ความคิดเห็นที่ 1 Q: น้ำมันแพงขึ้นมาขนาดไหน A: ผมเขียนกระทู้น้ำมันแพงตัวแม่เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ซึ่งราคาน้ำมันเฉลี่ยเดือนนั้นอยู่ที่ 86.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งในตอนนั้นนับว่าสูงมาก โดยไต่ระดับจากประมาณ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อต้นปี 2007 อย่างรวดเร็ว และหลายคนคาดว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไม่น่ายาก และก้อทำสำเร็จจริงๆ ในไม่กี่วันถัดมา หลังจากนั้นไม่นาน ก้อสามารถมายืนเหนือ 120  และขึ้นไปทำ high ได้ถึง 134 ดอลลาร์เชียว (ผ่าน 120 มาได้ หลังก้อโล่งแล้วว ^^" ) แม้ตอนนี้จะย่อมานิดหนึ่ง แต่ก้อจี้ไฮอยู่ และถ้าไล่ดีดี อาจทำ new high ได้ไม่ยาก ^o^ แนวต้านถัดไป 150 นะครับ ^^ เหตุผลต่างๆ ที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นมาที่ผมอธิบายไว้ในกระทู้ตัวแม่นั้น คือ ปัจจัยพื้นฐานด้านอุปสงค์และอุปทานที่ไม่สมดุลกัน บวกกับการเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้า รวมถึงปัจจัยทางด้านการเมืองของประเทศผู้ผลิตน้ำมัน อีกทั้งการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันทำ high แล้ว high อีก ในช่วงที่ผ่านมาครับ ซึ่งตอนนี้ก้อยังยืนยันถึงปัจจัยในทุกๆ ตัวที่เคยได้กล่าวไว้แล้วทั้งสิ้นครับ ปัจจัยที่ทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นมีเท่านี้ล่ะ จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:34:39 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Q: ไม่จริงอ่ะ น้ำมันแพงเพราะการเก็งกำไร Hedge funds ปั่นราคาต่างหาก? A: สั้นๆ รู้เรื่อง การเก็งกำไร "เป็นส่วนหนึ่ง" ของการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมาครับ แต่การเก็งกำไร "ไม่ใช่สาเหตุเดียว" ของการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันแน่ๆ และที่สำคัญ "มันไม่ใช่สาเหตุใหญ่" เสียด้วยซ้ำไปครับ ที่ผมคิดอย่างนั้น เพราะ.. 1. Net long position ของนักเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากรูปเราจะเห็นได้ว่า จำนวน Net long position ของนักเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้านั้น มีอยู่ราวๆ 120,000 สัญญาเท่านั้น ลดลงจาก 140,000 สัญญาเมื่อปลายปี 2550 ตอนผมเขียนกระทู้น้ำมันแพงตัวแม่เสียอีก   ถ้าเราจะสรุปว่า การเก็งกำไรเป็นสาเหุตของการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันตั้งแต่ต้นปีนี้ ถ้าอย่างนั้น ผมว่า Net long มันก้อควรจะมากกว่าปลายปีที่แล้ว(ป่ะ?) ดูจากจำนวน Net long ผมก้อออกจะไม่เชื่อเท่าไรครับ ว่าการเก็งกำไรคือ สาเหตุของการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ที่มา : Net Long Position จาก CFTC  http://www.cftc.gov/marketreports/commitmentsoftraders/cot_historical.html ราคา WTI จาก Bloomberg จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:35:07 ]

ความคิดเห็นที่ 3 2. จำนวน Put/Call Ratio มีแนวโน้มสูงขึ้น Put/Call Open Interest Ratio คือสัดส่วนที่เอาจำนวนสถานะคงค้าง (Open Interest) ของ Put Options มาหารด้วยสถานะคงค้างของ Call Options ถ้ามากกว่า 1 แปลว่า ในตลาดมี Put มากกว่า Call จากรูปจะเห็นได้ว่า สัดส่วนดังกล่าวเกิน 1 มาตลอดตั้งแต่ปลายปี 07 ซึ่งก้อน่าจะแปลว่า ตลาดมองทางลงมากกว่าทางขึ้น จริงไหมครับ (เวลาคุณไป long put set50 index แปลว่าคุณมองว่าตลาดจะขึ้นหรือลงครับ? :) ) โอเค หรืออาจจะเป็นเพราะการซื้อไว้เพื่อ Hedging ก้อได้ ซึ่งในกรณีนั้น ตลาดอาจจะมองทางขึ้นอยู่ดี อย่างไรก้อตาม ดูจากตัวเลขนี้ ผมเชื่อว่า แม้ราคาจะขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ตลาดก้อมองกันว่า ราคาน้ำมันมีความเสี่ยงในด้านขาลงมากกว่าขาขึ้นครับ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเชื่อว่า การเก็งกำไรไม่ใช่สาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันหรอกครับ :) ที่มา : http://www.schaeffersresearch.com/streetools/centers/commodities/commodPutCall.aspx จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:35:46 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Q: งั้นก้อเพราะการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ใช่ไหมล่ะ ที่ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น? A: เหตุผลนี้ก้อเป็นส่วนหนึ่งครับ แต่ก้อยังไม่ใช่ส่วนสำคัญอีกนั่นล่ะ ^^" จริงครับ การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเหตุผลคือ 1. การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ส่งผลให้กองทุนต่างๆ พากันเทขายดอลลาร์ แล้วไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าถือเงินดอลลาร์กินดอกเบี้ย สินทรัพย์ตัวหนึ่งที่ดึงดูดใจนักลงทุนก้อคือ สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ครับ เนื่องจากให้ผลตอบแทนดี และสามารถป้องกัน (Hedge) เงินเฟ้อได้ดี (เนื่องจากถ้าเงินเฟ้อขึ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก้อน่าจะขึ้นตาม และผลตอบแทนที่ได้ ก้อจะสามารถไปชดเชยกับเงินเฟ้อได้ครับ) หนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนสูงมากในช่วงที่ผ่านมาก้อคือ น้ำมันครับ  ทำให้น้ำมันดูน่าสนใจสำหรับนักลงทุน 2. การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้รายได้ของผู้ขายน้ำมันน้อยกว่าปกติครับ จากเคยที่ได้กล่าวไว้ในกระทู้แม่นะครับ การอ่อนค่าของค่าเงินสหรัฐฯ ทำให้มูลค่าเมื่อแปลงกับเป็นเงินสกุลท้องถิ่นของผู้ค้าน้ำมันแล้วนั้น น้อยลงกว่าปกติ นี่เป็นเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้กลุ่ม OPEC ปฏิเสธเสียงเรียกร้องของนานาชาติ เรื่องให้เพิ่มการผลิตน้ำมันดิบครับ ก้อแม้ราคาในรูปดอลลาร์สหรัฐจะเพิ่มขึ้น แต่ราคาในรูปเงินสกุลท้องถิ่นไม่ได้เพิ่มมากเท่านิ :) จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:36:07 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Q: อ้าว งั้นก้อชัดเจนดิ ที่การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ทำให้น้ำมันแพงขึ้น? A: กลับกันต่างหากครับ ตอนนี้ผมกำลังมองว่า เพราะน้ำมันแพงต่างหากที่ทำให้ดอลลาร์มันอ่อนค่าลง (ข้อนี้จะยากนิดหนึ่ง รบกวนค่อยๆ คิดตามนะครับ แต่รับรองสนุก ถ้าไม่เข้าใจ ถามได้นะครับ ^^ ) จริงไหมครับ ถ้าค่าเงินดอลลาร์อ่อน ราคาน้ำมันในรูปสกุลอื่นๆ ก้อจะต้องแพงขึ้นด้วย และจะทำให้ราคาน้ำมันในรูปดอลลาร์แพงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งไม่น่าแปลกใจ ถ้าวัดความสัมพันธ์ในเชิงสถิติ ค่า Correlation ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินดอลลาร์และการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมัน มีความสัมพันธ์สูงถึงร้อยละ 93.78* (ซึ่งทางสถิติแล้ว ค่า Correlation ที่สูงระดับนี้ มันบอกอะไรไม่ได้เท่าไรครับ มันสูงเกินไป) อย่างไรก็ตาม ถ้าเราดูราคาน้ำมันในรูปค่าเงินสกุลอื่นๆ (ซึ่งผมแทนด้วยสกุล SDR**) กับค่าเงินดอลลาร์ เราก้อยังพบว่า ความสัมพันธ์ของมันก้อยังมีอยู่ แม้จะน้อยลง แสดงว่า มันมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบและค่าเงินดอลลาร์มีการเคลื่อนไหวสัมพันธ์กัน ซึ่งปัจจัยอื่นๆ ที่ว่า คือ 1. สหรัฐฯ เป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลกและมีสัดส่วนการใช้ต่อคนสูง เพราะฉะนั้นการที่ราคาน้ำมันแพงขึ้น จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงครับ (รูปซ้ายมือ) 2. ธนาคารกลางสหรัฐ หรือที่เรียกกันว่า Fed ใช้ Core Inflation (เงินเฟ้อที่ไม่รวมเงินเฟ้อด้านอาหารและพลังงาน) เป็นเป้าหมายหนึ่งสำหรับการดำเนินนโยบายทางการเงิน (เหมือนไทย) แปลเป็นภาษาชาวบ้านคือ Fed ไม่สนใจ เงินเฟ้อที่มาจากราคาน้ำมัน ตราบใดที่มันยังไม่ฉุดให้ราคาสินค้าอื่นๆ ขึ้นตามไปด้วย (second round effect) แตกต่างกับธนาคารกลางอื่นๆ โดยเฉพาะยุโรป ที่ให้ความสำคัญต่อ เงินเฟ้อจากราคาน้ำมันมากกว่า และมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อจัดการกับปัญหาราคาน้ำมันแพง (เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของน้ำมันงวดนี้ ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยอุปสงค์ครับ) (รูปขวามือ) แนวโน้มคือ มันจะส่งผลให้ส่วนต่างดอกเบี้ยระยะสั้น (Short-term interest rate) ของสหรัฐ และยุโรป จะถ่างกันมากขึ้น (ยุโรปจะสูงกว่า) ส่งผลให้เงินไหลเข้าไปยุโรปมากขึ้น ทำให้ค่าเงินยูโรแข็งขึ้น และค่าเงินสหรัฐอ่อนลงในท้ายที่สุดครับ 3. ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันขายน้ำมันได้มาเป็นดอลลาร์ พอจะเอามาใช้จ่าย ก้อต้องขายดอลลาร์ทิ้ง เพื่อแลกเป็นเงินสกุลท้องถิ่น ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงอีกทางหนึ่งครับ เหตุผลเหล่านี้ ทำให้เราเชื่อว่า การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็น ผล มาจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ไม่ใช่ สาเหตุ ครับ ที่อธิบายมายืดยาวเพื่อจะบอกว่า การที่หลายท่านออกมาให้ความเห็นว่า การอ่อนค่าเงินดอลลาร์ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น และพอค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็ง (ซึ่งปีนี้อาจมีแนวโน้มแบบนั้น) ราคาน้ำมันจะลดลงมาเองนั้น ผมไม่เห็นด้วยครับ และผมเชื่อว่า ต่อให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งขึ้น (ด้วยปัจจัยของตัวมันเอง) ก้อจะไม่ทำให้ราคาน้ำมันลดลงมาครับ อย่างที่บอก ต่อให้ดอลลาร์แข็ง กองทุนขายน้ำมันมาถือดอลลาร์มากขึ้น ก้อจะไม่ทำให้ราคาน้ำมันลดลงมาอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากสองปัจจัยที่ว่ามานั้น ไม่ใช่สาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงนี้ครับ * ใช้ข้อมูลดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (trade weight) กับ ราคาน้ำมันดิบ WTI รายสัปดาห์ตั้งแต่เดือน 4 ปี 2003 ถึงเดือน 4 ปี 2008 จาก Bloomberg นะครับ ** สกุลเงินกลางของโลก จัดทำขึ้นโดย IMF (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.imf.org/external/np/exr/facts/sdr.htm ) จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:36:46 ]

