ความคิดเห็นที่ 1 Q: เริ่มกันเลย Stagflation คืออะไรเหรอ? A: มันสนธิคำมาจากคำว่า Stagnation ที่แปลว่า ชะงักงัน กับคำว่า Inflation ที่แปลว่า เงินเฟ้อ วันก่อนเห็นพี่หนูขิงถามว่าเงินเฟ้อแปลว่าอะไร ขอแปลง่ายๆว่า ปรากฏการณ์ที่ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นครับ ถ้าเค้าบอกว่าเดือนมิถุนายนปีนี้เงินเฟ้อ = 8.9% แปลว่า ราคาสินค้าทั่วๆ ไปโดยเฉลี่ยเดือนนี้เพิ่มขึ้น 8.9% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนปีที่แล้วนะครับ พอเอาสองคำนี้มารวมกัน ก้อจะได้คำว่า Stagflaiton ซึ่งเราเอาไว้อธิบายถึงปรากฏการณ์ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจชะงักงัน แต่เงินเฟ้อกลับพุ่งสูงขึ้น จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:48:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Q: แล้วมันแปลกอย่างไงเหรอ? A:  ก้อเพราะ ปกติสองตัวนี้มันจะไม่มาด้วยกันครับ เพราะราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นได้ แสดงว่าคนต้องมีกำลังซื้อ (เพราะถ้าคนไม่ซื้อ ราคามันก้อจะลงมาเอง จริงไหมครับ) และถ้าคนมีกำลังแสดงว่าเศรษฐกิจต้องดี (เศรษฐกิจไม่ดี คนจะมีตังไปซื้อของได้ไง) make sense ไหมครับ ว่าทั้งสองตัวไม่น่าจะมาด้วยกันได้ (สินค้าแพง เศรษฐกิจต้องดี ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี สินค้าต้องถูก) อย่างไรก้อตาม Stagflation เกิดขึ้นได้ก้อต้องเมื่อเกิด Supply shock เท่านั้น Supply Shock แปลเป็นไทยคือ สินค้าบางอย่างหายไปจากตลาดดื้อๆ ทำให้ราคาสินค้านั้นๆ สูงขึ้น แพงจนคนไม่มีตังไปซื้อ เผอิญสินค้านั้นมีความสำคัญต่อผู้คนและระบบเศรษฐกิจ ต่อให้ราคาแพงแค่ไหนคนก้อต้องซื้อ พอคนต้องซื้อสินค้าชนิดนี้แพงขึ้น ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น และจะทำให้อำนาจการซื้ออของอย่างอื่นลดลง จนทำให้เศรษฐกิจชะงักได้ และอาจหดตัวได้ในท้ายที่สุดครับ จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:49:12 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Q: แสดงว่ามันเคยเกิดขึ้นเหรอไง? A: ใช่ครับ โลกเคยเผชิญกับ Stagflation 2 ครั้ง เมื่อตอนปี 1973 และ 1979/80 และทั้งสองครั้งเกิดจากสินค้าที่ชื่อว่า  น้ำมัน ครับ ^^ ครั้งแรก ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ตุลาคม 1973  อียิปจับคู่กับซีเรียบุกโจมตีอิสราเอลแบบไม่ทันตั้งตัว ระหว่างที่ชาวยิวกำลังอยู่ระหว่างวันหยุด Yom Kippur (เป็นวันที่ชาวยิวจะอดอาหารและน้ำทั้งวัน เพื่อสวดมนต์ขอพรให้พระเจ้าอภัยในบาปของตน) อิสราเอลที่ได้รับการสนับสนุนจากฝั่งตะวันตก อย่าง สหรัฐ ยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่น ตอบโต้กลับทันทีทันใด ฝั่งกลุ่มประเทศอาหรับที่สนับสนุนอิยีปและซีเรียนั้น เห็นกลุ่มประเทศตะวันตกมาสนับสนุนอิสราเอล ก้อไม่พอใจ พร้อมกับออกมาตรการตอบโต้ โดยอีก 10 วันถัดมา กลุ่มประเทศ OPEC ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาหรับนั้น ประกาศว่า OPEC จะไม่ส่งออกน้ำมัน (Oil Embargo) ให้กับกลุ่มประเทศที่สนับสนุนอิสราเอล ตอนนั้นกลุ่มเป้าหมายหลักที่จะงดการส่งน้ำมันให้คือ สหรัฐ และเนเธอแลนด์ เนื่องจากสหรัฐเป็นแหล่งอาวุธให้กับอิสราเอล ส่วนเนเธอแลนด์ก้อให้สหรัฐเป็นฐานทัพอากาศ พร้อมกับขนอาวุธให้กับอิสราเอลอีกด้วย ผลก้อคือ ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสูงมาก เนื่องจากน้ำมันขาดแคลนในตลาดและผู้บริโภคไม่สามารถปรับตัวได้ทัน น้ำมันแพงแค่ไหนก้อต้องใช้ เพราะถ้าไม่ใช่ก้อตาย เนื่องจากระบบธุรกิจพึ่งพาน้ำมันอยู่ในระดับสูง น้ำมันถูกใช้ในหลายๆ ส่วนของขั้นตอนการผลิตสินค้าอื่นๆ ผลกระทบที่ตามมา ราคาสินค้าถีบตัวสูงขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมัน   คนไม่มีเงินไปซื้อของ ส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับคำว่า Stagflation ก้อได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง สำหรับอธิบายถึงปรากฏการ์ดังกล่าว หลังจากนั้นอีก 6 ปี ในเดือนมกราคมปี 1979 เกิดการปฏิวัติอิหร่านนำโดย Ayatollah Khomeini  (อ่านไม่ออกอ่ะครับ กลัวออกเสียงผิด ขอทับศัพท์นะครับ ^^" ) ก้อยึดอำนาจโค่นล้มพระเจ้าซาร์ สุดท้ายพระเจ้าซาร์และแรงงานต่างชาติในแหล่งผลิตน้ำมันในอิหร่านต่างพากลับหลบหนีออกนอกประเทศ พร้อมๆ กับการก้าวขึ้นเป็นผู้นำของ Khomeini   ตอนนั้นสถานการณ์ในตลาดน้ำมันตื่นตระหนกอย่างมาก เพราะอิหร่านเป็นหนึ่งในชาติที่ผลิตน้ำมันได้มากที่สุดในโลก ผลของการ panic ดังกล่าวก่อให้เกิดการกักตุนน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง แม้ตอนนั้น (ว่ากันว่า) จะไม่เกิดการขาดแคลนน้ำมันก้อตาม ยังไม่จบครับ สงสัยกลัวสถานการณ์เลวร้ายไม่พอ หลังจากนั้นในเดือนกรกฏาคมปี 1980 ซัดดัม ฮุสเซน เจ้าเก่าเห็นคู่ปรับอย่างอิหร่านกำลังอ่อนแอจากสถานการณ์ในประเทศ ก้อเลยคึกนำกำลังหทารบุกอิหร่าน หวังจะถล่มแหล่งผลิตน้ำมันของอิหร่านให้สิ้นซาก ไม่ต้องบอกก้อเดาได้ ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมๆ กับการตกต่ำลงของเศรษฐกิจโลก และคำว่า Stagflation ก้อกลับมาฮิตอีกครั้งหนึ่ง จะเห็นได้ว่า การเกิด Stagflation ของทั้งสองครั้งก่อนนั้น เกิดจาก Supply Shock ของน้ำมันดิบทั้งคู่ นับจากวันนี้ ถึงวันนี้ก้อเกือบ 30 ปีแล้ว คำๆ นี้ ก้อกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:49:42 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Q : ตอนนี้เกิด Stagflation แล้วเหรอ?  แล้วเราจะรู้ได้ไง? A: แม้คำว่า Stagflation จะหมายถึงแค่เงินเฟ้อสูงกะ GDP ติดลบ แต่จริงๆ แล้วมีเงื่อนไขอยู่หลายอย่างนะครับ ที่ระบบเศรษฐกิจต้องเคลียร์เงื่อนไขเหล่านี้ เพื่อให้เราแน่ใจว่าตอนนี้มันเกิด Stagflation จริงๆ เท่าที่สรุปมา มี 5 ข้อใหญ่ๆ ที่เราดูว่าเกิด Stagflation หรือเปล่าดังนี้ครับ 1. อัตราเงินเฟ้อสูงมาก 2. อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจต่ำ (หรือติดลบ) 3. ประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) ลดลง 4. อัตราดอกเบี้ยนโยบายติดลบ 5. เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Wage-Price Spiral การที่เราจะบอกได้ว่าเกิด Stagflation หรือยัง ต้องมาดูว่าแต่ละตัวมันเข้าถึงเงื่อนไขหรือเปล่า? ในที่นี้ผมจะดูสองประเทศนะครับ ประเทศแรกคือ ประเทศไทย (แหง๋ล่ะ ^^" ) อีกประเทศที่จะดูคืออเมริกานะครับ และผมจะใช้อเมริกาแทนเศรษฐกิจโลกไปในตัว * มาดูกันทีละตัวนะครับ :) *อนึ่ง ที่ผมใช้อเมริกาแทนเศรษฐกิจโลก เพราะแม้ว่าปัจจุบันเศรษฐกิจอเมริกาจะลดความสำคัญลงไป แต่ก้อยังใหญ่มากๆ อยู่ ที่สำคัญผมไม่เชื่อในทฤษฎีหย่าร้าง (Decoupling) ที่เค้าชอบพูดกันว่า ต่อให้เศรษฐกิจอเมริกาเจ๊ง ก้อจะไม่ฉุดโลกให้เจ๊งตามไปด้วย เนื่องจากผมยังเห็นว่าปัจจุบันโลกยังคงต้องพึ่งพาอเมริกาในฐานะผู้บริโภคสินค้ารายสำคัญของโลกอยู่ดี เพราะฉะนั้น ถ้าอเมริกามีปัญหา เศรษฐกิจโลกมีปัญหาแน่ๆ ครับ จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:50:14 ]

ความคิดเห็นที่ 5 1. อัตราเงินเฟ้อสูงมาก และ 2. อัตราเจริญเติบโตของเศรษฐกิจตกต่ำหรือติดลบ แม้เราจะรู้สึกกันว่าเงินเฟ้อในปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง แต่จากรูปเราจะเห็นได้ว่า เงินเฟ้อในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า oil shock ครั้งก่อนๆ อยู่พอสมควร ในขณะที่เศรษฐกิจไทยและโลก ก้อสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หดตัวลงเหมือนกับในอดีต ซึ่งดูตัวเลขเร็วๆ แค่นั้น คงอุ่นใจได้อีกนิดหนึ่งว่า Stagflation ยังไม่เกิดขึ้น ในภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:50:37 ]

