ความคิดเห็นที่ 1 Q: นโยบายเศรษฐกิจมหภาคคืออะไร? A: มาปูพื้นฐานกันย่อๆ เกี่ยวกับเรื่องนโยบายเศรษฐกิจนิดหนึ่งนะครับ เราสามารถแบ่งนโยบายเศรษฐกิจได้ 2 ชนิดใหญ่ๆ ดังนี้คือ 1. นโยบายการเงิน (Monetary Policy) เคยพูดไว้ในกระทู้เก่าๆ เยอะแล้วนะครับ ขอสรุปสั้นๆ ว่า เป็นนโยบายที่ใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงิน ประเทศไทยมีเป้าหมายทางการเงินคือ การควบคุมให้เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ (Inflation Targeting) คือ 0 - 3.5% ต่อปี เครื่องมือทางการเงินของเราคือ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งในที่นี้คือ อัตราดอกเบี้ย RP1 วันนะครับ โดยองค์กรที่รับผิดชอบเรื่องนี้คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงค์ชาตินั่นเองครับ แปลเป็นภาษาชาวบ้านคือ แบงค์ชาติจะใช้ดอกเบี้ยนโยบาย (คือ ขึ้นหรือลด) เพื่อทำให้เงินเฟ้ออยู่ระหว่าง 0 - 3.5 ให้ได้ครับ ซึ่งจะมีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิจากแบงค์ชาติ 3 ท่านและจากองค์กรต่างๆ อีก 4 ท่าน จะมาประชุมกันทุกๆ 6 สัปดาห์ พร้อมกับตัดสินใจว่า ในช่วง 6 สัปดาห์ต่อจากนี้ อัตราดอกเบี้ยควรเป็นเท่าไรครับ 2. นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) เป็นนโยบายที่รัฐบาลใช้ในการกระตุ้น ผลักดัน ให้เศรษฐกิจเติบโตไปยังทิศทางที่ต้องการครับ เครื่องมือที่ใช้ ตัวหลักๆ ก้อ เงินภาษี งบประมาณกับกฏหมายครับ องค์กรที่รับผิดชอบก้อคือ รัฐบาลครับ นำโดยกระทรวงการคลัง แปลเป็นภาษาชาวบ้านคือ รัฐบาลจะใช้เครื่องมือทุกอย่างที่มีอยู่ เท่าที่กฏหมายอนุญาตให้ใช้ นำไปกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตตามที่ต้องการครับ กระทู้นี้จะมาถกเรื่องดอกเบี้ยใช่ไหมครับ ซึ่งก้อคือนโยบายการเงินนั่นเองครับ เราจะมาคุยกันว่า แบงค์ชาติควรดำเนินนโยบายการเงินอย่างไร ขึ้นหรือคงหรือลด ดอกเบี้ย จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:33:02 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Q: แล้วขึ้นหรือคงหรือลดเนี่ย มันกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไรเหรอ? A: โดยปกติแล้ว การขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ เศรษฐกิจชะลอตัว และ เงินเฟ้อลดลง ครับ ส่วนการลดดอกเบี้ยก้อจะส่งผลในทางตรงกันข้าม คือ เศรษฐกิจจะขยายตัว และเงินเฟ้อก้อจะเพิ่มขึ้น กลไกลการทำงานของมันคร่าวๆ เป็นแบบนี้ครับ (ลองคิดตามด้วยนะครับว่า make sense ไหม) แบงค์ชาติขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย --> ต้นทุนทางการเงินของ ธพ. เพิ่มขึ้น --> ธพ ขึ้นดอกเบี้ย --> ต้นทุนการกู้ยืมของประชาชนและธุรกิจเพิ่มขึ้น --> รายจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น --> รายได้ที่จะเอาไปซื้อของอื่นๆ และกำไรสุทธิลดลง --> เศรษฐกิจชะลอตัว --> คนไม่มีตังค์ซื้อสินค้า --> ราคาสินค้าลดลง --> เงินเฟ้อลดลง ในทางตรงกันข้าม แบงค์ชาติลดดอกเบี้ยนโยบาย --> ต้นทุนทางการเงินของ ธพ. ลดลง --> ธพ ลดดอกเบี้ย --> ต้นทุนการกู้ยืมของประชาชนและธุรกิจลดลง --> รายจ่ายดอกเบี้ยลดลง --> รายได้ที่จะเอาไปซื้อของอื่นๆ และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น --> เศรษฐกิจขยายตัว --> คนมีตังค์จับจ่ายใช้สอย --> ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น --> เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:33:21 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Q: แล้วเค้าคิดอย่างไรว่า ควรจะขึ้นหรือจะลดดอกเบี้ยอ่ะ? A: ผมเคยเล่าให้ฟังนานแล้วครับ ว่าแบงค์ชาติเราใช้ Inflation Targeting เป็นเป้าหมายนโยบายทางการเงิน กล่าวคือ แบงค์ชาติจะให้ความสำคัญของปัญหาเงินเฟ้อเป็นอันดับแรก และจะใช้เครื่องมือที่ตัวเองมีอยู่ ซึ่งก้อคืออัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ (ในกรณีที่เงินเฟ้อเกิดปัญหานะครับ) กรอบวิธีการตัดสินใจของแบงค์ชาติก้อคือ เมื่อเงินเฟ้อเป็นปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจ แบงค์ชาติจะขึ้นดอกเบี้ย (หรือบางท่านอาจจะได้ยินคำว่านโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Tight Monetary Policy)) เพื่อทำให้เงินเฟ้อลดลงครับ ในกรณีที่แบงค์ชาติเห็นว่า เงินเฟ้อยังไม่เป็นปัญหา แบงค์ชาติอาจจะลดอัตราดอกเบี้ย (หรือใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Easy Monetary Policy)) เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขึ้นครับ อย่างไรก้อตาม แบงค์ชาติจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายได้ ก้อต่อเมื่อ เงินเฟ้อยังไม่เป็นปัญหาเท่านั้นครับ แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 51 00:41:24 จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:33:40 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Q: แล้วที่แบงค์ชาติส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยคราวนี้ แสดงว่าเงินเฟ้อเป็นปัญหาแล้ว? A: ใช่ครับ ข้อนี้ผมว่าทุกท่านในประเทศนี้คงเห็นตรงกันว่า ตอนนี้อัตราเงินเฟ้อของไทยกำลังเป็นปัญหา โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปีนี้ เงินเฟ้อของไทยขยับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากลัว ล่าสุดเดือนมิถุนายน 51 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) ก้อพุ่งขึ้นไปถึง 8.9% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation หรือ Headline Inflation ที่หักหมวดอาหารสดและพลังงานออกไปครับ) ก้อหลุด band ที่แบงค์ชาติตั้งไว้แล้วครับ โดยสูงถึง 3.6% ซึ่งแบงค์ชาติเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่นโยบายการเงินต้องเข้ามาจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อ โดยมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะช่วยควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้กลับมาอยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาได้ จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:34:05 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Q: แต่ฝ่ายที่คัดค้านการขึ้นดอกเบี้ย เค้าก้อให้เหตุผลว่าการขึ้นดอกเบี้ยไม่ช่วยอะไรนิ? A: พูดอีกก้อถูกอีกครับ แม้ทุกท่านจะเห็นตรงกันว่า เงินเฟ้อกำลังเป็นปัญหาต่อเศรษฐกิจไทย แต่วิธีการแก้ปัญหาต่างหากที่นักเศรษฐศาสตร์หลายๆ ท่าน ยังมองต่างกันอยู่ ประเด็นสำคัญที่ฝ่ายคัดค้านยกเป็นเหตุผลคือ สาเหตุของเงินเฟ้อคราวนี้มาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น และทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น (Cost Push) ไม่ใช่มาจากเศรษฐกิจดี คนมีเงินเยอะ ไปแย่งกันซื้อสินค้า (Demand Pull) เพราะฉะนั้น การขึ้นดอกเบี้ยจะไม่ช่วยให้เงินเฟ้อลดลงมา ถามคำเดียวสั้นๆ ว่า ถ้าเราขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงไหม? อิหร่านจะบอกว่า โอ้ว ไทยลดดอกเบี้ยแล้ว ผมไม่หาเรื่องกับสหรัฐแล้ว หรือ OPEC จะเพิ่มกำลังการผลิตหรือก้อเปล่า จริงไหมครับ ^^" ถ้าน้ำมันไม่ลดลงมา ดอกเบี้ยก้อไม่น่าจะช่วยให้เงินเฟ้อลงมาได้ อีกทั้งการขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอีกด้วย เนื่องจากต้นทุนทางการเงินของภาคต่างๆ จะเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายที่คัดค้านเห็นว่าการขึ้นดอกเบี้ยในสถานการณ์ปัจจุบันน่าจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี บางท่านเสนอว่า เราน่าจะใช้มาตรการอื่นๆ มาจัดการกับเงินเฟ้อแทน เช่น การควบคุมค่าเงินให้แข็งค่าขึ้น เพื่อที่จะทำให้เรานำเข้าน้ำมันได้ถูกลง และจะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศลดลง (1 บาทที่แข็งค่าขึ้น จะช่วยลดราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศได้ประมาณ 1.10 บาทต่อลิตรครับ) ส่งผลให้เงินเฟ้อลดลงในท้ายที่สุดครับ จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:34:24 ]

ความคิดเห็นที่ 6 Q: คำถามสำคัญ แล้ว m_ple ละคิดอย่างไง? A: ถ้าทุกท่านอ่านถึงตรงนี้ อยากให้ลองออกความคิดของตัวเองในใจก่อนนะครับ ว่าท่านเห็นด้วยกับฝ่ายไหน เพราะอะไร ก่อนที่จะอ่านความเห็นของผม สำหรับผมนั้น ผมเห็นด้วยกับการขึ้นดอกเบี้ยครับ เหตุผลหรือครับ? ตามมาเลยครับ :) จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:34:58 ]

ความคิดเห็นที่ 7 1. เงินเฟ้อคราวนี้ ไม่ได้มาจากน้ำมันอย่างเดียว ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น (รูปซ้ายบน) ไม่ได้มาจาก Supply Shock เพียงอย่างเดียวนะครับ อย่างที่ผมเคยย้ำหลายครั้ง ว่า Demand น้ำมันอยู่ในระดับสูงมาก แม้ราคาจะไฮแล้วไฮอีก อีกทั้งราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมันขึ้นมาพร้อมกับหลักทรัพย์ชนิดอื่นๆ ทั้งโลก ทั้งราคาสินค้าเกษตร ราคา Commodities ต่างๆ (เหล็ก, น้ำมัน, อาหาร, บลาๆๆ) (รูปขวาบน) รวมถึงราคาหุ้นด้วย (รูปซ้ายล่าง) รวมถึงราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐด้วย (รูปขวาล่าง) แม้ปัจจุบันจะหล่นลงมาแล้ว จากปัญหา Subprime ทุกอย่างนี้มันสะท้อนให้เห็นว่า เงินเฟ้อคราวนี้ มันไม่ใช่ Supply Shock เพียงอย่างเดียวครับ มันมากันทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะน้ำมัน :) จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:35:17 ]

ความคิดเห็นที่ 8 2.สาเหตุของเงินเฟ้อเกิดจาก Global Imbalance ในช่วงที่ผ่านมา นโยบายดอกเบี้ยต่ำในช่วงต้น 2000s ของสหรัฐ (รูปซ้ายบน)  ทำให้ประชากรสหรัฐจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าราคาถูกที่มาจากประเทศเกิดใหม่ (Emerging Country) อย่าง จีน อินเดีย ส่งผลให้ดุลการชำระเงินของสหรัฐติดลบอย่างต่อเนื่องยาวนาน (รูปขวาบน) เงินจำนวนนี้ ไหลออกไปเป็นทุนสำรองเงินตราของประเทศ Emerging Countries ต่างๆ ในตัวอย่างนี้ เอาข้อมูลของจีนมาให้ดูนะครับ (รูปซ้ายล่าง) และสุดท้ายกลายเป็นเงินในมือของประชาชนในประเทศนั้นๆ (รูปขวาล่าง) และเงินก้อนนี้นี่ล่ะ ที่ทำให้อำนาจซื้อของประเทศเหล่านี้ จากเดิมที่ไม่เคยมีมาก่อน เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้มีเงินไปซื้อสินค้ามาอุปโภคบริโภค ส่งผลให้ราคาสินค้าต่างๆ ขยับสูงขึ้น ทำให้เงินเฟ้อของโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในท้ายที่สุดครับ ลองนึกถึงสินค้าในโลกนี้ดูครับ ว่ากี่ชนิดแล้ว ที่ Demand จากจีนและ Emerging Countries เป็นสาเหตุสำคัญของการเพิ่มขึ้นของราคา ไล่ไปเลยครับ น้ำมัน เหล็ก ถั่วเหลือง แป้ง บลาๆๆ จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:35:34 ]