ความคิดเห็นที่ 6 Q: แล้วปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำมันแพงคืออะไร? A: อุปสงค์ อุปทาน ธรรมดาเนี่ยละครับ ฮั่นแน่ หลายท่านอาจจะแอบต่อว่าผมในใจ "ไม่ใช่เฟร้ยย เก็งกำไรต่างหากๆๆๆ" มาฟังผมเล่าถึงปัจจัยเหล่านี้ก่อนครับ ก่อนตัดสินใจว่า จะเชื่อหรือไม่เชื่อที่ผมพูด :) ก่อนอื่น ทำไมผมถึงคิดว่าปัจจัยพื้นฐานเป็นตัวกำหนดราคาน้ำมันในปัจจุบัน ก้อเพราะผมเชื่อ ตลาด ครับ ^^ หลายท่านคงทราบว่า เรามีตลาดซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ (ในที่นี้จะจำเพาะเจาะจงไปที่ซื้อขายน้ำมันดิบ WTI ในตลาด NYMEX นะครับ) ซึ่งคุณสามารถตกลงที่จะซื้อน้ำมันดิบวันนี้ ณ ราคาๆ หนึ่ง แล้วส่งมอบกันในระยะเวลาตามหน้าตั๋วที่บอกไว้ ซึ่งเราสามารถดูจากราคาในตลาด (เหมือนดูกราฟอ่ะละ) ได้ว่า ตอนนี้ตลาดคิดอย่างไร เรื่องนี้ยาก ขอยกตัวอย่างนิดหนึ่งแล้วกันนะครับ (ถ้าคุณพอมีพื้นฐานเรื่อง futures curve อยู่บ้าง ข้ามไปเลยก้อได้นะครับ) ผมเป็นคนขายหมูครับ (คนที่ขาย YNP ไปตอน 3 บาทกว่าๆ อ่ะ ฮา   จริงๆ นะ ผมซื้อ 3.7 กว่าๆ วันที่มันลากครั้งแรก แล้วโวลุ่มก้อหดและราคาก้อซึมลงเรื่อยๆ คัทแถวๆ 3.5 ไม่ทัน สุดท้ายต้องไปมอบตัวแถวๆ 3.2 โลรอบนี้พอดี หลังจากนั้นแค่อาทิตย์เดียวมั้ง ก้ออย่างที่เห็นอ่ะละ T-T ) ผมเปิดเขียงอยู่ในตลาดท้ายหมู่บ้านคุณ ส่วนคุณก้อเป็นคนซื้อหมู หนึ่งในลูกค้าประจำของผม สมมติว่าหมูราคาอยู่ที่ 100 บาทต่อกิโล  คุณเดินมาซื้อที่เขียงผม เอาหมูกลับบ้านไป 1 กิโล จ่ายเงินให้ผมมา 100 แบบนี้เราเรียก spot ครับ และราคา 100 บาท เราเรียกมันว่า spot price ครับ (spot คือ ซื้อเดี๋ยวนี้ จ่ายตังเดี๋ยวนี้ ส่งของเดี๋ยวนี้) ถ้าคุณเดินมาหาผม บอกว่า เดือนหน้าบ้านคุณจะบวชลูกชาย คุณอยากซื้อหมูกับผม แต่ให้ผมส่งหมูให้คุณอีก 1 เดือนต่อจากนี้ ผมแอบคิดในใจว่า ราคาในอีก 1 เดือนข้างหน้า น่าจะอยู่ที่ 110 บาท ผมเสนอราคานี้ให้คุณ คุณโอเค เป็นอันตกลง แบบนี้เราเรียกว่าซื้อขายล่วงหน้าหรือ futures ครับ คือ เราตกลงราคากันวันนี้ แต่คนขายจะส่งมอบสินค้าให้คนซื้อในอนาคต (ตัวอย่างนี้คือ อีก 1 เดือนข้างหน้า)  ในขณะที่คนซื้อก้อจะไปจ่ายตังในอนาคตเช่นกัน และราคา 110 บาท เราเรียกว่า 1-month futures price ครับ ถ้าคุณเดินมาหาผม บอกว่า อีก 5 ปีข้างหน้าคุณจะจัดงานแซยิด :) คุณกลัวว่าถึงตอนนั้น หมูจะแพง คุณเลยขอซื้อ ณ วันนี้ (แต่ไม่ต้องจ่ายเงินวันนี้นะ) และให้ผมส่งหมูให้คุณในอีก 5 ปีข้างหน้า ผมเสนอราคาให้ 120 บาท คุณโอเค เพราะฉะนั้น 120 บาทนี่คือ 5-year futures price นะครับ พออีก 5 ปีข้างหน้า คุณจ่ายตังผม 120 ผมเอาหมูให้คุณ 1 โล (ไม่ว่าตอนนั้นหมูจะราคาเท่าไรก้อตาม) จบ พอจะเข้าใจไหมครับ? :) จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:37:26 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เอาละเข้าประเด็น ถ้าตอนนี้ มีเสือหลุดเข้ามาในหมู่บ้าน มาไล่กัดลูกหมูตายไปเรื่อยๆ และชาวบ้านยังจับไม่ได้ คุณว่า ถ้าพรุ่งนี้มีใครสักคนมาขอซื้อหมูกับผมในอีก 1 เดือนข้างหน้า คุณว่า ผมจะคิดราคาเดิม คือ 110 ไหม? หรือ ผมจะคิดราคาที่สูงกว่าเดิม หรือ ต่ำกว่าเดิมครับ? ใช่ไหมละครับ ผมก้ออาจจะขึ้นราคาเป็น 150 ก้อได้ เพราะผมคาดว่า ในอีก 1 เดือนข้างหน้า อาจจะไม่มีหมูขายก้อได้ เนื่องจากเสือก้อยังจับไม่ได้ แถมลูกหมูวันนี้ก้อตายอีก ผมเลยขาดหมูที่จะเลี้ยงเพื่อขายวันนั้น แต่ถามว่า ถ้าพรุ่งนี้มีคนมาขอซื้อหมูกับผมในอีก 5 ปีข้างหน้า คุณว่าผมจะเปลี่ยนราคาขายจาก 120 ไหม อาจจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนก้อได้จริงไหมครับ เพราะแหม อีก 5 ปีข้างหน้า ป่านนั้น ชาวบ้านคงจับได้แล้วล่ะ ปัจจัยเรื่องเสือวันนี้ มันแทบไม่ได้มีผลกระทบใดๆ กับราคาหมูในอีก 5 ปีข้างหน้าเลย :) ทีนี้   ถ้ามีคนเข้ามาเก็งกำไรหมู โดยการเข้ามากว้านซื้อหมูไว้กักตุน เพื่อให้หมูขาดตลาด จนสามารถดันราคาให้มันขึ้นไปสูงๆ ไปได้   จุดประสงค์ของการเก็งกำไรคือ เค้าอยากดันราคาให้สูงๆ เพื่อที่เค้าจะขายทิ้งลงมาให้ได้กำไรใช่ไหมครับ make sense ไหมครับ ถ้าผมรู้ว่ามีคนเก็งกำไร ผมเลยขึ้นราคา 1-month futures price เพราะคาดว่า หนึ่งเดือนข้างหน้าคนเก็งกำไร ก้อน่าจะเก็งอยู่   แต่ถ้าถามว่า แล้วอีก 5 ปีข้างหน้าละ? ป่านนั้น คนเก็งกำไรอาจไปไหนแล้วก้อไม่รู้ จริงไหมครับ เพราะคงไม่มีนักเก็งกำไรคนไหน จะปั่นราคาเพื่อที่จะได้ไปขายในอีก 5 ปีข้างหน้าหรอกมั้งครับ ;) (เพราะถ้าไม่ขาย มันจะได้กำไรได้ไง จริงไหมครับ ^^ ) ด้วยเหตุนี้ ผมอาจคงราคา 5-year futures price ไว้ก้อได้จริงไหมครับ ;) เพราะฉะนั้น คำถามสุดท้าย ถ้าจะมีปัจจัยอะไรสักตัวมาทำให้ผมตัดสินใจขึ้น/ลด ราคา 5-year futures price คุณคิดว่า มันคืออะไรครับ? (ไม่ตอบนะครับ แต่อยากให้ลองคิดดู ) จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:37:52 ]

