ความคิดเห็นที่ 60
** แนวคิดนี้เป็นเพียงความรู้อันน้อยนิดและประสบการณ์ เท่าที่ผ่านมาในเกมส์การเงิน ของผม อยากให้เพื่อนๆที่สามารถใช้ประโยชน์สามารถนำไปต่อยอดได้ ถ้าหากแนวความคิดไม่ตรงกันกับเพื่อนๆพี่น้องๆบางท่าน กรุณาอย่าถือสา ** ต้องขอโทษด้วยนะครับเวลาผมน้อยจริงๆ แต่ก็จะพยามเข้ามาครับ :)
ที่ผมเน้นเรื่องการแบ่งหน่วยย่อยให้เล็กที่สุดก็เพื่อฝึกไม่ให้ตัวเองลงทุนเกินตัว สังเกตมั้ยครับว่ากองทุน หรือ ต่างชาติ ซื้อขายกันเกือบทุกวันเค้าทำอะไรกัน ผมหมายถึง Fund ที่มีกลยุทธ์แน่นอนนะครับพวกนี้สามารถทำธุรกรรมได้เกือบทุกวันโดยพยามหารายได้เล็กๆน้อยเข้ากระเป๋า เพราะว่าเค้าจัดการแบ่งหน่วยย่อยของเค้าไว้แล้วนั่นเอง โดยเฉพาะเฮดจ์ฟัน ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมาบังคับเหมือนกองทุนทั่วไป เช่น ว่าต้องถือเงินสดเท่าไร ยิ่งเป็นข้อได้เปรียบในการต่อสู้มากขึ้น สมมุติว่าผมได้เงินบริหารมา 5,000 ล้าน ผมก็ต้องพยามแบ่งหน่วยย่อยของผมออกไปต่อสู้ บางทีเราเห็นออเดอร์ล็อตนึง 50 ล้านบาทเคาะเข้ามา เราก็อาจคิดว่า โหว มีออเดอร์ล็อตใหญ่เข้ามาต้องไปได้สวยแน่ๆ ความจริง 50 ล้าน เป็นแค่ 1 ใน 100 ของเค้า แล้วถ้าเกิดกระแสมีคนเข้าซื้อตาม เค้าก็สามารถทำกำไรส่วนป้องกันความเสี่ยง โดยอาจจะดึงเงินออกมาครึ่งหนึ่งเช่น 25 ล้าน + กำไร เก็บไว้เป็นกองหลังยามฉุกเฉิน อีกส่วนหนึ่งบางทีเค้าไม่สนใจด้วยซ้ำ เพราะหากตลาดผิดคาดส่วนกองหลังเค้ายังมีให้เค้ามาเล่นอีก และถ้าตลาดยังไปได้อีกเค้าก็มีส่วนถือกำไรไปได้เรื่อยๆ ผมพยามไม่ลงลึกในแง่ของการจัด Portfolio นะครับ เพราะไม่จำเป็นเลย เราแค่เข้าใจ concept แนวคิดของ fund พวกนี้ก็พอ
ก่อนจะวางกลยุทธ์เรามาดูในแง่การกระจากความเสี่ยงของพวก fund กองโจรพวกนี้กันบ้าง พวกนี้เน้น Game Theory มาก ดังนั้นสังเกตเค้าจะมองที่กระเป๋าเงินเป็นหลัก ยกตัวอย่าง เค้าจะไม่กระจายความเสี่ยง เช่น ลง หุ้นรายตัว หมวดพลังงาน หมวด Bank เพราะอะไร เค้ามองว่าตลาดเดียวกันก็ กระเป๋าเงินเดียวกัน เงินหมุนไปหมุนมาจาก Player ในตลาดด้วยกันเองนี่ล่ะ ดังนั้นการกระจายความเสี่ยง พวก Global Macro พวกนี้ก็จะไปลง เช่น หุ้น (นักลงทุนโดยมากจะเป็นประชาชนทั่วไป) ทองคำ(พวกจิวเวอร์รี่ พวกเหมือง ) น้ำมัน (พวกบริษัทน้ำมันที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง ) เป็นต้น เพราะผู้เล่นซึ่งเป็นกระเป๋าเงินหลักคนล่ะกลุ่มกัน อาจจะมีบ้างที่มาเล่นหุ้นรายตัวแต่นั่นไม่ใช่กลยุทธ์หลัก