ความคิดเห็นที่ 6 3. ประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) ลดลง ข้อนี้ถือว่าฉิวเฉียด ข้อแรก ที่เราต้องดูประสิทธิภาพการผลิตก้อเพราะว่า แม้ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้นไปมากๆ แต่ถ้าเราสามารถผลิตสินค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  ก้อจะทำให้ต้นทุนสินค้าต่อหน่วยไม่เพิ่มขึ้นมากนัก ถ้าต้นทุนสินค้าต่อหน่วยไม่เพิ่มขึ้น ก้อจะทำให้ปริมาณสินค้านั้นๆ ในระบบ (Aggregate supply) มีเท่าเดิม และถ้าปริมาณสินค้าไม่ลดลง ราคาสินค้าก้อจะไม่เพิ่มขึ้น หรืออัตราเงินเฟ้อก้อจะไม่เร่งตัวขึ้นตาม second round effect ฟังดูงงเปล่าครับ ยกตัวอย่างดีกว่า สมมติว่า บริษัทผลิตยางรถยนต์ใช้น้ำมัน 1 ลิตรในการผลิตยางรถยนต์ 10 เส้น ถ้าราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และประสิทธิภาพการผลิตของบริษัทนี้เท่าเดิม เค้าอาจจะผลิตยางได้เพียง 5 เส้น เพื่อให้ต้นทุนรวมของเค้าไม่เปลี่ยนแปลง จะเห็นได้ว่า ยางรถยนต์ในตลาดหายไปครึ่งหนึ่ง และอาจทำให้ราคายางรถยนต์สูงขึ้น ส่งผลให้ราคารถยนต์สูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทขนส่งขึ้นค่าขนส่งสินค้า บลาๆๆ ต่อกันเป็นทอดๆ ถ้าบริษัทนี้ใช้น้ำมันได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เค้าอาจจะใช้น้ำมันเพียง 0.5 ลิตร ในการผลิตยาง 10 เส้น และจะทำให้ยางรถยนต์ในตลาดมีเท่าเดิม ราคายางรถยนต์ก้อจะไม่ขึ้น ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ (จาก second round effect) เข้าใจขึ้นไหมครับ :) กลับมาดูตัวเลขจริงกัน แม้ประสิทธิภาพการผลิตของทั้งไทยและสหรัฐจะเพิ่มขึ้น อย่างไรก้อตาม ผมมองว่ามันยังเพิ่มขึ้นได้ไม่มากพอ เมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากผลของราคาน้ำมัน ประสิทธิภาพการผลิตของเรา (ทั้งสหรัฐและไทย) เพิ่มประมาณ 3% ในปีก่อน แต่ถ้าต้นทุนทั้งหมดของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันเกิน 3% (น่าเสียดายผมไม่มีตัวเลข) แสดงว่า เรายังไม่ดีพอครับ ปล.เนื่องจากประเทศไทยไม่มีตัวเลข Labour Productivity ดังนั้นผมจึงใช้ตัวเลข Non-Agriculture Real GDP / อัตราการจ้างงานแทน Productivity นะครับ เวลานำไปตีความต้องระวังนิดหนึ่ง ^^" นี่ขนาดใช้ตัวเลขพวกนี้แทน Series ยังได้แค่นี้เองเลย T-T จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:51:03 ]

ความคิดเห็นที่ 7 4. อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงติดลบ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง = อัตราดอกเบี้ยนโยบาย - อัตราเงินเฟ้อ (Real Policy Interest Rate = Nominal Policy Interest Rate - Inflation) ถ้าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ แสดงว่าอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าอัตราดอกเบี้ย สะท้อนให้เห็นว่านโยบายการเงินของธนาคารกลางเป็นแบบผ่อนคลาย (Easy Monetary Policy) แปลเป็นภาษาชาวบ้านคือ ธนาคากลางไม่ได้ยึดเหนี่ยวเกี่ยวกับปัญหาด้านเงินเฟ้อเท่าไรนัก ยิ่งการปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายติดลบนั่น จะไม่จูงใจคนให้ออมเงิน คนจะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มสูงขึ้นไปอีก แปลเป็นไทยคือ ถ้าคุณรู้ว่าเงินไปฝากเงินธนาคารเพื่อให้ได้ดอกเบี้ยเนี่ย แทนที่จะได้กำไร กลายเป็นขาดทุน คุณจะฝากเงินไหมครับ ใช่ม้า ถ้าคุณรู้ว่าคุณจะขาดทุนจากการออมเงิน คุณจะไม่ออม แต่จะใช้มันซะตอนนี้เลย ผมขอยกตัวอย่าง(อีกรอบ ตัวอย่างนี้ออกงานบ่อยจริงๆ ^^") ให้ดูนะครับ เพื่อให้เห็นว่าเงินเฟ้อที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยทำให้คุณขาดทุนได้อย่างไร สมมติว่าปัจจุบันก๋วยเตี๋ยวชามละ 20 บาท คุณมีเงิน 100 บาท ณ วันนี้ คุณซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 5 ชาม สมมติว่าตอนนี้ ดอกเบี้ยอยู่ที่ 20% แต่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 50% แปลว่าดอกเบี้ยติดลบ 30% ใช่ไหมครับ สมมติคุณเอาเงินไปฝากกินดอก ผลลัพธ์คือ ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า คุณจะมีเงิน 120 บาท แต่ราคาก๋วยเตี๋ยวจะขึ้นไปเป็น 30 บาท ตามอัตราเงินเฟ้อ นั่นหมายความว่าคุณสามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เพียง 4 ชามเท่านั้น ทั้งที่ต้นปีคุณมีเงินเพียง 100 บาท แต่กลับซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ตั้ง 5 ชามหน่ะ ยิ่งถ้ารายได้คุณไม่ขึ้นตามดอกเบี้ยล่ะ คุณจะซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เพียง 3.3 ชามเท่านั้นเอง เห็นไหมครับว่าเงินเฟ้ออ่ะ น่ากลัวขนาดไหน ถ้าคุณเห็นว่า ยิ่งปล่อยไปในอนาคต เงินคุณยิ่งลดค่า เพราะฉะนั้นคุณจะเร่งใช้จ่ายในวันนี้ ด้วยการไปแย่งซื้อก๋วยเตี๋ยวกัน ยิ่งคนไปรุมแย่งซื้อก๋วยเตี๋ยวกัน ก๋วยเตี๋ยวก้อจะยิ่งแพงขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้น การที่ดอกเบี้ยนโยบายติดลบ จะส่งผลให้เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นด้วยเหตุนี้แล ซึ่งข้อนี้ก้อเข้าเกณฑ์เป๊ะๆ เพราะปัจจุบันทั้งไทยและอเมริกาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง ติดลบทั้งคู่ ดังรูป ซึ่งการปล่อยให้เป็นแบบนี้อาจส่งผลกระตุ้นให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นจนส่งผลเสียต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจได้ครับ จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:51:36 ]

ความคิดเห็นที่ 8 5. เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Wage-Price Spiral คาดว่าพักนี้หลายๆ ท่านคงได้ยินคำนี้บ่อย ใช่ป่ะครับ ^^" Wage-Price Spiral คือปรากฏการณ์ที่ราคาสินค้า (price) แพงขึ้น (ซึ่งส่วนมากจะเริ่มจากต้นทุนสินค้าที่แพงขึ้นจากการเกิด supply shock เช่น ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นช่วงทศวรรษที่ 80s) ทำให้แรงงานเรียกร้องค่าจ้าง (wage) เพิ่มขึ้น เมื่อนายจ้างขึ้นค่าแรงให้ ทำให้ต้นทุนของนายจ้างเพิ่มขึ้น และจะส่งผลให้ margin ของนายจ้างลดลง นายจ้างบางรายอาจอยู่ไม่ได้ จนต้องขึ้นราคาสินค้า (price) พอลูกจ้างเห็นราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอีก ลูกจ้างก้อจะไปเรียกร้องนายจ้างให้ขึ้นค่าแรง (wage) อีก วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ (spiral) เข้าใจไหมครับ เนี่ยละเค้าเรียกว่า wage-price spiral เมื่อเกิด wage-price spiral จะส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ   Wage-price spiral เคยเกิดในสหรัฐตอนช่วงวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งก่อนๆ เนื่องจากระบบสหภาพแรงงาน (โดยเฉพาะสหภาพแรงงานผลิตรถยนต์) เข้มแข็งมากๆ การหยุดงานประท้วงเพื่อเรียกร้องค่าจ้างมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่ในปัจจุบัน wage-price spiral ยังเห็นไม่ชัดนัก เนื่องจากตลาดแรงงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะบริษัทต่างๆ โดยเฉพาะในสหรัฐไม่ง้อแรงงานในประเทศอีกต่อไปแล้ว  เนื่องจากบริษัทต่างๆ สามารถหาแรงงาน off-shore ราคาถูกได้ทุกแห่งในโลก ทำให้สหภาพแรงงานอ่อนแอกว่าในอดีต แม้ตัวเลขการจ้างงานจะอยู่ในระดับสูงมากก้อตาม สำหรับประเทศไทย เราไม่เคยเกิด wage-price spiral มาก่อน เนื่องจากการส่งผ่านต้นทุนสินค้าไปยังราคาสินค้าทำได้ค่อนข้างจำกัด (ดูได้จาก ราคาสินค้าผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) มักจะสูงขึ้นช้ากว่าต้นทุนราคาผู้ผลิต (Producer Price Index: PPI) ในช่วงหลัง พอเอา CPI หารด้วย PPI จะเห็นแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง) (ข้อมูล CPI/PPI ของไทยเท่าที่ผมหาเจอ มีแค่นั้นล่ะครับ ^^" ) เนื่องจากการแข่งขันในตลาดค่อนข้างสูง อีกทั้งสินค้าบางชนิดต้องขออนุญาตจากภาครัฐถึงจะทำการขึ้นราคาได้ ทำให้ภาคธุรกิจไม่ได้สามารถขึ้นราคาสินค้าได้มากนัก นอกจากนี้ สหภาพแรงงานเราก้อไม่เข้มแข็งนัก ทำให้การเรียกร้องค่าจ้างทำได้ไม่ง่ายนัก อีกทั้งสัดส่วนต้นทุนแรงงานต่อต้นทุนทั้งหมดของภาคธุรกิจโดยเฉลี่ยไม่สูงมากนัก (คำนวณจาก I/O table อยู่ที่ประมาณ 13% โดยเฉลี่ยทั้งหมด) ทำให้ในกรณีที่ลูกจ้างเรียกร้องค่าแรงสำเร็จนั้น ก้อจะไม่กระทบ margin ของภาคธุรกิจมากนัก จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:52:27 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อดูจากเงื่อนไข 5 ข้อนี้แล้ว ผมมองว่า Stagflation ทั้งของไทยและเศรษฐกิจโลก ยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้หรอกครับ ยิ่งเทียบกับเมื่ออดีตแล้ว เศรษฐกิจในปัจจุบันยังมั่นคงว่าตอนนั้นเยอะครับ จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:52:53 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Q: แปลกใจจัง ทำไมราคาน้ำมันแพงขนาดนี้แล้ว Stagflation ถึงไม่เกิดอีก? A: เท่าที่คิดออกตอนนี้นะครับ เหตุผลคือ แรกสุดเลยคือ 1.แม้ว่าราคาน้ำมันในปัจจุบันแม้จะสูงกว่าตอน Oil Shock ครั้งก่อนๆ ถึง 5 เท่า แต่ราคาในรูป Real term (ราคาที่แท้จริง หรือราคาที่หักผลของเงินเฟ้อออกไป ในที่นี้ใช้หักโดยอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐนะครับ) นั้น ราคาในปัจจุบันอยู่เท่าๆ กับเพียงตอน Oil Shock ครั้งก่อนเท่านั้นเองครับ นั่นแปลว่า ราคาน้ำมันในปัจจุบันที่ดูเหมือนว่าแพงมากๆ มันยังไม่ได้แพงมากเท่าไรครับ (เมื่อเทียบกับในอดีต) จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:53:19 ]