ความคิดเห็นที่ 8 กลับมาเรื่องน้ำมันต่อนะครับ (นอกเรื่องนี่ ถนัด ^^" ) จากรูป เป็นรูปราคาน้ำมันดิบสัญญา 1 เดือนข้างหน้า (1-month futures price) พลอตคู่กับ ราคาน้ำมันดิบสัญญา 60 เดือน (5ปี) ข้างหน้า (5-year futures price) ตั้งแต่ปี 1999 ถึงปี 2004 นะครับ คุณจะเห็นได้ว่าก่อนปี 2004 ราคาน้ำมัน 1-month futures price จะสวิงค่อนข้างมาก ในขณะที่ 5-year futures price  แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ spot price (รูปที่1 อ่ะครับ) มันสวิงมากเช่นกัน เราจึงสรุปได้ว่า ก่อนปี 2004 ราคาน้ำมันถูกผลักดันด้วยปัจจัยระยะสั้น (เช่น ปัญหาแท่นขุดเจาะน้ำมันไฟไหม้, การลอบวางระเบิดในแหล่งขุดเจาะน้ำมัน, แหล่งผลิตน้ำมันเจอพายุ บลาๆๆ รวมถึงการเก็งกำไรด้วย) เป็นสำคัญ จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:38:14 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ทีนี้ เห็นรูปไหมครับ ว่าหลังปี 2004 เกิดอะไรขึ้นกับราคา 5-year futures price amazing มากเลยใช่ไหมครับ ที่ราคา 5-year futures ที่เคยนิ่งๆ มาตลอดทิ้งชีวิต กลับอยู่ๆ ก้อเริ่มปรับตัวขึ้นมา และเคลื่อนไหวไปกับราคา 1-month futures  (และทั้งคู่ส่งผลต่อราคา spot ในท้ายที่สุด) แสดงว่า ปัจจัยอะไรก้อตามที่มีผลต่อราคาน้ำมันดิบนั้น มันจะไม่ใช่ปัจจัยระยะสั้นอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากตั้งแต่หลังปี 2004 เป็นต้นมา ตลาดเชื่อแล้วว่า ปัจจัย(อะไรก้อตามแต่) มันเป็นปัจจัยที่จะไม่หายไปง่ายๆ (อย่างน้อยก้ออีก 5 ปีล่ะ) ไม่งั้น มันไม่สามารถผลักดันราคา 5-year futures price ได้หรอกครับ ซึ่งในความเห็นของผม ผมมองว่าปัจจัยที่สามารถดึง 5-year futures price ได้นั่น ต้องเป็นปัจจัยพื้นฐานเท่านั้นครับ และผมเชื่อว่า การเก็งกำไรเป็นปัจจัยระยะสั้น ไม่น่าจะผลักดันราคา 5-year futures price ได้ เพราะฉะนั้น ขอสรุปว่า "การเก็งกำไรไม่ใช่สาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมาครับ" จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:38:35 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Q: แล้วปัจจัยพื้นฐานที่ว่า มันคืออะไรเหรอ? A: เท่าที่คิดออกตอนนี้นะครับ มี 4 ตัวใหญ่ๆ คือ 1. ต้นทุนในการผลิตน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ 2. การขยายตัวของอุปทานต่ำ ส่งผลให้ 3. กำลังการผลิตฉุกเฉินอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่ 4. อุปสงค์ไม่ลดลงตามราคา   มาเริ่มกันที่ตัวแรกครับ 1. ต้นทุนในการผลิตน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น จากรูปซ้ายมือ คุณจะเห็นได้ว่า ในช่วงทศวรรษที่ 90 นั้น ราคาน้ำมันดิบที่ต้องการเพื่อให้คุ้มกับต้นทุนการขุดเจาะหลุมใหม่ๆ นั้น เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 20-30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแค่นั้นเองครับ (แท่งสีฟ้าเข้ม) แต่ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าต้นทุนได้ปรับเพิ่มขึ้นมามาก ตามการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการก่อสร้าง, ค่าจ้างแรงงาน, ค่าเสี่ยงที่จะขุดแล้วเจอน้ำมัน (เนื่องจากปัจจุบันน้ำมันเหลือน้อยลงเรื่อยๆ) บลาๆ ลองนึกตามสิครับ ใครที่เคยปลูกบ้านเมื่อตอนปี 1990 มาปีนี้ ลองไปถามช่างดูว่า ถ้าผมจะปลูกบ้านใหม่ ทรงเดิม แบบเดิม เค้าจะคิดราคาเท่าไร และลองเปรียบเทียบกับราคาเมื่อปี 1990 ดู :) นั่นคือเหตุผลทำให้ราคาน้ำมันต้องแพงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้คุ้มกับต้นทุนการผลิต และคุณจะเห็นได้ว่า ช่วงปี 1990 นั้น ราคาน้ำมัน 5-year futures price (เส้นสีฟ้าเข้มสุด) อยู่ต่ำกว่าราคาน้ำมันที่ต้องการเพื่อให้คุ้มต้นทุนการขุดเจาะหลุมใหม่ๆ ด้วยเหตุนี้ ในช่วงปีดังกล่าว ราคาน้ำมันไม่จูงใจให้บริษัทผู้ขุดเจาะน้ำมัน แสวงหาแหล่งน้ำมันใหม่ๆ (เนื่องจากคาดว่า ทำไปแล้วไม่คุ้ม) ทำให้ในช่วงปี 2000s อุปทานใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาดน้อยมาก โดย Goldman Sachs เคยทำวิเคราะห์ว่า ถ้าจะให้ Margin (ดูจาก ROCE) ของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันแถบอเมริกาเหนือในปี 2010 อยู่ในระดับ 20% (ซึ่งเท่ากับปี 2000 ที่ราคาน้ำมัน 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) นั้น ราคาน้ำมันดิบในปี 2010 ควรจะอยู่ที่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (รูปขวามือ) เหอๆๆ จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:39:02 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ทำให้ 2. การขยายตัวของอุปทานต่ำ จากรูปซ้ายมือ คุณจะเห็นได้ว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันของโลกมันเพิ่มขึ้นในระดับต่ำมาก หลังปี 2004 เป็นต้นมา (สอดคล้องกับราคา 5-year futures price ที่เริ่มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2004 อย่างเหลือเชื่อเลยเนอะ ^^" ) การลดลงของอุปทานในปี 2004 และ 2005 เนี่ยละครับ เป็นเหตุผลสำคัญของการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าตลาดและโลกเริ่มวิตกกังวลแล้วว่า เรากำลังจะไม่มีน้ำมันใช้ ราคาจึงเริ่มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Non-OPEC ที่อุปทานตึงตัวสุดๆ แบบแทบจะคั้นออกมาแล้ว มันก้อแทบไม่เพิ่มขึ้นมาเลย (รูปขวามือ) แถมตัวที่เพิ่มเยอะๆ คือ Russia กับ Brazil นั้น มีแนวโน้มที่อาจจะไปร่วมกลุ่มกับ OPEC ในอนาคตเสียอีก เส้นสีแดงคือ อุปทานของกลุ่ม Non-OPEC ที่ผมตัด Russia และ Brazil ออกไป คุณจะเห็นได้ชัดเลยว่า อุปทานมันแทบไม่ได้เพิ่มขึ้นมาเลย ด้วยเหตุนี้ ทำให้อำนาจของกลุ่ม OPEC ยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากโลกยังคงต้องพึ่งพาน้ำมันจากเค้าอยู่ ปลายปีก่อน กระทรวงพลังงานของสหรัฐ (EIA) คาดว่า ปีนี้ราคาน่าจะปรับลงมาได้ เนื่องจากอุปทานน้ำมันดิบของโลกปีนี้น่าจะออกมาสูงกว่าปีก่อนๆ ซึ่งตลาดก้อเชื่ออย่างนั้นเช่นกัน โดยเมื่อปลายปีก่อน ราคาน้ำมันที่จะส่งมอบในปี 2008 ต่ำกว่าราคา Spot แฮะๆ แต่นั่นเป็นเรื่องเมื่อปลายปีก่อน เพราะตอนนี้ตลาดเริ่มไม่เชื่ออีกแล้วว่าอุปทานปีนี้จะออกมาสูง เนื่องจากความน่าจะเป็นที่อุปทานจะออกมาน้อยกว่าที่คาดนั้น สูงกว่าความน่าจะเป็นที่อุปทานจะออกมาสูงกว่าที่คาด (จริงไหมครับ ^^ ) ซึ่ง EIA ก้อเริ่มส่งสัญญาณเช่นกันว่า อุปทานอาจออกมาไม่สูงอย่างที่คาดไว้ โดยรายงานล่าสุด EIA ปรับลดประมาณการณ์อุปทานใหม่ที่จะออกมาในปีนี้จาก ต้นปีที่ระดับ 2.6 MMBD (Million Barrel per Day) เหลือเพียงประมาณ 1.9 เท่านั้นเอง ตลาดตอบรับข่าวดังกล่าวไปแล้วครับ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ส่งมอบในปีนี้ กลับไปสูงกว่าราคา spot อีกแล้วว T-T ที่มา : กระทรวงพลังงานสหรัฐ Short-term Energy Outlook  http://www.eia.doe.gov/emeu/steo/pub/contents.html จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:39:29 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ส่งผลให้ 3. กำลังการผลิตฉุกเฉินอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากแหล่งขุดเจาะน้ำมันใหม่ๆ มีน้อย ทำให้โลกยังต้องใช้น้ำมันจากบ่อเก่าๆ ไปก่อน และอย่างที่ได้เรียนในความเห็นก่อน เราจะเห็นได้ว่า โลกต้องพึ่งพากลุ่ม OPEC สูง แต่น้ำมันของกลุ่ม OPEC ก้อร่อยหรอไปเรื่อยๆ แล้วครับ จากรูป จะเห็นได้ว่ากำลังการผลิตส่วนเกินของกลุ่ม OPEC (Spare Capacity) ลดต่ำลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับช่วงปี 2001 - 2003 แปลเป็นไทยคือ น้ำมันของ OPEC ก้อจะหมดเหมือนกัน และต่อให้อยากเพิ่มกำลังการผลิต ก้อเพิ่มได้ไม่มากนัก ยิ่งได้ดูรูปนี้ ผมยิ่งมั่นใจครับ ว่าการเก็งกำไรไม่ใช่สาเหตุของการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน เพราะนักเก็งกำไรซื้อขายแค่กระดาษเฉยๆ วันที่สัญญาหมดอายุ เค้าก้อมาเชคบิล จ่ายเงินกัน ใครได้ใครเสีย  โดยที่ไม่ได้มีการส่งมอบน้ำมันดิบกันจริงๆ แต่จำนวน Spare Capacity ที่ลดลง มันบ่งบอกถึงว่า มันมีคนซื้อน้ำมันไปจริงๆ ถ้าราคาที่ขึ้นมาเป็นการเก็งกำไรส่วนใหญ่ Spare Capacity คงไม่ลดลงขนาดนี้หรอกจริงไหมครับ :) ที่มา: IEA Oil Market Report March 2008 ( http://omrpublic.iea.org/ ) จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:40:00 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ในขณะที่ 4. อุปสงค์ไม่ลดลงตามราคา   ราคาน้ำมันแพงเว่อร์อย่างในปัจจุบัน มันควรจะทำให้การใช้น้ำมันของโลกลดลงมาได้แล้ว แต่น่าแปลกใจสุดๆๆ ที่ปริมาณการใช้น้ำมันของโลกแทบไม่ได้ลดลงมาเลย จากรูปซ้ายมือคุณจะเห็นได้ว่า อุปสงค์น้ำมันดิบของโลกเพิ่มขึ้นทุกปี แม้ราคาน้ำมันจะทำ New high แล้ว New high อีก จีนยังพอเข้าใจได้ เศรษฐกิจเค้าโตเยอะ คนมีตังค์เพิ่มขึ้น และจ่ายได้กับน้ำมันที่แพงขึ้นมา จากตารางซ้ายมือ คุณจะเห็นว่า ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา จีนใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 9.3% เช่นเดียวกันกับอินเดีย และตะวันออกกลาง ที่เศรษฐกิจโตไม่แพ้กัน ทำให้กินน้ำมันกันมากขึ้น ;) โดยเฉพาะประเทศบางประเทศในตะวันออกกลางที่สามารถผลิตน้ำมันได้เอง อุดหนุนราคาขายปลีกในประเทศอย่างหนัก ทำให้ประชาชนมือเติบใช้น้ำมันกันอย่างสบายใจ ^^" แล้วสหรัฐละครับ เราพูดกันทุกวันว่า เศรษฐกิจเค้าตกต่ำ เข้าสู่ recession แล้ว GDP ก้อจะลบแหล่ ไม่ลบแหล่ แล้วทำไมการใช้น้ำมันแทบไม่ลดลงเลยย!? มันเกิดอะไรขึ้น?? นึกไม่ออกอ่ะครับ ใครก้อได้ ช่วยคิดหน่อย ^^" จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:40:27 ]