ความคิดเห็นที่ 9 3.ทิศทางดอกเบี้ยโลก เป็นขาขึ้น ด้วยเหตุผลสองข้อข้างต้น ทำให้ผมมองว่า ทิศทางดอกเบี้ยโลกน่าจะเป็นขาขึ้น หลายประเทศ โดยเฉพาะธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB (European Central Bank) ได้เริ่มทยอยปรับดอกเบี้ยขึ้นไปแล้ว ส่วนธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ก้อคงหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าวได้ยาก แม้ปัจจุบันปัญหา Liquidity อันเนื่องมาจาก Subprime ของสหรัฐจะยังแก้กันไม่ตกก้อตาม เพราะถ้าสหรัฐไม่ขึ้นดอกเบี้ยตาม มันจะทำให้ค่าเงินของสหรัฐอ่อนค่าลงไปอีก และจะส่งผลให้ปัญหาเงินเฟ้อของสหรัฐและโลก แย่ลงไปอีกด้วย เนื่องจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์จะทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ อาทิ น้ำมัน ทองคำ สินค้าเกษตร ปรับเพิ่มขึ้นชดเชยกับการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้ทางเลือกของ Fed มีไม่มากนัก และคงปฏิเสธการขึ้นดอกเบี้ยได้ยากครับ จากเหตุผลสามข้อนี้ ทำให้ทิศทางดอกเบี้ยในตลาดโลกเป็นขาขึ้น ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กๆ เราจะไปฝืนกระแสโลกคงลำบากครับ ถ้าเค้าขึ้นดอกเบี้ยกันทั้งโลก เราก้อต้องขึ้นตามครับ จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:36:03 ]

ความคิดเห็นที่ 10 4.การปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ติดลบ จะยิ่งส่งผลเสียต่อเงินเฟ้อ คราวนี้มาดูปัจจัยในประเทศกันบ้าง อย่างแรกเลย Real Interest Rate ของเราติดลบมาสักพักหนึ่งแล้ว การที่เราปล่อยให้ Real interest rate ติดลบนั้น มันจะส่งผลกดดันให้เงินเฟ้อพุ่งต่อไปเรื่อยๆ เพราะถ้าคุณรู้ว่า คุณฝากเงินแล้วขาดทุน คุณจะไม่ฝาก แต่จะไปหาการลงทุนอย่างอื่นๆ แทน เช่น คุณจะไปซื้อทองคำแทน ใช่ไหมครับ การที่เงินไหลไปสู่การลงทุนอื่นๆ เนี่ยล่ะ มันจะทำให้เงินเฟ้อยิ่งสูงขึ้นไปอีก ผมมองว่า เราต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย เพื่อลดช่องว่างระหว่าง Policy interest rate กับอัตราเงินเฟ้อให้แคบลงกว่านี้ เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบน้อยกว่านี้ (หรือเป็นบวก) โดยเร็ว จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:36:22 ]

ความคิดเห็นที่ 11 5.ต้องหยุดยั้งการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น (Anchor Inflation Expectation) ตอนนี้ทุกคนต่างคาดหวังไปแล้วว่า เงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และการที่ทุกคนคาดหวังแบบนั้น มันจะทำให้อัตราเงินเฟ้อขึ้นไปเท่านั้นจริงๆ ครับ ยกตัวอย่างแบบชาวบ้านๆ คือ ถ้าคุณคาดว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นไปเป็น 10% ในปีหน้า คุณก้อจะขึ้นราคาสินค้าไปอีก 10% คนที่ซื้อสินค้าของคุณเห็นว่าคุณขึ้นราคามา 10% แต่เค้าก้อคาดเช่นกันว่าปีหน้าสินค้าจะเพิ่มขึ้น 10% เค้าก้อจะขึ้นราคาของเค้า 10% (จากต้นทุนที่สูงขึ้นจากคุณ) + 10% (จากที่คาดว่าปีหน้าจะขึ้น ก้อเลยขึ้นไปรอไว้ก่อน) คนที่สามที่รับของจากคนที่สองมาขาย ก้อจะคิดแบบเดียวกัน สุดท้ายราคาสินค้าก้อจะปรับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ครับ เพราะฉะนั้น การคาดการณ์ถึงเงินเฟ้อในอนาคตถึงสำคัญมากๆ แบงค์ชาติจะต้องแสดงให้ทุกคนเห็นว่า เงินเฟ้อจะไม่เป็นปัญหา และตัวเองสามารถควบคุมได้ ถ้าทุกคนอุ่นใจ ทุกคนก้อจะไม่คาดหวังว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น และเงินเฟ้อก้อจะไม่เพิ่มขึ้นจริงๆ (งงไหมครับ) เนื่องจากผมไม่มีตัวเลขอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ มีผู้รู้พยายามจะสอนเหมือนกันว่า เราสามารถดูจาก Implied Forward Curve ได้ แต่ผมยังไม่เข้าใจ 100% เลยยังไม่อยากปล่อยไก่อ่ะครับ ^^" เอาไว้คราวหน้าจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง น่าสนใจมาก  หรือถ้าพี่ๆ คนใดพอมีความรู้ด้านนี้ รบกวนสอนผมมั่งก้อดีนะครับ แฮะๆ ผมเลยดูเอาจากตัวเลข Real deposit rate ที่แบงค์ชาติคำนวณนะครับ (ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าเค้าเอามาจากไหน) จากรูปจะเห็นได้ว่า ตัว nominal deposit rate คงที่ตั้งแต่กลางปีก่อน แต่ตัว real deposit rate กลับมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าตัวเงินเฟ้อคาดการณ์พิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องครับ จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:36:45 ]

ความคิดเห็นที่ 12 6.เศรษฐกิจไทยน่าจะปรับตัวได้กับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น จากรายงานรายเดือนเล่มล่าสุดของแบงค์ชาติ ผมมองว่าเศรษฐกิจไทยแม้จะไม่เข้มแข็งนัก แต่ก้อไม่ได้อ่อนแอจนเกินไป เศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว (รูปซ้ายบน) และ การส่งออก (รูปขวาล่าง) จะมีน่าเป็นห่วงบ้าง ก้อเป็นการบริโภคภาคเอกชน (รูปขวาบน) และการลงทุนภาคเอกชน (รูปซ้ายล่าง) ที่อาจจะชะลอตัวลงบ้าง แต่ผมมองว่าที่การบริโภคชะลอลงเป็นผลมาจากเงินเฟ้อ ถ้าเราปล่อยให้เงินเฟ้อยิ่งเป็นปัญหาต่อไป การบริโภคภาคเอกชนน่าจะแย่ไปกว่านี้ ส่วนการลงทุนนั้น สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังไม่มีข้อยุติ ถ้ามีข้อยุติเมื่อไร (นั่นดิ เมื่อไร?) น่าจะฟื้นตัวได้ไม่ยากครับ ** ขอแก้ไขรูปนิดหนึ่งครับ รูปซ้ายล่างเส้นสีเขียวๆ นั่น คือ Private Investment Index นะครับ ไม่ใช่ Private Consumption Index พิมพ์ผิดอ่ะครับ โทษที T-T แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 51 01:12:23 แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 51 01:07:37 จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:37:08 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ด้วยเหตุผลข้างต้น ผมจึงมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยมีผลดีมากกว่าผลเสียครับ เนื่องจากปัญหาจากเงินเฟ้อในปัจจุบัน มันมีความเสี่ยงกว่าปัญหาด้านเศรษฐกิจชะลอตัวครับ อีกทั้ง ต่อให้ กนง ไม่ขึ้นดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยในตลาดเงินก้อขึ้นไปรออยู่แล้วครับ คุณจะเห็นได้ว่า ดอกเบี้ยธนาคารต่างๆ ก้อได้ปรับขึ้นไปแล้วเช่นกัน ก่อนที่ กนง จะตัดสินใจเรื่องนี้เสียอีก นั่นแปลว่า ตลาดได้ตัดสินไปแล้วว่า ทิศทางดอกเบี้ยตอนนี้จะเป็นขาขึ้น ถ้า กนง ไม่ลดดอกเบี้ยสิครับ จะยิ่งทำให้ตลาดไม่แน่ใจในภาวะเงินเฟ้อ และคิดว่านโยบายการเงินของแบงค์ชาติต่ำกว่าความเป็นจริง (behind the curve) และถ้า กนง ไม่มีเหตุผลเพียงพอ จะยิ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์เร่งขึ้นอีก และจะส่งผลเสียหายต่ออัตราเงินเฟ้อในอนาคตครับ จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:37:33 ]

ความคิดเห็นที่ 14 Q: ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ภาคธุรกิจไม่โดนกระทบ ตายกันหมดเหรอ? A: ผลกระทบอ่ะ มีแน่ๆ ครับ อย่างไรก้อตาม ผมมองว่าผลกระทบดังกล่าวภาคธุรกิจน่าจะปรับตัวได้ไม่ยาก เพราะสัดส่วนดอกเบี้ยจ่ายต่อต้นทุนการดำเนินงาน (Interest Expense/Operational Cost) ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไม่สูงมากนัก คิดเป็นเพียง 1% กว่าๆ เท่านั้นเอง การขึ้นดอกเบี้ยน่าจะส่งผลดีต่อต้นทุนภาคธุรกิจด้วยซ้ำ เพราะถ้าทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงมาได้ นั่นแสดงว่าต้นทุนการดำเนินงานของภาคธุรกิจ ซึ่งมีสัดส่วนสูงสุด จะลดลงตามมาด้วยครับ จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:37:56 ]