ความคิดเห็นที่ 11 2. การส่งผ่านผลของราคาน้ำมันไปยังเงินเฟ้อมันน้อยลงกว่าในอดีตครับ มีรายงานหลายชิ้นที่ศึกษาแล้วบ่งบอกอย่างนั้นครับ (รูปที่เอามาให้ดู เอามาจาก paper ของ JPMorgan นะครับ) คือแม้ว่าราคาจะเท่ากับตอน Oil Shock ครั้งก่อน แต่ผลของราคาที่ส่งไปยังเงินเฟ้อกลับน้อยลงกว่ามากๆ แปลเป็นไทยคือ เมื่อก่อนเวลาน้ำมันขึ้น 10% อาจทำให้ข้าวแกงขึ้น 10% ตามไปด้วย แต่ปัจจุบัน ถ้าน้ำมันขึ้น 10% อาจทำให้ข้าวแกงขึ้นเพียง 5% เท่านั้นเองครับ (ตัวเลขสมมตินะครับ) ระบบเศรษฐกิจจึงไม่โดนกระทบจากผลของราคาน้ำมันเท่าใดนัก ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก้อเพราะว่า... จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:53:47 ]

ความคิดเห็นที่ 12 3. ความสำคัญของน้ำมันต่อระบบเศรษฐกิจน้อยลงกว่าในอดีตครับ ดูจาก Oil Intensity (เอาการบริโภคน้ำมันในแต่ละปีหารด้วย GDP มันจะบอกว่า เพื่อให้ได้มาซึ่ง GDP 1 หน่วย เราใช้น้ำมันกี่หน่วย ยิ่งใช้น้ำมันน้อยเท่าไรในการสร้างรายได้ (GDP) ก้อยิ่งแสดงว่าเราใช้น้ำมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น) จะเห็นได้ว่า โลกใช้น้ำมันได้มีประสิทธิภาพขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนรถเราอาจจะวิ่ง 5 โลลิตร แต่ปัจจุบัน 10 โลลิตรนี่สบายๆ เครื่องจักรต่างๆ ก้อใช้น้ำมันได้ดีขึ้น เรามีระบบราง (รถไฟ) ที่พัฒนาขึ้น (เอ่อ ผมหมายถึงทั้งโลกนะครับ ไม่ใช่พี่ไทย ^^" ) เราเลยไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันในการเดินทางไปไหนมาไหน จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:54:13 ]

ความคิดเห็นที่ 13 Q: สรุปคือ ไม่ต้องกังวล Stagflation ยังไม่เกิด? A: ตามตัวเลขก้อต้องว่าไปอย่างนั้นครับ อย่างไรก้อตาม แม้ปัจจุบัน Stagflation จะยังไม่เกิดขึ้น แต่สถานการณ์ก้อน่าเป็นห่วงทีเดียว เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง แถมประเทศไทย เจอการเมืองไม่นิ่งเข้าไปอีก การลงทุนต่างๆ ก้อพากันหยุดหมด ทำให้ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอลงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งผมมองว่าเราอาจจะเจอปัญหา wage-price spiral ในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากตอนนี้ภาคธุรกิจที่โดนกดราคาสินค้ามาตลอดเริ่มปรับตัวไม่ไหวแล้ว (จากรูปที่ 5 ครับ CPI หารด้วย PPI ) ต่อให้ภาครัฐจะยืนกรานอย่างไร ถ้า margin ของภาคธุรกิจติดลบ (หรือแปลว่าขาดทุน) ตามต้นทุนที่แพงขึ้นต่อเนื่องนั้น เค้าก้อต้องขึ้นราคาสินค้าอยู่ดี ไม่งั้นเค้าก้อหยุดกิจการ ถึงตอนนั้นรัฐก้อคงห้ามอะไรไม่ได้ และถ้าราคาสินค้าสูงขึ้น คงไม่แปลกที่ลูกจ้างต่างๆ คงพากันเรียกร้องค่าแรงเพิ่มขึ้นอีก และถ้าปัญหา wage-price spiral เกิดขึ้นจริงๆ นั่นละครับ Stagflation ครั้งแรกในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย คงได้รับชมกันแน่ๆ ครับ ^^" จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:54:35 ]

ความคิดเห็นที่ 14 Q: แล้วถ้า Stagflation เกิด ภาครัฐควรแก้ปัญหานี้อย่างไร? A: ไม่ยากครับ ในทางทฤษฎีการแก้ปัญหา Stagflation ทำได้โดยเพิ่ม Aggragate Supply ในตลาดให้กลับมาเท่าเดิม เช่น น้ำมันหายจากตลาดไปครึ่งหนึ่ง (Supply Shock) ก้อทำไงก้อได้ ให้น้ำมันอยู่ในตลาดเท่าเดิม ( -_-" เอ่อ กำปั้นทุบดินไปหน่อยไหมเนี่ย) หรือถ้าทำไม่ได้ เราก้อต้องใช้น้ำมันเท่าที่มีเนี่ย ผลิตสินค้าอื่นๆ ให้ได้เท่าเดิม พูดอีกอย่างหนึ่งคือ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ได้มากขึ้นตามราคาน้ำมันที่เปลี่ยนไปครับ เช่น ถ้าราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นไปสองเท่า เราก้อต้องใช้น้ำมันลงไปสองเท่า (แต่ให้งานออกมาเท่าเดิม) แบบว่า ถ้าราคาน้ำมันเป็น 2 เท่า รถเราจากวิ่ง 10 โลลิตร ก้อต้องวิ่งให้ได้ 20 โลลิตร พูดเหมือนง่ายเนอะครับ แต่จริงๆ ยากมากเลย :) รัฐบาลจะต้องเข้ามาส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มากขึ้น เช่น ส่วนลดภาษีพร้อมสินเชื่อราคาถูกให้ภาคเอกชนนำไปปรับปรุงหรือซื้อเครื่องจักรใหม่ หรือการฝึกฝีมือแรงงานให้มีทักษะที่สูงขึ้น หรือไม่ก้อทุ่มเงินลงทุนในการพัฒนาและวิจัย (Research & Development: R&D) อย่างจริงจัง บลาๆๆ จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:55:03 ]