ความคิดเห็นที่ 14 Q: แล้วราคาน้ำมันจะแพงไปถึงขนาดไหน? A: คำตอบเศรษฐีครับ ตอบไม่ได้หรอก (เล่นหุ้นผมยังเสียเลย ^^" ) แต่ที่แน่ๆ ครับ ผมแน่ใจอย่างหนึ่งว่า "ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ  จนกว่าอุปสงค์น้ำมันโลกลดลง" ตลาดยังคิดว่า โลกยังสามารถรองรับราคาน้ำมันในปัจจุบันได้ (เพราะชาวโลกก้อยังบริโภคน้ำมันทุกวัน ไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม) เพราะฉะนั้น ราคาจะขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าผู้บริโภคบางกลุ่มทนไม่ไหว เลิกใช้น้ำมันไปเอง ผู้บริโภคที่ว่านั้นคือ?? มาดูจากตารางที่ผมทำมาให้ในความเห็นก่อนหน้า (คห.13) นะครับ คุณจะพบว่า เดิมผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่สุด 3 เจ้าของโลกคือ สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น (ซึ่งมี market share ในปี 2006 รวมกัน 24.6 + 18.6 + 6.2 = 49.4 ) แต่ปัจจุบัน โมเมนตั้มกำลังจะเปลี่ยนไปเป็น โดยผู้ใช้ที่มีการเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ ใน market share น้ำมันของโลก กลายเป็น จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง (โดย market share เพิ่มเป็น 19.1 ในปี 2006 เพิ่มจาก 15.5 ในปี 2000) อย่างที่ได้กล่าวไว้ ประเทศพวกนี้ รวยขึ้นเรื่อยๆ (และจะรวยต่อไป ผมว่าอย่างน้อยกว่า 5 ปีอ่ะ) ทำให้อุปสงค์น้ำมันดิบของประเทศเหล่านี้ ไม่น่าจะลดลงได้ในระยะสั้น เพราะฉะนั้น ผู้บริโภคที่น่าจะทนไม่ได้จนยอมเลิกใช้น้ำมันน่าจะเป็นประชาชนในสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น นะครับ เมื่อคิดในเทรนอย่างนี้แล้ว ผมขอสรุปว่า "ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าอุปสงค์น้ำมันของประเทศสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ลดลงอย่างมีนัยสำคัญครับ" ซึ่งมีบางโบรกให้เป้าว่า ราคาน่าจะอยู่สักราวๆ 150 - 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล  (บ้าไปแล้วว T-T ) ส่วนตัว ผมก้อว่า ราคาระดับนั้นก้อสมเหตุสมผลนะ ^^" จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:41:20 ]

