจัยฝั่งอุปสงค์ : โลกต้องการข้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผล 3 ข้อครับ คือ 1. ประชากรโลกเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ      จากการประมาณการของ UN เราจะเห็นได้ว่า ประชากรบนโลกนี้ในปัจจุบันที่มีอยู่ราวๆ 6 พันล้านคนนั้น จะเพิ่มขึ้นเป็น 9 พันล้านคนในปี 2050  แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มประชากรที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง      ประชากรที่เพิ่มขึ้นก้อต้องกินข้าวมากขึ้น จริงไหมครับ  ;) 2. รายได้ของประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้น    ต่อให้ประชากรมันโลกเท่าเดิม แต่ถ้าคนยากจนที่วันๆ กินอาหารวันละ 1 มื้อ วันหนึ่งเกิดมีรายได้เพิ่มขึ้นมา เค้าก้อจะเริ่มกินข้าววันละ 3 มื้อ คนชั้นกลางที่พอมีกินข้าววันละ 3 มื้อ มื้อละจาน ก้อจะเริ่มเบิ้ลเป็น 2 จาน ขณะที่คนที่มีรายได้สูงอยู่แล้ว เค้าก้อใช่ว่าจะกินน้อยลงเสียเมื่อไร จริงไหมครับ :)    เพราะฉะนั้นเราจึงสรุปได้ว่า ถ้าคุณภาพชีวิตของคนรายได้น้อยเพิ่มสูงขึ้น (ผ่านรายได้ที่เพิ่มขึ้น) จะทำให้เค้าบริโภคข้าวเพิ่มขึ้น (และทำให้ข้าวแพงขึ้นในท้ายที่สุด)    เหตุการณ์แบบนี้กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศครับ โดยเฉพาะจีนกับอินเดียที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คนชั้นล่างหลายคนเริ่มขยับฐานะมาเป็นชนชั้นกลาง โดยดูได้จาก GDP ต่อหัว (GDP per capita) ของประเทศเหล่านี้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ 3. ธัญพืช (Grains) ชนิดอื่นๆ มีราคาสูงขึ้น ส่งผลให้คนหันมาบริโภคข้าวมากขึ้น    ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ราคาข้าวสาลี (Wheat) ที่เพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาข้าวยังถูกเมื่อเทียบกับข้าวสาลี ทำให้คนบางกลุ่มเลือกที่จะบริโภคข้าว (Rice) แทนข้าวสาลี (Wheat) มากขึ้น เนื่องจากเป็นสินค้าที่ทดแทนกันได้ (ผมเคยไปถังแตกอยู่ประเทศนอก ช่วงนั้นไม่มีตังค์ซื้อข้าว (Rice) ก้อต้องหันไปกินกูสกูส (Couscous) แทนเลย ^^ )   อีกทั้งบางประเทศ แม้จะอยากกินข้าวสาลี ก้อหากินยากครับ เนื่องจากผลผลิตข้าวสาลีของโลกปีที่ผ่านมา ไม่ดีเอาเสียเลย พื้นที่เพาะปลูกสำคัญของโลกเสียหายหนักมาก อาทิ ออสเตรเลียโดนภัยแล้งเล่นงานทำให้ผลผลิตปี 2006/07 (สิ้นสุดเดือนกันยายน 07) มีเพียง 10.6 ล้านตัน ลดลงจาก 25.1 ล้านตันจากปี 2005/06 (ลดลงกว่า 50% อีก)  เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ผลผลิตข้าวสาลีของโลกลดลงจาก 621 ล้านตันในปี 2005/06 เหลือเพียง 529 ล้านตันในปี 2006/07 เท่านั้น (ข้อมูลจาก USDA PSD http://www.fas.usda.gov/psdonline/psdQuery.aspx ) รูปที่ 1 ที่มา: สหประชาชาติ (United Nations) http://esa.un.org/unpp/ รูปที่ 2 ที่มา: กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) WEO apr08 http://www.imf.org/external/pubs/ft/weo/2008/01/weodata/index.aspx รูปที่ 3 ที่มา: กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) PSD http://www.fas.usda.gov/psdonline/psdQuery.aspx จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:18:31 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ปัจจัยฝั่งอุปทาน : โลกผลิตข้าวได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกันกับธัญพืชชนิดอื่นๆ ครับ พื้นที่เพาะปลูกหลายแห่งในโลกปีนี้ประสบปัญหาสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ทำให้ผลผลิตออกมาไม่สูงมากนัก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอากาศแห้งแล้งในยุโรป (นอกเรื่อง ยอดส่งออกแอร์ไทยไปยุโรป พุ่งกระจายเลย ^^) ปัญหาอากาศแห้งแล้งในออสเตรเลีย น้ำท่วมในจีน อากาศแปรปรวนในเวียดนาม บลาๆๆ ประกอบกับหลายๆ ประเทศกลัวว่าราคาข้าวในประเทศจะแพงขึ้น จนคนในประเทศโดยเฉพาะคนจนจะเดือดร้อน  ก้อเลยห้ามผู้ส่งออก ส่งออกข้าว ทำให้ปริมาณข้าวในตลาดโลกลดต่ำลงไปอีก นอกจากนี้ (อันนี้ไม่มีตัวเลขยืนยัน แต่เราเชื่อกันว่า)พื้นที่เพาะปลูกบางส่วนถูกนำไปใช้เพาะปลูกพืชพลังงานมากขึ้น ทำให้ข้าวต้องแย่งพื้นที่เพาะปลูก แย่งทรัพยากรโดยเฉพาะน้ำจากพืชเหล่านี้ ทำให้พื้นที่เพาะปลูกน้อยลงไปอีก ผลลัพธ์คือ สต็อกข้าวของโลกลดต่ำลงอย่างน่าใจหาย ดังรูปครับ ที่มา: USDA PSD จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:18:59 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ปัจจัยอื่นๆ: การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน, การเก็งกำไร, การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ฉุดให้ราคาพืชพลังงาน เช่น ข้าวโพด สูงขึ้นตามไปด้วย และมันจูงใจให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชพลังงานมากขึ้น ส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกข้าวลดลง และข้าวต้องแพงมากพอที่จะทำให้รายได้ของเกษตรกรต่อการปลูกพืชทั้งสองจำพวกไม่แตกต่างกันมากนัก (ไม่งั้นถ้าเลือกได้ เค้าจะไปปลูกข้าวโพดกันหมดโลก ไม่มีใครปลูกข้าว) นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ทำให้ต้นทุนของเกษตรกรเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากราคาปุ๋ย (ซึ่งวัตถุดิบของปุ๋ยคือ เคมีภัณฑ์ และเคมีภัณฑ์ส่วนหนึ่งก้อทำมาจากน้ำมันดิบเช่นกัน) ก้อเพิ่มขึ้นมาตามราคาน้ำมัน ในขณะที่เกษตรกรก้อต้องใช้น้ำมันในการผลิตโดยตรง ไม่ว่าจะใช้สูบน้ำ ดายหญ้า เกี่ยวข้าว เครื่องยนต์เหล่านี้ซดน้ำมันทั้งนั้น เมื่อเกษตรกรต้นทุนเพิ่มขึ้น เค้าก้อต้องขึ้นราคาขาย ถ้าราคาขายไม่เพิ่ม เค้าก้อไม่ปลูก สุดท้ายมือที่มองไม่เห็น (เอ๊ะ คุ้นๆ) ก้อจะดึงราคาขึ้นมาอยู่ดี ส่วนเรื่องการเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้านั้น ข้อนี้นี่ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เพราะตลาดข้าวจะไม่มีตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่ใหญ่พอจะบอกแนวโน้มราคาได้ (ไม่เหมือนสินค้าอื่นๆ เช่น น้ำมัน ยาง น้ำตาล หรือข้าวโพด) อีกข้อที่พูดกันมากคือ การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลเดียวกันกับในตลาดน้ำมัน กล่าวคือ พอค่าเงินดอลลาร์อ่อนทำให้ประเทศที่ใช้เงินสกุลอื่นสามารถซื้อสินค้าในตลาดโลกได้ถูกลง และทำให้เค้าบริโภคมากขึ้น กดดันราคาในที่สุด นั่นคือเหตุผลที่ ไม่ว่าคุณจะคุยกับผู้รู้จากสำนักไหนครับ จะต้องมีเหตุผลเหล่านี้เข้าไปอธิบายการเพิ่มขึ้นของราคาข้าวในช่วงที่ผ่านมาแน่นอน จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:19:17 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Q: แต่ถ้าเป็นงั้นจริง ราคามันควรจะพุ่งมาตั้งนานแล้วดิ ดูมันไม่ค่อย make sense ป่ะ? A: อืม ผมก้อว่างั้นล่ะ ปัจจัยข้างต้นมันไม่ได้เกิดขึ้นภายในวันสองวันเสียเมื่อไร   เพราะฉะนั้นส่วนตัวผมคิดว่า ปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยพื้นฐานที่พร้อมจะผลักดันให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แต่ปัจจัยที่เป็นตัวเปิดฟอร์ (Trigger) ทำให้ราคาพุ่งขึ้นมา น่าจะเป็นการตื่นตระหนก (panic) ของผู้ซื้อข้าวมากกว่านะครับ  หลังจากที่เห็นมาตรการงดส่งข้าวของประเทศต่างๆ (รายละเอียดดังรูปครับ) อาทิ เวียดนาม ทำให้ประเทศที่ต้องนำเข้า และสต็อกอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว เช่น ฟิลิปปินส์ เร่งประมูลข้าว ให้ราคาสูงขึ้น พอประเทศอื่นๆ เห็นสถานการณ์แบบนี้ ก้อเร่งประมูลข้าวบ้าง เพราะกลัวจะไม่มีข้าวถูกๆ กิน ซึ่งไอ้ความกลัวที่จะไม่มีข้าวถูกๆ กินเนี่ยล่ะครับ มันเป็นตัวผลักดันราคาให้พุ่งพรวดขึ้นมาในช่วงนี้ คุณก้อเป็นคนหนึ่งใช่ไหมครับ ที่ออกไปซื้อข้าวมากักตุนไว้ เพราะกลัวว่าราคามันจะแพงไปกว่านี้ ถ้าใช่แสดงว่าคุณก้อเป็นหนึ่งในเหตุผล (แน่นอนในสายตาผมคนเดียว ซึ่งจะผิดหรือถูกก้อได้) ที่ทำให้ราคาตอนนี้สูงขึ้นนะครับ ที่มา: HSBC (ขอโทษนะครับที่เป็นภาษาอังกฤษ แอบขี้เกียจทำใหม่อ่ะ ดึกแล้ววว ^^" ) จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:19:42 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Q: แปลว่าหลังจากที่คนหายตกใจแล้ว ราคาน่าจะลงมาป่ะ? A: บางคนก้อคาดว่ามันจะเป็น TT&T ที่ราคากระชากไปแปปหนึ่ง พอคนเริ่มคิดได้ว่า กว่าจะได้ค่าปรับก้ออีกชาติหนึ่งนั้น ราคาก้อกลับมาที่เดิม ทิ้งแมงเม่าให้อยู่ดอย สบายใจไป (มาแอบยกมือว่า โดดดอยไปแล้ว โอ้วว T-T ) แต่ในความคิดผมนะครับ แม้ราคาปลายปีนี้ น่าจะลดลงมาจากระดับปัจจุบัน หลังผลผลิตข้าวฤดูใหม่จะออกมาสู่ตลาด แต่ผมก้อยังมองว่า ราคาน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงไปได้ เพราะพอพิจารณราจากปัจจัยข้างต้นแล้วนั้น จะพบว่ามันเป็นปัจจัยที่โลกไม่น่าจะแก้ไขกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับสต็อกข้าวของโลก ถ้ายังไม่สามารถสร้างกลับให้ไปอยู่ในระดับ 120 อัพได้ เหมือนอย่างช่วงปี 90s ล่ะก้อ มันแสดงถึงความเปราะบางของความมั่นคงด้านอาหารของโลกครับ และราคาน่าจะผันผวนอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ผมออกจะมั่นใจว่าราคาน้ำมันน่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไป และราคาน้ำมันเนี่ยล่ะ จะฉุดให้ราคาสินค้าอื่นๆ สูงขึ้นตามมันไป ซึ่งถ้าสินค้าอื่นๆ ทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไปได้ ก้อไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าวจะทำอย่างนั้นไม่ได้ m_ple ฟันธงครับ ข้าวแพงได้อีก!  (แต่ขอย่อก่อนนะ ^^" ) จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:20:00 ]