ความคิดเห็นที่ 15 Q: แล้วที่เค้าถกกันเรื่องดอกเบี้ยล่ะ ควรขึ้นดอกเบี้ย... A: หยุดดดดดดดดดดก่อนครับผม ผมขอจบกระทู้นี้ไว้แค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ ตอนแรกก้อว่าจะพูดตรงนี้เลย แต่เรื่องดอกเบี้ยมันมีอะไรให้พูดถึงเยอะมากๆ เพราะปัญหาของไทยในปัจจุบันไม่ใช่เพียงแต่น้ำมันแพงหรือ Stagflation อย่างเดียวเท่านั้น เลยขอตัดจบ (ปาหมอน ^^" ) ไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ เรื่องดอกเบี้ย ก่อนการประชุม กนง ครั้งหน้า (วันที่ 16 ก.ค.) จะมาเล่าให้ฟังครับ ว่าทำไมเค้าถึงต้องมาถกกัน แล้วในมุมมองของผม ผมเชียร์ฝ่ายไหน ขึ้นหรือคง (หรือลด) ดอกเบี้ยนโยบาย อดใจรอสักอาทิตย์นะครับ :) จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:55:19 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบนะครับ พบกันใหม่ อีกไม่นานครับ สวัสดีครับ จากคุณ : m_ple - [ 10 ก.ค. 51 01:55:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณครับ **************************************** ผมมองว่าเรากำลังเติมเชื้อฟืนให้เปลวไฟของภาวะเงินเฟ้อของโลกโตขึ้นเรื่อยๆ เศรษฐกิจสหรัฐฯแย่ลง หรือ Bernanke ลดดอกเบี้ย 1. เงินดอลลาร์ยิ่งไม่มีค่า   2. คนหันไปลงทุนในทองคำ และ Future น้ำมัน 3. ราคาน้ำมันดิบยิ่งเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ (เพราะการเก็งกำไร+ราคาเป็นดอลลาร์ซึ่งไม่มีค่า) 4. เงินยิ่งเฟ้อ สินค้ามีราคาแพงมากขึ้น 5. เศรษฐกิจยิ่งแย่ลง เพราะค่าใช้จ่ายภาคธุรกิจและครัวเรือนมากขึ้น คิดง่ายๆ คนเงินเดือน 2 หมื่นเคยใช้น้ำมันเดือนละ 2 พัน ตอนนี้ต้องจ่าย 8 พัน .......จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อของอย่างอื่น 6. คนยิ่งหันไปหาพลังงานทดแทน  โดยเฉพาะการนำอาหารคนมาใช้แทนน้ำมัน ทั้งในรูปของไบโอดีเซล และแอลกอฮอล์ 7. เมื่ออาหารคน (ข้าวโพด ข้าวสาลี น้ำมันปาล์ม ฯลฯ) ขาดแคลน เงินยิ่งเฟ้อ .......ดูราคา Grain Commodity ตั้งแต่ปี 2006 ก็ได้  กระทู้ที่แล้วเคยเอามาให้ดูแล้ว ความคิดเห็นที่ 5 + 10 1. แสดงว่าน้ำมันยังขึ้นไปได้อีก คงได้เห็นบาเรลละ US$ 170-200 2. ตัวเลขเงินเฟ้อของทางการ ผมว่าเป็นเรื่องโกหกประชาชน   คนที่ซื้อของใช้เองและช่างสังเกตคงจะตอบได้ว่าของแต่ละอย่างขึ้นราคากี่ % ต่อปี ความคิดเห็นที่ 6 Productivity ไม่ลดลง เป็นเพราะใช้คนน้อยลงหรือเปล่าครับ พูดง่ายๆ คือจ้างงานน้อยลง ทำให้คนที่เหลือต้องทำงานหนักขึ้น ความคิดเห็นที่ 7 เห็นด้วยครับ ความคิดเห็นที่ 8 ผมเคยเข้าใจว่า ทุกครั้งที่ต้นทุนผู้ผลิตเพิ่ม ราคาสินค้าปรับขึ้นไปรอแล้ว ขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ราคาสินค้าก็ปรับขึ้น ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ราคาสินค้าก็ปรับขึ้น ค่าน้ำมันขึ้น  ราคาสินค้าก็ปรับขึ้น ก๊าซหุงต้มขึ้นราคา ราคาสินค้าก็ปรับขึ้น ฯลฯ ความคิดเห็นที่ 12 ผมสงสัยว่าควรปรับฐานเงินให้เป็นปีเดียวกันหมดหรือเปล่าครับ เมื่อทุกประเทศตั้งเป้าเพิ่ม GDP ทุกปี  แต่ตัวเลขมันหลอกกันได้หรือเปล่าครับ Y = C+I+G+ (X-M) ถามว่าตัว G  ถ้ารัฐบาลพิมพ์เงินขึ้นหรือกู้เงินต่างประเทศ...แล้วนำมาใช้จ่ายล่ะ เค้านับรวมด้วยหรือเปล่าครับ แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 51 08:58:22 แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 51 08:42:36 จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 10 ก.ค. 51 02:21:58 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เรื่องเครียดๆ จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 10 ก.ค. 51 02:23:30 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ปักหมุดครับ พรุ่งนี้มาไล่อ่าน จากคุณ : :::GANTZ::: - [ 10 ก.ค. 51 02:25:46 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณครับ ละเอียดดีมากเลยครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 10 ก.ค. 51 06:31:04 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณครับ จากคุณ : Nirusl - [ 10 ก.ค. 51 07:24:15 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เขียนดีมากๆ โหวต! จากคุณ : Klead-Ma-Lang-Sabb - [ 10 ก.ค. 51 07:54:32 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณครับ โหวตครับ:) จากคุณ : kagi - [ 10 ก.ค. 51 08:19:47 ]

ความคิดเห็นที่ 24 สุดยอดครับ ถ้าจะกรุณา เขียนเรื่องดอกเบี้ยด้วยครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : view2306 - [ 10 ก.ค. 51 09:05:23 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อ่านทุกตัว อ่านทุกตอน ขอบคุณที่ให้ความรู้ จากคุณ : พ่อไม้ - [ 10 ก.ค. 51 09:06:57 ]

ความคิดเห็นที่ 26 โอ้โฮ ความรู้สุดๆ อย่างกับไปเรียนเศรษฐศาสตร์อีกรอบ จากคุณ : มะลิ บาน บาน - [ 10 ก.ค. 51 09:19:55 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อ่านแล้วปลง จากคุณ : Godgate - [ 10 ก.ค. 51 09:42:05 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ได้ความรู้มากครับ.. ขอบคุณครับ จากคุณ : นักลงพุง - [ 10 ก.ค. 51 09:50:48 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ ได้ความรู้มากๆ เลยครับ จากคุณ : dangerous - [ 10 ก.ค. 51 10:20:43 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณมากครับ ได้ความรู้มากเลยครับ จากคุณ : GoLfX - [ 10 ก.ค. 51 10:39:49 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ผมไม่เห็นด้วยตรงข้อ 4 ที่คนจะเร่งเอาเงินออกมาใช้ ทำให้เฟ้อเพิ่มครับ เพราะคราวนี้ไม่ได้เฟ้อจาก ศก ดี เงินหาง่าย แต่มันตรงกันข้าม - คนจะประหยัด ลดค่าใช้จ่าย เช่น ใช้ LPG/NGV แทนน้ำมัน - คนจะออมมากขึ้น (ถ้ารีบใช้วันนี้ พรุ่งนี้ไม่มีกินแน่) โดยหาผลตอบแทนมากที่สุด ดูจากกระทู้ในนี้ก็ได้ มีเงิน xxx ฝากที่ไหนดี , กองเกาหลีได้รับความนิยมมาก ฯลฯ จากคุณ : P166 - [ 10 ก.ค. 51 10:47:52 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อยากถามคุณ m-pleนะครับ เห็นหุ้นที่ลงทุนไม่ค่อย ตรงกับความสามารถที่แน่นด้วยความรู้ คือผมดู แปลกๆชอบกลเพราะผมไม่ได้สนใจหุ้นปั่นๆพวกนี้ เลยและผมก็ไม่ได้ค้นคว้าข้อมูลลึกขนาดนี้ หรือคุณm-pleลงหุ้นปั่นพวกนี้ด้วยเศษเงินและเพื่อสนุกๆ ถามดูเท่านั้นเองครับ ไม่มีอะไร serious จากคุณ : Juste - [ 10 ก.ค. 51 11:28:05 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณครับ จากคุณ : Livestock - [ 10 ก.ค. 51 13:38:26 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เข้ามาอ่าน..แต๊ง แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 51 13:58:38 จากคุณ : Alias_JS - [ 10 ก.ค. 51 13:57:02 ]

ความคิดเห็นที่ 35 "ในเดือนมกราคมปี 1979 เกิดการปฏิวัติอิหร่านนำโดย Ayatollah Khomeini  (อ่านไม่ออกอ่ะครับ)" สมัยก่อนได้ยินผู้ประกาศข่าวอ่านว่า อะยาตุเลาะห์ โคไมนี่ ซึ่งล้มซาร์แห่งอิหร่าน เพื่อก่อตั้ง รัฐอิสลาม ทำให้เปิดศึกกับอเมริกัน ตอนนั้น บิน ลาเดน ยังสุ่มหัวกับอเมริกาอยู่เลย อเมริกายังแอบช่วยอิรักให้เปิดศึกกับอิหร่านด้วย ขอบคุณเจ้าของกระทู้สำหรับความรู้ จากคุณ : Dollyjang - [ 10 ก.ค. 51 15:44:02 ]

ความคิดเห็นที่ 36 Thank you so much.. จากคุณ : Jonathan Livingston - [ 10 ก.ค. 51 15:47:46 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เข้ามาอ่านได้หน่อยช่วงบ่าย มาเจอ SET ขึ้นบ้าเลือด เลยต้องรีบไปเฝ้าจอ หัวใจเต้นตูมตามดีมาก พอดีเล่น TFEX หัวใจจะวายเอา ... ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ จากคุณ : จุย - [ 10 ก.ค. 51 17:19:26 ]

ความคิดเห็นที่ 38 รบกวนคุณ m_ple ว่างๆเมื่อไหร่ช่วยทำบทความวิเคราะห์พลังงานทดแทนหน่อยครับ อยากทราบว่าในความเป็นจริงพลังงานทดแทนต่างๆพวกเอทานอลมันคุ้มค่ากว่าน้ำมันไหม และจะสามารถเป็นพลังงานที่ยั่งยืนได้ไหมครับ สำหรับเรื่องราคาน้ำมันแพง ถ้ามองในแง่ประเทศไทย ผมมองว่าหากต้นทุนตรงน้ำมันเพิ่มขึ้น เราก็ต้องหารายได้เข้าประเทศมากขึ้น ซึ่งตรงนี้โชคดีที่ประเทศไทยมีผลิตผลเกษตรกรรม จำนวนมากและมีราคาขึ้นเหมือนๆกันพอจะทดแทนไปได้ เพราะฉะนั้นถ้ามองในแง่รวมของทั้งประเทศแล้ว ประเทศไทยยังไม่น่าเป็นห่วงมากนัก แต่หากราคาพืชผลมันขึ้นไม่ทันน้ำมัน ก็คงจะแย่เหมือนกัน จากคุณ : Tamจัง - [ 11 ก.ค. 51 00:03:27 ]

ความคิดเห็นที่ 39 1. ขอขอบคุณวิทยาทาน (เป็นทานที่นับวันจะหายาก) ที่เผื่อแผ่มาเป็นประจำ 2. คห.27ครับ ความรู้ทำให้เราสามารถวิเคราะห์ปัญหาอย่างถูกต้องได้ เมื่อวิเคราะห์ได้จะเข้าใจปัญหา จากนั้นปัญหาจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป อย่าเพียงแค่ปลงครับ 3. คห.32ครับ "ถามดูเท่านั้นเองครับ ไม่มีอะไร serious" ก็อย่าไปเครียดเลยครับ (คิดว่า) เป็นมุขขำๆแกมประชดเท่านั้น ก็เหมือนที่คุณm_ple บอกว่า "ออกแนวว่างงาน ไม่มีไรทำนะเนี่ย ทั้งที่จริงๆ งานเป็นภูเขาเลากา แต่ไม่มีอารมณ์ทำ" ผมว่านี่แหละงานของเค้า 4. ผมเองก็ว่างมาก เลยเกิดอาการคันปากมาตอบแทนคุณm_ple จากคุณ : ขอรับทาน (FREEhand drawer) - [ 11 ก.ค. 51 09:16:51 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณครับ จากคุณ : charlee-k - [ 11 ก.ค. 51 09:45:20 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เพิ่งมาอ่าน....  ขอบคุณมากครับ... แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 51 13:17:28 จากคุณ : helga - [ 11 ก.ค. 51 13:15:20 ]