ความคิดเห็นที่ 15 Q: สมมติว่าขึ้นจริงๆ ผลกระทบระยะสั้นต้องมีแน่ๆ เราจะช่วยเค้าได้อย่างไร? A: ไม่เถียงเลยครับ ว่าผลกระทบระยะสั้นต้องมีแน่ๆ ในเมื่อนโยบายการเงินมีทางเลือกไม่มากนักในสภาวการณ์ปัจจุบัน เพราะฉะนั้น เราควรจะต้องใช้นโยบายอีกอันที่มีความสำคัญไม่แพ้กันให้เป็นประโยชน์ครับ นั่นก้อคือนโยบายการคลังนั่นเอง รัฐบาลจะต้องออกมาตรการช่วยเหลือภาคเอกชนเพื่อให้สามารถปรับตัวในภาวะดอกเบี้ยสูงอย่างต่อเนื่อง แนวทางการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนที่สุดคือ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตครับ แต่อย่างว่าล่ะ คำว่าประสิทธิภาพการผลิตมันพูดง่ายมาก แต่เวลาทำไม่ง่ายเลย รวมถึงรัฐบาลต้องเข็นนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงไปมากนัก โครงการ Mega Projects ที่จะช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานของภาคธุรกิจ (และดำเนินชีวิตของภาคประชาชน) ต้องเร่งมือผลักดันให้เกิดโดยเร็ว อาทิ รถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ พลังงานทางเลือก ปรับปรุงระบบชลประทาน ปัญหาครั้งนี้ไม่ใช่เล็กๆ นะครับ แต่ถ้าเราร่วมแรงร่วมใจกัน เราน่าจะผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้อย่างไม่เจ็บตัวมากนัก แต่ถ้าเรายังทะเลาะกันต่อเนื่องแบบนี้  เราอาจจะตายหมู่กันก้อได้นะครับเนี่ย ^^" อย่างไรก้อตาม ก้อสู้ๆ ครับ :) จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:38:31 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะครับ พบกันใหม่ โอกาสหน้าครับ สวัสดีครับ จากคุณ : m_ple - [ 16 ก.ค. 51 00:38:51 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณครับ.. จากคุณ : Jonathan Livingston - [ 16 ก.ค. 51 01:01:38 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ... อ่านไม่จบ แต่ขอตอบก่อนฮิๆๆ ... แต่ในความคิดผมแล้ว เงินเฟ้อ คราวนี้เกิดจากราคาน้ำมัน ... ... ฉะนั้นช่วงนี้ก็เกิดความวุ่นวายทั่วโลก ซึ่งมันก็คงเป็นในรูปแบบเดียว หรือเสมือนกับ การขึ้นดอกเบี้ยแบบหลายเปอร์เซนต์ไปแล้วเพียงแต่ มันต่างกัน เพราะ ขึ้นดอกเบี้ย เม็ดเงินมันยังอยู่ในแต่ละประเทศ แต่คราวนี้ ไม่รู้มันหายไปไหน หุๆๆ ... ผมขสัก 0.1 เปอร์เซนต์ จากที่มันหายไปได้เปล่า หว่าหุๆๆ จากคุณ : .... (@Ble) - [ 16 ก.ค. 51 01:05:11 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ... แล้วอีกอย่าง คิดถึงมาตราการ 30 เปอร์เซนต์ ผมหละไม่เห็นด้วยเลยที่ยกเลิกไปแล้ว หุๆๆ  เพราะมันกันเงินไหลออกได้อย่างดี ... จากคุณ : ... (@Ble) - [ 16 ก.ค. 51 01:08:52 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ผมว่า น่าจะขึ้นดอกเบี้ย ตั้งนานแล้ว ธนาคาต่างๆ รอไม่ไหว ชิงขึ้นไปก่อน แสดงว่า อะไร ทำไมรอช้าอยู่ได้ และทำไมต้องรอ 6 สัปดาห์จึงจะประชุม ตอนนี้ แก้ไข ไม่ทัน กับปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น หุ้นจะต้องตกต่อไป เพราะว่า การแก้ปัญหาที่ล่าช้าชองผู้ที่เกี่ยวข้อง และมองปัญหา ไม่ออก บางคนมองว่า เป็นการเมือง ทำให้หุ้นตก (ผมว่าไม่จริง หลังการปฏิวัติ แล้ว หุ้นขึ้น)  แต่ผมมองว่า มันรวมกันไป แต่หุ้นตกคราวนี้ ผมว่า มันเกิดจาก การรับมือกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจของเราอ่อนด้อยเกินไป สำหรับ ความเห็นของนักวิชาการ หรือผู้รู้ทั้งหลาย ถ้า ท่านเหล่านั้น ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานเอกชน ผมว่า รับฟังไว้ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีอิสระ ในการให้ความเห็น และ มีความลำเอียง เสียดายที่คนเก่งจริง ไม่ได้มาเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์ พวกที่เห็นๆ เก่งไม่จริงประเทศชาติถึงเป็นแบบนี้ (ที่ผ่านมา เมื่อ 10 ถึง 30 ปี คนเก่งไปเรียนหมอ กับวิศวะ)  (คนไม่เก่งเรียนเศรษฐศาสตร์ กับ กฏหมาย) ปัญหาถึงเป็นแบบนี้ หวังว่า ประเทศของเรา คงรอดพ้นจากวิกฤต คราวนี้ เนื่องจาก เราไม่ต้องซื้อข้าวคนอื่นกิน จากคุณ : phon77 - [ 16 ก.ค. 51 01:09:44 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ความเห็นต่าง แต่ไม่แตกแยก รายได้หลักของเรา ต้องเน้นไปที่งานบริการ ต้องเน้นที่การท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ไม่งั้น ผมว่า รอดยาก อุตสาหกรรม เม็ดเงินไม่ได้ตกถึงประชาชนอย่างแท้จริง เม็ดเงินตกกับ เจ้าของธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่มาอาศัยแประเทศไทยเป็นแหล่งผลิต เจ้าของซึ่งเป็นต่างชาติ ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ภาคการท่องเที่ยว เม็ดเงินจะกระจายไปถึงชาวบ้านมากกว่า วิกฤต ที่ผ่านในช่วง 2525 ตอนนั้น ก็แก้ไขได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ผมคิดว่า ที่อ้างว่า ถ้าขึ้นดอกเบี้ย อุตสาหกรรมไปไม่รอดนั้นไม่จริง เป็นการให้ข้อเท็จจริงไม่หมด จากคุณ : phon77 - [ 16 ก.ค. 51 01:20:11 ]

ความคิดเห็นที่ 22 1. เงินเฟ้อคราวนี้ ไม่ได้มาจากน้ำมันอย่างเดียว ========= ดูกราฟแล้ว ราคาสินค้าขึ้นตามราคาขนส่งที่สูงขึ้น 2.สาเหตุของเงินเฟ้อเกิดจาก Global Imbalance ในช่วงที่ผ่านมา เงินก้อนนี้นี่ล่ะ ที่ทำให้อำนาจซื้อของประเทศเหล่านี้ จากเดิมที่ไม่เคยมีมาก่อน เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้มีเงินไปซื้อสินค้ามาอุปโภคบริโภค ส่งผลให้ราคาสินค้าต่างๆ ขยับสูงขึ้น ทำให้เงินเฟ้อของโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในท้ายที่สุดครับ ========= เพราะจีนได้กำไรในรูป USD มาก ก็เป็นเงินสำรองมากขึ้น ค่าเงินจีนก็แข็งขึ้น แต่ยังเป็นผลกระทบในอีก 10 ปีข้างหน้า เงินเฟ้อกันทุกประเทศละ 3.ทิศทางดอกเบี้ยโลก เป็นขาขึ้น ======================= มีประเทศใดบ้างขึ้นดอกเบี้ยแก้ปัญหานี้ ยกมาด้วย มีกี่ประเทศกัน 4.การปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ติดลบ จะยิ่งส่งผลเสียต่อเงินเฟ้อ การที่เงินไหลไปสู่การลงทุนอื่นๆ เนี่ยล่ะ มันจะทำให้เงินเฟ้อยิ่งสูงขึ้นไปอีก =========== เงินในกองทุนก็จะไหลไปต่างประเทศแทน เช่น การลงทุนในต่างประเทศเงินก็หมุนไปเงิน เฟ้อแบบหมุน 1-2 รอบเช่นการซื้อทองคำ ไม่ใช้เงินเฟ้อที่แท้จริง เพราะไม่ได้อยู่ในระบบนานพอ เป็นการเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินเท่านั้น 5.ต้องหยุดยั้งการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น (Anchor Inflation Expectation) ======== จิตวิทยาหมู่ แต่ต้นทุนจริงๆก็คือพลังงาน 6.เศรษฐกิจไทยน่าจะปรับตัวได้กับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ======== ช่องว่างเริ่มห่างไปไหลแล้ว ธปท ส่งรายงานให้รัฐบาลดูแล้วแหละว่ามีอะไรเท่าไหร มาตราการที่ออกมา 6 เดือน ก็ช่วยบรรเทาแล้ว จะขึ้นดอกเบี้ยอีก คงวุ่นวายเหมือนหลายๆประเทศเลยละ สรุปว่าถ้าต้องการเพิ่มก็ได้แต่ต้องเป็นแบบ น้อยๆ และ 12 เดือนครั้ง เพราะยังไง ธนาคารไหนขึ้นดอกเบี้ยไป รังแต่จะให้สังคมมีปัญหามากขึ้น เป็นการปล้นกลางแดดก็ว่าได้ จากคุณ : Ken - [ 16 ก.ค. 51 03:47:11 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ แต่ผมก็เชื่อว่า การขึ้นดอกเบี้ยเที่ยวนี้ไม่ช่วยในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่น่าจะให้ผลเสียมากกว่า แต่ก็นั่นหละครับ ทั้งหมดนี้ พิจารณา ในเชิงตรรกกะเฉยๆ ที่ไม่มีตัวเลขในมือ ว่า impact  ของ แต่ละ actions ที่กระทำ ไม่ว่าการขึ้นดอกเบี้ย หรือ การลด ภาษีสรรพสามิตร ของน้ำมัน มีผลในทางกว้าง ทางแคบ หรือลึกมากน้อยแค่ไหนในเชิงปริมาณ แนวคิดที่มองปัญหา ในเชิงตัวแปรมหภาคมากไป อาจจะทำให้แนวทางการแก้ปัญหาไม่สำเร็จ ดัง ปชป เคยพลาดมาแล้ว  ที่ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นกลับมาได้ กลไกดอกเบี้ย เป็นองค์ประกอบเดียวหรือไม่ ที่จะทำให้ค่าเงินแข้งขึ้น เพื่อสู้กับราคาน้ำมัน ตราบใด ถ้าพื้นฐานเศรษฐกิจ มันแย่ ไม่มี activities เศรษฐกิจ ชลอหมด แล้วมันได้ประโยชน์อะไร   ผมไม่กลัวเงินเฟ้อตราบใดที่ประชาชนมีเงินมาจ่าย แต่ถ้าเงินเฟ้อต่ำแล้ว ประชาชนตายหมด เราจะได้อะไร การสู้ปัญหาวิกฤติครั้งนี้ จึงยังเป็นสูตรวนเวียนอยู่กับ เรื่องเดิม คือ ลดรายจ่ายให้ประชาชนอยู่ได้ ยกระดับรายได้ ให้ประชาชนยังมีกำลังในการจ่าย เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และการสร้างงานผ่านเมกกาโพรเจก เพื่อให้ประชาชนยังมีกำลังซื้อ จากคุณ : ปุถุชนคนไทย - [ 16 ก.