ความคิดเห็นที่ 6 Q: เหตุการณ์นี้มันส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไรบ้าง? A: ประเด็นสำคัญของเหตุการณ์ครั้งนี้คือ มันเป็นการถ่ายเทความมั่งคั่งจากผู้บริโภคไปยังผู้ผลิตครับ ปกติคนเรากินข้าวไม่ต่างจากปกติเท่าไรหรอกครับ คนเรายังไงมันก้อกินได้แค่ระดับหนึ่ง มันจะไม่มากไปกว่านี้ (2 จานก้ออ้วกแล้ว สำหรับคนปกติ) และไม่น้อยไปกว่านี้ (ยังไงก้อต้องกินข้าวมื้อละจานป่ะ) การที่ข้าวราคาสูงขึ้น แสดงว่าเงินจากผู้บริโภคจะไปสู่ผู้ผลิตมากขึ้น เป็นที่น่ายินดีว่า ผู้ผลิตที่ได้รับเงินมากขึ้นคราวนี้ มักเป็นกลุ่มบุคคลที่ถูกทอดทิ้งและไม่ค่อยได้รับโอกาสทางเศรษฐกิจเสมอมา นั่นคือ ชาวนาทั่วโลกนั่นเองครับ ที่สำคัญ ชาวนาส่วนใหญ่ในโลกนี้อยู่ในเอเชียแทบทั้งหมด (จากรูปจะเห็นได้ว่า การผลิตข้าวในปี 2006 แทบจะทั้งหมดมาจากเอเชีย) เพราะฉะนั้นประเทศที่จะได้รับผลกระทบส่วนใหญ่จะอยู่ในแทบเอเชียทั้งสิ้น เนื่องจากส่วนใหญ่เราก้อปลูกกันเอง กินกันเองในเอเชียเนี่ยล่ะครับ ที่มา : UBS (เวลากระชั้นไปนิ๊ดดด ขออนุญาตใช้รูปจาก UBS นะครับ แฮะๆ ^^") จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:20:31 ]

ความคิดเห็นที่ 7 Q: แล้วมันกระทบใครบ้างในเอเชีย? A: การเพิ่มขึ้นของสินค้าแสดงว่าต้องมีคนได้และมีคนเสียใช่ไหมครับ เรามาดูคนเสียก่อน ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักๆ จากการเพิ่มขึ้นของราคาข้าวก้อน่าจะเป็น ประเทศที่บริโภคข้าวเยอะ แต่ผลิตไม่ได้เอง รายได้ไม่สูงมากนัก และรายได้ไม่เพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าเกษตร จริงไหมครับ ;) จากการศึกษาของ UBS พบว่าประเทศเหล่านี้คือ ประเทศที่มีสัดส่วนข้าวในการบริโภคสูง (ใช้ proxy เป็นสัดส่วน cereal ในตะกร้าเงินเฟ้อ) ผลิตเองไม่ได้ (ใช้ proxy คือดูจากจำนวน Food trade balance) และรายได้ของประชากรในประเทศต่ำ (ใช้ proxy คือดูจาก GDP per capita) ซึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คงเป็น ฟิลิปปินส์ เนื่องจากต้องนำเข้าข้าวเยอะ ผลิตเองในประเทศไม่พอ แถมรายได้ของประชากรไม่สูงนัก แถมยังต้องขาดดุลให้กับประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นเสียอีก ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เจ็บไม่หนักหรอกครับ อาทิ อินเดีย ที่มีสัดส่วนการกินข้าวสูงเช่นกัน แต่ตัวเองเป็นผู้นำเข้าอาหารไม่มากนัก เนื่องจากผลิตได้เองในประเทศได้เยอะ เช่นเดียวกันกับจีน ซึ่งการถ่ายเทความมั่งคั่ง ก้อถ่ายเทกันเองในประเทศเนี่ยล่ะ การกระจายรายได้ของประชากรในประเทศน่าจะดีขึ้น และจะส่งผลบวกกับประชากรในประเทศในภาพรวม ส่วนประเทศอย่าง สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ แม้จะต้องนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น แต่ด้วยที่รายได้ประชากรต่อหัวสูงกว่าประเทศอื่นๆ ทำให้ไม่เจ็บตัวเท่าไรนัก แม้ความมั่งคั่งนั้นต้องถ่ายเทไปประเทศอื่นๆ บ้าง ก้อเป็นการดีเศรษฐกิจโลกภาพรวมเสียอีก ที่มา: UBS จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:20:53 ]

ความคิดเห็นที่ 8 Q: แล้วประเทศที่ได้ล่ะ? A: จะเป็นใครเสียอีกล่ะครับ ก้อพี่ไทยเรานี่ไงค้าบบ  ^o^ แม้เวียดนามจะเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับสองของโลก รองจากไทย แต่พื้นที่เพาะปลูกในประเทศเวียดนามเองเสียหายหลายแห่ง ทำให้ผลผลิตปีที่แล้วไม่เพียงพอ ทำให้ส่งออกข้าวได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าใดนัก ผลประโยชน์เลยมาตกกับพี่ไทยเต็มๆ เย้ๆๆๆ :D ข้าวสำคัญกับไทยมากเลยนะครับ เพราะประชากรส่วนใหญ่ของไทยประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยครัวเรือนไทยที่ปลูกข้าวเนี่ยมีทั้งสิ้น 4.1 ล้านครัวเรือน คิดเป็นสัดส่วนถึง 72% ของครัวเรือนที่อยู่ในภาคเกษตรทั้งหมด พูดง่ายๆ คือ 3 ใน 4 ครัวเรือนไทยที่ทำการเกษตร เป็น ชาวนา ครับ ถ้าเทียบเป็นสัดส่วนต่อครัวเรือนทั้งประเทศ เราจะพบว่า 1 ใน 4 ของครัวเรือนไทยทั้งหมด ประกอบอาชีพทำนาครับ! แปลว่า คุณเดินผ่านบ้าน 4 หลัง อย่างน้อย 1 หลังต้องเป็นชาวนา เห็นไหมครับ ชาวนาบ้านเราเยอะขนาดไหน ที่มา : ตัวชี้วัดเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศไทย ปี 2550, สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร http://www.oae.go.th/pdffile/indicator.pdf จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:21:21 ]