แน่นอนครับการเป็น Value investment เป็นสิ่งที่ดี และบุคคลที่ประสบความสำเร็จในแนวทางนี้ก็เป็นคนที่ร่ำรวยมาก (มนุษย์จะมองที่คนได้ผลลัพธ์สูงสุดว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุดเสมอ) แต่ถ้าเราเปิดใจกว้าง เก็บรายละเอียดทุกคนที่ประสบความสำเร็จในเกมการเงิน หรือ ถ้ามี Research House กล้าออกมาทำวิจัยนะครับ ว่าแนวทางไหนกันแน่ที่ดีที่สุดสำหรับเกมการเงินนี้อาจจะต้องตกใจเพราะมันไม่ใช่อย่างที่เราคิด หรือ เรียนๆกันมา และความจริงคนส่วนมากก็อาจจะรับไม่ได้ที่ผู้ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่หลายคนนั้นมาจากหลายแนวทาง เช่น การพนัน คณิตศาสตร์ ปรัชญา จิตวิทยา โดยที่ Value investment กับ Technical Analysisไม่ได้อยุ่ในอันดับที่สูงสักเท่าไร บทวิจัยของพวกเฮดจ์ฟันอาจจะทำผิดก็ได้ใครจะไปรู้ โดยที่ผลตอบแทนสูงสุดมาอยู่กับคนที่ลงทุนในรูปแบบ Value investment นี่คือ Game Theory ครับ แนวทางที่ดีสุดจะไม่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดแต่สามารถสำเร็จได้ง่าย ส่วนแนวทางที่เข้าถึงได้ยากหรือมีโอกาสสำเร็จยากก็จะให้ผลตอบแทนสูงมาก ถ้าเราทำสำเร็จ นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องเลือกเส้นทางก่อนในการที่จะเล่นเกมส์นี้ครับ จะเลือกผลตอบแทนสูงแต่โอกาสเข้าถึงก็ยากหน่อย หรือเลือกแบบง่ายๆแต่โอกาสจะทำผลตอบแทนเป็นแบบบัฟเฟต หรือ โซรอส ก็น้อยลงตาม
ส่วนการเลือกเส้นทางต่อมานั้นอยุ่ที่เพื่อนๆทุกคนจะตัดสินใจครับ มุมมองและความเชื่อของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีถ้าเราเปิดใจกว้างแล้วแชร์แนวความคิดกัน ย้อนกลับมาสู่ยุคของปรัชญากันดีกว่า แนวคิดปรัชญาแต่ล่ะคนไม่มีคำว่าผิดหรือถูก มีแต่คำว่าอ่อนายมองงี้เองหรอ เราจะลองมองดูบ้าง ถ้าไม่เหมาะกับเรา มันก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าเหมาะก็ดีเราจะได้ย่นเวลาบางส่วนแล้วพัฒนาแนวคิดต่อไป สมัยนี้ใครคิดไม่ตรงกันก็นายน่ะหล่ะผิด นายต้องทำแบบนั้นถึงจะถูก แล้วก็มาทุบตีกัน 