ค. 51 06:45:27 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เราว่าประเด็นหลักคือถ้าหากมีทีมเศรษฐกิจที่เก่งจริง ๆ ช่วยผลักดันให้ประชาชนสามารถเดินไปข้างหน้าได้ทุกอย่างจะบรรเทาลงในตัวของมันเองการเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิตในประเทศไทยขาดปัจจัยสนับสนุนอย่างรุนแรง (เรียกได้ว่าทุกด้าน) ตัวเจ้าของธุรกิจต้องทำงานหนักมากกว่าจะผ่านปัญหาทุก อย่างไปได้ ยกตัวอย่างเช่นเราได้งานเสื้อผ้าเด็กจากต่างประเทศมา 1 ล๊อต ถ้าเป็นสมัยก่อน โรงงานจะทำเองหมดทุกอย่าง เดี๋ยวนี้ต้องแยกออกเป็นส่วน ๆ หมดทั้งชิ้นหน้าชิ้นหลัง คอ ปก แขน หรือแม้กระทั่งการจับจีบสม๊อคคือ  subcontract หมด ต้องหากลุ่มแม่บ้านที่ขึ้นลายเป็น ปักเลื่อมเป็น เรียกมาทำตัวอย่างแล้วเสนอราคา กำหนดเวลาส่งมอบ process  ทั้งหมดเรากำหนดเองหมด จนถึงสุดท้ายกว่าจะได้เงินจากเมืองนอก ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย สิ่งที่น่าดีใจคือคนไทยที่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอยู่กับบ้านนี่แหละเก่งมากและยินดีที่จะทำงานที่ส่งไปให้อย่างเต็มใจชำนาญงานมากเรียกได้ว่าแรงงานฝีมือ งานไม่ค่อยเสียและค่าแรงก็ถูก เขาอยากได้งานทำเยอะ ๆ งานทุกอย่างที่มาจากเมืองนอก ทำแบบได้หมด ขอให้มีงานทำเถอะไม่เกี่ยงเลย ของจากเมืองนอกแพง ๆส่วนใหญ่มาจาก skill labour เหล่านี้ทั้งนั้น   ความช่วยเหลือจากใครไม่มีเลยแถมเวลาที่มีวิกฤตเศรษฐกิจต้นทุนสูงงานน้อยยิ่งช้ำเติมให้เกิดการชะงักงัน สิ่งเหล่านี้เราต้องใช้ความพยายามแก้ไขอย่างมาก เล่าให้เพื่อน ๆ ฟังถึงของจริงว่าสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ส่งผลกับธุรกิจมาก จากคุณ : ypo (ypo) - [ 16 ก.ค. 51 06:54:47 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ... ขอบคุณครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 16 ก.ค. 51 06:59:48 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ตามอ่านมาตลอด ชื่นชมในความขยันและฉลาดในการวิเคราะห์ หาก รมต. ของไทย มีความสามารถ ซัก ครึ่งหนึ่ง ของ Khun M-ple ประเทศไทยเห็นทางสว่างแน่ๆ -======- ว่าแต่ ท่าน จขกท อยู่วงการไหนหล่ะ??  มีโอกาสได้เป็น รมต กะเค้าบ้างหรือปล่าวครับ?? ---------- จากคุณ : (Peter) - [ 16 ก.ค. 51 07:32:27 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คำถามผมเหมือนเดิม มีประเทศไหนแก้โดยการลดดอกเบี้ยบ้าง ที่ถามว่าประเทศไหนแก้เงินเฟ้อโดยการขึ้นดอกเบี้ย ก็ทุกประเทศล่ะครับ ธนาคารกลางอเมริกา ธนาคารกลางยุโรป ประเทศนี้ เอากันเข้าไป ประชาชนแบมือขอเงินก็เอาเงินไปยัดมือประชาชน ถามหน่อย ประชาชนทำงานมากขึ้นไหม ก็แบมือขอเงินเหมือนเดิม แล้วทำไมเงินจะไม่เฟ้อ แล้วคุณจะแก้โดยนโยบายการเงินได้อย่างไร ก็การคลังมันวางยากันอย่างนี้ จากคุณ : You'll never walk alone - [ 16 ก.ค. 51 07:42:10 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ถ้าไม่เพิ่มอัตรดอกเบี้ย ค่าเงินจะยิ่งอ่อนค่าลงไปอีก ยิ่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยช้า จะยิ่งทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลงไป หลายท่านเคยบอกไว้ว่า การเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ไม่มีผลต่อการอ่อนค่าของเงิน แต่ว่า ในอดีต การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจะทำให้การอ่อนค่าเกินขึ้นช้าลง ทั้งที่มันเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ แต่ว่า ก็ต้องทำ เมื่อใดก็ตามที่ค่าเงินอ่อนค่าลง การขึ้นดอกเบี้ยจะตามมา และถ้าอ่อนค่ามากเกินไป ปัญหาก็จะตามมามากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็ง แต่เราไม่ได้ประโยชน์กับการแข็งค่าขึ้น เพราะว่า BOT เลือกที่จะช่วยคนกลุ่มหนึ่ง โดยละเลย คนอีกกลุ่ม เดี๋ยวค่าเงินอ่อน การจะแก้ปัญหาจะยิ่งยุ่งยากมากยิ่งขึ้น เสียดายโอกาสที่ผ่านมา เราไม่ได้ประโยชน์จากการแข็งค่าของเงิน การสร้างเมกะโปรเจก มันเลยเวลามาแล้ว มันต้องสร้างตอนที่ค่าเงินแข็ง ไม่ใช่จะมาเริ่มสร้างตอนที่ค่าเงินเริ่มจะอ่อนตัวลง จากคุณ : phon77 - [ 16 ก.ค. 51 08:51:52 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็น ผมไม่เห็นด้วยครับ กับการขึ้นดอกเบี้ยแบบ ECB โครงสร้างเศรษฐกิจประเทศไทยไม่เหมือนยุโรป ไม่เหมือนอเมริกา ประเทศไทยมีประชากรเป็นเกษตรกรและผู้ใช้แรงงานประมาณ 70-80% มีชนชั้นกลางเกือบ 15-20% มีคนรวยเพียงแค่กระหยิบมือ ต่างจากชาติตะวันตกที่มีช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยน้อย และคนส่วนใหญาอยู่ในภาคอุตสาหกรรม การใช้ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์เพียวๆตามแบบตะวันตกโดยไม่มีการประยุกต์ให้เหมาะกับโครงสร้างของประเทศไทยพาประเทศไทยเจ๊งมาแล้วเมื่อปี 40 ในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาเราก็ได้ประจักษ์แล้วว่าคนที่ประคองและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ยืนอยู่ได้อย่างแข็งแกร่งคือการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ภาคเกษตรกรและคนชั้นกลางซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งส่งผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมและการค้าให้เติบโตได้ การขึ้นดอกเบี้ยคือการดึงเงินออกจากมือคนส่วนใหญ่ของประเทศโดยทันที การขึ้นดอกเบี้ยทำให้เงินเฟ้อชลอตัวนั่นถูกต้องอย่างที่สุด แต่.... การขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ระบบเศรษฐกิจของคนส่วนใหญ่ของประเทศชะลอตัว การแก้ปัญหาโดยการขึ้นดอกเบี้ยคือการปัญหาในมุมเดียวคือเงินเฟ้อแต่ก่อให้เกิดปัญหาด้านอื่น นั่นคือเศรษฐกิจจะชะลอตัว ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของ ธปธ ที่จะต้องดูแลเรื่องการเจริญเติบโตทางเสรษฐกิจเช่นเดียวกันกับการดูแลเงินเฟ้อ อีกทั้ง ธปท ควรจะต้องมีนโยบายที่สอดคล้องกับรัฐบาลในเรื่องมาตรการทางการคลัง ที่พยายามจะให้เงินอยู่ในมือคนส่วนใหญ่ของประเทศเพื่อหวังพึ่งพาการขับเคลื่อนและประคองเศรษฐกิจจากภาคครัวเรือนนี้ มิเช่นนั้นมาตรการทางการคลังที่ออกมาโดยรัฐบาลก็เป็นการออกมาโดยสูญเปล่า จากคุณ : วิศวกรไม่แก่ (Witty_g1) - [ 16 ก.ค. 51 09:04:45 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ผมว่าเคสญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่ดีนะครับ ช่วงที่ญี่ปุ่นเงินฝืดนับสิบปี เพราะคนไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ ต่อให้ดอกเบี้ยแบงค์ต่ำแค่ไหน คนก็ไม่เอาเงินมาใช้ครับ เพราะไม่มั่นใจ ถามว่าเงินเฟ้อตอนนี้ คนมั่นใจในเศรษฐกิจหรือไม่????? ปล. พี่เสี่ย m_ple แววรัฐมนตรีมาแล้วครับ อิอิ ปล2. เบอร์บา จะไปผีจริงหรือ ยื่นหอกให้คู่แข่งชัดๆ จากคุณ : ปะป๋าน้องมุก - [ 16 ก.ค. 51 09:07:04 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ขอปล่อยไก่แบบไม่มีตัวเลขนะครับ ภาคธุรกิจตอนนี้โดยเฉพาะ SMEs กำลังมีโจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้คือเงินไม่หมุน ลูกหนี้ยืดระยะเวลาชำระหนี้ เจ้าหนี้อยากได้เงินสด ต้นทุนวัตถุดิบแพงขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งแพงขึ้น ดังนั้นการขึ้นดอกเบี่ย (ในตอนนี้) มีโอกาสที่จะทำให้เงินในระบบหายไปอีก รวมถึงต้นทุนดอกเบี้ยที่จะสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างที่อาจารย์หลายท่านว่าไว้ (ขอเรียกอาจารย์นะครับ เพราะผมก็ไม่รู้อีกเยอะ ^ ^ ) การแก้ปัญหาเงินเฟ้อ มีวิธีการได้ 2 วิธี คือ ทางการเงิน และทางการคลัง   หากมาตรการการเงินโดยการขึ้นดอกเบี้ย มีโอกาสที่จะเพิ่มความเสี่ยงและอาจซ้ำเติมกับภาวะเศรษฐกิจและ real sector และ เป้าหมายจริงๆของ Bank ชาติ คือการคุมอัตราเงินเฟ้อ ไม่แน่ใจว่า Bank ชาติได้นำเอาปัจจัยมาตรการทางการคลัง ที่รัฐบาลเพิ่งออกมา 6 มาตรการนี้ รวมถึงการลดภาษีน้ำมันสรรพสามิต  การนำเข้าน้ำมันราคาถูก การชะลอการปรับราคาก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนมารวมคำนวนใรการคาดการณ์เงินเฟ้อ หรือยังครับ เพราะอย่างไรเสียมาตรการทางการเงินและการคลังก็ควรไปจะไปในทิศทางเดียวกัน และมาตรการต่างๆนี้น่าจะชะลอการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ แม้ไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยได้ในระยะเวลาหนึ่งนะครับ ^^ ___________________________ แก้คำผิดครับ แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 51 09:36:18 จากคุณ : Mr Google - [ 16 ก.ค. 51 09:24:30 ]