ความคิดเห็นที่ 42 กระทู้ต่อไปนี้ ดร นิเวศน์ เข้าใจเหมือนผมครับ เรื่องเอทานอล http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I6758441/I6758441.html "การเอาพืชมาทำเป็นพลังงานนั้น ในทางทฤษฎี อย่างน้อยก็ในขณะนี้ เป็นสิ่งที่ยังไม่มีเหตุผล เพราะการปลูกพืชนั้นเราต้องใช้พลังงานเช่น ต้องเอารถมาไถหว่าน ต้องใส่ปุ๋ยซึ่งมาจากน้ำมัน ต้องรดน้ำ ต้องเก็บเกี่ยวที่ต้องใช้เครื่องจักร ต้องนำผลิตผลไปส่งที่โรงงาน และในโรงงานก็ต้องใช้พลังงานในกระบวนการผลิต เสร็จแล้วก็ต้องนำเอาเอธทานอลที่ได้ไปส่งที่ปั๊ม คิดแล้ว พลังงานที่ใช้ไปในการผลิตเอธทานอลหนึ่งลิตรนั้น เผลอ ๆ จะมากกว่าพลังงานที่ได้จากเอธทานอลหนึ่งลิตรด้วยซ้ำ" --------------------------------------------------------------- สหรัฐฯใช้ข้าวโพด-ถั่วเหลือง 30% ของกำลังการผลิตทั้งประเทศ ...มาผลิตเอทานอลเพื่อทดแทนน้ำมันแค่ 0.1% ของ Gasoline ที่ใช้ นอกจากจะแพงมากและสิ้นเปลืองพลังงานแล้ว .......ยังทำให้ธัญพืชทั่วโลกมีไม่พอเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงคน ราคาธัญพืชและเนื้อสัตว์...มันถึงขึ้นไปทุกอย่างไง จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 12 ก.ค. 51 09:10:18 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณครับสำหรับความรู้ที่ให้มา....จะเก็บไว้พัฒนาต่อยอดต่อไปครับ จากคุณ : poodprad - [ 12 ก.ค. 51 13:11:44 ]

ความคิดเห็นที่ 44 พี่เสี่ย m_ple แกพูดถึงแต่ SSE ตัวเดียวครับ (สงสัยมีวงใน โดยเฉพาะกับเด็กๆ ของเสี่ยไมด้า อิอิ) ตัวอื่นที่ได้กำไรปิดเงียบครับ ปล. รอเรื่องดอกเบี้ยเหมือนกันครับ จากคุณ : ปะป๋าน้องมุก - [ 13 ก.ค. 51 00:37:36 ]