มาดูแนวคิดของผมก่อน ผมมองว่า ETF มันเหมาะกับมือใหม่อย่างไร - ค่าคอมถูก แถมบางโบรกไม่มีค่าคอมขั้นต่ำเวลาเล่นทาง net --- นั่นคือต้นทุนในการทำสงครามต่ำ - วางแผนง่าย ไม่ขึ้นก็ลง ไม่ต้องลุ้นหลายชั้น - เม็ดเงินมาจากหลายส่วน หนึ่งมาจาก Market makerส่วนหนึ่งที่ต้องพยามรักษาระดับให้ใกล้เคียงกับดัชนี ไม่ต้องกลัวว่าเก็บไปจนเยอะอีกหน่อยแล้วเจ้าจะไม่ลากขึ้น สมัยก่อนผมจำได้เก็บสะสมหุ้นจนเยอะ แล้วสภาพคล่องหายไปคราวนี้เศร้าเลย -*- มาดูข้อเสีย ทุกอย่างมีสองด้าน - ผลตอบแทนน้อย เมื่อเทียบกับหุ้นรายตัว อาจไม่ทันใจวัยรุนใจร้อน
คราวนี้ดูการวางแผนพอร์ตกันบ้างครับ สมมุติเรามีพอร์ต 50,000 บาท อาจจะมีกองหลังบ้างเล็กน้อยกรณีมันเป็นขาขึ้น budget เราอาจขาดนิดหน่อย ก็เปรียบเสมือนพอร์ต 50,000 ล้านนั่นเอง แล้วทีนี้กองทุน 5,000 ล้านจะสู้เราได้ไง วิธีนี้เค้าเรียก fraction Trading การต่อสู้โดยสัดส่วน ที่นี่เราแบ่งเป็น 100 ส่วนเช่นกัน ส่วนล่ะ 500 บาท แบ่งเป็นสัดส่วนดังนี้ A.กองทหาร DSM 25 กอง 500*25 = 12,500 หรือโดยประมาณ 2500 หุ้น กรณีเป็น ETF นั่นเอง B.กองทหารคุ้มครอง DSM 25 กอง 500*25 = 12,500 C.กองทหาร รบแบบกองโจร (Technical) 25 กอง 25*500 = 12,500 D.กองทหาร อารักขากองโจร 25 กอง 25*500 = 12,500
สมมุติ เป้าหมายเราคือ SET 50 กำหนดกรอบการเทรดคร่าวๆ ก่อน เพื่อวาง DSM plan สมมุติเรามองกรอบของ SET 50 อยุ่ที่ 400 600 ก็จะมีกรอบการรบอยุ่ที่ 200 จุด เรามีกองรบอยู่ทั้งหมด 20 กว่ากอง โดยประมาณ ก็จะได้ สนามรบกองล่ะ 10 จุด ตัวอย่างเช่น
ถ้าดัชนีลงมาที่ 480 จุด กองทหาร A (1) จำนวน 100 หุ้น และ B (1) จำนวน 100 หุ้น ก็จะเข้าสนามรบทันที หากกำไรภายในวันนั้นๆกองทหาร B (1) 100 หุ้น ก็จะ Take profit ออกมาทันที หากดัชนีไปที่ 490 กอง A (2) จำนวน 100 หุ้น B (2) 100 หุ้น อีกหน่วยก็จะเข้ามารบอีกเป็นต้น และถ้าในวันนั้นๆได้กำไรกอง B (2) ที่ประกบกอง A (2) จะออกมาข้างนอกเช่นกัน และถ้าดัชนีไปยืนที่ 500 กอง A (1) ที่เคยคุม Zone 480 ก็จะออกจากสนามรบทันที ลักษณะแบบนี้เค้าเรียกว่า Trading Zone นั่นเอง ส่วนถ้าหุ้นตกลงมาเรื่อยๆล่ะเราก็ต้องเล่นตาม Level ของเราอยุ่ดี เพราะส่วนของ DSM คือทหารที่รบแบบวินัยสำคัญมากต้องทำตามวินัยไม่สนใจว่าตลาดจะเป็นแบบไหน