ความคิดเห็นที่ 32 นโยบายการมหภาคจะให้ผล 2 ด้านเสมอ ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีคนวิจารณ์ได้อยู่ดี     ปล่อยค่าเงินอ่อน ผู้ส่งออกก็ได้ประโยชน์ ผู้นำเข้าก็รับภาระไป   ปล่อยค่าเงินแข็ง ผู้นำเข้าก็ได้ประโยชน์ไป ผู้ส่งออกก็รับภาระไป   ขึ้นดอกเบี้ย ผู้มีเงินฝากก็ยินดี คนกู้เงินก็ชีช้ำ   ลดดอกเบี้ย ผู้กู้เงินก็ปรีดา คนฝากเงินก็มึนตรึบ ดังนั้น นโยบายมหภาคจะต้องทำให้เกิดความสมดุลย์ของผลประโยชน์ทุกฝ่าย จากคุณ : kab - [ 16 ก.ค. 51 09:35:41 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เพิ่มดอกเบี้ยเงินฝาก ลด-คงเดิมดอกเบี้ยเงินกู้ได้ไหมอ่ะครับ จากคุณ : คนข้างๆ - [ 16 ก.ค. 51 10:52:41 ]

ความคิดเห็นที่ 34 กินแรงนะคะ เพราะno idea ค่ะ แต่ชอบอ่าน ทุกคนdiscussกันสนุกดี ชอบค่ะ ขอบคุณ คุณจขกท.ด้วยนะคะ จากคุณ : ชูวับชูวับ - [ 16 ก.ค. 51 11:01:42 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ดูแล้วผมก็ยังถือหาง(มีหางด้วยเรอะ) ฝั่งลดดอกอยู่ดี จากคุณ : Nexus - [ 16 ก.ค. 51 15:59:07 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ระดับมหภาคเนี่ย มันพูดยากจริงๆ นะครับ เหรียญย่อมมีสองด้าน การตัดสินใจนโยบายทางการเงินเนี่ย มักจะโดนวิภาควิจารณ์ได้เสมอ และการตัดสินใจมักจะมีผลที่ค่อยข้างค่อยเป็นค่อยไป ไม่เห็นผลในทันที monetary policy ส่งผลต่อ financial sector และ real sector อย่างค่อยเป็นค่อยไปมากๆ อย่างที่คุณ m_ple บอกว่าต้องใช้การคาดการณ์ที่มีระบบยากมากทีเดียว เพราะ factor นี่เพียบ และเป็นระบบ ที่ dependent ต่อกันวนไปวนมา ไม่ใช่ y depends on x .. but x also depends on y แต่ขอค้านคุณ phon77 หน่อย "เสียดายที่คนเก่งจริง ไม่ได้มาเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์ พวกที่เห็นๆ เก่งไม่จริงประเทศชาติถึงเป็นแบบนี้ (ที่ผ่านมา เมื่อ 10 ถึง 30 ปี คนเก่งไปเรียนหมอ กับวิศวะ)  (คนไม่เก่งเรียนเศรษฐศาสตร์ กับ กฏหมาย) ปัญหาถึงเป็นแบบนี้" ลองไปดูในแบงค์ชาติดูว่า คนที่อยู่ในนั้นระดับเก่งเทพหลายคน  ถ้าวัดความเก่งคร่าวๆ จากเกรดและ U. ที่จบ วิศวะจบงั้นๆ มีเยอะแยะครับ คนที่ผมเคยเจอมาและเก่งๆ นั้นส่วนใหญ่เรียน econ กับวิศวะครับ หมายถึงความคิดด้านตรรกะนะครับ ผมเคยเรียนทั้งวิศวะทั้ง programming ทั้ง econometric รู้เลยว่า econometric นี่ยากมากๆ เพราะมันได้แก้สมการแล้วออกแบบการ solve math, optimization, stochastic calculus ที่เคยเรียน ใช้ความเข้าใจและ judgment เยอะมาก ฉะนั้นผมไม่ค่อยเห็นด้วยเลย แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 51 21:32:56 จากคุณ : zq-JZA80 - [ 16 ก.ค. 51 19:57:58 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คุณ m_ple วิเคราะห์คล้ายกับบทวิเคราะห์ของธนชาตด้านเศรษฐกิจวันนี้เลย ขอเพิ่มเติมเล็กน้อยที่ว่าเค้ามองว่าดอกเบี้ยจะขึ้นไม่ขึ้น อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังลงอยู่ดี เพียงแต่วาหากปรับขึ้นจะกระทบกับระยะสั้นมากกว่า แต่หากไม่ปรับอาจจะส่งผลปัญหาเรื้อรังในระยะยาว ซึ่งเหตุการณ์เลวร้ายสุดคือการเกิดปัญหา stagflation เค้ามองว่าเงินเฟ้อที่สูงมากในปัจจุบัน นั้นเสี่ยงเกินกว่าที่จะรอผลว่า stagflation จะเกิดจริงหรือไม่ นอกจากนี้ เค้ามองว่าหากขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% แทบไม่มีผลอะไรต่อเศรษฐกิจจริง เนื่องจากว่าปัจจุบัน ธปท ก็ดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวอยู่แล้ว จากการออกพันธบัตรดูดซับสภาพคล่อง และการแทรกแซงค่าเงินบาทไม่ให้อ่อนเกินไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อจากการนำเข้าน้ำมันมากขึ้น ดังน้นดอกเบี้ยแบงค์ที่ขึ้นก่อนดอกเบี้ยนโยบายเป็นครังแรกในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ก็มาจากการดำเนินนโยบายแบบตึงตัวของแบงก์ชาติที่ทำแบบเงียบๆ แต่ก็ไม่พอที่จะลดเงินเฟ้อได้ โดยทางธนชาตมองว่าอัตราดอกเบี้ยควรขึ้นถึง 0.5% ในรอบนี้ด้วยซ้ำ เพื่อที่จะลด inflation expectation และยังช่วยให้ค่าเงินแข็งขึ้น แทนที่จะเข้าไปแทรกแซงตรงๆ จากตลาด F/X ซึ่งท้ายสุดจะเป็นการช่วยลดเงินเฟ้อได้ จากคุณ : MaizeBlue - [ 16 ก.ค. 51 20:16:31 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ส่วนเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเค้าวิจารณ์ว่า เป็นการกระตุ้นให้ใช้น้ำมันมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เพิ่มปริมาณการนำเข้าน้ำมัน ดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดมีโอกาสขาดดุลมากขึ้น ค่าเงินบาทจะอ่อนลง ทำให้ต้องนำเข้าน้ำมันที่ราคาแพงขึ้น สุดท้ายเงินเฟ้อก็ไม่หนีไปไหน เท่ากับว่าลดรายจ่ายในช่วงสั้นแต่กลับสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อมาตรการหมดอายุลง ผมว่า 2 วันที่ผ่านมา มุมมองของผู้เชี่ยวชาญ เช่นนักลงทุนต่างชาติก็ได้สะท้อนออกมาโดยการขายหุ้นหนักมากกว่าในช่วงที่ผ่านมานะ เค้าคงไม่อยากมาลงทุนในประเทศที่ค่าเงินมีโอกาสลดลงไปเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค ที่อัตราดอกเบี้ยแท้จริงไม่ได้ติดลบมากเหมือนบ้านเรา จากคุณ : MaizeBlue - [ 16 ก.ค. 51 20:42:15 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณค่ะที่มาวิเคราะห์เจาะลึกให้อ่านแบบง่ายๆ พอจะเข้าใจอะไรๆขึ้นมาเยอะเลยทีเดียวค่ะ จากคุณ : หนูอิ่ม - [ 16 ก.ค. 51 21:13:37 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขอออกความเห็นหน่อยนะครับว่า ดอกเบี้ยที่ขึ้นเนี่ย เป็นผลมาจากคณะกรรมการ กนง นะครับ ซึ่งการตัดสินใจเป็นอิสระจากแบงค์ชาติ แม้ว่าจะมีคนของแบงค์ชาติอยู่ด้วยส่วนหนึ่งก็ตามครับ แต่คณะกรรมการเหล่านี้ก็ประกอบด้วยภาคส่วนต่างๆ ด้วยเข้ามาประชุม และลงความเห็นกันว่าทิศทางดอกเบี้ยควรเป็นไปในทางไหน สอดคล้องกับสถานการณืทั้งภายในและภายนอก ซึ่งแต่ละคนนั้นมีจะข้อมูล ประกอบการตัดสินใจและจากประสบการณ์ทางด้านนี้โดยเฉพาะมากกว่าคนภายนอก ซึ่งในที่นี่ต้องสันนิษฐานไว้กอ่นว่ามีข้อมูลครบถ้วนกว่าคนภายนอก ดังนั้นการบอกว่าธปท เป็นคนกำหนดทิศทางดอกเบี้ยเจ้าเดียวนี่ผมว่าไม่ค่อยจะถูกนะครับ สำหรับการนำไปเปรียบเทียบกับกรณีปี 40 ผมคิดว่าไม่เห็นด้วยนะครับ เนื่องจากคนละกรณีกัน แล้วอีกอย่างบุคคลที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจใน ธปท ครั้งนั้น และมีส่วนทำความเสียหายก็ไม่ได้อยู่ในธปทนี้ แล้วด้วย แต่จะมีใครบ้างก็ลองไปค้นดูกันเองครับ ตอนนี้ก็ยังเห็นวนเวียนเป้นประธานบอร์ด บอร์ดต่างๆ ที่ปรึกษากันอยู่ดีทุกคนครับ ส่วนจะไปโทษ ปชป ผมว่าก็ไม่ถูกทั้งหมดอีกละครับเพราะ เขาเข้ามาขณะที่ทุนสำรวจเหลือไม่เกิน 1000 แล้ว ตอนนั้นผมว่าใครมาเป็น รบ แล้วโดนเจ้าหนี้ทวง ผมว่ามีอะไรก็ต้องขายไปใช้หนี้เหมือนกันหมดแหละครับ จริงๆ แล้ว เรื่องที่เกิดผมว่ามันเป็นกรรมหมู่นะครับ ไม่ได้เป็นกรรมเดี่ยว ดังนั้นเมื่อมีอะไรจะเกิด มันก็ต้องรับๆกันไปทุกคนแหละ จะไปโทษใครคนใดคนหนึ่งไม่น่าจะถูกนะครับ จากคุณ : nine_p - [ 16 ก.ค. 51 21:14:45 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ผมว่า การขึ้น อัตราดอกเบี้ย จะมีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ ซึ่ง ข้อเสียที่เกิดขึ้น เราสามารถแก้ได้ ด้วยนโยบาย การคลังนี่ครับ ที่เรามองว่ามันเป็นปัญหาเพราะเรามอง เพียงด้านเดียวไง ครับคือผลที่เกิดจากการขึ้นดอกเบี้ยแต่ ปัญหา บางส่วนที่เกิดจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น สามารถทำให้มันดีขึ้นได้ด้วยนโบยการคลัง ดังนั้นผมว่ามันต้องรับลูกกันครับทั้ง 2นโยบาย จากคุณ : unnan - [ 16 ก.ค. 51 22:31:56 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เอาที่เห็นของจริงดีกว่า ดอกเบี้ย ของไทยต่ำ ดังนั้น จึงมีการระดมทุน ไปลงทุน ที่เกาหลี ทำให้เงินตึงตัวไปช่วงหนึ่ง แสดงว่า อะไร และบ่งถึงอะไร แสดงว่า ดอกเบี้ย ในไทย ต่ำเกินไป ทั้งๆที่ ภาวะเงินเฟ้อ เกิดขึ้น และการคำนวณเงินเฟ้อ ที่ประกาศ ไม่ได้สะท้อน ตัวเลขที่แท้จริง ดังนั้น การเพิ่มอัตราดอกเบี้ย แค่ 0.25% มันไม่พอ อย่างน้อยต้อง 1% โดย ต้องขึ้น ครั้งละ 0.5% 2 ครั้ง แต่ การขึ้น 0.25% ไม่ได้ช่วยอะไร ทำไม KTB ถึงให้ 6% ได้ ถึงแม้จะเพียง 3 เดือน เพราะช่วงนี้ มองว่า เงิน ตึงตัว แต่ก็ไม่แน่ใจ ดังนั้น จึงออกมาตรการระยะสั้น และ ท้ายที่สุด ก็จะมีหลายธนาคาร ลงมาเล่นในจุดนี้ แย่งกันหาเม็ดเงิน สแตนฯชาร์เตอร์ ให้ 6.5% แต่ฝากในรูปเงินออสเตรเลีย ค่าเงินของไทย จะอ่อนค่าลงไปอีก เนื่องจากการแก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด ผู้รู้วิธีแก้ไขมีมากมาย แต่ว่า ทำไม่ได้ เนื่องจากจะกระทบกับธุรกิจของตนเอง ตอนนี้ ทุกคนมองแต่ตัวเอง ไม่ได้มองส่วนรวม  ผลสุดท้ายมาลงที่ SET ก็จะลดลงอีก ซึ่งเป็นการแสดงผลของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ขอให้ทุกท่านรักษาตัวให้อยู่รอดท่ามกลางวิกฤตต่างๆครับ เอาใจช่วยครับ ผมก็พยายามช่วยเหลือตัวเองอยู่ครับ จากคุณ : phon77 - [ 17 ก.ค. 51 00:05:32 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขออนุญาตนำข้อความและรูปภาพในกระทู้ไปใช้ทำรายงานส่ง อ. นะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : spangkbu - [ 17 ก.ค. 51 00:43:07 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณครับ ได้ความรู้ดีครับ จากคุณ : V_Accy - [ 17 ก.ค. 51 01:41:41 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขึ้นไม่ขึ้น RP1 มันจะยังแตกต่างกันยังไงหรอครับ นอกจากทางจิตวิทยา เนื่องจากยังไงแบงค์ก็ขึ้นดอกเบี้ยไปก่อนเรียบร้อยแล้ว ธุรกิจทั่วๆไปก็กู้จากแบงค์ไม่ใช่หรอครับ ไม่ได้กู้กับธปท.หรือกนง. ผมมองว่า 0.25-0.5% ไม่ได้ทำให้ธุรกิจเจ๊งหรอกครับ หากสินค้ายังขายได้ดี ปัญหาจึงอยู่ที่ภาคธุรกิจต่างๆตังหากที่จะทำอย่างไรในการรักษายอดขายเอาไว้ได้ ในขณะที่ประชาชนทั่วไปมีกำลังซื้อน้อยลงเนื่องจากนำเงินบางส่วนไปซื้อน้ำมันมากขึ้น สำหรับผมแล้วการแก้ปัญหาวิกฤตครั้งนี้ที่ดีที่สุดคือ 1.หาพลังงานทดแทนเพื่อลดการนำเข้าน้ำมัน 2.ผลักดันการส่งออก โดยมีสินค้าเกษตรเป็นตัวนำ เพื่อทดแทนการนำเข้าที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน ประมาณว่าเอ็งขายน้ำมันแพง ข้าก็ขายข้าวแพง เจ๊ากันไป จากคุณ : Tamจัง - [ 17 ก.ค. 51 02:37:14 ]