ความคิดเห็นที่ 15 Q: คนอ่านกระทู้ล่ะ มีอะไรฝากไหม? A: ว่าจะไม่พูดเรื่องน้ำมันในประเทศแล้วเชียว แต่ขอนิดหนึ่งละกันนะครับ ^^" ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 และดีเซลหมุนเร็วในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 33.86  และ 30.31 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ในขณะที่ช่วง 4 เดือนแรกปีก่อนอยู่ที่ 26.84 และ 23.58 บาทต่อลิตร   หมายความว่า ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 และดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้นมา 26% และ 29% ตามลำดับ ทีนี้ จากข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงาน ( http://www.doeb.go.th/th/information/information.html ) พบว่า ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซินในประเทศของไทยใน 4 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 2,387 ล้านลิตร ลดลง 1.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ 2,433 ล้านลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลมีการจำหน่ายทั้งสิ้น 6,431 ล้านลิตร ทรงตัวจาก 4 เดือนแรกปีก่อนที่ตัวเลขอยู่ที่ 6,438 ล้านลิตร แปลว่าอะไรครับ? ราคาน้ำมันแพงขึ้นมา 30% แต่ปริมาณการใช้ไม่ลดลงเลย? มันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยครับ? เราได้ยินเสียงร้อง เสียงบ่นทุกสารทิศว่า น้ำมันแพงจะตายอยู่แล้วว   แต่เราก้อยังใช้น้ำมันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง? งั้นเหรอ? ขอย้ำอีกรอบครับ น้ำมันจะแพงไปเรื่อยๆ จนกว่าอุปสงค์จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญครับ หรือแปลเป็นไทยว่า น้ำมันจะแพงไปเรื่อยๆ จนกว่า คุณจะเลิกใช้รถยนต์ส่วนตัวครับ ;) จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:41:44 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะครับ สุดท้ายครับ ผมยังเชื่อว่า สำหรับภาคประชาชนส่วนใหญ่ น้ำมันไม่ใช่สิ่งจำเป็นครับ คือ ขาดมันคุณก้อไม่ตาย แค่มันจะทำให้ชีวิตคุณลำบากขึ้นแค่นั้นเอง ช่วยกันลดการใช้น้ำมันนะครับ ไหว้ละครับพี่ๆ  _/l\_ พบกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีครับ :) จากคุณ : m_ple - [ 4 มิ.ย. 51 00:42:53 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณมากค่ะ  สำหรับกระทู้คุณภาพ จากคุณ : กะติ๊ด - [ 4 มิ.ย. 51 01:06:19 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เข้ามาโหวตก่อน เดี๋ยวค่อยอ่านพรุ่งนี้ จากคุณ : FREEhand drawer - [ 4 มิ.ย. 51 01:30:13 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ดูจากภาพใน คห2 ... แต่ผมว่า อย่างไงปัญหาก็มาจากการเกร็งกำไร ... และเป็นการมองการเกร็งกำไรที่มีแต่ได้กำไรด้วย ... ... เนื่องจากปริมาณการผลิตน้ำมันไม่ได้เพิ่มขึ้น ... ... จึงทำให้สัญญาสุดได้ ที่ 150,000 ... ... ก็อาจมาจากต้นทุนการเจาะเพิ่ม แต่ที่มีอยู่ก็สูบขึ้นมาเพิ่มได้ ... ... ฉะนั้น มันก็คือ กลไกตลาด แหละ... ... แต่เป็นกลไกตลาดที่มีการเกร็งกำไรกันอย่างบ้าคลั่ง เพราะของมันกำไรเห็น ๆ ฮ่าๆๆๆๆ ... ทั้งเจ้าของบ่อ ไม่ยอมเพิ่ม ทั้งผู้ซื้อ จะไปใช้ กักตุน หรือสำรอง ... จากคุณ : ... (@Ble) - [ 4 มิ.ย. 51 01:36:37 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ... สุดท้ายผมเห็นมีทางเดียว ... ...  สร้างพลังงานทดแทนของเราเอง .... ... ใส่เงินให้กับ วิศวพันธุกรรมเข้าไปให้เต็มที่กับพืชที่ให้พลังงานกับเครื่องจักรอย่างเดียว เพราะไม่ต้องกลัวอันตราย.... จากคุณ : ... (@Ble) - [ 4 มิ.ย. 51 01:38:59 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณมากครับ ที่สละเวลา สร้างสรรกระทู้ที่มีคุณภาพ อ่านแล้ว ผมบอกกับตัวเองว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้ ผมจะใช้น้ำมันให้น้อยลง ขอโหวตครับ จากคุณ : reach target - [ 4 มิ.ย. 51 01:55:26 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณนะครับ ขอแปะไว้ก่อน  เห็นด้วยบางส่วนครับ จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 4 มิ.ย. 51 02:02:24 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณครับ จากคุณ : smkf (smokerfield) - [ 4 มิ.ย. 51 03:56:57 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณ คุณเอ็มเพิล มากค่ะ ที่ศึกษาและแบ่งปันความรู้ ดิฉันชอบอ่านกระทู้ของคุณ มีสาระมาก ดิฉันใคร่ขอเล่าเรื่องทางเทคนิค แต่ต้องออกตัวอีกแระ ว่า ไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนั้น ข้อมูลอาจไม่อัพเดท (เพราะ เรื่องมันยากซ์) ทางเทคนิคของน้ำมันดิบ คือ ปริมาณสำรอง หรือ Reserves ที่มีหลักการในการคำนวณและต้องมีการรับรองจากสถาบันที่มีชื่อ คราวนี้ แหล่งใหญ่ๆของตะวันออกกลางเริ่มเข้าสู่ยุคที่ การผลิตแบบปฐมภูมิ คือ การผลิตแบบที่ให้มันไหลขึ้นมาเองตามธรรมชาติ นั้น กำลังหมดไป และต้อง เข้าสู่การผลิตแบบที่ต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ซึ่งทำให้ต้นทุนสูงขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนการผลิตแหล่งใหญ่ๆในทะเลเหนือ ที่เคยเป็นแหล่งที่คานการขึ้นราคาตามใจชอบของกลุ่มตะวันออกกลาง เริ่มเข้าสู่การถดถอย ทั้งสองกรณี เป็นเรื่องหลักทางเทคนิค ที่ตามมาด้วยขบวนการนักวิเคราะห์ทางการเงินต่างๆนาๆ สิ่งที่ทางเทคนิคหวัง คือ การค้นพบแหล่งใหม่ๆในพื้นที่ใหม่ๆที่มีขนาดใหญ่ เมื่อเดือนที่แล้ว เริ่มมีข่าวการพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ ในเขตน้ำลึก นอกชายฝั่งบราซิล แต่เป็นเพียงหลุมสำรวจ ยังต้องคอยการประเมินปริมาณสำรอง ซึ่งต้องใช้เวลา อีก 1 ปี เป็นอย่างน้อย งานนี้ หากมีรายงานว่า ใหญ่จริง คงมีผลกับราคาน้ำมันบ้าง ขอแนะนำ เวบของ บริษัท BP มีชื่อเสียงเรื่องการเก็บข้อมูลทางสถิติของ ประมาณสำรองของทั้งโลก กผิต การใช้ ลองค้นใน กูเกิล ด้วยคำว่า BP Statistical oil production จากคุณ : ใบโหระพา - [ 4 มิ.ย. 51 05:49:27 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เข้ามาอ่านเรื่องน้ำมันเเพงค่ะ คิดว่ามันมาจากการเก็งกำไรจากกองทุนค่ะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ใช้รถเเล้ว พยายามเติม1ถังต่อเดือน หวังว่าในอนาคตจะมีพลังงานมาทดเเทนน้ำมันค่ะ(เเต่ไม่ใช่พลังงานที่เอาอาหาร(เช่นข้าวโพด)มาทำนะคะ) จากคุณ : Hana* - [ 4 มิ.ย. 51 06:02:08 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : ฮิมปิง - [ 4 มิ.ย. 51 07:09:47 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณจริงๆ สำหรับบทความที่ให้ความกระจ่าง ปัญหาน้ำมันแพง ถ้าใครก็แก้ไม่ได้ ก็เริ่มที่ตัวเราก่อน ระยะสั้น  ใช้รถน้อยลง ไปนั่งท่ามกลางความอบอุ่น และผจญภัยเล็กน้อยกับพาหนะขนส่งมวลชนทั้งหลาย ระยะทางใกล้ๆใช้จักรยานเสีย แต่ไม่ควรประมาทเมื่อต้องออกสู่ถนนใหญ่ หลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกบ้าน ถ้ามีอุปกรณ์สื่อสารอื่นๆจะช่วยได้ (อันนี้จะทำให้เรามีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น ปลูกผัก ผลไม้กินในบ้าน ไม่ต้องเสียเงินกินข้าวนอกบ้านบ่อยนัก แต่ไม่เอานะ..กินแต่มาม่าก็ไม่ไหวเหมือนกัน) เอ้า ถ้าจำเป็นต้องออกไปทุกวัน ก็หา Car Pool ดู ระยะยาววววววววว ซึ่งไม่รู้เราจะทำเองได้หรือเปล่าก็คือ เรื่องพลังงานทดแทน แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 51 07:30:13 จากคุณ : กูรูขอบสนาม - [ 4 มิ.ย. 51 07:29:36 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เยี่ยมมากครับ  มีประโยชน์จริงๆ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : heavenbless - [ 4 มิ.ย. 51 07:37:15 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ ... จากคุณ : รัตนาธิเบต - [ 4 มิ.ย. 51 08:07:52 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ยอดเยี่ยมครับ ขอชมจากใจเด็กเศรษฐ์ จากคุณ : Nnthnt - [ 4 มิ.ย. 51 08:13:16 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คห.15 โดนมากๆครับ ^^)b ยังติดใจประเด็นเรื่องเก็งกำไรอยู่หน่ะครับ เพราะเคยอ่านบทความใน Asia Times เค้าพูดคล้ายๆกับว่าจะเป็น conspiracy theory ว่าจริงๆแล้วเป็นแผนของบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกันและอังกฤษเอง ที่พยายามดึงราคาน้ำมันให้สูงเข้าไว้ จะได้ไปพัฒนาแหล่งใหม่ๆที่เพิ่งพบเอามาขาย โดยอาศัยช่องทางการซื้อขายในตลาด NYMEX ที่ไม่ต้องรายงานการซื้อขายสินค้า commodity แถมเล่น margin ได้ตั้ง 15 เท่า ซึ่งผู้เขียนเค้าคาดว่าราคาที่ถูกปั่นขึ้นตรงนี้น่าจะสูงถึงประมาณ 60%, ถึงแม้ว่าอุปสงค์ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าน่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของ stock มากกว่าการใช้จริง (ในบทความจะพูดว่าอุปสงค์น้ำมันที่เพิ่มขึ้นในระยะหลังนี้ ส่วนใหญ่จะลอยอยู่ในทะเล จะเกี่ยวกับการที่หุ้นเรือขึ้นเอาๆรึเปล่าหว่า??!)  ไม่ทราบว่าท่าน m_ple มีความเห็นว่าไงครับ บทความที่ว่า >> Speculators knock OPEC off oil-price perch By F William Engdahl http://www.atimes.com/atimes/Global_Economy/JE06Dj07.html จากคุณ : 3MOG - [ 4 มิ.ย. 51 08:33:03 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณมากๆ ครับ ขออนุญาต เซฟ ไว้อ่านต่อ จากคุณ : บอย (ac_boykung) - [ 4 มิ.ย. 51 08:38:33 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ถังน้ำมันส่วนบน สนิมจะเกาะแล้วครับ เติมมากสุดแค่ 800 เอาน้ำเปล่าสองขวด จากคุณ : bbiggy - [ 4 มิ.ย. 51 08:41:01 ]

ความคิดเห็นที่ 34 มันมีความต้องการใช้กันเยอะครับ ก็เลยแพง  ยิ่งแพงแล้วยังขายได้ ก็ยิ่งแพงขึ้นอีก  หากไม่มีพลังงานทดแทนในเร็ววัน  เศรษฐกิจแย่ แน่ ๆ ครับ  สำหรับประเทศนำเข้าน้ำมัน จากคุณ : pakoros - [ 4 มิ.ย. 51 09:11:37 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เลิกเติมน้ำมันมาพักนึงแระ ใช้พลังงานทดแทนจาก manpower แทน ขยันจริงนะคุณ พักร้อนก็ไม่เว้น จากคุณ : <<Ayumi>> - [ 4 มิ.ย. 51 09:18:51 ]

ความคิดเห็นที่ 36 พลังงานทดแทน มันยังไม่เวิร์คครับ คงต้องอีกซักพัก ผมว่า การซื้อขายล่วงหน้า และการที่ให้กองทุนอีแร้ง ไปเล่นซื้อขายได้ คือต้นเหตุหลักครับ คิดดู ถ้าการผลืตไม่พอ  เราคงไปหาเติมน้ำมันได้ยาก แต่ว่า ไปเติมน้ำมัน ปั๊มไหนๆ ก็ไม่เคยหมด  คือว่า ไม่เห็นว่ามันจะขาดแคลนเลย จากคุณ : Mr.X-ray - [ 4 มิ.ย. 51 09:40:12 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขึ้นไปแล้วมันลงยาก (นิสัยคนน่ะ ไม่ใช่น้ำมัน) มันเกิดจาก              นิสัยสะดวก สบาย              ความเป็นส่วนตัว              ความปลอดภัย              ความฟุ้งเฟ้อ ของคนไม่กี่พันล้านคน ที่เมื่อเริ่มแล้ว ให้กลับมา              ไม่ใช้ ประหยัด              ใช้ขนส่งมวลชน              ไม่สะดวก ทำตามใจไม่ได้              ไม่แตกต่างจากคนอื่น "ไม่ได้" คนเคยขับรถยุโรป ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เขาก็ไม่ไปขับรถญี่ปุ่น คนเคยขับรถญี่ปุ่น ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เขาก็ไม่นั่งรถโดยสาร ขึ้นไปแล้วมันลงยาก (นิสัยคนน่ะ ไม่ใช่น้ำมัน) จากคุณ : น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ - [ 4 มิ.ย. 51 10:54:46 ]

ความคิดเห็นที่ 38 กระทู้ดีมากครับ ให้กำลังใจและช่วยดัน ๆๆๆๆๆ แต่ผมคิดว่าปัจจัยหลักคือการก็งกำไรครับ ถ้าอุปสงค์ อุปทาน อย่างเดียวราคาไม่น่าวิ่งขึ้นมาได้ถึง 100 ด้วยซ้ำ เพราะด้านอุปทานยังสามารถตอบสนองอุปสงค์ได้ ไม่อย่างนั้นเราคงต้องใช้บัตรปันส่วนน้ำมันแล้ว จากคุณ : พลเมืองไทย - [ 4 มิ.ย. 51 11:04:47 ]