ความคิดเห็นที่ 45 สวัสดีครับทุกท่าน ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ และขอบคุณอย่างที่สุด สำหรับทุกๆ เสียงโหวตนะครับ ^^ ขอตอบกระทู้เท่าที่สามารถนะครับ ^^" คห.17 พี่อภิมหาชาตบุตร ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นเพิ่มเติมนะครับ ความเห็นของพี่ที่ว่า "ผมมองว่าเรากำลังเติมเชื้อฟืนให้เปลวไฟของภาวะเงินเฟ้อของโลกโตขึ้นเรื่อยๆ" ผมถามกลับว่า ถ้า BOT ไม่ขึ้นดอกเบี้ย มันจะเติมฟืนให้เงินเฟ้อไทยหรือเปล่า? และจำให้เศรษฐกิจไทยแย่ลงไหม? :) อ่ะๆ เรื่องดอกเบี้ย รออีกกระทู้ดีกว่า (รีบปั่นสุดชีวิตอยู่ค้าบบ) เรื่อง Productivity ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก้อตาม มันเป็นเรื่องดีนะครับ อย่างน้อยคนที่ทำงานหนักขึ้น ก้อสามารถ cover คนที่ไม่ทำงานได้ครับ เรื่อง คห.12 รู้สึกว่าตัวเลขในนั้นเป็นปีฐานที่เท่ากันแล้วครับ หน่วยก้อเป็น usd เหมือนกันครับ หลักการคำนวณ GDP นี่ เราจะวัดกันในเชิงปริมาณนะครับ หรือตัว real GDP ซึ่งหักผลของราคา (เงินเฟ้อ) ออกไปแล้ว ถ้ารัฐมีการพิมพ์เงินเข้ามาเพิ่ม แต่ถ้าไม่สามารถทำให้ Q เพิ่มขึ้นได้ ผลของมันจะไปเจ๊ากับเงินเฟ้อไปครับ ทำให้ Real GDP ไม่เพิ่มขึ้นครับ ตัวเลขถ้าจะหลอกกันก้อคงทำได้มั้งครับ แต่ถ้าเราเชื่อแบบนั้นแล้ว เราคงวิเคราะห์อะไรไม่ได้เลยครับ :) ปล. ชอบรูปน้องซ่วง ซ่วง (หรือเปล่าครับ) มากเลยครับ น้องคนนี้นี่เปคอย่างแรง ^^" คห. 31 คุณ P166 Key Message ที่ผมต้องการจะสื่อคือ การที่ Real Interest Rate ติดลบ มันจะส่งผลต่อเงินเฟ้อครับ คำตอบของคุณ bullet ที่ 2 นั่นก้อตอบอย่างที่ผมต้องการจะสื่อแล้วครับ :) คห.32 คุณ Juste พอร์ทผมเล็กมากๆ ครับ เพราะฉะนั้น Luquidity สำหรับผม มันไม่จำเป็นเลย ผมจึงไม่เคยเล่นหุ้นใหญ่ครับ ผมเล่นหุ้นตัวเล็กๆ ด้วยเงินทั้งพอร์ทครับ เพราะคิดว่าโอกาสที่ตัวเล็กๆ จะติดลิ่ง มันมากกว่าหุ้นตัวใหญ่ๆ ครับ แต่ถามว่าตั้งแต่เล่นมา กำไรไหม? ขอตอบว่าขาดทุนมาตลอดครับ (ฮา) แต่มันเลิกไม่ได้ง่ะ ^^" คห.35 คุณ Dollyjang ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมครับ คห.38 คุณ Tamจัง ความเห็นของผมเรื่องพลังงานทดแทน ผมออกจะเห็นด้วยกับ ดร.นิเวศที่พี่อภิมหาชาตบุตร นำ link มาให้อ่านใน คห 42 ครับ อย่างไรก้อตาม ถ้ามีโอกาสจะลองศึกษามาให้อ่านกันครับ (แต่คงออกแนววิทยาศาสตร์เยอะไปหน่อย ซึ่งผมยอมรับว่าไม่สามารถเท่าไรครับ ^^" ) คห.44 พี่ปะป๋าน้องมุก ผมมีข่าววงนอกครับ เค้าว่าจ้าวจะลากตัวนี้กันก้อเลยเก็บๆ ไว้ แต่เผอิญข่าวผิดครับ เค้าจะลากลง ไม่ใช่ลากขึ้น ขอบคุณทุกๆ ความเห็นอีกครั้งครับ _/l\_ จากคุณ : m_ple - [ 13 ก.ค. 51 21:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ต้องตัวนี้ครับ  ถึงจะเป็นความหวังของพลังงานทดแทน สาหร่ายผลิตน้ำมัน อนาคตพลังงานโลก ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ : 30/4/2551 โดย : รองศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ มีอยู่               ราคาน้ำมันดิบโลกพุ่งทะยานเป็นประวัติการณ์ฉิวเฉียดบาร์เรลละ 120 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาน้ำมัน ในประเทศปรับรายวัน          วันที่ 28 เมษายน 2551 ราคาหน้าปัมเชลล์ ดีเซล ลิตรละ 33.44 บาท...เบนซิน ลิตรละ 34.99 บาท          เพื่อเป็นตัวช่วย แบ่งเบาภาระค่าน้ำมัน พลังงานทดแทน...พลังงานทางเลือก ไบโอดีเซล เอทานอล...น้ำมันปาล์ม สบู่ดำ น้ำมันพืชใช้แล้ว...จึงถูกจับตาเป็นพิเศษ          พืชพลังงานทดแทน อาจจะคุ้นกันอยู่แล้ว เป็น...พืชที่สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำมัน ได้ด้วยการคั้นโดยตรง แต่ยังมีกระบวนการเปลี่ยนเซลลูโลสพืช ให้เป็นสารทดแทนน้ำ มันด้วยกระบวนการเผาโดยไม่ใช้อากาศ          รองศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ มีอยู่ อาจารย์ประจำสาขาวิศวกรรมเคมี มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีมหานคร บอกว่า การเผาเซลลูโลส ซึ่งเป็นโพลิเมอร์ ทางธรรมชาติ ความร้อนจะแตกโครงสร้างทางเคมี          โมเลกุลที่ใหญ่จะเล็กลง กลายเป็น น้ำมัน กับ แก๊ส          กระบวนการแตกเซลลูโลสเป็นน้ำมัน ทำได้กับพืชทุกชนิด จะคุ้มหรือไม่ ก็ต้องดูต่อไปว่า พืชแต่ละชนิดมีน้ำเป็นองค์ประกอบมากน้อยแค่ไหน          “น้ำมาก เผาแล้วก็ได้น้ำมันน้อย”          อาจารย์วิษณุ บอกว่า น้ำมันที่ได้จากการแตกเซลลูโลส ไม่อยากให้เรียกว่าน้ำมัน ที่ถูกต้องควรเรียกว่า...สารเคมีชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงน้ำมัน          สารเคมีที่ได้จากพืชนี้ อนาคตจะนำไปตกแต่งทางเคมีให้มีคุณสมบัติเหมือนน้ำมันดีเซล เบนซิน โพลิเมอร์ พลาสติก ที่ขายกันอยู่...ก็ทำได้          “เมื่อถึงวันนั้น อาจเป็นวันที่น้ำมันดิบหมดไปแล้วจากโลก”          30-40 ปีที่แล้ว โลกมีแต่ถุงผ้า กระสอบป่าน ไม่มีถุงพลาสติก พอเกิด น้ำมันดิบ ดึงมาใช้ได้ ก็เปลี่ยนองค์ประกอบเคมีให้เป็นโพลิเมอร์ พลาสติก... อนาคตถ้าน้ำมันหมดโลก โลกยังมีถ่านหิน พืชที่ทำได้ ด้วยการเปลี่ยนโครงสร้าง ...ปฏิกิริยาทางเคมี          ประเด็นที่น่าสนใจวันนี้ น้ำมันแพง พืชพลังงานไปแย่งพื้นที่ปลูกพืช อาหารมนุษย์ เมื่อพืชอาหารขาดแคลน ก็เป็นปัญหาว่า...อนาคตจะดำเนินไปในทิศทางไหน          “แล้ว...มีพืชอย่างอื่นไหม ที่เป็นพืชพลังงานได้ คำตอบคือ...มี”          อาจารย์วิษณุ พุ่งเป้าไปที่ “สาหร่าย” ในต่างประเทศเริ่มวิจัยทำเป็น รูปร่างมาหลายปีแล้ว ทั้งสาหร่ายน้ำจืด น้ำเค็ม          “สาหร่ายก็สีเขียว ต้นไม้ก็สีเขียว มีเซลลูโลส ผลิตน้ำมันได้”          ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ทำนาน 4-5 ปีแล้ว สกัดสาหร่ายทำน้ำมัน ผสม แอลกอฮอล์ 30 เปอร์เซ็นต์ ใช้แทนน้ำมัน มีชื่อเรียกว่า ออยล์กี้...น้ำมันจากสาหร่าย          มุมมองนี้อาจจะใหม่สำหรับประเทศไทย จุดสำคัญพืชพลังงาน หลายคนตั้งคำถามที่ความคุ้ม สาหร่ายมีองค์ประกอบเป็นน้ำมาก กว่าจะทำให้น้ำมันได้มากๆจะคุ้มหรือ?          “จะคุ้มไม่คุ้ม ขึ้นอยู่กับเทคนิคการสกัดให้ได้น้ำมันซึ่งมีหลายวิธี”          จะเหลือกาก กากก็คือเซลลูโลส นำไปผ่านกระบวนการเผาโดยไม่ใช้อากาศ ที่อุณหภูมิ 450-650 องศาเซลเซียส นาน 2-3 ชั่วโมง ก็จะได้น้ำมันมาอีกส่วนหนึ่ง          ในขั้นทดลอง การสกัดเฮกเซน ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ได้สารแทนน้ำมัน มากน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของสาหร่าย ร้อยละ 10-15          กากที่เหลือนำไปเผาด้วยกระบวนการเผาไม่ใช้อากาศ จะได้สารแทนน้ำมัน ร้อยละ 20-30          “น้ำมันที่ออกมา อย่าคิดว่าเป็นน้ำมันพลังงาน...ให้มองถึงน้ำมันดิบที่มีองค์ประกอบ สารอินทรีย์มากมาย ก่อนนำไปกลั่นแยกได้เป็นเบนซิน ดีเซล พลาสติก...”          เปรียบเทียบน้ำมันสาหร่ายกับน้ำมันถั่วเหลือง ถั่วเหลืองสกัดน้ำมันได้มากกว่าอยู่แล้ว น้ำมันถั่วเหลืองเอาไปทำไบโอดีเซลได้ สาหร่ายสกัดออกมาผสมแอลกอฮอล์ตามสัดส่วน ก็ทำไบโอดีเซลได้เช่นกัน          น้ำมันที่ได้จาก 2 กระบวนการ มีคุณสมบัติเผาไหม้ ติดไฟได้ แต่ไม่ใช่ น้ำมันดีเซล...เบนซิน สารแทนน้ำมันในกระบวนการเผาเอาไปผสม 20-30% จะใช้เป็นน้ำมันเตาโรงงาน น้ำมันรถไถนา หรือใช้กับเครื่องยนต์เรือเดินทะเล ก็ทำได้          “ปริมาณน้ำมันต่อสาหร่ายไม่สูง สาหร่ายไม่ได้มีน้ำมันในตัวของตัวเอง แต่ทำให้มีน้ำมันออกมาได้ เพราะมีเซลลูโลส”          ในเชิงวิศวกรรม ไม่ได้ให้ความสำคัญว่าสาหร่ายสายพันธุ์ไหนให้น้ำมันมากน้อย แต่พุ่งเป้าไป ที่เทคนิคการสกัดอย่างไรใช้พลังงานน้อยที่สุด และได้น้ำมันมากที่สุด          กากที่เหลือจากกระบวนการขั้นสุดท้าย เป็นถ่านคุณภาพดี เผาไหม้สมบูรณ์ นำไปใช้เป็น พลังงานได้อีก          กระบวนการเผา หากนึกภาพไม่ออกให้คิดถึงหม้อหุงข้าว แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นในปิดฝาอากาศเข้า ไม่ได้ ผ่านความร้อนเผามาจากหม้อชั้นนอกไปเรื่อยๆ เซลลูโลสหรือพืชในหม้อจะสลาย ตัวเป็นน้ำมัน และมีแก๊สออกมาด้วย          ที่เป็นรูปร่างในเชิงการค้า คือ การเผาขยะพลาสติกรีไซเคิลกลับเป็นน้ำมัน ก็ใช้หลักการนี้ ได้น้ำมันออกมาถึง ร้อยละ 80          “เผาขยะพลาสติกให้เป็นน้ำมัน ไม่ใช่เทคนิคใหม่ อย่าไปตื่นเต้น น้ำมันที่ได้จากขยะ... บางส่วนเป็นเบนซิน บางส่วนเป็นดีเซล”          หลายปีที่แล้วน้ำมันราคาถูก เครื่องเผามีต้นทุนเผาขยะให้เป็นน้ำมันลิตรละ 17 บาท...ไม่มีใครสนใจ มาวันนี้...น้ำมันลิตรละกว่า 34 บาท ก็แย่งกันเผาเพื่อ ทำกำไรกว่าเท่าตัว...สะท้อนถึงแนวคิดนำสาหร่ายมาทำน้ำมัน          อาจารย์วิษณุ บอกอีกว่า เทคนิคนี้ภูมิปัญญาไทยทำมาแต่โบราณ การเผาถ่าน กลบไม่ให้ อากาศเข้า จะได้คราบเหนียวๆ ชาวบ้านเรียกว่า น้ำมันถ่าน          ดังนั้น เทคนิคการเผาแบบไม่ใช้อากาศไม่ได้ยุ่งยาก ปัญหามีเพียง ข้อเดียว ทำอย่างไรให้สาหร่ายโตได้เร็ว เก็บเกี่ยวได้เร็ว          ในแง่ผลผลิตน้ำมันต่อพื้นที่ สาหร่ายสูงกว่าพืชพลังงานทุกชนิด หมายความว่าใช้พื้นที่เท่ากัน สาหร่ายโตได้เยอะกว่า เพราะโตได้ทั้งพื้นที่ ในแง่ความลึก...ต่อปริมาณ ไม่ได้โตต่อตารางเมตร เหมือนต้นไม้ทั่วไปที่โตแค่บนผิว          ข้อมูลต่างประเทศ ปริมาณพืชน้ำมันต่อพื้นที่ปลูก 1 หน่วย Hectare ทานตะวันได้น้ำมัน 952 ลิตร ปาล์มได้น้ำมัน 5,950 ลิตร มะพร้าวได้น้ำมัน 2,689 ลิตร          สาหร่าย...ได้น้ำมันสูงถึง 100,000 ลิตร          คิดเปอร์เซ็นต์ให้น้ำมันเฉลี่ยต่อน้ำหนักพืชขณะแห้ง สบู่ดำให้น้ำมัน 40-55%, ถั่วเหลือง 20%, ทานตะวัน 55%, ปาล์ม 50%, ข้าวโพด 7%, สาหร่าย 15-40%          ในอนาคต สาหร่ายคือ ทางเลือกใหม่ของพืชพลังงาน          อาจารย์วิษณุ บอกว่า วันนี้ ไทยแค่เริ่มต้น ต้องมองว่า...ศักยภาพของสาหร่ายมีมากมหาศาล ปลูกได้ในน้ำซึ่งมีพื้นที่ 2 ใน 3 ของโลก          ในน้ำไม่ต้องแย่งพื้นที่ปลูกกับใคร ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน สาหร่าย เจริญเติบโตดีได้ทั้งปี ยิ่งเป็นข้อเด่นกว่าต่างประเทศ          อาจไม่ต้องพูดถึงสาหร่ายธรรมชาติ เอาแค่ในบ่อบำบัดน้ำเสีย หากหาสายพันธุ์สาหร่าย ที่เจริญเติบโตได้ดีหลายๆกลุ่มมาเลี้ยง ไม่ต้องแย่งเนื้อที่ใคร แถมไม่ต้องเสียค่ายา ค่าปุ๋ยเลี้ยงดู          อีกประโยชน์ของสาหร่าย ดึงคาร์บอนไดออกไซด์ ลดปริมาณแก๊สเรือนกระจก ดูดซับโลหะหนัก บำบัดน้ำเสีย...ยิ่งทวีคุณค่ามหาศาล          “เรารู้ว่าพืชทุกชนิดผลิตน้ำมันได้ ก็หาวิธีสกัดน้ำมันออกมา ได้น้ำมันมาทำไบโอดีเซล...พืชชนิด ไหนเอาไปเผาได้น้ำมัน ก็ทำกันไป พูดถึงพืชพลังงาน ทำไมต้องมองแค่ยูคาลิปตัส สบู่ดำ ปาล์ม...ปัญหาที่ต้องมอง คือ ความเหมาะสมทั้งระบบในแต่ละพื้นที่”          ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม จำเป็นต้องใช้น้ำมัน ยุคน้ำมันแพงอย่างนี้ อยากให้มองหลายๆพลังงานทางเลือก เพื่อเป็นทางออกยามฉุกเฉิน          โซลาร์เซลล์มีมาเนิ่นนานแล้ว ทุกคนรู้ว่าต้นทุนแพง...ไม่คุ้มค่า แต่ต่างประเทศก็ใช้แพร่หลาย ประเทศแถบยุโรปมีพลังงานนิวเคลียร์...ทำไมไม่ใช้เพียง อย่างเดียว ก็เพราะเขาต้อง การกระจาย ความเสี่ยงด้านพลังงาน วันใดที่พลังงานอย่างหนึ่งอย่างใดมีปัญหา จะได้มี พลังงานอื่นเข้ามาเสริม          “สิ่งที่คิดกันวันนี้ หลายคนอาจยังมองไม่เห็นความเป็นไปได้ แต่ในวันหน้าอาจ เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่ทุกคนต้องพึ่งพิง” จากคุณ : misery - [ 14 ก.ค. 51 21:05:51 ]