ความคิดเห็นที่ 46 copy จากกระทู้ที่แล้วมาต่อครับ ที่คุณ m_ple ถามว่า "ถ้า BOT ไม่ขึ้นดอกเบี้ย มันจะเติมฟืนให้เงินเฟ้อไทยหรือเปล่า? และจำให้เศรษฐกิจไทยแย่ลงไหม?" ผมว่านะ  การแก้ปัญหาเงินเฟ้อมันไม่ได้มีวิธีเดียวหรอก จริงมั๊ยครับ การขึ้นดอกเบี้ยมันง่ายนะ  มันจะแก้ไขเงินเฟ้อได้แน่หรือ .....แล้วถ้าทุกประเทศพร้อมใจกันขึ้นดอกเบี้ยแข่งกันล่ะ แต่ผลเสียที่ตามมาจากการขึ้นดอกเบี้ยนี่สิ -การลงทุนลดลง -เศรษฐกิจหดตัว ถดถอย หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตาม -คนที่มีหนี้ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น -หนี้เสียเพิ่มขึ้น ......... NPL ในแบงค์เพิ่มขึ้น -ต้นทุนการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น.....สุดท้ายก็ต้องขึ้นราคาสินค้า ยังไงก็ตามผมว่าแบงค์ชาติต้องขึ้นดอกเบี้ยแน่ๆ  ประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ก็คงจะขึ้น ตามตำราเศรษฐศาสตร์เค้าบอกว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันจริงมั๊ยครับ -ดอกเบี้ย -เงินเฟ้อ -อัตราแลกเปลี่ยน -อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นไปได้มั๊ยครับ.......ถ้ารัฐบาลจะออกพันธบัตรใหม่โดยให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นกว่าฝากประจำ 1-2% .........เพื่อดึง Supply ของเงินออกนอกระบบ  ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของการขึ้นดอกเบี้ย โดยไม่ต้องให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจและดอกเบี้ยเงินกู้ของประชาชนโดยทั่วไป ผมอยากทราบว่า วิธีแก้ cost-push inflation ซึ่งเกิดเพราะ Supply shock  มีวิธีอื่นมั๊ยครับ นอกจากการขึ้นดอกเบี้ย ผมมองว่าถ้าเราสามารถลดต้นทุนสินค้าประเภทอาหารและพลังงานได้ .......................เงินเฟ้อก็จะลดลง บางประเทศจำกัดเพดานราคาสินค้า ราคาน้ำมัน บางประเทศให้ประชาชนหันไปบริโภคอาหารที่ราคาถูกกว่า ..........แล้วส่งออกอาหารที่แพงกว่า เช่น ประเทศเพื่อนบ้านเรา ส่งออกข้าวชั้นดี แล้วประชาชนบริโภคข้าวหักๆแทน จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 15 ก.ค. 51 06:29:42 ] จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 17 ก.ค. 51 05:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 47 "แบงค์ชาติขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย --> ต้นทุนทางการเงินของ ธพ. เพิ่มขึ้น --> ธพ ขึ้นดอกเบี้ย --> ต้นทุนการกู้ยืมของประชาชนและธุรกิจเพิ่มขึ้น --> รายจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น --> รายได้ที่จะเอาไปซื้อของอื่นๆ และกำไรสุทธิลดลง --> เศรษฐกิจชะลอตัว --> คนไม่มีตังค์ซื้อสินค้า --> ราคาสินค้าลดลง --> เงินเฟ้อลดลง" ------------------------------------------ อืมม  ถ้าอยากทำให้คนไม่มีเงินซื้อของ  ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ ไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ยด้วย .........แค่เจอค่าน้ำมันตอนนี้ก็แย่แล้วครับ ขอถามครับว่า นโยบายการเงิน จริงๆแล้วมีเป้าหมายคืออะไรครับ ในความคิดของผม  นโยบายการเงินคือการบริหาร Money Supply เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยมีเครื่องมือหลักๆคือ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยและอัตราทุนสำรองของธนาคารต่างๆ นอกจากนี้รัฐบาลยังสามารถออกพันธบัตรหรือซื้อคืนพันธบัตรเพื่อควบคุมปริมาณเงินได้ด้วย ส่วนนโยบายการคลัง ก็คือการบริหารรายรับและรายจ่ายภาครัฐ โดยสามารถทำงบประมาณเกินดุล สมดุล หรือขาดดุล ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในขณะนั้น ผมมองว่า Inflation Targeting เป็นนโยบายที่ผิด เพราะมุ่งให้มีเงินเฟ้ออ่อนๆ ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าคนจะกินดีอยู่ดีแค่ไหน ความคิดเห็นที่ 8 ทุนสำรองของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ส่วนใหญ่เก็บไว้เป็นพันธบัตรดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนมากๆ เงินทุนสำรองทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่มีค่า มีเงินดอลลาร์เปรียบเสมือนถือแบงค์กงเต๊กไว้ ทำไมครับ ทำไม..................... ตั้งแต่ปี 2003 ถึง 2008 โลกเราใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 2% กลุ่มประเทศเอเซียที่มีพลเมืองมากๆ เช่น จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เมื่อเทียบปี 2008 กับ 2007 ใช้น้ำมันลดลง 2.18% ........... แต่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมาเฉลี่ย 78% ต่อปี ความคิดเห็นที่ 9 "ถ้าเค้าขึ้นดอกเบี้ยกันทั้งโลก เราก้อต้องขึ้นตามครับ" ถ้าเค้าเจ๊งกันทั้งโลก เราก็เจ๊งตามสิครับ ขนาดบริษัทและสถาบันการเงินใหญ่ๆ ในสหรัฐฯยังเจ๊งเลยครับ บริษัทบ้านเราเล็กกว่าเค้า สายป่านสั้นกว่าเค้า จะทำยังไงครับ ความคิดเห็นที่ 10 รัฐบาลออกพันธบัตรใหม่โดยให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นกว่าฝากประจำ 1-2% ...........จะได้ผลต่างกันมากมั๊ยครับ ผลกระทบต่อธุรกิจและดอกเบี้ยเงินกู้.......จะมีน้อยลงหรือเปล่า ความคิดเห็นที่ 11 ต้องถามว่าใครเป็นคนกำหนด "expected headline inflation 12 months ahead" ครับ แบงค์ชาติเอาตัวเลขนี้มาจากไหน  หรือวาดขึ้นเองในอากาศ ความคิดเห็นที่ 14 1. ประเทศไทยไม่ได้มีแค่ 400-500 บริษัทนะครับ 2. บริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งยังมีหนี้สินต่อทุนสูงลิ่ว 3. ของขายไม่ออก  แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น  แถมกู้เงินได้ยากขึ้นมากๆ .........มันจะดียังไงครับ  ผมมองไม่ออกจริงๆครับ ความคิดเห็นที่ 15 การเพิ่มการใช้จ่าย Mega Projects ไม่ทำให้เงินเฟ้อมากขึ้นเหรอครับ ...........มันทำให้ money supply  เพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ ความคิดเห็นที่ 20 + ความคิดเห็นที่ 28 เห็นด้วยทุกประการครับ ความคิดเห็นที่ 31 เห็นด้วยครับ จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 17 ก.ค. 51 06:13:05 ]

ความคิดเห็นที่ 48 สรุป การขึ้นดอกเบี้ยควรจะทำมานานแล้ว  มาทำตอนนี้มันสายไปแล้วครับ Mega Projects ควรจะเริ่มตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว ถ้าจะเริ่มทำตอนนี้ต้องควบคุมไม่ให้มีผลกระทบกับเงินเฟ้อด้วยครับ แทนที่จะกู้เงินต่างชาติมาทำ Mega Projects  เราออกพันธบัตรเงินบาทไม่ดีกว่าหรือครับ ถ้ากู้เงินญี่ปุ่นมาตอนนี้ เวลาใช้คืนในอนาคตน่ะค่าเงินเราอ่อนลงกว่านี้เยอะนะครับ ........เผลอๆ ต้องใช้คืนมากกว่า 2 เท่า โดยที่ยังไม่รวมดอกเบี้ย จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 17 ก.ค. 51 06:41:12 ]

ความคิดเห็นที่ 49 kaohoon.com โครงการลงทุนของร.ฟ.ท.ที่จะต้องใช้เงินกู้นั้น ประกอบไปด้วย โครงการพัฒนาระบบรางที่จะเป็นรถไฟทางคู่ แบบรางมาตรฐาน 1.54 เมตร ระยะทาง 2,644 กิโลเมตร วงเงิน 367,312 ล้านบาท ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ 10 ปี โครงการปรับปรุงทางรถไฟ ระยะที่ 5 เส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงสถานีชุมทางแก่งคอยถึงแก่งเสือเต้น ช่วงสถานีสุรนารายณ์-ชุมทางบัวใหญ่ และช่วงสถานีชุมทางจิระ-ชุมทางบัวใหญ่ รวมระยะทางประมาณ 308 กิโลเมตร ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี นอกจากนี้ ยังได้มีการอนุมัติให้ดำเนินโครงการปรับปรุงทางระยะที่ 6 เส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงชุมทางบัวใหญ่-หนองคาย ระยะทาง 278 กิโลเมตร รวมมูลค่าการปรับปรุงทางทั้งหมด 18,000 ล้านบาท และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต มูลค่า 77,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการทั้งหมดหากร.ฟ.ท.ยังมีปัญหาในเรื่องของสภาพคล่องและยังไม่ได้มี การปรับโครงสร้างองค์กร จะทำให้การดำเนินการโครงการสำคัญมีปัญหาในอนาคต แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาร.ฟ.ท.ยังไม่ได้ดำเนินการการขนส่งทางรางให้มีประสิทธิภาพ ขณะที่ตัวองค์กรยังประสบปัญหาการขาดทุนสะสมต่อเนื่องมาโดยตลอด จนเป็นภาระต่อกระทรวงการคลัง อย่างไรก็ตาม สถานะของร.ฟ.ท.ในปัจจุบัน อยู่ในสภาพที่ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง โดยปีนี้อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท และมีหนี้เงินกู้ 51,200 ล้านบาท มีดอกเบี้ยจ่ายปีละ 1,850 ล้านบาท ภาระบำนาญที่ต้องจ่ายให้กับพนักงานสูงถึง 160,000 ล้านบาทหรือเป็นภาระ 2,400 ล้านบาทต่อปี มีผลประกอบการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปีนี้ จะมีผลประกอบการขาดทุนประมาณ 9,000 ล้านบาทและจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 10,000 ล้านบาทในปี 2552 จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 17 ก.ค. 51 06:45:44 ]

ความคิดเห็นที่ 50 อ่านทุกความคิดเห็นแล้วได้ความรู้สึกว่า คนที่มีมาตรฐานทางความรู้จริง ๆ ถ้าได้แชร์ความคิดอย่างตรงไปตรงมาจะมีส่วนช่วยให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้ไม่มากก็น้อย  แต่การประกอบอาชีพจริง ๆ ก็ยังมีอุปสรรคมากมายเนื่องมาจากปัญหาต่าง ๆ ที่สะสมไว้ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างมืออาชีพ  ผลพวงจึงเกิดขึ้นกับประชาชนดังที่เห็นกันอยู่   คนที่มีกำลังก็เอาตัวรอดได้  แต่ก็ยังเป็นส่วนน้อยในประเทศนี้ จากคุณ : ypo (ypo) - [ 17 ก.ค. 51 12:06:54 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ต้องปล่อยให้"มืออาชีพ"เขาทำครับ ฝืนอัตราดอกเบี้ยที่มันขึ้นกันทั่วโลกได้อย่างไร จากคุณ : pungee1 - [ 17 ก.ค. 51 17:18:51 ]

