ความคิดเห็นที่ 8
ค่าการกลั่นน้ำมัน: เรื่องที่ควรรู้ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยจัดให้ วิธีคำนวณโปร่งใส..ไม่ซ่อนเร้น
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม คุณหญิง ทองทิพ รัตนะรัต ที่ปรึกษาสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย บรรยายพิเศษเรื่อง "ค่าการกลั่นน้ำมัน: เรื่องที่ควรรู้" เพื่อให้ความรู้เรื่องค่าการกลั่นให้กับกลุ่มคนที่สนใจ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่จัดบรรยายให้ความรู้เรื่องดังกล่าวนับจากที่นายโสภณ สุภาพงษ์ สว.กทม. ผู้คร่ำหวอดในวงการน้ำมันจากที่เคยนั่งบริหารที่บริษัทบางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ออกมาเปิดเผยว่าโครงสร้างการคิดค่าการกลั่นในประเทศไม่เป็นธรรม มีการตั้งราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ประชาชนต้องใช้ในราคาแพง "มติชน" จึงได้สรุปเรียบเรียงคำบรรยายมานำเสนอ
หลักที่จะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องราคาน้ำมัน ต้องเข้าใจว่ารัฐบาลมีนโยบายที่สร้างราคาน้ำมันด้วยปัจจัยสำคัญคือ ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ส่วนเรื่องค่าการกลั่นน้ำมันนั้นจะต้องทำความเข้าใจกับโครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูปก่อน ซึ่งประกอบด้วย โครงสร้างราคาหน้าปั๊ม และโครงสร้างราคาหน้าโรงกลั่น เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจยากแต่มีตัวแปรมาก เวลาคนพูดก็พูดถึงไม่หมด และต้องเข้าใจด้วยว่าราคาน้ำมันดิบกับราคาน้ำมันสำเร็จรูปไม่จำเป็นต้องไปในทิศทางเดียวกันเสมอเพราะ
ปัจจัยที่เป็นตัวผลักดันเป็นคนละตัว
หากราคาน้ำมันดิบปรับราคา ไม่จำเป็นต้องปรับราคาน้ำมันสำเร็จรูปในสัดส่วนที่เท่ากัน เพราะทั้ง 2 ชนิด ไม่ได้อยู่ในตลาดเดียวกัน แต่สำหรับธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันเป็นธุรกิจที่อยู่ตรงกลางระหว่างน้ำมันดิบกับน้ำมันสำเร็จรูป เป็นธุรกิจที่ถูกบีบมากที่สุด เพราะรับทั้งปัจจัยของทั้ง 2 ตลาด
เราต้องมีการนำเข้าน้ำมันดิบกว่า 99% ซึ่งเป็นการนำเข้าน้ำมันจากหลายประเทศ ไม่ใช่ประเทศเดียว เพราะน้ำมันแต่ละแหล่งที่นำเข้ามาสามารถกลั่นน้ำมันชนิดต่างๆ ได้ในสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน ในขณะที่เราต้องการใช้น้ำมันในสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน เราต้องการใช้น้ำมันดีเซลมากกว่าน้ำมันเบนซิน นอกจากนี้แต่ละโรงกลั่นน้ำมันก็ได้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น แต่ละแห่งจึงต้องซื้อมาจากหลายประเทศมาผสมกัน เพื่อให้สามารถกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปได้ตามที่ต้องการ หรือได้ในส่วนที่ผู้บริโภคต้องการใช้มากที่สุด ซึ่งจะได้ในสัดส่วนเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยคือ น้ำมันดิบที่นำเข้ามา และชนิดของโรงกลั่นน้ำมัน
โครงสร้างราคาน้ำมันหน้าปั๊ม