ความคิดเห็นที่ 48 อืมม ผมอาจจะพูดไม่ชัดเจนที่ว่า  "มองว่าเรากำลังเติมเชื้อฟืนให้เปลวไฟของภาวะเงินเฟ้อของโลกโตขึ้นเรื่อยๆ" จริงๆ ผมหมายถึงการที่ Bernanke ลดดอกเบี้ย การนำอาหารคนมาเป็นพลังงาน ฯลฯ ส่วนที่คุณ m_ple ถามว่า "ถ้า BOT ไม่ขึ้นดอกเบี้ย มันจะเติมฟืนให้เงินเฟ้อไทยหรือเปล่า? และจำให้เศรษฐกิจไทยแย่ลงไหม?" ผมว่านะ  การแก้ปัญหาเงินเฟ้อมันไม่ได้มีวิธีเดียวหรอก จริงมั๊ยครับ การขึ้นดอกเบี้ยมันง่ายนะ  มันจะแก้ไขเงินเฟ้อได้แน่หรือ .....แล้วถ้าทุกประเทศพร้อมใจกันขึ้นดอกเบี้ยแข่งกันล่ะ แต่ผลเสียที่ตามมาจากการขึ้นดอกเบี้ยนี่สิ -การลงทุนลดลง -เศรษฐกิจหดตัว ถดถอย หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตาม -คนที่มีหนี้ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น -หนี้เสียเพิ่มขึ้น ......... NPL ในแบงค์เพิ่มขึ้น -ต้นทุนการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น.....สุดท้ายก็ต้องขึ้นราคาสินค้า ยังไงก็ตามผมว่าแบงค์ชาติต้องขึ้นดอกเบี้ยแน่ๆ  ประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ก็คงจะขึ้น ตามตำราเศรษฐศาสตร์เค้าบอกว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันจริงมั๊ยครับ -ดอกเบี้ย -เงินเฟ้อ -อัตราแลกเปลี่ยน -อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นไปได้มั๊ยครับ.......ถ้ารัฐบาลจะออกพันธบัตรใหม่โดยให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นกว่าฝากประจำ 1-2% .........เพื่อดึง Supply ของเงินออกนอกระบบ  ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของการขึ้นดอกเบี้ย โดยไม่ต้องให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจและดอกเบี้ยเงินกู้ของประชาชนโดยทั่วไป ผมอยากทราบว่า วิธีแก้ cost-push inflation ซึ่งเกิดเพราะ Supply shock  มีวิธีอื่นมั๊ยครับ นอกจากการขึ้นดอกเบี้ย ผมมองว่าถ้าเราสามารถลดต้นทุนสินค้าประเภทอาหารและพลังงานได้ .......................เงินเฟ้อก็จะลดลง บางประเทศจำกัดเพดานราคาสินค้า ราคาน้ำมัน บางประเทศให้ประชาชนหันไปบริโภคอาหารที่ราคาถูกกว่า ..........แล้วส่งออกอาหารที่แพงกว่า เช่น ประเทศเพื่อนบ้านเรา ส่งออกข้าวชั้นดี แล้วประชาชนบริโภคข้าวหักๆแทน สุดท้ายขอให้กำลังใจคุณ m_ple ด้วยกระทู้ข้างล่างนี้ครับ http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2006/12/A4966912/A4966912.html จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 15 ก.ค. 51 06:29:42 ]

ความคิดเห็นที่ 49 รอเรื่องดอกเบี้ยจากคุณ m-ple อย่างใจจดจ่อครับ จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร - [ 15 ก.ค. 51 10:25:29 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เข้ามาอ่าน แล้วก็โหวต ครับ ... จากคุณ : ค้นหา - หนทาง - [ 15 ก.ค. 51 10:50:15 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณ คห.ที่ 47 ครับ เห็นภาพเลยครับ จากคุณ : Tamจัง - [ 15 ก.ค. 51 21:58:35 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เรื่องดอกเบี้ย ขอเรียนเชิญทุกท่านที่กระทู้นี้นะครับ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I6801881/I6801881.html ปล. ขอบคุณ คุณ misery สำหรับบทความเกี่ยวกับพลังงานทดแทนนะครับ ปล2. ขอบคุณพี่อภิมหาชาติบุตรมากครับ สำหรับคลังแสงน้องซวง ซวง เอ้ยย ความคิดเห็นเกี่ยวกับดอกเบี้ยครับ อย่างไรก้อดี เชิญที่อีกกระทู้นะครับ มีตัวเลขมาให้ถกกันด้วย ^^ แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 51 14:07:13 จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:52:43 ]

ความคิดเห็นที่ 53 มีใครเคยได้ยินเรื่องเศรษฐกิจไม่พึงพาน้ำมัน บ้างมั้ยครับ อยากรู้ จากคุณ : THE_NGAK - [ 16 ก.ค. 51 11:51:33 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ขออนุญาตนำรูปภาพเเละข้อความไปทำรายงานส่ง อ. นะครับ ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : spangkbu - [ 17 ก.ค. 51 00:44:33 ]

ความคิดเห็นที่ 55 จับเท็จ ปตท. กรณี “นำเข้าก๊าซหุงต้ม” http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000084819 จากคุณ : GABLIEL - [ 19 ก.ค. 51 08:53:26 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เข้าใจง่ายดี ขอบคุณที่แชร์ครับ โหวตให้แล้วนะครับ จากคุณ : Freedom and Justice - [ 19 ก.ค. 51 10:50:14 ]