ความคิดเห็นที่ 39 น้ำมันจะแพงไปเรื่อยๆ จนกว่าอุปสงค์จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญครับ หรือแปลเป็นไทยว่า น้ำมันจะแพงไปเรื่อยๆ จนกว่า คุณจะเลิกใช้รถยนต์ส่วนตัวครับ ;) ตามนั้นครับ จากคุณ : BiGTeDDy - [ 4 มิ.ย. 51 11:48:15 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เขียนดีจัง แสดงให้เห็นถึงตั้งใจมากเลย ผมยังไม่เห็นด้วยกับประเด็น Future นิดหน่อย โดย เฉพาะ รูปที่ 6 ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงก็ Arbitrage ได้สบายเลย sell spot แล้วไป long future ได้เลย เพราะตาม Theory แล้วspot กับ forward/future มันล้อไปด้วยกันเสมอไม่ใช่เหรอครับ F = Se^rt แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 51 13:14:33 จากคุณ : Jeoy - [ 4 มิ.ย. 51 12:29:42 ]

ความคิดเห็นที่ 41 แวะมาอ่านครับ ข้อมูลเรียบเรียงได้ดีจริงๆ ขอบคุณมาก โหวตให้นะครับ ... จากคุณ : ค้นหา - หนทาง - [ 4 มิ.ย. 51 12:51:13 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 4 มิ.ย. 51 12:55:52 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เยี่ยมยอดมากครับ ความรู้เพียบ จากคุณ : P_Wut - [ 4 มิ.ย. 51 12:57:33 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณมากๆเลย จากคุณ : อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ - [ 4 มิ.ย. 51 13:19:56 ]

ความคิดเห็นที่ 45 กระทู้นี้ดีมากต้องโหวต ได้ความรู้ตรึมเลย ดูbloombergกับCNBC ไม่เข้าใจเท่าไหร่ (ภาษาอังกรึด ห่วย) อ่านที่นี่เข้าใจแจ่มดี ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่มีกระทู้ดีๆแบ่งปันให้อ่านค่ะ _/|\_ ชิ สงสัยทำไม เมการู้ว่าประเทศตัวเองใช้พลังงานเยอะไม่ เพิ่มdrilling น้ำมันที่อลาสก้า หรือ อื่นๆ ?? รวมถึงหันไปใช้ พลังงานนิวเคียล์ ด้วย ถ้าเมกา เพิ่มdrillingน้ำมันเหมือน บราซิล ราคาน้ำมันโลกจะลดลงไหมค่ะ ?? ปล.พิมพ์ตกจ้า แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 51 14:04:08 จากคุณ : -=@Shi=- - [ 4 มิ.ย. 51 13:53:59 ]

ความคิดเห็นที่ 46 มาชื่นชมคนเก่งที่กล้าคิด กล้าแสดความเห็นครับ อยากให้มีคนอย่างพี่ m_ple เยอะๆ สังคมไทยจะได้พัฒนาไวๆ แต่ส่วนตัวก็ยังว่า เก็งกำไรอยู่ดีครับ (หรือเราหลอกตัวเอง เพราะรับไม่ได้ถ้าราคาน้ำมันขายลิตรละ 50 บาท) จากคุณ : SMEbuddy - [ 4 มิ.ย. 51 14:34:01 ]

ความคิดเห็นที่ 47 จริง จากคุณ : s_kop - [ 4 มิ.ย. 51 14:35:30 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณสำหรับ ข้อมูลดีๆครับ จากคุณ : s0010936 - [ 4 มิ.ย. 51 14:43:25 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณมากครับ.... เป็นแฟนคลับ อยู่นะครับ จากคุณ : jiiwii - [ 4 มิ.ย. 51 16:44:41 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณครับสำหรับกระทุ้คุณภาพ   อ่านสนุก เข้าใจง่าย จากคุณ : Nirusl - [ 4 มิ.ย. 51 16:57:15 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เยี่ยมคับ หนึ่งโหวต ผมคิดว่าทางเลือกอื่นมันยังไม่มีอะ ตอนนี้ก็มีแต่ขึ้นๆ ไปก่อนละคับ จากคุณ : PTT 238 - [ 4 มิ.ย. 51 17:39:24 ]

ความคิดเห็นที่ 52 จริงๆถ้าอ่าน the economist จะรู้แนวคิดนี้ เพราะเขียนมาเกือบทุกฉบับ โดยเฉพาะฉบับล่าสุด เอาง่ายๆ การซื้อขาย Set50 Index future ไม่ได้ทำให้ SET ขึ้นหรือลงฉันใด การเก็งกำไรสัญญาซื้อขายน้ำมัน (ถึงจะไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ 100%) ก็ไม่ได้มีผลกระทบมากมายกับราคาน้ำมันที่ส่งมอบจริงฉันนั้น จากคุณ : อวิรุืทธ์ - [ 4 มิ.ย. 51 20:30:42 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณ จขกท มากๆเลยครับที่นำข้อมูลและการวิเคราะห์ดีๆมาฝาก จากคุณ : mahnoinarak - [ 4 มิ.ย. 51 21:22:19 ]

ความคิดเห็นที่ 54 โดยส่วนตัว...คิดคล้ายกับประโยคนี้มาสักพักนึงแล้ว ****ราคาน้ำมันแพงขึ้นมา 30% แต่ปริมาณการใช้ไม่ลดลงเลย? มันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย(และทั่วโลก)ครับ?**** จะเห็นได้ว่ามีการบริโภคน้ำมันทั่วโลกมากขึ้นทุกปี และน้ำมัน(อาจ)จะไม่เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต ราคามันเลยพุ่งอย่างที่เห็น แพงเท่าไหร่ก็จะต้องซื้อมาใช้ จนกว่าจะมีพลังงานทางเลือกอื่นที่มีจำนวนผู้บริโภคมากพอมาถ่วงดุลย์ แทนการใช้น้ำมันอย่างเดียวเหมือนปัจจุบัน จากคุณ : MlCHAEL - [ 5 มิ.ย. 51 03:42:58 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เข้ามาอ่าน แต่ก็ยัง งง นิดหน่อย โดยส่วนใหญ่แล้วเข้าใจมากขึ้น ขอขอบคุณ จขกท ที่ให้ความรู้ครับ ต่อไปผมจะลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลง 80% เพื่อประท้วงให้ราคาน้ำมันลดลงตามกลไกตลาดที่ Demand ลดลง ช่วยๆกันเถอะครับ พี่น้องคร้าบ จากคุณ : 2.2SEG - [ 5 มิ.ย. 51 09:05:35 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เคยอ่านบทความของผู้จัดการรายวัน เค้าบอกว่าราคาน้ำมันที่ขึ้น มันมาจากการเก็งกำไร อธิบายเหตุผลไว้ต่างๆมากมาย ดูน่าเชื่อถือ แต่ผมไม่ค่อยเชื่อถือมากนัก กับแหล่งข่าวนี้ เพราะโดยส่วนตัวแล้วเชื่อเรื่อง demand-supply มากกว่า ลืมเก็บ link เอาไว้ เลยไม่ได้แปะให้ดู จากคุณ : Esop - [ 5 มิ.ย. 51 09:21:27 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ยอดเยี่ยมเหมือนเดิม ขอบคุณมากๆ คร้าบ จากคุณ : teeranet - [ 5 มิ.ย. 51 10:29:42 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณครับ จากคุณ : จุย - [ 5 มิ.ย. 51 11:24:40 ]

ความคิดเห็นที่ 59 สุดยอดมาก!!! ครับ คุณ m_ple ผมติดตาม อ่าน กระทู้ คุณ m_ple มาหลาย กระทู้แล้ว ครับ ถึงจะยาวแค่ไหน แต่ ผมก็เป็นคนนึงที่อ่านตั้งแต่ต้น จนจบเลยครับ ซู๊ดยอดครับ ผมชอบ วิธีที่คุณ m_ple อธิบาย เรื่องราว โดย เอา ข้อมูลมาประกอบ แล้วก็ วิเคราะห์ ให้ฟังดูง่าย ขึ้น เหมาะกับคน ทั่วไปฟัง อธิบาย ได้เห็นภาพ เห็นความเชื่อมโยง กันของข้อมูล ไม่ใช่ นักวิชาเกิน ที่ชอบพูดเรื่องง่ายๆ ให้เข้าใจยากๆ เอ ที่คุณ m_ple บอก "พอร์ทผมก้อสีแดงร้อนแรงไม่แพ้กันนี้" ที่แดงเพราะว่าทุ่มให้กับ น้อง oil ไว้เยอะป่าว ครับเนี่ย เพราะรู้ว่า ยังไง 5 ปีให้หลังคงไม่ลงง่ายๆ ใช่มั้ยครับ อิอิ ยังไงก็ขอเป็นแฟนพันธุ์แท้ ติดตาม ผลงาน คุณ m_ple คนนึงละกันนะครับ จากคุณ : ปกร - [ 5 มิ.ย. 51 11:52:10 ]

ความคิดเห็นที่ 60 น้ำมันแพงเพราะ 1. ความต้องการการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศจีน อินเดีย เวียดนาม ฯลฯ กลุ่มประเทศโอเปกไม่เพิ่มกำลังการผลิต ถ้าเราสังเกตุในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าราคาสินค้าต่างๆ ได้เพิ่มขึ้นมาก เช่นราคายาง เหล็ก จากความต้องการของประเทศจีน 2. การเก็งกำไร ส่วนนี้มี 15-20% ตามจิตวิทยารายวัน ถ้ามองอีกแง่หนึ่งราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ก็เป็นข้อดี ทำให้ลดการใช้พลังงาน เป็นการช่วยลดภาวะโลกร้อน สำหรับความเดือดร้อนเนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ผมคิดว่าคงเป็นอีกซักพักหนึ่ง หลังจากนั้นเราจะปรับตัวกันได้ด้วยการลดการใช้น้ำมัน แล้วจะทำให้ราคาน้ำมันต้องลดลง จากคุณ : Master (myrmts) - [ 5 มิ.ย. 51 12:25:00 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ขอบคุณครับ จากคุณ : supparerk2520 - [ 5 มิ.ย. 51 13:48:35 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ประเทศไทยดันไม่มีโครงสร้างขนส่งมวลชนที่รองรับประชาชนที่จะหันมาใช้แล้วบทสรุปจะเป็นอย่างไรเนี่ย จากคุณ : Godgate - [ 5 มิ.ย. 51 14:24:03 ]