ความคิดเห็นที่ 9 Q: ราคาพุ่งงี้ ชาวนาก้อรวยแย่ดิ? A: ตอบยากแฮะ คำถามนี้ ก่อนอื่น รายได้ของเค้าเพิ่มขึ้นแน่ๆ ครับ เนื่องจากข้าวปริมาณเท่าเดิม แต่เค้าขายได้ราคาดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่รายได้เท่านั้นที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนในการปลูกข้าวของเค้าก้อเพิ่มขึ้นมาเช่นกัน เนื่องจากราคาปุ๋ยและราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญสำหรับการเพาะปลูกก้อเพิ่มสูงขึ้นมาเหมือนกัน ซึ่งเราจะได้ยินเสียงร้องจากชาวนาข้อนี้หนาหูขึ้นในช่วงนี้ แต่ประเด็นคืออะไรเพิ่มขึ้นมามากกว่ากัน?   มาดูกันครับ :) จากการสอบถามไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พบว่า ต้นทุนปุ๋ยและต้นทุนน้ำมันที่ใช้ในการเพาะปลูกข้าวมีอยู่ประมาณร้อยละ 14 และ 5 ตามลำดับ ของต้นทุนทั้งหมด ทีนี้ ราคาปุ๋ยกับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 (ไม่รู้ดิ ผมว่าเครื่องจักรที่ใช้ในไร่ทั่วๆ ไปมันกินน้ำมันเบนซินนิครับ อย่างน้อยก้อเครื่องสูบน้ำบ้านผมล่ะ ^^" )  ลองเทียบราคาปุ๋ยกับราคาน้ำมันเบนซิน 91 ปีนี้กับราคาเฉลี่ยปีที่แล้วทั้งปี พบว่า ทั้งสองตัวขึ้นมาร้อยละ 42 กับ 15 ตามลำดับ* แสดงนั่นต้นทุนทั้งหมดของเกษตรกรเพิ่มขึ้นมาร้อยละ 6.6 โอเคพักไว้ก่อน มาดูด้านราคากันบ้าง ราคาข้าวที่เกษตรกรขายได้ขณะที่ราคาข้าวในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้นมาร้อยละ 23 นะครับ ** ทีนี้เราก้อสรุปได้เต็มปากเต็มคำล่ะ ว่าชาวนาไทยมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้เค้าเพิ่มขึ้น 23% แต่ต้นทุนเค้าเพิ่มขึ้นมาเพียง 6.6% เท่านั้น โดยเมื่อทดเลขกลับไป เราจะพบว่ารายได้สุทธิของชาวนาไทยเพิ่มขึ้น (รายได้เดิมx1.23 - ต้นทุนเดิมx1.066)/(รายได้เดิม - ต้นทุนเดิม) ถึงร้อยละ 73.2 โอ้ววว ย้ำกันอีกนิด การคำนวณนี้สมมติว่าต้นทุนอื่นๆ (ค่าแรงงาน ค่าเช่าที่นา บลาๆๆ) คงที่นะค้าบบบ ^^ สรุป ชาวนาไทยรวยหรือเปล่าไม่รู้ แต่รายได้ดีกว่าเดิมล่ะ :) * การคำนวณตรงนี้ผมคำนวณแบบนี้นะครับ 1.ปุ๋ย ผมใช้ราคาเฉลี่ย(คิดรวมทั้งราคากทม และท้องถิ่น)ของปุ๋ยสูตร 21-0-0 กับ 16-20-0 (เห็นเค้าว่าสูตรนี้ใช้ในการปลูกข้าว ผมก้อไม่ค่อยจะแน่ใจ ถามใครก้อไม่ค่อยมีใครรู้ พอดีมันกระชั้นชิดเลยเอาวะ ^^" ) โดยเทียบเฉลี่ย 2 เดือนแรกปีนี้ กับ 11 เดือนหลังปีที่แล้วตามใน link นะครับ (หาข้อมูลมากกว่านี้ไม่ได้อ่ะ ^^" ) http://www.oae.go.th/factor/PriceImpMonthNew.htm 2. ราคาน้ำมันเบนซิน 91 ใช้ราคาขายปลีก ปตท ในกทม. เฉลี่ย 3 เดือนแรกปีนี้ เทียบกับราคาเฉลี่ยปีที่แล้วนะครับ ดูได้จาก link นี้ครับ http://www.pttplc.com/TH/nc_oi.aspx ** เพื่อตัดปัญหาที่ว่าข้าวที่ขึ้นมากำไรไปตกอยู่กับโรงสีหรือพ่อค้าคนกลางหมด ผมจึงใช้ดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ของกระทรวงเกษตรนะครับ คุณสามารถดูได้จาก link นี้ครับ http://www.oae.go.th/Price/priceIndex/priceIndex47.pdf ถ้าเราเชื่อว่าตัวเลขนี้ถูกต้องนะครับ เราจะเห็นได้ว่าราคาข้าวที่เกษตรกรขายได้เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นเอง ทั้งที่ราคาที่พูดกันในหนังสือพิมพ์เพิ่มขึ้นมามากกว่าร้อยละ 50 เสียอีก เห็นแล้วก้อน่าเหนื่อยใจแทนชาวนานะครับ T-T จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:21:48 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Q: มิน่าล่ะ ยอดรถมอเตอร์ไซต์เดือนมีนาคม ขายดีน่าดู? A: เฮ้ออ ตัวเลขแบบนี้ถึงจะคาดเดาได้ แต่ก้อไม่อยากได้ยินเล้ยย ให้ตายเหอะ ส่วนตัวผมไม่อยากให้ชาวนานำรายได้ที่ไม่คาดฝันก้อนนี้ ไปดาวน์มอเตอร์ไซค์ หรือซื้อมือถือรุ่นใหม่ๆ ให้ลูกๆ หลานๆ แต่อยากเห็นเค้านำเงินส่วนนี้มาปรับปรุงประสิทธิภาพการเพาะปลูกข้าวของเค้ามากกว่า (เอาเงินไปลับเคียวให้คมขึ้น ก็ยังดี) เพราะนั่นจะทำให้เค้าลืมตาอ้าปากได้อย่างยั่งยืนในอนาคต แต่ก้อแอบเข้าใจนะ นานๆ เค้าจะได้ลืมตาอ้าปากบ้างเสียที ก้ออยากจะใช้ชีวิตที่ดีกว่าเดิมบ้าง อีกทั้งอยากให้ใครก้อได้ ช่วยตะโกนบอกเค้าดังๆ หน่อยว่า อย่าคิดว่าราคาจะสูงแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนไม่ทันระมัดระวัง เร่งเพาะปลูกข้าวในฤดูถัดไปทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมตัวดีพอ เพราะนั่นอาจจะทำให้ผลผลิตต่อไร่ออกมาไม่สูงมากนัก และชาวนาโดยส่วนมากมักกู้เงินมาปลูกข้าวอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะทำให้เค้ามีปัญหาด้านการเงินได้ ถ้าวันที่ข้าวของเค้าออกรวง ราคาข้าวมันไม่สูงอย่างทุกวันนี้ จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:22:05 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Q: ถ้าบังเอิญมีคนจากภาครัฐบาลมาแอบอ่าน อยากจะบอกอะไรเค้า? A: เหล็กมันต้องตีตอนร้อนครับ ช่วงเนี่ย จังหวะดีดี ทุกคนสนใจเรื่องข้าวกัน เราน่าจะทำเรื่องนี้ให้มันใหญ่โตเป็นวาระแห่งชาติกันไปเลย รู้ไหมครับ เห็นเราเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของข้าวอย่างงี้ก้อเถอะ แต่อุตสาหกรรมข้าวบ้านเรา ล้าหลังสุดๆๆๆๆ จากข้อมูลของ USDA พบว่าผลผลิตต่อไร่ของประเทศไทยแทบจะอยู่ในอันดับโหล่ๆ ของโลกเลย โดยสามารถผลิตข้าวได้เพียง 2.69  ตันต่อเฮกเตอร์เท่านั้น ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 4.11 อีกทั้งน้อยกว่าเวียดนามถึงเกือบ 2 เท่า น้อยกว่าจีนและญี่ปุ่นถึงเกือบ 3 เท่า แถมระบบชลประทานเราก้อห่วยแสนห่วย ยกตัวอย่างเช่น ภาคอีสานบ้านเรา ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญที่สุดของประเทศ (คิดเป็นสัดส่วนถึง 1/2 ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งประเทศ และมีสัดส่วนผลผลิตถึง 40% ของผลผลิตของประเทศ) ชาวนาภาคอีสานปลูกข้าวได้เพียงปีละครั้งเท่านั้นเองนะครับ เนื่องจากไม่มีระบบชลประทานเหมือนภาคอื่นๆ แถมไอ้ปีละครั้ง ยังต้องมานั่งลุ้นอีกด้วยว่าปีนี้ฝนจะแล้งหรือเปล่า (-_-")a ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่นนี่ พื้นที่เพาะปลูกข้าวมีระบบน้ำชลประทานร้อยละร้อยเลยนะครับ รัฐบาลอย่าคิดว่า โอ้ยย วันนี้เรารวยแล้ว เราก้ออยู่เฉยๆ ไม่ยอมพัฒนาอะไร ทั้งที่การที่เรารวยวันนี้เพราะเราโชคดีที่ภัยธรรมชาติเค้าไปเอ็นดูประเทศคู่แข่งเราต่างหาก วันหนึ่งถ้าประเทศอื่นๆ กลับมาตั้งตัวได้ เราล่ะจะแย่ เนี่ย อาศัยตอนชาวนารวยๆ นำเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปเสนอเค้า จัดสรรรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาไปเป็นงบประมาณเพื่อวิจัยเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกข้าวอย่างจริงจัง รวมถึงการพัฒนาระบบชลประทานให้ทั่วถึงมากขึ้น อีกทั้งจัดระบบโซนนิ่งเพื่อที่รัฐจะได้กำหนดนโยบายที่ประเทศได้ประโยชน์สูงสุด จะได้ช่วยป้องกันความเสี่ยงทางด้านราคาและผลผลิตให้กับชาวนาไปในตัว ซึ่งทั้งหมดนี้ มันเรื่องใหญ่มากๆๆ ครับ ถ้าไม่จุดให้เป็นวาระแห่งชาติ ผมเกรงว่าจะผลักดันลำบากครับ จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:22:27 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณรู้ไหมครับ ถ้าเราสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ไม่ต้องเอาถึงขั้นจีนและญี่ปุ่นหรอก แค่ทำได้เท่ากับเวียดนามแล้วล่ะก้อ เราจะผลิตได้มากกว่านี้เป็นสองเท่า แปลว่า เราจะผลิตได้ถึงปีละ 40 ล้านตัน จากราวๆ 18 ล้านตันในปัจจุบัน เราบริโภคปีละราวๆ 10 ล้านตัน แปลว่าเราจะมีข้าวเหลือส่งออกอีก 30 ล้านตัน จากที่ส่งออกอยู่เพียงปีละ 10 ล้านตัน ใช้ราคาเฉลี่ยแค่ตันละ 500 ดอลลาร์อ่ะ นั่นหมายความว่าไทยจะทำรายได้จากการส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้นอีกถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 300,000 ล้านบาท โอ้วแม่เจ้า (เห็นเงินเยอะแล้วเริ่มตาลุก นี่ผมคิดผิดอะไรตรงไหนป่ะเนี่ย ^^" ) ต่อให้ใช้เงินทำวิจัยสักหมื่นล้านยังคุ้มโคดคุ้ม ประเทศอื่นๆ ยังทำกันได้ ทำไมพี่ไทยเราจะทำกันบ้างไม่ได้ และอย่าคิดว่าจะขายไม่ได้นะครับ เพราะปีนี้ โลกเริ่มผลิตข้าวได้ไม่เพียงพอกับการบริโภคแล้ว อีกทั้งแนวโน้มประชากรก้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง "กสิกรแข็งขันเป็นกระดูกสักหลังของชาติ ไทยจะเรืองอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม" ครับ กลับมาหาจุดแข็ง (Competency) ของเราดีกว่าครับ ส่งออกที่โตสูงๆ เพราะอิเลคทรอนิกส์กับ Hard Disk Drive ไม่เห็นจะน่าภูมิใจตรงไหน Margin ส่วนใหญ่ต่างชาติเอาไปทั้งนั้น เศษๆ ค่าแรงก้อได้ถูกๆ แถมเอาของเสียมาทิ้งไว้ประเทศเราอีก *~ อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาหลายๆ อย่างทางอ้อมด้วยนะครับ อาทิ ถ้ารายได้จากการทำเกษตรดี ใครจะอยากจากบ้านมาอยู่ป่าคอนกรีตในเมืองกรุง คนเหล่านี้จะได้กลับไปอยู่บ้าน เมืองกรุงจะได้เล็กลง มลภาวะ อาชญากรรมก้อจะลดลงตามไปด้วย ความเจริญจะได้กระจายไปสู่ชนบทมากขึ้น ไม่ใช่รวยกระจุก จนกระจายเหมือนทุกวันนี้ ครอบครัวคน ตจว จะได้เข้มแข็งขึ้น ไม่ใช่คนหนุ่มออกมาหางานในเมืองหลวง ทิ้งให้คนแก่อยู่บ้านกับเด็กๆ เท่านั้น ชีวิตแบบนี้ แม้จะมีเงิน แต่ก้อไม่มีความสุขหรอกครับ จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:22:50 ]