ความคิดเห็นที่ 57 อยาดุลลอห์ โคไมนี (Ayatollah Khomeini) อ้างอิงจากบทความนี้ http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2004q4/article2004dec21p6.htm อิหร่านกับปัญหาการพัฒนานิวเคลียร์ โดย ดลยา เทียนทอง นักวิจัยประจำสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  มติชนรายวัน  วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9782 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านได้กลายเป็นประเด็นปัญหาความมั่นคงระหว่างประเทศ ที่สร้างความหวั่นวิตกไม่น้อยให้แก่ประชาคมโลก เมื่อสหรัฐซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอิหร่านมายาวนาน นับตั้งแต่อิหร่านปฏิวัติอิสลามในปี 1979 ออกมาระบุว่าอิหร่านกำลังลักลอบพัฒนาโครงการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม เพื่อการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ แต่อิหร่านปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐ และตอบโต้ว่าโครงการพัฒนายูเรเนียมของตน เป็นไปเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า จากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ หรือเป็นการใช้พลังงานนิวเคลียร์อย่างสันติเท่านั้นมิใช่เพื่อการอื่น อย่างไรก็ตาม สหรัฐไม่ปักใจเชื่อ และพยายามผลักดันให้ IAEA (International Atomic Energy Agency) หรือทบวงการปรมาณูระหว่างประเทศ เข้าตรวจสอบอย่างละเอียด นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ IAEA ใช้มาตรการต่างๆ กดดันอิหร่านให้ยกเลิกโครงการดังกล่าวทั้งหมด แต่อิหร่านแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยกเลิก พร้อมกับยินดีจะเปิดการเจรจา กับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวมทั้งจะให้ IAEA เข้าตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งภายหลังผลการตรวจสอบของ IAEA ในระหว่างปี 2002-2003 พบว่ายังมีข้อสงสัยหลายประการ เกี่ยวกับปริมาณที่แน่ชัดของยูเรเนียมและขั้นตอนการดำเนินการบางอย่าง ส่งผลให้นายโมฮัมเหม็ด เอลบาราเด (Mohamed EI-Baradci) ผู้อำนวยการ IAEA ต้องออกมาร้องขอให้อิหร่านพักโครงการต่างๆ เกี่ยวกับยูเรเนียมเอาไว้ก่อนเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดไปมากกว่านี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ รัฐสภาอิหร่านซึ่งมีเสียงสนับสนุน 247 คะแนนจาก 290 คะแนน เพิ่งจะได้ผ่านกฎหมายกำหนดให้รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาโครงการยูเรเนียมต่อไปแล้วก็ตาม ความน่าสนใจที่เกิดขึ้นขณะนี้คือ ข้อกล่าวหาของสหรัฐ และการออกมาปฏิเสธตอบโต้ของอิหร่านอย่างไหนมีน้ำหนักมากกว่ากัน ประการแรก หากพิจารณาโดยคล้อยตามข้อกล่าวหาของสหรัฐ เหตุผลที่น่าจะรองรับได้นอกเหนือจากเอกสารรายงานของ IAEA ภายหลังเข้าไปตรวจสอบในปี 2002-2003 ก็คือ สหรัฐอาจจะรับรู้มาตั้งแต่แรกแล้วที่อิหร่านดำเนินโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ควบคู่กับโครงการพัฒนานิวเคลียร์เพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้าก็เป็นได้ แต่ปกปิดเอาไว้ โดยสหรัฐอาจทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดให้ในเบื้องต้น เพราะในช่วงเวลานั้น ต่างฝ่ายต่างมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นต่อกันบนผลประโยชน์ระหว่างประเทศที่ลงตัว นั่นคือ สหรัฐจะได้ประโยชน์โดยตรงในแง่เม็ดเงินจำนวนมหาศาลจากการขายเทคโนโลยีและวัตถุดิบนิวเคลียร์ให้ และที่สำคัญในแง่ยุทธศาสตร์ อิหร่านจะเป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ให้กับสหรัฐ อีกทั้งจะเป็นพันธมิตรทางการเมืองในการเสริมสร้างอิทธิพลให้กับสหรัฐ ในภูมิภาคตะวันออกกลางมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นยุคแห่งสงครามเย็น สหรัฐจำเป็นต้องอาศัยอิหร่าน นอกเหนือจากตุรกีเพื่อสกัดกั้น (contain) การขยายตัวลงทางใต้ของสหภาพโซเวียต ขณะที่อิหร่านก็จะได้รับประโยชน์ 2 ต่อ ทั้งในทางเศรษฐกิจและความมั่นคง กล่าวคือ ในขั้นแรกอิหร่านสามารถใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น และต่อไปก็จะสามารถพัฒนา ให้เป็นอาวุธที่มีอานุภาพสูงได้อีกด้วย อันจะเป็นการเสริมส่งให้อิหร่าน กลายเป็นประเทศมหาอำนาจ ที่มีบทบาทนำในภูมิภาคอย่างแท้จริง ทั้งยังจะเป็นการข่มขวัญอิรัก ซึ่งเป็นภัยคุกคามใกล้ตัวที่สำคัญของอิหร่าน นอกเหนือจากอิสราเอล แต่ครั้นเมื่ออิหร่านมีการปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์ไปสู่การใช้กฎหมายอิสลาม เป็นหลักในการปกครองประเทศ อย่างเคร่งครัดในปี 1979 ภายใต้การนำของ[B]  อยาดุลลอห์ โคไมนี (Ayatollah Khomeini) [/B] โดยยึดแนวทางต่อต้านตะวันตก และสหรัฐอย่างสิ้นเชิง ทำให้โครงการพัฒนานิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นต้องหยุดชะงักลง ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจวบจนถึงปัจจุบัน อิหร่านกับสหรัฐ ก็แตกแยกไม่ลงรอยกัน สหรัฐประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน การดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันยุติลง ต่างฝ่ายต่างเป็นศัตรูกันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการเกิดสงครามอิรัก-อิหร่าน ช่วงปี 1980-1988 สหรัฐหันมาอยู่ข้างอิรักอย่างเต็มที่ โดยสนับสนุนทั้งเงินช่วยเหลือและอาวุธยุทโธปกรณ์ ขณะที่อิหร่านมีเกาหลีเหนือและจีนเป็นผู้ขายอาวุธรายใหญ่ กระทั่งเกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 ซึ่งสหรัฐเชื่อมั่นว่ากลุ่มอัลเคด้า(AI-qaida) ของโอซามา บิน ลาเดน (Osama Bin laden) เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุวินาศกรรมดังกล่าว จนเมื่อเข้าสู่ปี 2002 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช (George W. Bush) ผู้นำสหรัฐก็ได้ออกมาประกาศว่าอิรัก อิหร่าน และเกาหลีเหนือเป็นแกนแห่งความชั่วร้าย (Axis of Evil) ทั้งยังระบุอีกด้วยว่าอิรักและอิหร่านอาจมีส่วนโยงใยกับกลุ่มอัลเคด้า(AI-qaida) ภายหลังจากนั้นในปีถัดมา สหรัฐก็ได้ส่งกำลังทหารบุกโจมตีอัฟกานิสถาน ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของอิหร่าน เพื่อโค่นล้มรัฐบาลทาลิบัน (Taliban) ต่อมาในเดือนมีนาคมปี 2003 สหรัฐก็ได้ส่งกำลังทหารบุกยึดอิรัก ประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกันทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิหร่าน เพื่อโค่นอำนาจซัดดัม ฮุสเซน และแม้ว่าในขณะนี้จะบรรลุเป้าหมายแล้ว แต่สหรัฐและพันธมิตรก็ยังคงกองกำลังบางส่วนอยู่ในพื้นที่ของอัฟกานิสถาน และอิรักต่อไป ดังนั้น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับสหรัฐภายหลังการปฏิวัติอิสลาม ผนวกกับนโยบาย และท่าทีของสหรัฐ ในระยะหลังเหตุการณ์ 9/11 เป็นไปต้นมา จึงอาจส่งผลให้อิหร่าน เกิดความไม่ไว้วางใจและเกรงการคุกคามจากสหรัฐ เพราะนับวันสหรัฐจะเข้ามาใกล้อิหร่านมากขึ้นทุกขณะ ผลที่ตามมาคือ อิหร่านอาจจะสานต่อ โครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์จากเดิมที่สหรัฐ เคยช่วยดำเนินการไว้ในตอนแรกก็เป็นได้ ทั้งนี้ ก็เพื่อมีไว้ป้องกันประเทศหากต้องถูกโจมตี โดยที่สหรัฐคาดว่าการสานต่ออาจเกิดขึ้นโดยอาศัยความร่วมมือจากเกาหลีเหนือ ปากีสถาน จีน หรือแม้แต่รัสเซีย และอาจเป็นไปได้ว่าการสานต่อโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มีขึ้นตั้งแต่ช่วงการเกิดสงครามอิรัก-อิหร่านแล้ว แต่การศึกษาพัฒนาน่าจะมีความชัดเจนและก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้สหรัฐอยู่เฉยไม่ได้จำต้องออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน เพื่อหวังจะกดดันให้อิหร่านยกเลิกโครงการดังกล่าวทั้งหมด โดยอาศัย IAEA เป็นกลไกสำคัญ นอกจากนี้ ยังจะเป็นการสร้างความชอบธรรมในการตอกย้ำ ให้อิหร่านมีพฤติกรรมในทางลบอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ในสายตาชาวโลก ประการที่สอง หากการออกมาปฏิเสธตอบโต้ของอิหร่านมีความน่าเชื่อถือ ก็อยู่บนเหตุผลที่ว่าอิหร่าน มีความจำเป็นในการผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างแท้จริง โดยไม่มีสิ่งใดแอบแฝง เนื่องจากในสถานการณ์ปัจจุบัน ความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศของของอิหร่านเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าที่ประเมินไว้ อัตราการเติบโตของประเทศเพิ่มจากร้อยละ 6 เป็นร้อยละ 8 และประมาณการว่าประชากรอิหร่านจะสูงถึง 100 ล้านคนในปี 2025 ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์ว่านับตั้งแต่ปี 1979 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศ เพิ่มมากกว่าร้อยละ 280 ซึ่งถ้าแนวโน้มยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป การพึ่งพาเฉพาะน้ำมันซึ่งเป็นทรัพยากรหลักของประเทศ ในการให้พลังงานไฟฟ้าก็จะไม่เพียงพอ นอกจากนี้ การผลิตน้ำมันจากเดิม(ก่อนการปฏิวัติอิสลาม) ที่เคยได้ 5.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปัจจุบันก็ลดลงเหลือ 3.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันในประเทศมีข้อจำกัด การลงทุนจากต่างชาติ ในอุตสหกรรมประเภทนี้ลดลง เพราะเหตุว่าได้รับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐ และตะวันตกบางประเทศ ซึ่งเป็นไปได้ว่าในราวปี 2010 อิหร่านอาจจะกลายเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันแทนก็เป็นได้ หากยังไม่สามารถนำพลังงานอื่นมาใช้ทดแทนในการผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างไรก็ดี มีการทักท้วงว่าอิหร่านไม่ใช่มีแค่น้ำมันเป็นทรัพยากรหลักเท่านั้น หากอิหร่านยังมีก๊าซธรรมชาติ ในปริมาณมหาศาลจัดเป็นอันดับสองของโลก รองจากรัสเซียเลยทีเดียว จึงน่าจะมีการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่า ก่อนที่จะมุ่งไปที่การใช้พลังงานนิวเคลียร์ แต่จากการศึกษาวิจัย โดยนักวิชาการจากสถาบัน MIT เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันมีราคาสูงกว่าเมื่อเปรียบกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์ และที่สำคัญยังอาจจะส่งผลกระทบต่อปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติในอีก 20-30 ปีข้างหน้า การใช้พลังงานนิวเคลียร์จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ดังนั้น ในปี 2003 ประธานาธิบดีมูฮัมหมัด คอตามิ (Mohammad Khatami) จึงได้ประกาศแผนการของอิหร่าน ที่จะพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ รวมถึงการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมไว้ใช้เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าให้ได้ประมาณ 1,000 เมกะวัตต์ จากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เมืองบัชเชอร์ และคาดว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าจะพัฒนาให้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าให้ได้ราว 6,000 เมกะวัตต์ ซึ่งประธานาธิบดีคอตามิยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า รัสเซียเป็นอีกประเทศที่เต็มใจจะสนับสนุนเชื้อเพลิงนิวเคลียร์แก่อิหร่านเพื่อการนี้มากขึ้น โดยที่ผู้นำของอิหร่านได้ประกาศเน้นย้ำว่าการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเป้าหมายไปสู่อาวุธนิวเคลียร์ และได้ตระหนักว่าการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในลักษณะขาดมนุษยธรรม ไร้ศีลธรรมจริยธรรม และผิดกฎหมายเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานของอิหร่านโดยแท้ นอกจากนี้ อิหร่านจะยังคงให้การสนับสนุนสนธิสัญญา NPT ต่อไป และพร้อมทุกเมื่อที่จะให้ความร่วมมือกับ IAEA ในการเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งล่าสุด อิหร่านได้ตอบตกลงคำเชิญอย่างเป็นทางการของ IAEA ที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศ ในการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับกระบวนการผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงอาจเป็นการสะท้อนให้เห็นความบริสุทธิ์ใจของอิหร่านในการกล้าเปิดเผยตนเอง พร้อมกับยินยอมให้ภายนอกเข้ามาตรวจสอบอย่างโปร่งใส เพราะอิหร่านมั่นใจว่าการใช้พลังงานนิวเคลียร์อย่างสันติเป็นสิทธิและอธิปไตยแห่งรัฐที่จะดำเนินการได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ในหลายประเทศก็ดำเนินการมาแล้ว ฉะนั้น ข้อกล่าวหาของสหรัฐต่ออิหร่านจึงอาจเป็นการบิดเบือนก็เป็นได้ กระนั้นก็ตาม ไม่ว่าน้ำหนักความเชื่อจะอยู่ที่ฝ่ายไหน ในที่สุดแล้วปัญหาการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะยืดเยื้อและก่อให้เกิดความขัดแย้งตามมา ก็ได้ข้อยุติเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยนายคามาล คาห์รัซซี (Kamal Kharrazi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้ประกาศว่าอิหร่าน จะหยุดพักการดำเนินโครงการต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวกับการเสริมสร้างสมรรถนะยูเรเนียม ซึ่งอิหร่านได้แจ้งไปยัง IAEA แล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน และขณะนี้ คณะผู้ตรวจสอบของ IAEA กำลังอยู่ในระหว่างพิสูจน์ว่า มีการระงับดำเนินการโครงการแปรรูปยูเรเนียมไว้จริงหรือไม่ อย่างไรก็ดี แม้ว่าข้อยุติดังกล่าวดูจะทำให้เกิดบรรยากาศความตึงเครียดเบาบางลง แต่ทว่ายังคงเป็นเพียงทางออกชั่วคราวเท่านั้น เพราะอิหร่านจะหยุดพักการดำเนินการไว้แค่ 3 เดือน และหลังจากนั้นจะหันมาพิจารณาอีกทีว่าการหยุดพักดังกล่าวให้ผลดีหรือผลเสียต่อประเทศชาติ ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้อิหร่านยินยอมที่จะหยุดพัก โครงการเสริมสร้างสมรรถนะยูเรเนียมไว้ระยะหนึ่ง ไม่ใช่เกิดจากความเกรงกลัวต่อคำขู่และท่าทีอันแข็งกร้าวของสหรัฐ แต่เป็นเพราะ แรงกดดันจากอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ชาติมหาอำนาจทั้งสามใน EU ซึ่งได้เปิดการเจรจากับอิหร่านมาหลายรอบแล้ว และคาดว่าในกลางเดือนธันวาคม EU จะเปิดการเจรจากับอิหร่านในเรื่องนี้อีกรอบ อันเป็นการส่งสัญญาณบ่งบอกที่ชัดเจนว่า EU จะเป็นตัวตั้งสำคัญต่ออิหร่านนับจากนี้ไป!! หน้า 7 จากคุณ : alien Flu - [ 22 ก.ค. 51 18:16:51 ]

ความคิดเห็นที่ 58 พระเจ้าชาห์ แห่งอิหร่าน  ไม่ใช่พระเจ้าซาร์ กระมังคะ จากคุณ : สาวน้อยลอยเรือ (aeroflex) - [ 22 ก.ค. 51 19:24:05 ]