ความคิดเห็นที่ 63 สวัสดีครับทุกท่าน ขอบคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ และขอบคุณมั่กๆ สำหรับทุกๆ เสียงโหวตนะครับ ^^" คงไม่สามารถเอ่ยชื่อได้ทุกท่าน แต่ขอตอบบางความคิดเห็นที่ถามๆ มานะครับ :) คห 24 คุณใบโหระพา ขอบคุณสำหรับข้อมูลทางเทคนิคนะครับ :) นั่นคือปัญหาใหญ่เลยครับ น้ำมันดิบแหล่งใหม่ๆ มันลดลงเรื่อยๆ โดยเราได้แต่ภาวนาว่าให้เจอหลุมใหม่ๆ ใหญ่ๆ ซึ่งมันไม่ได้มาง่ายนักครับ เอา link BP Statistical Review  มาฝากด้วยครับ http://www.bp.com/productlanding.do?categoryId=6848&contentId=7033471 คห 31 คุณ 3MOG ผมเคยอ่านบทความอันนี้เช่นกันครับ แต่ตราบใดที่ผมยังหาข้อมูลมายืนยันไม่ได้ ผมคงต้องฟังหูไว้หูครับ ^^ แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่า ทฤษฎีดังกล่าวเป็นไปได้ยาก อาทิตย์ที่แล้วมีข่าวว่า CFTC จะเข้มงวดกับการเก็งกำไรในตลาด NYMEX มากขึ้น จนทำให้สัปดาห์ที่ผ่านมา net long position ลดลง 21% จากสัปดาห์ก่อนหน้า เหลือประมาณ 99,000 สัญญา แต่ราคาน้ำมันดิบอาทิตย์นี้ก้อลงมานิดเดียวที่ระดับ 122 ดอลลาร์ หรือประมาณ 7% เท่านั้นเองนะครับ ถ้าวันไหน net long position เป็นศูนย์ แล้วราคาน้ำมันลดลงไป 60% จากระดับปัจจุบันจริงๆ ผมอาจจะเชื่อทฤษฎีนี้ก้อได้ครับ :) คห 36 คุณ Mr.X-ray "แต่ว่า ไปเติมน้ำมัน ปั๊มไหนๆ ก็ไม่เคยหมด  คือว่า ไม่เห็นว่ามันจะขาดแคลนเลย " อุ้ย ผมไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย ^^ อ่านแล้วก้อ เออ จริงแฮะ ^^" มันไม่ได้ขาดแคลนครับ แต่มันกำลังจะขาดแคลนครับ :) คห 40 คุณ Jeoy ไม่จำเป็นนะครับ คุณสามารถเอา futures curve ของอะไรก้อได้ (SET50 Index Futures ก้อได้) มาดู แล้วสามารถ Sell high Buy low ได้เลย มันมี spread ให้คุณเสมอ (โดยปกติ) แต่อย่างไรก้อตาม การทำแบบนั้น มันก้อยังมีความเสี่ยงและต้นทุนอยู่ จึงไม่สามารถเรียกว่า Arbitrage ได้ครับ ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ถ้า 5-year futures อยู่ที่ 200 และ spot อยู่ที่ 100 คุณอาจจะไปขาย 5-year ที่ 200 แล้วไปซื้อ spot วันนี้ไว้ สร้างโกดังเก็บน้ำมัน แล้วรอ 5 ปี ไปขาย 200 ได้กำไร 100% แต่ต้นทุนในการสร้างโกดัง ต้นทุนค่าเสียโอกาส ต้นทุนในการเก็บรักษา พวกนี้ละครับ ที่มันทำให้ไม่ใช่ Arbitrage ลองศึกษาเรื่อง Convenience Yield กับ Cost of Carry ดูครับ :) คห 45 คุณ -=@Shi=- กลับกันต่างหากครับ อเมริกาสะสมน้ำมันสำรองไว้เยอะมากๆ ในช่วงที่ราคาสูงๆ ประชาชนอเมริกาเคยเรียกร้องให้อเมริกานำปริมาณสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ (Strategic Reserve) มาใช้ แต่รัฐบาลก้อเฉย และไม่ยอมหยุดซื้อด้วยอีกต่างหาก นั่นแปลว่า เค้ามองว่าน้ำมันกะลังจะหายากขึ้น และมีโอกาสที่จะแพงขึ้นในอนาคตอีกด้วย เลยไปใช้ของประเทศอื่นๆ ก่อน พอหมด ค่อยมาใช้ของตัวเอง ^^" คห. 52 คุณ อวิรุทธ์ 55+ โดยเผยไต๋ซะแล้วว งี้ก้อรู้หมดเลยซิครับ ว่าผมไปลอกที่ไหนมาเล่าให้ฟัง คห 59 คุณ ปกร เสียใจครับ ผมไม่เล่นหุ้นพื้นฐาน ตอนนี้ดอย DE กับ MIDA ครับ ใครรู้จักเจ้าก้อฝากบอกเค้าให้ไล่ให้หน่อยครับ ติดดอยมันหนาว T-T ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ทุกๆ ความเห็น จากคุณ : m_ple - [ 5 มิ.ย. 51 22:34:52 ]

ความคิดเห็นที่ 64 สงสัยนะครับ ขอถามคุณ m_ple เพิ่มนิดหน่อย ผมพอเข้าใจครับเรื่องConvenience Yield กับ Cost of Carry แต่ว่ามันจะมีผลทำให้เกิด Spread แต่ส่วนตัวคิดว่า "Spread น่าจะคงที่ระดับนึง" และจะไม่แกว่งอย่างในรูปที่ 6 ขนาดนั้น อีกอย่างนึงในรูปเหมือน spot มันสูงกว่า future เช่น ช่วง Future 20us แต่  spot 35-36 us ถ้าเรามีน้ำมันและขายทันที ได้ 35 เหรียญ แล้วซื้อ future กลับที่ 20 ก็กำไรทันที อนาคตเราก็มีน้ำมันเหมือนเดิมแถมไม่ต้องจ่ายค่า storage cost ด้วยนี่ครับ อีกประการกราฟในรูปที่ 6 มันเป็นแค่ 1-month FUTURE กับ 5-year FUTURE ไม่ใช่ราคา SPOT ด้วยซ้ำ พูดง่ายๆก็คือมันเป็นแค่ PAPER CONTRACT ซึ่งมีสภาพคล่องสูงต่างจาก FORWARD ที่ไม่มีตลาดรองมารองรับเช่นตลาด future ทำให้การทำ Arbitrage ไม่มีความจำเป็นต้องซื้อสินค้าชนิดนั้นๆมาเก็บเพื่อปิด position ซึ่งก็จะทำให้ไม่มี Convenience Yield กับ Cost of Carry เลยนี่ครับ ราคา Future ทั้งสองตัวควรต่างกันด้วยเรื่อง TIME VALUE of MONEY เท่านั้น ผมเองก็ไม่เคย Trade future ที่เป็น commodity นะครับ ก็แค่สงสัยเพราะมันดูค้านกับสิ่งที่ผมเรียนมาก็แค่นั้น :) ผมเคยอ่าน Research ที่ว่าการมีตลาด Future มีผลทำให้ volatility ของ spot เพิ่มขึ้นและมีส่วนที่จะชี้นำราคา spot นะครับแต่เป็นพวก Equity maket กับ FOREX เท่านั้น ปล. ผมก็แฟนไก่เหมือนกันครับเคยเห็นคุณ m_ple ที่ห้องศุภฯคิดว่าปีนี้เรามีหวังมั๊ย อิอิ แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 51 14:13:49 แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 51 09:46:51 แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 51 09:36:48 จากคุณ : Jeoy - [ 6 มิ.ย. 51 09:21:08 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ผมคิดว่าการที่มีตลาด future นี่แหละครับที่ซื้อง่ายขายคล่องเป้นตัวทำให้ hedge fund แห่กันไปซื้อและเก็งกำไรน้ำมันทำให้เกิดความผันผวน เพราะตลาด future ปิด position กันด้วย cash ไม่ต้องซื้อหรือขาย underlying asset เพื่อปิด position  ไม่ต้องสร้างโรงเก็บน้ำมันด้วยครับ จากคุณ : Jeoy - [ 6 มิ.ย. 51 14:17:33 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เยี่ยม มากๆครับ จากคุณ : ช้างทมิฬ - [ 7 มิ.ย. 51 10:22:39 ]