ความคิดเห็นที่ 52 สุดยอดครับ ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ... จากคุณ : i_sarut - [ วันอาสาฬหบูชา 21:24:16 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขออนุญาตพี่หมอกานะครับ http://in.reuters.com/article/specialEvents4/idINBKK24627120080630 จากคุณ : GABLIEL [ วันอาสาฬหบูชา 19:01:00 ] ------------------------------------------------ น่าจะมีผลต่อ Money Supply และภาวะเงินเฟ้อ จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ วันอาสาฬหบูชา 21:25:10 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ  ทุกๆ ความเห็น ทั้งเห็นด้วยและเห็นต่าง รวมถึงทุกๆ เสียงโหวตด้วยนะครับ คนจะได้อ่านกันเยอะๆ มีอะไรจะได้พูดจากันด้วยเหตุด้วยผลยิ่งขึ้นครับ ที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่คุณคนเดียวนะครับ ที่ได้อะไรจากกระทู้นี้ คนเขียนก้อเช่นเดียวกันครับ ได้รับมุมมองที่บางอันผมไม่เคยคิดถึงมาก่อน ซึ่งมีประโยชน์มากครับ สำหรับการต่อยอดความรู้ต่อไปครับ ส่วนเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย ก้อตามคาดครับ กนง ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% แถมส่งสัญญาณด้วยว่า ถ้าเงินเฟ้อยังเป็นปัญหา ก้อจะดูแลต่อไป (แปลว่าอาจจะขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ^^") http://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/Documents/MPC160751.pdf ขอตอบกระทู้เท่าที่สามารถนะครับ :) คห. 20 คุณ phon77 ที่ กนง. ประชุมทุกๆ 6 สัปดาห์นั้นเป็นตารางที่กำหนดมาแน่นอนตั้งนานแล้วครับ ถ้าสมมติว่าเกิดการประชุมพิเศษ โดยไม่รอให้ครบ 6 สัปดาห์สิครับ มันจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่านี้ เพราะตลาดจะคิดว่า เฮ้ยย เกิดอะไรขึ้นป่ะเนี่ย ทำไมต้องเร่งประชุมด่วน มีข่าวอะไรที่ตลาดยังไม่ได้ price in หรือเปล่า มันจะเป็นการส่งสัญญาณผิดๆ ต่อตลาดนะครับ :) ความเห็นของนักวิชาการหลายๆ ท่าน ที่แม้บางท่านจะเป็นที่ปรึกษาให้เอกชน แต่เท่าที่ผมได้ฟังส่วนใหญ่ ผมว่าเค้าก้อหวังดีต่อประเทศชาตินะครับ อาจจะเห็นต่างกันบ้าง แต่เรื่อง Hidden Agenda ผมว่าน้อยมากๆ ครับ :) คห. 22 คุณ Ken 1. อาจจะจริงครับ ว่าราคาสินค้าขึ้นตามราคาน้ำมัน แต่ประเด็นคือ ถ้ามันไม่มี Demand ราคาคงสูงขึ้นมากๆ ไม่ได้ครับ 3. ขอโทษครับ พอดีผมไม่ได้เก็บตัวเลขไว้ แต่เท่าที่จำได้ (ลางๆ ^^" ) ก้อมีเพื่อนบ้านเราอย่าง ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไต้หวัน และก้อยุโรป ส่วนประเทศอื่นๆ แม้จะยังไม่ขึ้น แต่ก้อมีแนวโน้มที่จะขึ้นครับ เพียงแต่รอดูท่าทีก่อน เพราะจังหวะการขึ้นดอกเบี้ย มันขึ้นอยู่กับ Business Cycle ของประเทศนั้นๆ ครับ ที่สำคัญ ผมยังไม่ได้ยินว่ามีประเทศไหนที่ดอกเบี้ยเป็นขาลงนะครับ (หรือผมตกข่าวหว่า ^^" ) 4. เงินเฟ้อจะสั้นจะนานผมขอเห็นต่างว่า มันก้อเป็นเงินเฟ้อนะครับ เอาตัวอย่างของคุณเลย ผมเคยเห็นรายงานของโบรกแห่งหนึ่งเค้าคำนวณให้เห็นเลยว่า ราคาทองคำกับอัตราแลกเปลี่ยนนั้นเคลื่อนที่ไปเรียกว่าเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวกันเลย การที่ทองคำขึ้น แสดงว่าค่าเงินอาจอ่อนลง ค่าเงินอ่อนจะทำให้ราคาสินค้าของประเทศนั้นถูกลง (ในสายตาของประเทศอื่นๆ) ราคาสินค้าถูกลง คนจะซื้อมากขึ้น ทำให้ราคาสินค้า (ในรูปสกุลท้องถิ่น) เพิ่มขึ้น นั่นแปลว่าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นครับ :) 5. 55+ จริงครับ แต่จิตวิทยาหมู่เนี่ยล่ะครับ มันจะทำให้เงินเฟ้อขึ้นไปจริงๆ ครับ :) คห.23 คุณปุถุนคนไทย ผมเห็นด้วยครับ ถ้าตราบใดรายได้ของประชาชนพุ่งตามเงินเฟ้อ มันคงไม่ใช่ปัญหา แต่ตอนนี้รายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นตามเงินเฟ้อครับ เพราะฉะนั้นสำหรับประเทศเรา เงินเฟ้อจึงเป็นปัญหาที่ต้องจัดการครับ :) คห. 26 คุณ Peter ชมกันเกินไปแล้วครับ (แต่แอบดีใจนะครับ ฮา) รัฐมนตรี(โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องเศรษฐกิจ) ที่ผมรู้จักหลายท่าน (ไม่ได้ส่วนตัวหรอกครับ ผ่านตามสื่อ) เก่งกว่าผมร้อยเท่าพันเท่าครับ ไม่ต้องระดับรัฐมนตรีหรอกครับ คุณในแวดวงการเงิน เศรษฐศาสตร์ รวมถึงคนในองค์กรราชการอย่างกระทรวงการคลังหรือแบงค์ชาติ ที่ผมเคยรู้จักนี่เก่งๆ กันทั้งนั้นครับ ผมคุยกะพวกเค้านี่ นั่งฟังได้อย่างเดียว ^^" เพียงแต่เค้าไม่มีโอกาสมานั่งเขียนกระทู้แบบนี้เท่านั้นเองครับ ;) คห. 29 คุณ วิศวกรไม่แก่ (Witty_g1) นโยบายการเงินและนโยบายการคลังจะต้องสอดคล้องกัน อันนี้เห็นด้วยเต็มๆ เลยครับ ผมมองว่ามาตรการ 6 ข้อที่รัฐบาลออกมา ก้อเพื่อแก้ปัญหาระยะสั้นๆ จากเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนะครับ คงไม่ถึงจะสูญเปล่าหรอกครับ :) คห. 30 พี่ปะป๋าน้องมุก รัฐมนตรีเลยเหรอครับพี่ ปอดตัวเองยังเอาไม่รอดเล้ยยย หาปัญญาที่ไหนไปบริหารประเทศ ^^" ปล.แอบหวังให้ Barca ตัดหน้าผีอยู่ครับ เสียพี่เหยินไปคงหันมาดูพี่เบิร์บเราบ้าง :) คห.31 คุณ Mr Google มาตรการนี้คงช่วยได้บ้างครับ แต่คงไม่มากนัก (SCBS คำนวณว่าจะช่วยลดเงินเฟ้อได้ 0.2-0.3% ในครึ่งหลังของปีนี้ครับ ส่วนตัวผมยังไม่ได้ดูตัวเลขมากนัก ผมก้อมองว่าคงประมาณนั้น) แต่ผลในระยะยาว ผมมองเหมือน คห.38 ของคุณ MaizeBlue นะครับ อาจจะทำให้การใช้น้ำมันมากขึ้น --> นำเข้าน้ำมันมากขึ้น --> ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล --> บาทอ่อน --> ต้องนำเข้าน้ำมันแพงขึ้น --> เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ครับ :) คห.45 คุณ Tamจัง จริงครับ (เหมือนความเห็น 13 ของผม) แต่การไม่ขึ้นอาจส่งสัญญาณที่ไม่ถูกต้องต่อตลาดได้ครับ พูดแบบชาวบ้านๆ คือ แบงค์อาจลังเลว่าตกลงแนวโน้มดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้นจริงหรือไม่ ครับ จากคุณ : m_ple - [ วันอาสาฬหบูชา 22:09:12 ]

ความคิดเห็นที่ 55 คห 46 - 49 พี่อภิมหาชาติบุตร (นอนดึกและตื่นเช้าจริงๆ เลยครับพี่ ^^" เอ๊ะ หรือไม่ได้อยู่เมืองไทย ;) ) ขอบคุณสำหรับหลายๆ มุมมองนะครับ (ไม่แน่ใจว่าจะตอบได้หมดหรือเปล่านะครับ ^^" ) - ผมมองว่า การขึ้นดอกเบี้ยคงไม่ช่วยแก้ Cost-push inflation ได้เท่าไรหรอกครับ อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร เหมือนเคยอ่านเจอเปเปอร์เค้า review  การแก้ปัญหา oil shock สองครั้งก่อน โดยสรุปว่า มีครั้งหนึ่งที่ผิด อีกครั้งที่ถูก ครั้งที่ถูกคือ การขึ้นดอกเบี้ยจัดการกับ Oil shock แม้จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวในระยะแรก แต่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาวครับ อย่างไรก้อตาม ประเด็นของผมที่เห็นด้วยกับการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้ ผมมองว่า ปัญหาเงินเฟ้อของเรา ไม่ใช่ cost push เพียงอย่างเดียวครับ แต่ปัญหาสำคัญที่ดอกเบี้ยควรเข้ามามีบทบาทแก้ปัญหาคือเรื่อง Inflation Expectation ที่สูงขึ้น และ  Real Interest Rate ติดลบ - เรื่อง inflation targeting ผมของเห็นต่างว่า คนจะกินดีอยู่ดีได้ เงินเฟ้อในระบบต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมครับ (หรือต่ำ most of the times ครับ) เพราะถ้าเงินเฟ้อสูงเสียแล้ว คนที่รายได้ไม่ขึ้นตามเงินเฟ้อจะลำบากครับ และจะกระทบต่อคนวงกว้างกว่าเศรษฐกิจชะลอตัวครับ เศรษฐกิจชะลอตัว รายได้บางคนอาจจะไม่ชะลอตัวตามเศรษฐกิจก้อได้ (คนที่มีรายได้ประจำ คนแก่กินบำนาญ อย่าคิดในแง่ extreme case นะครับ ถ้าเศรษฐกิจล่มสลาย คนต้องตายทั้งประเทศอยู่แล้ว ^^" ) แต่ถ้าเงินเฟ้อขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นใครในประเทศนี้ คุณได้รับผลกระทบเท่ากันหมดครับ ที่น่าเป็นห่วงคือ คนจน และคนแก่ ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อมากกว่าคนรวยและคนทำงานครับ UBS ออกบทวิเคราะห์พาดหัวว่า(จำเป๊ะๆ ไม่ได้นะครับ แต่ประมาณเนี่ย) Fighting against Inflation: Be young and rich (if you can) ผมเห็นแล้วฮาแตกเลย ^^" - ที่ผมบอกว่า การขึ้นดอกเบี้ยควรให้สอดคล้องกับดอกเบี้ยโลกนั้น เพราะผมมองว่าถ้า Gap ระหว่างดอกเบี้ยไทยและโลกเปลี่ยนแปลง มันจะส่งผลกระทบต่อเนื่องอีกหลายอย่างครับ โดยเฉพาะอัตราแลกเปลี่ยนครับ - ถ้ารัฐออกพันธบัตรมาเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้สภาพคล่องในระบบตึงตัวขึ้น และจะส่งผลให้ดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้นครับ ผลลัพธ์น่าจะแย่กว่าการขึ้นดอกเบี้ยโดยตรง (ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือเปล่านะครับ อย่างน้อยก้อไม่เกิดปัญหา liquidity) - expected headline inflation นี่ ผมว่าแบงค์ชาติไม่ได้ make ตัวเลขหรอกครับ เพราะในตลาดเงินคิดแบบนี้เช่นเดียวกัน เพราะ implied forward curve (อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นคาดการณ์ในอนาคต เราสามารถคำนวณได้จาก yield curve ครับ แต่ผมยังไม่ค่อยชัวร์วิธีการคำนวณ (ยากโคด) เลยยังไม่อยากยกตัวอย่างนี้มาให้ชมครับ) ในตลาดปรับเพิ่มขึ้นมาเหมือนกันครับ อธิบายสั้นๆ Interest rate return = risk-free rate of return + risk premium + expected inflation ในระยะสั้นๆ risk-free rate กับ risk premium เปลี่ยนน้อยมากครับ เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีตัวไหนทำให้ implied forward curve shifts (นั่นแปลว่า interest rate return เพิ่มสูงขึ้น) นั้น มันจะมาจาก expected inflation ครับ ซึ่งตอนนี้ implied forward curve ในตลาดปรับเพิ่มสูงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีแล้วครับ :) - จริงครับ บริษัทในไทยไม่ใช่มีแค่ใน SET แต่เราไม่มีตัวเลขรวมทั้งหมดครับ ผมจึงเอา SET & MAI มาเป็น proxy มิฉะนั้นแล้ว เราจะไม่มีอะไรให้จับเลยครับ :) - Mega projects อาจทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้จริง แต่ผมมองว่าในระยะยาว น่าจะเป็นผลดีต่อปัญหาเงินเฟ้อครับ ถ้ามันทำให้ประสิทธิภาพการผลิตของเราดีขึ้น และลดการพึ่งพาน้ำมันได้ อ่ะครับ :) เห็นด้วยว่า Mega projects ควรจะเริ่มตั้งนานแล้ว (ตั้งแต่ที่คำๆ นี้เป็นที่รู้จัก หรือสักประมาณ 4-5 ปีที่แล้วด้วยซ้ำ) เห็นผลลัพธ์ของปัญหาการเมืองไทยหรือยังครับ ประเทศไทยสูญเสียโอกาสอะไรไปหลายๆ อย่าง เยอะมากๆ เพราะปัญหาการเมืองเนี่ยละครับ ปัญหาคอรับชั่น การแย่งชิงอำนาจทางการเมือง พวกนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับประเทศไทยครับ ถ้าเราไม่มีปัญหาเหล่านี้ กระทู้นี้อาจไม่เกิดก้อได้ครับ :) อ่ะๆ ไม่เอาๆ ไม่พูดเรื่องการเมือง ^^" คห. 50 คุณ ypo นั่นเป็นเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวเลยครับ ทุกครั้งที่มีคนถามว่า ไม่เหนื่อยหรอ มาเขียนกระทู้แบบนี้ งานประจำก้อเยอะจะแย่ ^^" ผมอยากเห็นสังคมไทย มาแชร์ความรู้ซึ่งกันละกัน ถกเถียงกันด้วยเหตุผล เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ ไม่ใช่เถียงเอาชนะคะคานกันไม่ลืมหูลืมตา เหมือนอย่างในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ครับ :) ถ้ามีใครสักคนเปลี่ยนความคิด มาคิดอย่างคุณได้ มันก้อคุ้มค่ามากๆ กับสิ่งที่ผมทำอยู่ครับ เริ่มจากคนไม่กี่คน ผมหวังว่าสักวันจะเปลี่ยนสังคมได้ครับ (โอ้ว หวังสูง ^^") ขอบคุณอีกครั้ง ทุกๆ ความเห็นนะครับ _/l\_ จากคุณ : m_ple - [ วันอาสาฬหบูชา 22:11:51 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เยี่อมยอด จากคุณ : xSharez - [ วันอาสาฬหบูชา 23:54:49 ]