ความคิดเห็นที่ 13 Q: แล้วที่เค้าเชียร์กันให้รวมกลุ่มฮั๊วราคาข้าวแบบ OPEC ล่ะ ไม่เวิร์คเหรอ? A: ยากครับ 1. ข้าวไม่ใช่สินค้าหาอะไรเสมอเหมือนไม่ได้แบบน้ำมัน ข้าวแพงคนก้อไปกินอย่างอื่นได้ แต่น้ำมันแพง รถก้อต้องกินน้ำมันอยู่ดี ทำให้อำนาจต่อรองของน้ำมันมีสูงกว่าข้าว 2. ข้าวไม่สามารถเก็บไว้ได้นานๆ ได้อย่างน้ำมัน เวลายิ่งผ่านไปนานขึ้น อำนาจจะยิ่งตกไปอยู่กับผู้ซื้อ ถ้าเราไม่ขาย เค้าก้อไม่ซื้อ แล้วเราเองล่ะ จะทนไม่ไหว จะขายตอนนี้หรือจะปล่อยให้ข้าวเน่า จริงไหมครับ 3. ปริมาณข้าวที่ซื้อขายในโลกปีๆ หนึ่งนั้น มีสัดส่วนราว 7% ของปริมาณข้าวที่โลกผลิตได้ทั้งหมดในแต่ละปีเท่านั้น แถมผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในโลกอย่างไทย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เราผลิตข้าวน้อยกว่าเค้าเยอะกว่ามากๆ ยกตัวอย่างเช่น ปีหนึ่งเราผลิตได้เพียง 18 ล้านตัน ในขณะที่จีนผลิตได้ถึง 127 ล้านตัน!! ที่เราส่งออกมากกว่าเค้า ก้อเพราะเค้ากินในประเทศหมดต่างหากครับ ประชากรเค้าเยอะ ลำพังข้าวในสต็อกของจีนที่มีอยู่ราว 36 ล้านตัน ก้อมากกว่าผลผลิตเราทั้งปีแล้ว สต็อกเราแค่ 2 ล้านตัน อำนาจต่อรองเรามีไม่มากพอหรอกครับ สมมติว่าเราฮั๊วราคาสำหรับผู้ส่งออกรายใหญ่ๆ ได้จริง เกิดราคาสูงขึ้นมาจริงๆ จีนทิ้งโครมไม้เดียวสัก 1 ล้านตัน ราคาก้อรูดไปฟอร์แล้วครับ ^^" แมงเม่าอย่างเรา จะไปสู้เจ้าได้ไง หุ้นอยู่ในมือเค้าหมด ;) ต่างกับกลุ่ม OPEC ที่จำนวนน้ำมันในโลกนี้อยู่ในมือเค้าเป็นส่วนใหญ่ครับ ต่อให้รวมกลุ่มกันได้จริงก้อเถอะ แต่คงยากที่จะทำให้ไว้เนื้อเชื่อใจกันได้ อย่าง OPEC นี่ กว่าจะมีวันนี้ก้อโกงกันแล้ว โกงกันอีกนะครับ เพียงแต่ว่าตอนนี้ผลประโยชน์ร่วมกันยังสูง แถมต้องการอำนาจต่อรองทางการเมืองอีก เค้าก้อเลยรวมกลุ่มกันค่อนข้างเหนียว ประเทศส่งออกข้าวนี่ เป็นประเทศกำลังพัฒนาซะส่วนใหญ่ ไม่ได้ร่ำรวยมากนัก โอกาสที่จะโกงมีสูงครับ เพราะใครก้ออยากให้ประเทศตัวเองได้ประโยชน์ทั้งนั้น ;) สรุป ผมฟันธงว่า ไอเดียนี้เกิดยากครับ จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:23:10 ]

ความคิดเห็นที่ 14 Q: คนอ่านกระทู้ล่ะ มีอะไรฝากไว้เปล่า? A: ข้าวเราผลิตได้เองครับ ไม่ต้องตระหนี่ แค่อย่าฟุ่มเฟือยก้อพอ ;) ไม่เหมือนน้ำมันครับ ถ้าเลือกได้ ก้ออย่าไปใช้มันครับ ^^ ฝากประเด็นที่น่าสนใจไว้เรื่องเดียว และคิดว่าคนที่เข้าห้องนี้น่าจะสนใจ ทุกท่านคงทราบแล้วนะครับว่าปีนี้เงินเฟ้อค่อนข้างสูงมากๆ  ไตรมาสที่ 1 ปีนี้ ก้อปาไปถึง 5.0 แล้ว นั่นแปลว่าถ้าเงินที่ท่านเก็บไว้ (ไม่ว่าจะฝากธนาคาร ซื้อหุ้น ซื้อพันธบัตร กองทุนหรืออะไรก้อตามแต่) ได้ผลตอบแทนในไตรมาสที่ 1 ไม่เท่ากับ 5%  แสดงว่าเงินของคุณมีค่าลดลงเรื่อยๆ นะครับ อาทิตย์ที่แล้ว ผมมีโอกาสไปฟังพวกกองทุน Hedge funds ต่างๆ มาคุยกันเรื่องการจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อ เค้าทำอย่างไรกันรู้ไหมครับ เค้านำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ครับ เค้าบอกว่า ถ้าสินค้าเหล่านี้ราคาตกลง แสดงว่าเงินเฟ้อลดลง ผลตอบแทนที่แท้จริงของพอร์ทก้อจะไม่ลดเท่าใดนัก แต่ถ้าสินค้าเหล่านี้เพิ่มขึ้น แสดงว่าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และเช่นเดียวกัน ผลตอบแทนที่แท้จริงของพอร์ทก้อจะอยู่ได้สบายๆ ฟังแล้วก้อ เอ่อ เข้าเท่าแฮะ ท่านใดสนใจจะนำไปประยุกต์ใช้กับพอร์ทของท่านบ้างก้อได้นะครับ :) จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:23:27 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณที่ติดตามอ่านกระทู้ยาวๆ แบบนี้นะครับ ^^" เขียนเรื่อง Subprime มาสองเดือนแล้ว ไม่เสร็จเสียที (-_-")a กะว่าเดือนนี้จะลาพักร้อนมั่งล่ะ ไม่ไหวแล้วว คงจะมีเวลาว่างมาเขียนให้ได้อ่านกันครับ พบกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีครับ ;) จากคุณ : m_ple - [ 8 พ.ค. 51 00:23:49 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มาอ่านจบคนแรกเลย ขอชื่นชม และ ปรบมือให้ในการนำเสนอครับ เยี่ยมมากเลย ขอบคุณครับ จากคุณ : :::GANTZ::: - [ 8 พ.ค. 51 00:52:17 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เข้ามาอ่าน ครับ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 11:07:51 จากคุณ : คุณฟัก - [ 8 พ.ค. 51 00:54:19 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ข้อมูลดีครับ มีตัวเลขและแหล่งข้อมูลประกอบ ขอบคุณครับ หุหุหุ จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา - [ 8 พ.ค. 51 01:13:13 ]