เพื่อให้เห็นความแตกต่างจะแบ่งเป็น 3 ยุค
1. ช่วงที่รัฐควบคุมราคาก่อนเปิดเสรี ปี 2534 สภาวะตลาดในช่วงนี้ ต้องมีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิด และมีเพียงโรงกลั่นน้ำมันในประเทศเพียง 3 แห่ง คือ ไทยออยล์, เอสโซ่, บางจาก ส่วนการตั้งราคานั้นรัฐบาลเป็นผู้ตั้งราคาหน้าปั๊มและกำหนดค่าการตลาด โดยอยู่บนหลักการให้ราคาอยู่ในระดับที่ประชาชนกินดีอยู่ดีและพัฒนาประเทศได้ สูตรราคาหน้าปั๊ม คือ = (P) ราคา ณ โรงกลั่น +ภาษีต่างๆ + กองทุนต่างๆ + ค่าการตลาด โดยการปรับราคาหน้าปั๊มในระยะแรก รัฐปรับทุก 15 วัน ต่อมาปรับทุก 7 วัน
2. ช่วงเปิดเสรีตั้งแต่ปลายปี 2534 สภาวะตลาดต้องนำเข้าน้ำมันในช่วงแรก และต้องส่งออกตั้งแต่ปี 2538 เพราะกำลังการผลิตในประเทศเกินความต้องการ มีโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นเป็น 7 แห่ง ประกอบด้วย ไทยออยล์, เอสโซ่, บางจาก, SPRC, RRC, TPI, RPC โดยการตั้งราคานั้นผู้ค้าปลีกเป็นผู้กำหนดราคาให้เป็นไปตามกลไกของการแข่งขันในธุรกิจขายปลีก โดยหลักในการตั้งราคานั้นผู้ค้าปลีกใช้การที่โรงกลั่นต้องส่งออกเป็นข้อต่อรองราคาซื้อจากโรงกลั่น แสดงให้เห็นถึงการเป็นตลาดเสรี มีสูตรราคาหน้าปั๊ม คือ = (P) ราคา ณ โรงกลั่น + ภาษีต่างๆ + กองทุนต่างๆ + ค่าการตลาด สำหรับการปรับราคาหน้าปั๊ม ผู้ค้าปลีกปรับตามสภาวะตลาด
3. ช่วงที่รัฐแทรกแซงชั่วคราวครั้งล่าสุด ตั้งแต่ 10 มกราคม 2547 สภาวะตลาดภายในปี 2549 คาดว่าตลาดจะสมดุล ดังนั้น ช่วงนี้เมื่อมีบางโรงกลั่นปิดซ่อมแซมก็จะต้องมีการนำเข้า เช่นเริ่มมีการนำเข้าดีเซลเดือนมกราคม และ กุมภาพันธ์ 2547 การตั้งราคา ณ วันนี้รัฐบาลตรึงราคาดีเซลไว้ที่ 18.19 บาท/ลิตร ผลิตภัณฑ์อื่นลอยตัว นอกจาก LPG เป็นกึ่งลอยตัว โดยใช้หลักการรัฐตั้งให้ราคาดีเซลอยู่ในระดับที่ประชาชนกินดีอยู่ดีและพัฒนาประเทศได้ ส่วนผลิตภัณฑ์อื่นเป็นไปตามกลไกตลาด สูตรราคาหน้าปั๊ม คือ = (P) ราคา ณ โรงกลั่น + ภาษีต่างๆ + กองทุนต่างๆ + ค่าการตลาด การปรับราคา ผู้ค้าปลีกปรับตามสภาวะตลาด นอกจากดีเซลซึ่งรัฐบาลปรับเมื่อเห็นเหมาะสม
โครงสร้างราคาหน้าโรงกลั่น ถ้าเป็นแบบตลาดเสรี แต่ละแห่งก็ต้องสู้เพื่อให้ลูกค้ามาซื้อของตน ซึ่งตามปกติก็จะต้องสู้กับโรงกลั่นแห่งอื่นเพื่อขายในประเทศให้ได้มาก ที่เหลือจึงจะส่งออกและสู้กับการนำเข้า แต่ถ้าโรงกลั่นไม่พอแล้วต้องมีการนำเข้าทุกชนิด โรงกลั่นก็ต้องสู้โดยตั้งราคาแข่งกับราคานำเข้า ส่วนธุรกิจค้าปลีกนั้นก็ต้องมาดูกันว่ามีคู่แข่งหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องสู้กับคู่แข่ง แต่ในกรณีที่รัฐบาลเข้าไปควบคุมราคารัฐบาลก็จะดูแลกำไรให้ ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างราคาหน้าโรงกลั่นบวกกับภาษีกองทุน ภาษีสรรพสามิตกับราคาขาย ที่เหลือก็เป็นค่าการตลาด ซึ่งค่าการตลาดนี้ก็ต้องไปหักค่าดำเนินการปั๊ม ทั้งค่าน้ำ ไฟฟ้า และค่าจ้างเด็กปั๊ม
จากคุณ :
มือใหม่เล่นหุ้น
- [
29 มิ.ย. 51 00:06:22
]
|
|
|