ความคิดเห็นที่ 67 คำถามเพิ่มเติมจากคุณ Joey นะครับ ผมก้อไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้สักเท่าไรนะครับ (เรียนมาก้อคืนครูบาอาจารย์ไปหมดแล้ว ^^" ) พยายามคิดอยู่ว่าจะตอบอย่างไรให้คุณเข้าใจ ก้อนึกไม่ค่อยออก ^^" ไม่รู้ว่าจะเข้าใจดีขึ้นหรือเปล่านะครับ " อีกอย่างนึงในรูปเหมือน spot มันสูงกว่า future เช่น ช่วง Future 20us แต่  spot 35-36 us ถ้าเรามีน้ำมันและขายทันที ได้ 35 เหรียญ แล้วซื้อ future กลับที่ 20 ก็กำไรทันที อนาคตเราก็มีน้ำมันเหมือนเดิมแถมไม่ต้องจ่ายค่า storage cost ด้วยนี่ครับ " ใช่ครับ การที่ contract หลังๆ มันต่ำกว่า contract หน้าๆ (หรือคุณอาจจะรู้จักว่า มันอยู่ในรูป backwardation)  นักลงทุนที่เป็น Natural Long (คือคนที่ไงไงก้อต้องถือน้ำมันอยู่แล้ว เช่น บริษัทขุดเจาะน้ำมัน) ก้อมักจะทำอย่างที่คุณว่าละครับ พยายามเร่งขาย spot แล้วไปซื้อ FW ครับ แต่การที่จะขายเดี๋ยวนี้แล้วไปซื้อกลับ (Short-selling) มันไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ครับ ส่วนมากต้องเป็นพวกบริษัทน้ำมัน นักลงทุนทั่วไปไม่มีของที่จะไปทำแบบนั้นครับ การทำแบบนั้นใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลยนะครับ เพราะการที่เราไปซื้อ futures เรามักจะไม่มีการส่งมอบกันจริงๆ ถ้าคุณอยากได้ physical product จริงๆ บางทีคุณอาจจะต้องไปหานอกตลาด ซึ่งตลาดตอนนั้นอาจจะไม่มีน้ำมันที่คุณต้องการ (แบบอาจจะมีน้ำมันขายให้คุณอีกเกรด) เพราะฉะนั้นบางที ถ้า Spot ไม่สูงกว่า Futures มากๆ คุณมักจะไม่ทำแบบนั้น ต่อให้สูงมากๆ (อย่างกรณีที่คุณยกตัวอย่างมา) ถ้าคุณไม่มีน้ำมันในมือเหลืออยู่เท่าไรนัก คุณก้อไม่ทำอยู่ดีครับ การที่ราคา futures ต่ำกว่า spot มากๆ (หรือ Backwardation ที่ชันมากๆ) มันแปลว่า Inventory อยู่ในระดับต่ำครับ ส่งผลให้ Convenience Yield อยู่ในระดับสูง ทำให้คนทั่วไปอาจคิดว่าไม่คุ้มที่จะทำแบบนั้น แม้ส่วนต่าง (Time Spread) จะสูงมากอย่างที่คุณว่าก้อตามที :) "อีกประการกราฟในรูปที่ 6 มันเป็นแค่ 1-month FUTURE กับ 5-year FUTURE ไม่ใช่ราคา SPOT ด้วยซ้ำ พูดง่ายๆก็คือมันเป็นแค่ PAPER CONTRACT ซึ่งมีสภาพคล่องสูงต่างจาก FORWARD ที่ไม่มีตลาดรองมารองรับเช่นตลาด future ทำให้การทำ Arbitrage ไม่มีความจำเป็นต้องซื้อสินค้าชนิดนั้นๆมาเก็บเพื่อปิด position ซึ่งก็จะทำให้ไม่มี Convenience Yield กับ Cost of Carry เลยนี่ครับ ราคา Future ทั้งสองตัวควรต่างกันด้วยเรื่อง TIME VALUE of MONEY เท่านั้น " ก่อนอื่นนะครับ เนื่องจากทั้งสองสัญญาเป็น futures ทั้งคู่ ส่วนต่างมันคือ time value of money อย่างที่คุณว่า อย่างไรก้อตาม คุณเห็นว่ามันทั้งสองตัวต่างกัน แล้วจะบอกว่ามันเป็น Arbitrage ไม่ได้ เพราะมันไม่ได้มีหลักประกันว่า ในอนาคต 1-month & 5-year มันจะเท่ากัน ถ้าคุณลองหันไปดูในตลาด Futures ทุกๆ ตัว มันจะมี spread แบบนี้ให้คุณเห็นเสมอๆ (แม้แต่ SET50 Index) และคุณสามารถ short และ long สัญญาต่างๆ กันเพื่อกินส่วนต่างก้อได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้กำไรแน่นอนครับ เพราะราคา ณ expiration date นั้น ไม่จำเป็นต้องเท่ากันครับ (เผลอๆ คุณอาจจะขาดทุนด้วยซ้ำ) โดยสรุป Time Spread มีจริงครับ แต่มันไม่ใช่ Arbitrage Time Spread จะมากแค่ไหนก้อได้ ขึ้นอยู่กับว่า ตลาดมองความเสี่ยง (หรือให้ความสำคัญ)ของ Time value ขนาดไหน ลองคิดดีดีครับ ผมอธิบายไม่เก่ง แต่ผมเชื่อว่า คุณจะสามารถเข้าใจได้  ^^" แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 51 10:57:58 จากคุณ : m_ple - [ 8 มิ.ย. 51 10:57:15 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ส่วนเรื่องการมีตลาด Futures จะทำให้ราคาผันผวนนั้น ความเห็นส่วนตัวของผมคนเดียวนะครับ (ไม่มี paper อะไร support ด้วย) ผิดถูกหรือเปล่าไม่รู้ ^^" ผมกลับมองว่า การที่เรามี futures market เนี่ย มันทำให้ราคา spot เนี่ย efficient มากขึ้น เมื่อก่อนที่เราไม่มีตลาด futures ผู้ค้าน้ำมันสามารถขึ้น ลง ราคาน้ำมันได้ตามใจชอบนะครับ ไม่มีหลักประกันอะไรว่า ราคาควรจะอยู่ที่เท่าไร เมื่อเรามีตลาด futures ทำให้นักลงทุนทั่วๆ ไปเข้ามาซื้อขายได้คล่องขึ้น ส่งผลให้ตลาดมี liquidity มากขึ้น ทำให้ราคาปัจจุบันใกล้เคียงกับ equilibrium มากขึ้น เพราะถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับราคาในปัจจุบัน (เช่น คุณเห็นว่ามีการเก็งกำไรเกินไปจนทำให้ราคาอยู่ในระดับสูง) คุณก้อไป short สิ กำไรมหาศาล (ถ้าคุณคิดว่าคุณถูก) ผมไม่เคยอ่านหรือมีข้อมูลว่า มีผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดจับมือกันปั่นราคาหรือเปล่า หรือสัดส่วนผู้เล่นรายใหญ่ต่อตลาดรวมนั้นมากน้อยขนาดไหน (แต่ผมคิดว่าตลาดไม่มีเจ้ามือ เหมือนหุ้นปั่นเมืองไทย) การที่ราคาขึ้นมาในระดับสูง แสดงว่าตลาดคิดแบบนั้นกันจริงๆ การกล่าวโทษเรื่องการเก็งกำไรมันอาจจะทำให้คุณสบายใจขึ้นบ้าง เมื่อเห็นราคาน้ำมันมหาโหดแบบนี้ แต่มันไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไรนะครับ ตราบใดที่เราไม่เข้าใจมันจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับราคาน้ำมัน เพราะเมื่อเราไม่เข้าใจสาเหตุ เราคงแก้ปัญหากันไม่ถูกจุดหรอกนะครับ :) ปล. ได้ Dos Santos แล้วนะครับ COYS!! แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 51 10:59:21 จากคุณ : m_ple - [ 8 มิ.ย. 51 10:58:26 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณครับ จากคุณ : 821 (บัตรผ่าน 821) - [ 8 มิ.ย. 51 11:06:47 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ขอบคุณครับ แปะโหวต แต่ส่วนตัวก็เชื่อว่าอุปสงค์ก็ไมได้ขาดแคลน และคำว่ากำลังหมด ก็เป็นคำที่นักเก็งกำไรนำมาใช้ ไม่งั้นจะมี Future 5 Years ได้ไง อยากพิมพ์มากกว่านี้ แต่วันนี้ปวดหัว พรุ่งนี้หุ้นจะตกกี่จุดเนี่ย จากคุณ : Pete Chakky - [ 8 มิ.ย. 51 18:12:55 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ถ้าตลาดขึ้นเพราะเก็งกำไร เราก็แค่รอมันลง  "มีขึ้นก็มีลง" แต่ถ้าขึ้นเพราะอุปทาน(ที่หามาเพิ่มยาก) เราก็แค่ขายรถ แล้วไปขึ้นรถเมล์...5 5 5 5 ถ้ายอดขายรถยนต์ยังเพิ่มขึ้นทุกปี แล้วอุปสงค์ จะลดลงได้ไง ??????? จากคุณ : sb*star - [ 9 มิ.ย. 51 07:43:33 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ขอไฟล์ด้วยนะครับ ส่วนเจ้าที่อยากได้ ตอนนี้ปั่นตั๊กบงกชอยู่ จากคุณ : ปะป๋าน้องมุก - [ 9 มิ.ย. 51 22:23:39 ]

ความคิดเห็นที่ 73 Thx... จากคุณ : นายครรชิต - [ 10 มิ.ย. 51 14:07:41 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ราคาน้ำมันจะยังไม่ตกลงจนกว่า...  มีพลังงานแบบใหม่มาเขย่าโลก ( อะไรดีละ ที่ไม่กระทบพืชเกษตร  เช่น พลังงานไฮโดรเจน มั้งง) จากคุณ : ยำใหญ่ (aeroflex) - [ 14 มิ.ย. 51 13:16:54 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ^ ผมเคยคิดเล่นๆกับรุ่นพี่ ว่า ถ้าเอาพลังงานน้ำมาได้ คัดแต่ไฮโดรเจนออกมาเป็นพลังงาน เหลือออกซิเจนออกมา อากาศคงสดชื่น หุหุ จากคุณ : Angleevil - [ 15 มิ.ย. 51 16:29:32 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เข้ามาอ่านและได้เห็นข้อมูลประกอบของ จขกท. ทำให้เข้าใจแล้วว่า ทำไมราคาน้ำมันไม่ยอมลง ทั้งที่แต่ก่อนเคยเชื่อว่า พวก hedge fund เป็นตัวดันราคา แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ถ้าเป็นเพราะเก็งกำไร ป่านนี้ราคาก็ต้องพับปรับฐานบ้างแล้ว ทำไมจึงร้อนแรงต่อ ขอบคุณค่ะ สำหรับการวิเคราะห์ให้ได้เข้าใจภาพรวม Vote ให้ค่ะ จากคุณ : ต้นแมกโนเลีย - [ 17 มิ.ย. 51 11:59:40 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ขอขอบคุณครับ เนื้อหาดีมาก จากคุณ : Juste - [ 17 มิ.ย. 51 17:39:29 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ปรบมือ ชื่นชมครับ จากคุณ : eping - [ 18 มิ.ย. 51 11:23:59 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ต้องขายรถ..หันมาขึ้นรถเมลล์ซะเร้วกระมัง!! กระทู้สร้างสรรค์เจงๆๆงับ จากคุณ : ladybird - [ 19 มิ.ย. 51 10:52:19 ]

ความคิดเห็นที่ 80  .. มาเก็บข้อมูลส่งท่านประธาน จากคุณ : แมวหง่าวอายาโร่ (Ayaro) - [ 21 มิ.ย. 51 12:55:13 ]

ความคิดเห็นที่ 81 สาระล้วนๆ โหวต 1 จึ้ก จากคุณ : OxfordGuy - [ 23 มิ.ย. 51 14:19:39 ]