ความคิดเห็นที่ 19 โหวตก่อนครับ ค่อยมาอ่านพรุ่งนี้ แต่แค่เห็นชื่อ คุณ m_ple   คงมีข้อมูลดีๆ ลึกๆ อีกเช่นเคย จากคุณ : โตนปลิว - [ 8 พ.ค. 51 01:44:10 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แนะนำให้คนไทยทานข้าวน้อยๆ ครับ  จะได้ส่งออกเยอะๆ เอาเงินเช้าประเทศ .....หันไปทานผัก ผลไม้แทนดีกว่า อีกอย่างนึงถ้ารัฐบาลมีสติปัญญาที่จะทำได้ คือขายข้าวล่วงหน้าในระยะเวลายาวๆ นอกจากนี้ การที่เราได้กำไรเข้าประเทศเยอะๆ ........รัฐบาลควรนำกำไรที่ได้ส่วนนึงไปพัฒนาระบบชลประทานอย่างจริงจัง รัฐบาลควรเก็บภาษีการส่งออกข้าวจากโรงสีทั้งหลาย ที่ไม่ได้ซื้อข้าวผ่านการรับจำนำของรัฐ ...........จะได้เอาภาษีส่วนนั้นมาพัฒนาชลประทาน คืนประโยชน์ให้ชาวนา กรมชลประทานน่ะ ยุบไปเหอะ  เอางบประมาณไปเข้ามูลนิธิชัยพัฒนาดีกว่า .......แล้วให้มูลนิธิฯ จัดระบบชลประทานตามพระราชดำริดีกว่า ผมว่างบประมาณของกรมชลประทาน ให้มูลนิธิฯนำมาบริหารซัก 5 ปี .....เกษตรกรภาคอีสานคงจะมีน้ำใช้พอปลูกข้าวนาปรังได้ปีละ 3 รอบ จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 8 พ.ค. 51 02:57:59 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ราคาข้าวโพด  ผมบันทึกเมื่อต้นปีที่แล้ว  (มกราคม 2007) .........ขึ้นมาเหมือนๆ ข้าวละครับ  แต่ข้าวเราเพิ่งจะขึ้น  ส่วนข้าวโพดขึ้นมา 2 ปีแล้ว (แก้ไข) เอารูปออกดีกว่า  เพราะมีรูปข้างล่างมาแทนแล้ว แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 51 03:51:21 จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 8 พ.ค. 51 03:11:02 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คนที่ได้กำไรตัวจริงสำหรับข้าวคือ  คนที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า .......ที่ขายในตลาด commodity ครับ  ไม่ใช่ชาวนาไทยหรอก ถ้าดูราคา Future จะเห็นว่า พวก Grains ส่วนใหญ่ขึ้นมา 2-3 เท่า นับจากปี 2006 .........บางชนิดขึ้นไป 3 เท่าแล้วลดลงมาเหลือ 2 เท่า สมัยที่ผมยังใช้บัตรผ่าน ผมเคยพูดมาปีกว่าๆ แล้วเรื่องเงินเฟ้อทั่วโลก .....ว่าจะมาจากอาหารและพลังงาน...ไม่ใช่พลังงานอย่างเดียว   และผมบอกด้วยว่ารัฐบาลทั้งหลายโกหกประชาชนมาตลอด เรื่องตัวเลขเงินเฟ้อ ข้าวเพิ่งจะขึ้นเองครับ  น่าจะมีข่าวให้เล่นและขึ้นต่ออีกระยะนึง ข้าวน่าจะขึ้นได้ถึงอย่างน้อย 3 เท่าจากต้นปีนี้ครับ   ....ขณะนี้เพิ่งขึ้นมาประมาณ 2 เท่า ถ้ากองทุนฝรั่งซื้อไว้เยอะ ก็จะมีออกข่าวปั่นราคาเยอะขึ้นครับ ฝนแล้งที่ไหน หรืออย่างข่าวพายุที่พม่า  พี่แกเอามาเล่นปั่นราคาได้หมด แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 51 04:05:28 แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 51 03:59:38 แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 51 03:37:02 แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 51 03:30:53 จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 8 พ.ค. 51 03:22:37 ]

ความคิดเห็นที่ 23 Corn จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 8 พ.ค. 51 03:45:59 ]

ความคิดเห็นที่ 24 Wheat จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 8 พ.ค. 51 03:47:11 ]

ความคิดเห็นที่ 25 Soybean จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 8 พ.ค. 51 03:48:34 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขออนุญาตพี่สาวคนสวยนะครับ  ขอเอาข้อความที่เขียนในบล็อคมาแปะหน่อย   ....อ้อ ต้องขอหมอไก่ด้วยเพราะเป็นเจ้าของบล็อค ********************************************* สินค้าส่งออกที่มีมูลค่าอันดับต้นๆของไทยคือ กลุ่มสินค้าที่คนในโลกใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยตอนเศรษฐกิจดี ไม่ใช่สินค้ากลุ่มเกษตร ปีที่แล้วมูลค่ากลุ่ม precious stones and gold ที่เป็นส่วนประกอบ ทำให้ดูว่าส่งออกเยอะ เรานำเข้าของกินสารพัดชนิด มากกว่าที่เราส่งออกไป ของกินทีมีในบ้านตอนนี้ เป็นของสำเร็จรูปนำเข้าแทบทั้งหมด (ตามรายการข้างล่าง) เหตุผลคือ ถูกกว่าและประเทศไทยปลูกไม่ได้ หรือได้แต่ไม่ดีและไม่พอ: แป้งสาลี แป้งข้าวโพด สปาแกตตี้ ข้าวบาเลย์คั่ว ข้าวโอ๊ต โกโก้ ชาเขียว ชาสำเร็จรสต่างๆ มันฝรั่งกรอบ ลูกพรุน น้ำลูกพรุน ลูกพลับแห้ง บ๊วยหวาน เยลลี่ สาลี่หิมะ ขนมปังกรอบ ท๊อฟฟี่ ชอคโกเลต นม เนย สาหร่าย ฟองเต้าหู้ เห็ดหอม กระเทียม แถมด้วยวิตามินอีกหลายชนิด ของที่นำเข้าวัตถุดิบมาผลิตในไทย : ขนมปังแถว บะหมี่ กาแฟ แม้แต่ถั่วเหลือง น้ำมันปาลม์ เราก็ต้องนำเข้าเพิ่ม แหล่งเพาะปลูก และเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรมากที่สุดในโลกคือ กลุ่มประเทศในทวีปอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์พวกเนื้อวัว นม เนย ข้าวชนิดต่างๆ และผลไม้ เงินบาทจาก 57 มา 32 แต่อาหารนำเข้าแพงขึ้นสุดๆ เนยจากก้อนละ 21 ค่อยๆขึ้นมา 35 แต่ปีนี้ กระโดดพรวดเป็น 72 บาท โดย: prettypetite ************************************************ ผมเคยพูดในห้องสีลมเมื่อ 3-4 ปีก่อนว่าสินค้าเกษตรแปรรูปของไทย .......โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทะเล เราต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศทั้งนั้น อาหารทะเลที่เราส่งออก  เราต้องซื้อวัตถุดิบคิดเป็นต้นทุนอย่างน้อย 85% ของมูลค่าสินค้าที่เราส่งออก สำหรับสินค้าเกษตรส่งออกทั้งหลาย เมื่อเงินบาทแข็งขึ้น  วัตถุดิบถูกลงก็จริง แต่ต้นทุนการผลิตและขนส่งเพิ่มขึ้นเพราะน้ำมัน .......นอกจากนี้ค่าเงินที่แข็ง  ทำให้สินค้าส่งออกของเราแพง แข่งขันลำบาก เมื่อขายได้เงินแล้ว แลกกลับเป็นเงินบาท.........ก็ได้เงินบาทน้อยลงด้วย หุ้นปลาทูของผมถึงไม่ไปไหนอยู่เนี่ย จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 8 พ.ค. 51 04:40:59 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอขอบคุณm_ple... ยอมรับนับถือในจิตเจตนาที่ดี มีบทความเรียงสลวย ข้อมูลที่จัดให้-เข้าใจได้ดีแบบลื่นต่อเนื่อง...MANY THANK ครับ จากคุณ : แพะโง่ (แพะโง่) - [ 8 พ.ค. 51 06:42:06 ]

ความคิดเห็นที่ 28 และขอบคุณ คุณอภิชาตบุตรทำให้ข้อมูลแน่น น่าสนใจเพิ่มยิ่งขึ้นๆ จากคุณ : แพะโง่ (แพะโง่) - [ 8 พ.ค. 51 06:47:06 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ อยากรู้อยู่พอดี จากคุณ : ไข่เจียวมิชิลิน - [ 8 พ.ค. 51 08:14:21 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณครับ จากคุณ : yai-cho - [ 8 พ.ค. 51 08:28:46 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เป็นข้อมูลที่แจกแจงได้ดี จริงแท้แค่ไหนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องน่าจะรับฟังไว้หลายๆฝ่าย แล้วเอาไปเป็นข้อมูลวิเคราะห์เพิ่ม ส่วนตัวบรรพบุรุษก็เคยประกอบอาชีพนี้มาแล้วมันไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป แต่เมื่อก่อนเขาไม่ได้คิดเรื่องคุ้มหรือไม่คุ้ม เขาทำเพราะต้องการผลิตอาหารไว้กินในครัวเรื่อน (พอเพียงมานานแล้วโดยไม่รู้ตัว มาเสียเอาตอนถูกกระตุ้นให้บริโภคเพื่อจะได้ GDP นี่แหละ)ผ่านรุ่นหลังๆมาก็เปลี่ยนไปทำสวนค่อยดีมาหน่อย จากพื้นที่ทำนา 100% กลายไปเป็นสวน 70% ต่อไปก็หมดไม่มีใครทำกันอันนี้จากละแวกจังหวัดที่ผมอยู่ ตอนนี้ปลูกพืชพลังงานทดแทนเท่านั้นรวยเห็นๆ พร้อมกับยอดขายรถยนต์โตสุดๆและก็ต้องใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นไปอีก กลายเป็นงูกินหางไม่รู้จักจบสิ้น .. จากยุค กสิกรรม ----->เป็นอุตสาหกรรม ------>เทคโนโลยี ------> ??? ความสุขของสังคมมนุษย์มันลดลงเพราะต้องแย่งทรัพยากรณ์กันและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกคนกำลังยื้อแย่งกันอยู่ ใช้วิธีต่างๆนา หลอกๆล่อๆลากๆทุบๆ ตบจูบๆ ก็เพราะต้องการเอาทรัพยากร .... อย่าเผลอไล่ราคาละ จากคุณ : ดอยคำ - [ 8 พ.ค. 51 08:58:50 ]