ความคิดเห็นที่ 57 คุณ m_ple นี่ถ้าเอากระทู้ที่ตั้งมารวมเล่มทำหนังสือ ผมจะอุดหนุนด้วยเลยเล่มนึง อธิบายเรื่องต่างๆได้เข้าใจง่ายดีครับ ทันเหตุการณ์ดี จากคุณ : tgih - [ วันเข้าพรรษา 04:16:06 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณนะครับที่ช่วยอธิบาย ผมจำได้ว่าการแก้ปัญหา oil shock สองครั้งก่อน ........ไม่ได้มีเฉพาะมาตรการดอกเบี้ยนะครับ มาตรการประหยัดต่างๆ นานา ถูกนำมาใช้ด้วย  เช่น วิ่งรถวันคู่วันคี่ ลด speed limit .........รวมทั้งมาตรการควบคุมราคา+คุมการนำเข้า และนโยบายการคลัง ต้องไม่ลืมว่า ช่วง oil shock ครั้งแรก มีการลอยตัวค่าเงินดอลลาร์ด้วยนะครับ .........จากเดิมที่เป็นอัตราคงที่(ผูกกับทองคำ) ส่วนเหตุการณ์หลังจากครั้งที่ 2 โชคดีที่ปู่เรแกนใช้นโยบายการคลังช่วยไว้หรือเปล่าครับ ..............ทั้งลดภาษี ทั้งเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ(มากๆ)โดยเฉพาะงบทางทหาร นอกจากนั้นยังมีมาตรการกีดกันทางการค้าออกมาอีกเป็นกระบุง เรื่องภาวะเงินเฟ้อ ผมเชื่อ อดัม สมิธ ครับว่าคนเรามีความสามารถในการปรับตัว รัฐบาลอาจจะช่วยประคับประคองในตอนแรกๆ (อย่าง 6 มาตรการที่ออกมา 6 เดือนหน้า) ...แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ Invisible Hand ครับ (กลไกตลาดมั้ง) ..........คือประชาชนและธุรกิจต้องปรับตัว ส่วนการอธิบาย expected headline inflation โดยใช้  CAPM (ใช่หรือเปล่า) .........ผมอ่านแล้วข้ามๆ ไปละกัน  เพราะผมไม่เห็นด้วยกับ assumptions ของ CAPM หมายเหตุ ไปๆ มาๆ ดูเหมือนรัฐบาลมาอ่านกระทู้คุณ m_ple นะครับ -วันก่อนเห็นมีมาตรการลดภาระประชาชนออกมา (6 มาตรการ 6 เดือน) -วันนี้เห็นมีพันธบัตรออกมาใหม่ จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ วันเข้าพรรษา 16:19:52 ]

ความคิดเห็นที่ 59 OIL PRICE SHOCKS AND THE MACROECONOMY the role of monetary policy in generating post-oil price shock recessions the oil price-GDP relationship http://pzl1.ed.ornl.gov/IAEE_2002_oil_macro_paper_rev2.pdf Oil shocks and disinflation policies http://ies.fsv.cuni.cz/default/file/download/id/8163 จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ วันเข้าพรรษา 16:24:41 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 19 ก.ค. 51 01:44:30 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ผมเองก็เห็นด้วยครับว่าควรจะขึ้นดอกเบี้ย สถานการณ์ตอนนี้มันไม่เหมือนแปดเก้าปีที่แล้วที่ไอทีรุ่ง อินเทอเนทรุ่ง คนที่ productivity สูง รวมทั้งส่งงานไปออฟชอร์ ทำให้ทุนถูกลง ทุกอย่างพุ่งกระชูด คนที่เงินใช้จ่ายเยอะ ตอนนี้มันถึงจุดอิ่มตัวอีกครั้งแล้ว มันไม่มีอะไรที่ทำให้มันเก้ากระโดดได้แบบคราวก่อน แถมตอนนั้นเมกามีนโยบายกระตุ้นให้คนใช้ตังค์ บวกกับทุกอย่างที่ตอนนั้นรุ่ง เหมือนกินสเตอรอยล์ ทุกอย่างพุ่งขึ้นหยุดไม่อยู่ จริงๆแล้วน้ำมันก็ค่อยๆขึ้น แต่คนยังไม่เดือดร้อนมากเพราะมีตังค์ใช้จ่ายเยอะ แถมดอกเบี้ยยังลดอีก รวมทั้งการปล่อยกู้สินเชื้อมากเกินไป แต่ตอนนี้มันกลับด้านแล้ว วิกฤตคราวนี้ถ้าไม่ใช้นโยบายแข็งกร่าวคงลำบากละครับ ยื้อได้ไม่นานหรอกครับถ้าปล่อยไปแบบนี้ จะให้ยาแก้ปวดบรรเทาไปเรื่อยๆ หรือจะผ่าตัดใหญ่ละครับ จากคุณ : Freedom and Justice - [ 19 ก.ค. 51 11:09:32 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ขอบคุณค่ะ อ่านแล้วได้แง่คิดหลายอย่างเลย... จากคุณ : มุกวาริน - [ 19 ก.ค. 51 11:47:43 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณ จขกท ที่มาช่วยแบ่งปันความรู้ครับ  ผมมองในอารมณ์สนุกนะครับ อยากรู้ว่าทางออกในการแก้ปัญหาอยู่ที่ตรงไหน (แล้วถ้าวันนั้นเราเลือกทางอื่นล่ะ มันจะเป็นยังไง) จริงๆแล้วไม่มีใครรู้หรอกครับว่าควรจะใช้วิธีไหนในการแก้ปัญหา ไม่งั้นประเทศเจ้าทฤษฎีอย่างอเมริกาจะมาลำบากลำบนแบบทุกวันนี้เหรอครับ  ขอเอาใจช่วยให้ประเทศเล็กๆแต่น่าอยู่อย่างเมืองไทยเอาตัวรอดไปได้อย่างปลอดภัยครับ จากคุณ : Papiruz - [ 19 ก.ค. 51 17:08:18 ]

ความคิดเห็นที่ 64 #60 ขึ้นหรือไม่ขึ้น ไม่มีผล " ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion " สม่ำเสมอ จากคุณ : MSK Orange - [ 19 ก.ค. 51 19:42:57 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ได้ความรู้มากมายครับ ผมคงได้แค่อ่านนะครับ ไม่สามารถตั้งคำถามได้ครับ จากคุณ : thrill - [ 19 ก.ค. 51 20:50:51 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ... เห็นด้วยว่าควรขึ้นครับ เพื่อจะได้เป็นตัวบีบอีกทางให้สินค้ามีราคาลดลง จากคุณ : ดาราวิปลาส - [ 23 ก.ค. 51 09:58:40 ]

ความคิดเห็นที่ 67 แรกๆผมไม่เห็นด้วยกับการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เลย  แต่พออ่าน ความเห็นของคุณ m_ple แล้วก็เห็นว่าข้อมูลและความคิดเห็นนั้นมีเหตุมีผลจนผมคล้อยตามไปวูบหนึ่ง  แต่เมื่อนึกดูดีๆแล้ว ไอ้เงินเฟ้อแบบคราวนี้น่าจะเป็น Cost Push แต่คงไม่ถึงกับ Supply Shock แม้ว่าสินค้าส่วนใหญ่จะราคาขึ้นกันทั่วโลกก็ตาม แต่ก็ล้วนเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนการผลิตทั้งสิ้น เช่น น้ำมันแพง --> ต้นทุนขนส่งและอุตสาหกรรมเพิ่ม (แม้ว่าจะเทียบเป็นเปอร์เซ็นไม่มากก็ตาม)--> เงินเฟ้อ น้ำมันแพง --> ทำให้สินค้าเกษตรที่เป็นพลังงานทดแทนแพงขึ้นทั่วโลก  --> เงินเฟ้อ เหล็กแพง (ยังไม่เช็คราคาปัจจุบันแต่น่าจะราวๆ 100% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว)--> ต้นทุนอุตสาหกรรมหนักภายในประเทศ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต้นทุนเพิ่มขึ้น 20-30% เงินเฟ้อ --> ของแพง --> ค่าแรงราชการ + ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่ม --> ต้นทุนการผลิตเพิ่ม (หรือ Wage-Price Spiral ที่อยู่ในการทู้ที่แล้ว) เงินเฟ้อ --> ของแพง (ผมไม่ได้เขียนสลับกันนะคับ)--> คนบริโภคน้อยลง ความอยากใช้จ่ายน้อยลง --> เศรษฐกิจฝืดเคือง เงินเฟ้อ + เศรษฐกิจฝืด + คนขาดความมั่นใจในการลงทุนและบริโภค--> สายป่านสั้น เน่า สายป่านยาว อยู่ได้ (บ้านราคากลาง ล่างโดนเต็มๆครับท่าน บ้านพวกรวยหลุดโลกกลับขายดีขึ้น )---> ธุรกิจต่อเนื่องจากธุรกิจที่ประสบปัญหา (อสัังหาชัดสุด)อีกนับร้อยจะได้รับผลกระทบ (แต่ขาใหญ่บางเจ้า อาศัยจังหวะนี้ไล่หาซื้อที่ดีๆราคาถูก เพราะมีตังค์เหลือเฟือ) จะเห็นได้ว่าปัจจุบันเรากำลังเจอปัญหาในรูปแบบนี้ ลองนึกดูว่าถ้าหากดอกเบี้ยขึ้น 1% คนที่ซื้อบ้าน 3 ล้านจะต้องผ่อนส่วนของดอกเบี้ยอีก ปีละ 30,000 เืดือนละ 2,500 หมายความว่าเกณฑ์เงินเดือนที่จะกู้ซื้อบ้านได้จะต้องมีเงินเดือนเพิ่มถึง 7500 - 10000 บาทโดยประมาณ (ยังไม่กล้าคิดว่าถ้าธ.นำต้นทุนการเดินทางเข้ามารวมด้วยแบบไฟแนนซ์รถ จะเป็นอย่างไร เพราะปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการเดินทางน่าจะ 30- 50% ของเงินเดือน) แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้ากนง.อยากขึ้นดอกเบี้ยให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไม่ติดลบ (คงต้องขึ้นไม่ต่ำกว่า 4.5%)ธุรกิจก็คงจะล้มเป็นโดมิโน เพราะว่าด้านอสังหาเป็นตัวขับเคลือ่นหลักขาหนึ่งของ GDP สรุปว่าถ้าเงินเฟ้อคราวนี้เกิดจากด้าน Supply ก็จะแก้ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้นั้นถูกแล้ว แต่ถ้าเป็นเงินเฟ้อจาก Panic ซักพักมันก็จะเข้าที่เข้าทางเิองเมื่อสภาวะเศรษฐกิจกลับสู่ปกติ เพราะไม่มีใครอยากใช้ของแพงหรอกคับ นอกจากมันจะเป็นตลาดผูกขาด แต่ผมขอขอบคุณ คุณ M_Ple มากจากที่ผมตามอ่านมาได้ความรู้เพิ่มขึ้นเยอะเลย จากคุณ : น้ำมันเริ่มลงแล้ว (Endless_ Luck) - [ 24 ก.ค. 51 00:37:06 ]