ส่วนกอง (C) และ (D) จะเข้าก็ต่อเมื่อได้รับสัญญาณทางเทคนิค จะใช้เทคนิคตัวไหนก็ได้เอาที่มันระบุเทรนได้ดีหน่อย เช่น Moving Average เป็นต้น ยกตัวอย่างผมใช้ Moving Average ถ้าราคายืนบนเส้นค่าเฉลี่ยรายวันที่ผมชอบได้ ผมก็จะส่ง C (1) D (1) เข้าไป หากผมเดาถูกก็จะได้กำไร ผมก็จะถอน ตัว D (1) ออกมาก่อน ส่วน C(1) รอจนกว่าจะมีสัญญาณออก หากผมเดาผิดช่างมัน รอสัญญาณซื้อถัดไปค่อยส่ง D (2 ) C ( 2) มาใหม่ เป็นต้น
** ข้อสำคัญการเล่นแบบนี้ไม่ใช่การเล่นแบบปกติ หรือ เก็งกำไร แต่เป็นการเข้าครอบครองพื้นที่เป็น Zoneดังนั้นไม่ควร Cut Loss เด็ดขาด เพราะเราได้แบ่งหน่วยย่อยเป็นหน่วยที่เล็กมากแล้ว ** ** B และ D หากได้กำไร ให้ถอนออกมาก่อนจะปิดตลาด เมื่อไรที่ตลาดปิดเมื่อนั้นจะเกิดความเสี่ยงในวันถัดไปซึ่งเราไม่รุ้ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร ** ** อาจจะเห็นว่าซื้อขายนิดเดียวไม่ทันใจวัยรุ่น หรือผลตอบแทนไม่เยอะ แต่หัวใจสำคัญของแนวทางนี้คือ การกินไปเรื่อยๆระยะยาวครับ ** A เป็นการฝึกวินัย B เป็นการฝึกสัญชาติญาณในการเทรด ในการหาจุดออกทำกำไร ใน Zone C เป็นการฝึกอ่านกราฟ เทคนิคคัล Skill รวมทั้ง Trading Skill D เป็นการฝึกสัญชาติญาณในการเทรด ในการหาจุดออกทำกำไร **เมื่อเราฝึกไปตามแนวทางนี้บ่อยๆ เราจะตกใจเหมือนกับที่มืออาชีพหลายๆคน ว่า เทรดหุ้นง่ายกว่าทอดไข่ เสียอีก ถ้าหากเราไม่ลงทุนเกินตัวของเราครับ ที่หลายคนพลาดก็เพราะลงทุนเกินตัว การลงทุนเกินตัวไม่ได้หมายความว่าเราลงเงินเยอะนะครับ หากแต่เราเข้าไปลุยในตลาดครั้งหนึ่งเป็นสัดส่วนเท่าไร หากเรามีพอร์ต 50,000 บาท แต่เราซื้อครั้งล่ะ 25,000 แบบนี้ก็เท่ากับเราเป็นนักพนันครับ ลงครั้ง 50% ของ Budget เลย **
เนื่องจากผมพยามสรุปย่อจากประสบการณ์ส่วนตัวและ สมการคณิตศาสตร์หากเพื่อนๆท่านใดสงสัยหรือไม่เข้าใจ ก็ถามได้นะครับ แชร์ความรู้กัน
จริงๆผมตั้งใจจะไปมิตติ้งใหญ่ของสินธรเหมือนกัน ถ้าไม่โดนสั่งย้ายไปไหนเสียก่อนนะครับ อิอิ ไว้เจอกันครับ หรืออีกหน่อยถ้าจะจัด Session ย่อยๆกัน ก็น่าจะเป็นช่วงผมอายุสัก 32 (โอลิมปิกครั้งหน้า) ผมก็จะวางอาวุธลงแล้วมาให้เวลากับครอบครัวแทน อาจจะเน้นเป็นแค่กุนซืองานเบาๆแทน  ตอนนั้นคงมีเวลาเจอเพื่อนๆในพันทิพ แลกเปลี่ยนประสบการณ์และจะไปอาศัยฝากท้องกับทุกคนเลยครับ อิอิ
จากคุณ :
MudleyGroup
- [
24 ส.ค. 51 18:52:37
]
|
|
|