ความคิดเห็นที่ 32 .. แบ่งข้าวเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก  ให้เพียงพอสำหรับกินในประเทศ  (อาจจะเป็น 1/5) ส่วนที่สอง  นำไปกลั่นเป็นแอลกอฮอล์ ไว้ผสมให้เป็นแก๊สโซฮอล์  (3/5) ส่วนที่สาม  ส่งออกไปขาย แบ่งปันให้คนอื่นได้กินบ้าง (1/5) - ลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ส่วนหนึ่ง (เงินไหลออกน้อยลง) - ลดจำนวนข้าวที่จะส่งออก (ราคาข้าวจะสูงขึ้น เงินไหลเข้ามากขึ้น) .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 8 พ.ค. 51 09:12:11 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณครับ ในฐานะสาวกไก่ด้วยกัน ขอหุ้นเด็ดหนึ่งตัว ส่วนตัวผมอยากให้รัฐดำเนินการจัดการน้ำโดยด่วน เพราะอนาคตต้องแย่งน้ำกันรากเลือด จัดการน้ำให้ดีก่อน ค่อยทำรถไฟฟ้าทีหลังยังได้ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 51 09:29:01 จากคุณ : ปะป๋าน้องมุก - [ 8 พ.ค. 51 09:26:14 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณครับ จากคุณ : seun - [ 8 พ.ค. 51 09:29:01 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณ อจ. m_ple ครับ จากคุณ : KENG76 - [ 8 พ.ค. 51 09:31:07 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เขียนเรื่องยากๆให้อ่านง่ายๆอีกเรื่องนึงแล้ว กะลังอยากได้ข้อมูลพอดีเลย อิอิ wii ถ้าไม่เล่นเอามาฝากไว้ที่เค้าก่อนดีมั๊ยคุณเปิ้ล ฮ่าๆๆๆๆ จากคุณ : <<Ayumi>> - [ 8 พ.ค. 51 09:33:32 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เข้าใจขึ้นอีกเยอะเลย ขอปรบมือให้อีกคนค่ะ จากคุณ : pureblood (Pureblood) - [ 8 พ.ค. 51 09:51:00 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณ คุณ m_ple สำหรับข้อมูลดีๆครับ ขอแย้งคุณ อภิมหาชาตบุตร ซักเล็กน้อย รัฐบาลควรเก็บภาษีการส่งออกข้าวจากโรงสีทั้งหลาย ที่ไม่ได้ซื้อข้าวผ่านการรับจำนำของรัฐ ...........จะได้เอาภาษีส่วนนั้นมาพัฒนาชลประทาน คืนประโยชน์ให้ชาวนา ผมว่าคนที่จ่ายภาษีคือชาวนาครับ เพราะภาษีจะต้องถูกหักจากราคาข้าวเปลือก และคนที่ได้ประโยชน์คือคนในประเทศที่กินข้าว เพราะข้าวในประเทศจะถูกลง แต่ราคาส่งออกจะแพงจากภาษีที่เก็บเพิ่ม เราบริโภคข้าวประมาณครึ่งนึงของที่เราผลิตได้ครับ จากคุณ : S40 - [ 8 พ.ค. 51 10:00:51 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณค่ะ สำหรับข้อมูล เห็นภาพเลยล่ะ ถ้ารัฐบาลสามารถทำระบบชลประทานที่ดีคลอบคลุมทั่วพื้นที่นาี่ และ พยายามเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ชาวนาจะเหนื่อยน้อยลงแยะ เป็นไปได้ว่า ผลผลิตต่อไร่ขึ้นอยู่กับพันธุ์ข้าวด้วย เราได้เปรียบที่สามารถพัฒนาพันธุ์ข้าวที่อร่อยเป็นที่นิยม ของต่างชาติที่มีอันจะกิน แต่ข้าวที่ถูกบริโภคส่วนใหญ่ของโลกกลับเป็นข้าวคุณภาพต่ำ เช่นข้าวขาว 25 % broken โดยเฉพาะข้าวที่ขายให้กับประเทศยากจน แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 51 10:42:24 แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 51 10:31:57 จากคุณ : ต้นแมกโนเลีย - [ 8 พ.ค. 51 10:04:15 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณ คุณ S40 ครับ ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าภาษีจะต้องถูกหักจากราคาข้าวเปลือก ดีครับ ช่วยกันเสนอความเห็น จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 8 พ.ค. 51 11:05:51 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เห็นด้วยกับข้อเสนอให้เร่งพัฒนาระบบชลประทานครับ ลงทุนสัก 5-6 แสนล้านก็คุ้ม (ถ้าสร้างรายได้ได้ 3 แสนล้านต่อปีจริง ๆ นะ) :) จากคุณ : smurfy - [ 8 พ.ค. 51 11:36:54 ]

ความคิดเห็นที่ 42 โหวต เซฟ เก็บเข้าคลัง ปรบมือให้ครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : waphoo - [ 8 พ.ค. 51 12:33:04 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เยี่ยมครับ ขอบคุณมาก จากคุณ : HaHaHa - [ 8 พ.ค. 51 13:17:30 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ข้อมูลดีมากครับ ขอบคุณครับ Vote Save เก็บเข้าคลัง อีกคน จากคุณ : stocksmith - [ 8 พ.ค. 51 14:28:19 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ... สงสัย ต้อง มีการ ทำผัง งบประมาณ กรม ชล ใหม่ แล้ว ล่ะ .... จากคุณ : Jonanah - [ 8 พ.ค. 51 14:30:53 ]

ความคิดเห็นที่ 46 สุดยอด  คุณ m_ple  เขียนบทความข้อมูลแน่นเสมอ ผู้ที่มีอำนาจ หรือมีหน้าที่ดูแลน่าจะได้อ่านแล้วนำไปวิเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง จากคุณ : Akuma_Online - [ 8 พ.ค. 51 14:34:02 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอออกความเห็นบ้างครับ   ข้าวแพง เพราะ น้ำมันแพง น้ำมันแพง เพราะ นักลงทุน นักลงทุน เพราะ มีจอร์จบุช ลูก เกี่ยวข้องกับน้ำมัน สรุป ข้าวแพง เพราะ จอร์จบุช ลูก อิอิ จากคุณ : pork - [ 8 พ.ค. 51 14:46:46 ]

ความคิดเห็นที่ 48 แล้วอย่างนี้ ผู้มีอำนาจในไทยจะทำอะไรได้ อิอิ ทำใจ วันละเม็ด หรือใช้ปวดหาย ก็ได้ อิอิ จากคุณ : pork - [ 8 พ.ค. 51 14:48:02 ]

ความคิดเห็นที่ 49 กะทู้ดี โหวตให้ครับ จากคุณ : i_sarut - [ 8 พ.ค. 51 15:47:34 ]

ความคิดเห็นที่ 50 วิเคราะห์ได้เจ๋งดีครับ อ่านง่ายด้วย โหวตให้ครับ ... จากคุณ : ค้นหา - หนทาง - [ 8 พ.ค. 51 16:52:58 ]

ความคิดเห็นที่ 51 มีข้อมูลที่เป็นข้อสังเกตุมาเพิ่มนิดนึงครับ ในเรื่องที่ผลผลิตข้าวเฉลี่ยต่อไร่ของเราต่ำกว่าประเทศอื่นๆ เพราะเรามีพื้นที่ปลูกข้าวในภาคอีสานจำนวนมาก และปลูกข้าวหอมมะลิ ซึ่งให้ผลผลิตต่ำ แต่เป็นข้าวคุณภาพสูง ตราบใดที่ภาคอีสานยังปลูกข้าวหอมมะลิที่ให้ผลผลิตต่ำอยุ่ เราก็คงเพิ่มผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ได้ยากมาก แต่ก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่านาเขตชลประทานของเราให้ผลผลิตสูงมากครับ ถึงดึงค่าเฉลี่ยทั้งประเทศขึ้นไปได้ จากคุณ : S40 - [ 8 พ.ค. 51 19:03:58 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ชาวนา เกษตรกรไม่มีอำนาจต่อรอง โดนกดราคาเฉย ทำอะไรเขาได้ ไม่มีโกดังเก็บ  ต้องรีบขายเอามาใช้หนี้ คนกลางกินรวบ(เหมือนเดิม) จากคุณ : pungee1 - [ 8 พ.ค. 51 19:29:36 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณมากๆค่ะ โหวตค่ะ จากคุณ : แนนนิสา - [ 8 พ.ค. 51 21:07:13 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ตามมาตลอดทุกกระทู้ครับ หาอ่านกันไม่ได้ง่ายๆนะครับ เพื่อนๆพี่ๆชาวสินธรทั้งหลาย สละเวลา โหวตกระทู้ และเอาข้อมูลดีๆมีสาระแบบนี้ไปแบ่งปันเพื่อนๆและครอบครัวกันนะครับ (ดีกว่าไปเถียงกันเรื่องอื่น) เพิ่มเติมจากคุณ m_ple สำหรับคนที่สนใจลงทุนในสินค้าเกษตร ตอนนี้มีกองทุนเปิดของ บลจ.ทิสโก้ อยู่กองหนึ่งซึ่งน่าสนใจสำหรับการกระจายความเสี่ยงครับ เพิ่งเปิดกองไปไม่นาน "TISCO Agriculture Euro Fund" กองทุนนี้ Feed เข้ากองแม่ชื่อ DB Platinum Agriculture Euro แต่ไม่ได้มีสินค้าเกษตรแค่เพียงตัวเดียวนะครับ มีหลายตัวตามรูป (แต่ปัจจุบันยังราคาต่ำกว่า PAR อยู่นิดหน่อย) อาจเป็นจังหวะดีในการลงทุนก็ได้ สรุป อย่าลืมโหวตกระทู้ดีๆกันด้วยนะครับ ขอบคุณคุณ m_ple อีกครั้ง ------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ จากคุณ : Mr.Messenger - [ 8 พ.ค. 51 22:27:54 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ได้ข่าวว่า ตอนนี้เสี่ยช้างกำลังกว้านซื้อที่นาเพื่อลงทุนทำนาเป็นธุรกิจ ซึ่งเขาคงเห็นมองแนวโน้มของราคาข้าวที่สามารถทำเป็นธุรกิจได้ อีกหน่อย ชาวนาจะขายนาและกลายเป็นคนงานได้ค่าแรงตอบแทน   ถึงตอนนั้นบริษัทพวกนี้ก็ต้องทำการวิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และสามารถลดต้นทุนปุ๋ยด้วยการผลิตปุ๋ยเองเพื่อป้อนให้กับฟาร์มของตน ดั่งเช่นพวกเกษตรกรที่เคยเลี้ยงไก่ ก็หันมารับจ้างเลี้ยงให้กับนายทุนใหญ่ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ก็แล้วแต่ว่าชาวนาคนใดเลือกที่จะเป็นเจ้าของนาหรือเป็นเพียงผู้รับจ้าง เพราะการทำนามันก็มีความเสี่ยงเรื่องดินฟ้าอากาศ แมลงศัตรูพืช และราคาขายที่ไม่แน่นอน จากคุณ : ต้นแมกโนเลีย - [ 8 พ.ค. 51 22:59:52 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เขียนได้เก็ทมากๆเลยครับ  โหวตโลดๆ จากคุณ : ettexo[R] - [ 8 พ.ค. 51 23:33:39 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณครับ จากคุณ : จุย - [ 9 พ.ค. 51 08:52:56 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณมากค่ะสำหรับความรู้ดีๆ จากคุณ : เมมนู๋...มู๋..n.a.m.e - [ 9 พ.ค. 51 11:35:41 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ... ขอบคุณครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 9 พ.ค. 51 17:53:04 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ขอบคุณครับ จากคุณ : 821 (บัตรผ่าน 821) - [ 9 พ.ค. 51 18:28:28 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ผลผลิตการเกษตร ต้องแพงขึ้นอีกมากครับ แต่การที่เราจะคงผลิตภาพได้หรือเปล่านี่ยังต้องรอดู เพราะอุณหภูมิของโลกที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ มีผลต่อผลผลิตทางการเกษตร และมีผลต่อสภาพอากาศ เกิดพายุที่รุนแรงมากขึ้น ผมเอารูปจาก หนังเรื่อง An Inconvenient Truth มาให้ดู กราฟแสดงอุณหภูมิในมหาสมุทร(แหล่งBufferใหญ่) มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากคุณ : GABLIEL - [ 9 พ.ค. 51 19:02:31 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิในมหาสมุทรที่เพิ่มขึ้นกับความรุนแรงของพายุ แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 51 08:09:58 จากคุณ : GABLIEL - [ 9 พ.ค. 51 19:03:50 ]

ความคิดเห็นที่ 63 พายุที่เกิดล่าสุดก็นาร์กิส แต่รูปนี้น่าจะเป็นแคทธารีน่า แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 51 21:33:50 จากคุณ : GABLIEL - [ 9 พ.ค. 51 19:05:04 ]

ความคิดเห็นที่ 64 รัฐบาลควรจะสำรองอาหารไว้ยามจำเป็นครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 9 พ.ค. 51 21:30:29 ]

ความคิดเห็นที่ 65 http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?lang=th&newsid=319567 จากคุณ : GABLIEL - [ 9 พ.ค. 51 21:35:45 ]

ความคิดเห็นที่ 66 อ่านแล้วคิดถึงพ่อกับแม่จังเลย ทำนาแปดไร่ได้ไม่ถึงแปดเกวียน ค่าไถน่าก็ปาเข้าไปไร่ละสามร้อยกว่า ปุ๋ยก้อถุงละพันกว่า แล้วค่าแรงอีกต่างหาก ทำได้ก็แค่ปีละครั้ง จะหวังมากก็ไม่ได้ปากปีก็ฝนแล้งอีก เฮอ!!!แล้วเมื่อไรจะรวย จากคุณ : บ่อหว้าน้อย (dragbike2002) - [ 9 พ.ค. 51 21:42:22 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : V_Accy - [ 9 พ.ค. 51 22:07:14 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ผมกลับคิดว่าประเทศไทยต้องลดสัดส่วนคนที่อยู่ในภาคเกษตรกรรมลงแต่เพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้น ภาคการเกษตรกว่า 40% นี่ผมว่าจะก้าวต่อไปมันยากครับ จากคุณ : Nexus - [ 11 พ.ค. 51 09:21:30 ]

ความคิดเห็นที่ 69 กระทู้ที่ดี  โหวตให้ครับ จากคุณ : ด.ช.ไอติม - [ 11 พ.ค. 51 14:29:35 ]

ความคิดเห็นที่ 70 รบกวนฝากบอกพวก NGO ที่ชอบประท้วงเวลาเขาจะสร้างเขื่อนด้วยนะครับ ทำไมพวกนี้ถึงต้องห้ามสร้างเขื่อนด้วย เขาได้เงินมาจากใครให้มาประท้วงหรือเปล่า จากคุณ : หนุมานมาเอง - [ 11 พ.ค. 51 19:54:06 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ขอบคุณที่อุตส่าห์หาข้อมูลมาให้ความรู้นะครับ ทั้งข้อมูล, เนื้อหา, การวิเคราะห์ สุดยอดเลยครับ :D จากคุณ : ปกร - [ 11 พ.ค. 51 20:22:41 ]

ความคิดเห็นที่ 72 แฮะๆ ตอบช้าไปนิ๊ดดด เช่นเคยครับ  ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ และขอบพระคุณทุกๆ ความเห็นนะครับ รวมถึงข้อเสนอแนะต่างๆ ด้วยที่ทำให้กระทู้นี้มีความเห็นรอบด้านยิ่งขึ้น ที่สำคัญยิ่ง ขอบคุณทุกๆ เสียงโหวตนะครับ คนจะได้อ่านกันเยอะๆ มีอะไรจะได้พูดคุยด้วยข้อมูลและเหตุผลครับ :) ขอตอบบาง คห. ดังนี้นะครับ หลายๆ คห.ของคุณอภิมหาชาติบุตรนะครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมต่างๆ นะครับ ที่ช่วยทำให้กระทู้นี้มีความรอบด้านยิ่งขึ้น :) คห.33 พี่ปะป๋าน้องมุก   ผิดหน้าที่ครับพี่ ;)   พี่ต่างหากกระซิบหุ้นเด็ดๆ ให้ผม ปอดผมจะได้เขียวๆ กะเค้ามั่ง คห. 38 คุณ S40 ขอบคุณสำหรับข้อมูลเรื่องภาษีนะครับ บอกตามตรงเรื่องกลไกลการค้าข้าวในประเทศนี้ ความรู้ผมยังด้อยครับ เนื่องจากไม่เคยเข้าไปจับตรงนี้ เลยไม่มีความรู้เลย คห.39 คุณแมกโนเลีย และ คห.51 ของคุณ S40 (อีกรอบ ^^) ขอบคุณสำหรับมุมมองเรื่อง Yield นะครับ ผมก้อลืมคิดไปเลยว่า Yield เยอะ ไม่ได้หมายความว่า ประสิทธิภาพเราแย่เสมอไป อาจจะเป็นเรื่องคุณภาพก้อได้ ที่ข้าวดีดี อาจจะได้ Yield ต่ำ อย่างไรก็ตาม ขอแอบฝันว่า ถ้าเราสามารถพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพแถมให้ Yield ดีพอๆ กับข้าวเกรดรองๆ ลงไป ประเทศเราคงรวยขึ้นเยอะ จริงไหมครับ :) คห. 54 พี่ Mr.Messenger ขอบคุณสำหรับข้อมูลเรื่องกองทุน TISCO AEF  นะครับ ทุกครั้งที่อ่านข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนที่พวกพี่ๆ โพสบ่อยๆ (โดยเฉพาะผลประกอบการกองทุนที่พี่โพส) ผมล่ะอยากลองทำงานด้าน Fund manager หรือพวกคิด Product ใหม่ๆ ทางการเงิน การลงทุน ดูสักครั้ง แต่พอหันไปดูในพอร์ทตัวเองปุ๊ป เอาแค่ดูแลพอร์ทตัวเองไม่ให้ติดลบไปกว่านี้ได้ ก้อเก่งแล้วว (ฮา) คห.หลายๆ อันของพี่หมอ GABLIEL ขอบคุณข้อมูลเรื่องโลกร้อนครับ ตอนนี้กำลังอยากศึกษาเรื่องนี้อยู่พอดี ขอบคุณทุกๆ คห. อีกครั้งนะครับ ^^ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 23:48:56 จากคุณ : m_ple - [ 11 พ.ค. 51 23:48:23 ]

ความคิดเห็นที่ 73 มาสายดีกว่าไม่มา โหวตให้แล้วครับ คุณ m_ple เป็นไปได้หรือเปล่า ที่จะรวบรวมกระทู้ที่เคยโพสต์ในสินธร พิมพ์เป็นหนังสือขาย ผมขอจองก่อนล่วงหน้าเลย มั่นใจว่าหนังสือขายได้แน่นอน เผลอๆอาจจะติดเบสท์เซลเลอร์ของซีเอ็ดก็ได้ ยังไงถ้าสนใจ  ก็ลองหลังไมค์ถาม "พ่อน้องมุก" ดูครับ จากคุณ : endophine - [ 12 พ.ค. 51 10:16:55 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ตอนนี้เป็นห่วงเรื่องต้นทุนมากครับ ข่าวมีการขึ้นราคายาปราบวัชพืชเป็น 3 เท่าแล้วครับ ชาวนาบ้านเรา ก็คงกระทบที่ต้นทุนสูงขึ้น แต่บ้านอื่น ทั้งต้นทุนสูงขึ้น ทั้งนางวดนี้ล้ม และยังมีเรื่อง ดินฟ้าอากาศปีนี้อีก จากคุณ : IRQ5 - [ 12 พ.ค. 51 14:54:12 ]

ความคิดเห็นที่ 75 คิดว่ากระทู้นี้ จะมีคนที่มีอำนาจในรัฐบาลมาอ่านหรือเปล่าครับ ถ้ามีแล้วเค้าเก็บเอาไปคิดไปทำ มันคงจะเป็นอะไรที่พัฒนาประเทศมากๆ ขอเล่าอะไรที่ไม่ค่อยเกียวซักหน่อย แม้ว่าในตอนนี้ผมจะไม่ค่อยชอบน้าแม้วซักเท่าไหร่ แต่มีความจริงอยู่ข้อหนึ่งคือสมัยที่ผมเรียนอยู่ผมเคยส่ง e-mail ไปวิจาร์ณระบบการศึกษาของ ม.ที่ตัวเองเรียนอยู่ ผลคือมี mail ตอบกลับมาและ บรรดาอาจารย์ ถูกจี้ไล่ลงมาจากบนลงล่าง(สมัยนั้นน้าแกควบศึกษา) ถึงแม้สุดท้ายแล้วมันจะไม่มีอะไรเปลียนแปลงก็เหอะ ผมก็ยังรู้ว่าคนในรัฐบาลสนใจ อยากให้กระทู้นี้มีคนในรัฐบาลสนใจจัง ps. ถ้า post ผมจะไปจุดชนวนอะไรบางอย่าง รบกวนกดลบไปเลยครับ ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น edit แก้คำผิดครับ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 51 17:58:00 จากคุณ : MaNaStorm - [ 12 พ.ค. 51 17:57:16 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เข้ามาเก็บข้อมูล จากคุณ : I Believe inTrue LoVe - [ 12 พ.ค. 51 18:17:29 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ขอบคุณครับ จากคุณ : Stupid Mistake - [ 14 พ.ค. 51 13:52:20 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ขอบคุณ จขกท มากครับ มีประโยชน์มากทีเดียว มีตัวเลขอยู่ตัวหนึ่งที่เราถูกหลอกคือ การผลิตข้าวได้ ต่อ 1 เฮกเตอร์ จากตารางข้างบน จะเห็นว่าไทยเรา ไม่บ๊วยก้อรองบ๊วย คือฝรั่ง เขาเอา จำนวนที่เราผลิตได้ มาหารด้วย จำนวนไร่นาที่เรามีอยู่ เป็นภาพรวม   ที่สำคัญ ตัวเลขแฝงที่เราไม่ได้คิดคือ ไร่นาที่ทิ้งร้าง มีอยู่ประมาณ  10 % ก็ถูกนำมาคิดด้วย ทีนี้ ถ้าเวียตนาม ทำได้ 2 ครั้งต่อปี บางแห่ง 2 ปีทำ 5 ครั้ง ผลผลิตต่อพื้นที่เขาจะมากกว่าเรามาก ถ้าเรามาเจาะดู ว่า ในการทำนาหนึ่งครั้ง เราได้ผลผลิตเท่าใด คำตอบคือ 60 ถังต่อไร่  หนึ่ง เฮกเตอร์มี 6.25 ไร่ (มาจาก  10,000 ตารางเมตร เป็นหนึ่งเฮกเตอร์ และ 1 ไร่มี 1,600 ตารางเมตร) เราจะได้ ข้าว 375 ถัง/เฮกเตอร์ คิดเป็นตันข้าวเปลือก 3.75 ตันข้าวเปลือก (หนึ่งถัง มี 10 กก. โดยประมาณ 8.5 – 10.5 ขึ้นกับพันธุ์ข้าว) ข้าวเปลือก สีแล้วได้ข้าวสารประมาณ 60 % ดังนั้น ข้าว 3.75 ตันจะได้ข้าวสาร 2.25 ตันเท่านั้น ในตาราง ฝรั่งเขียนมาว่าเราได้ 2.69 ตัน/เฮกเตอร์  น่าจะหมายรวมว่า มีบางแห่งได้  100 ถัง/ไร่ บางแห่งปลูกข้าวสองครั้ง ตัวเลขจึงโด่งขึ้นไป เป็น 2.69 ตัน ถ้าเราเอาปริมาณข้าวเวียตนามมาหารด้วยสอง เราจะได้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน คือ 4.88/2 =2.43 ตัน เห็นตัวเลขแล้ว จะได้ไม่ตกใจครับ     เวียตนามนั้น มีพื้นที่ปลูกข้าวอยู่ที่  ที่ราบลุ่มปากแม่น้ำโขงเป็นส่วนใหญ่  ดินอุดมมากๆ ครับ ทำให้ใช้ปุ๋ยน้อย ประชากรเขามาก พื้นที่เขาน้อย รายได้จากการปลูกข้าวของเขา ถือว่ามากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ ดังนั้น พวกเขาจึงขลุกอยู่กับต้นทองคำของพวกเขาทั้งวัน  ไม่เหมือนชาวนาของเรา   เอาหละ เมื่อเราต้องการเพิ่มผลผลิตต่อไร่แล้วละก้อ ทางออกคือ ระบบชลประทาน การวิจัยพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูง และไร่นาสวนผสม ซึ่งต้องใช้เงินมากมาย เป็นแสนล้าน ก็ต้องมาถาม คน กทม. ที่ไม่ได้เลือกรัฐบาลอีสาน ว่าจะยินดีไหม ถ้ายินดี ก็ให้เกียรติ รัฐบาลที่คนอีสานเลือกมาให้ทำงานครบเทอม และผลักดันโครงการชลประทานแสนล้านให้เป็นจริงก็เท่านั้น (ไม่ได้พูดว่า โกงกินหรือไม่ ไม่ได้พูดว่า ห่วยหรือดี ผมพูดว่า เราจะต้องให้เกียรติพี่น้องส่วนใหญ่ที่เลือกคนที่เราไม่ชอบเข้ามาทำงานครับ) ไม่งั้น ต้องย้ายห้องไปห้องราชดำเนินคับ ที่ผมเสนอความเห็นเป็นทางออก เรื่องไร่นาสวนผสม ก็เพราะ เห็นว่า การผลิตข้าวนั้น มันใช้เทคโนโลยีแบบพื้นๆ วันนี้จีนกำลังวิจัยพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตต่อไร่ สูงมาก เขาค้นพบยีนส์ ที่ควบคุมการให้ผลผลิตของข้าวเจอแล้ว อีกไม่นาน จีนจะมีข้าวมากพอที่จะส่งออก  วันนั้นฝันร้ายของเราจะมาถึง ดังนั้น ไร่นาสวนผสม น่าจะเป็นทางออกที่ดี   ขณะเดียวกัน พืชพลังงานก็เป็นตัวเลือกที่ดีในการนำมาเป็นพืชหนึ่งในไร่นาสวนผสม จากคุณ : น้าพร - [ 15 พ.ค. 51 10:52:53 ]

ความคิดเห็นที่ 79 เข้ามาอ่านไว้สอนเด็กต่อ ขอบคุณค่าาาา จากคุณ : หนอนไม้ - [ 15 พ.ค. 51 19:36:57 ]

ความคิดเห็นที่ 80 เห็นพูดกันถึงแต่เรื่องราคาของข้าว แล้วพันธุ์ข้าวหละครับ ราคาข้าวแต่ละพันธุ์มีราคาไม่เท่ากัน อย่างข้าวหอมมะลินี่ น่าจะดีที่สุดในโลกนะครับ ราคาก็น่าจะแพง แต่ก็ปลุกได้ในภาคอีสาน ซึ่งทำนาได้ปีละครั้ง จากคุณ : sabyo - [ 16 พ.ค. 51 00:12:44 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ ทำไมผลผลิตต่อไร่ ของเรามันช่างน่าน้อยใจจริงๆๆ จากคุณ : งามหน้า - [ 16 พ.ค. 51 09:46:21 ]

ความคิดเห็นที่ 82 พึ่ึี่่งมาอ่านเจอ สุดยอดไปเลยครับ ขอบคุณครับ ในแง่การลงทุนข้าว ยังมีโอกาสได้อีก จะข้าวไทยข้าวนอกก็ได้ทั้งนั้นครับ จากคุณ : thrill - [ 16 พ.ค. 51 10:39:24 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ขอบคุณ สำหรับงานเขียนที่มีประโยชน์ครับ จากคุณ : ชื่อสมาชิก - [ 17 พ.ค. 51 17:42:36 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ วันวิสาขบูชา 14:20:12 ]

ความคิดเห็นที่ 85 กระทู้นี้ดีมาก   ให้ความรู้ดี ตอบคำถามที่สงสัยอยู่ได้ วิธีเขียนดี   เข้าใจง่าย จากคุณ : kimwong - [ 23 พ.ค. 51 14:02:32 ]