 |
ข่าวว่า มอร์แกน - โกลด์แมน อาจจะเป็นรายต่อไป หลังจาก เลย์แมน ล้มละลาย!!
นักวิเคราะห์ จับตา"มอร์แกน"-"โกลด์แมน"อาจเป็นเหยื่อต่อจาก"เลห์แมน" 14:28 น.
บริษัทยักษ์ใหญ่ในย่านวอลล์สตรีทมีจำนวนลดน้อยลงเรื่อยๆในปีนี้โดยในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาแบร์ สเติร์นส์ได้ปิดกิจการลงและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์โค ขณะที่เมอร์ริล ลินช์ได้ปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีลงกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ และถูกเทคโอเวอร์โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา ส่วนเลห์แมน บราเธอร์สก็ประกาศล้มละลาย เมื่อวานนี้
ขณะนี้นักลงทุนและนักวิเคราะห์ต่างก็กังวลว่า แม้แต่ 2 บริษัทหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งได้แก่โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ และมอร์แกนสแตนเลย์ ก็อาจจะอยู่ในภาวะเปราะบางเช่นกัน ในขณะที่ตลาดสูญเสียความเชื่อมั่นในพื้นฐานทางการเงินที่รองรับกิจการด้านวาณิชธนกิจ
นายเลส แซทโลว์ ผู้จัดการกองทุนของบริษัทคาบ็อท มันนี แมเนจเมนท์กล่าวว่า "ถ้าหากคุณยอมรับว่าโครงสร้างกิจการประเภทโบรกเกอร์-ดีลเลอร์ประสบความล้มเหลวอย่างน้อยก็ในช่วงนี้ คุณก็จะตั้งคำถามว่าโกลด์แมน แซคส์และมอร์แกน สแตนเลย์จะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่ ผมคิดว่านี่เป็นคำถามที่มีเหตุผลสมควรแก่การพิจารณามากขึ้นเรื่อยๆในช่วงนี้"
ความไม่แน่นอนในเรื่องนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นของโกลด์แมน แซคส์ร่วงลง 12 % และราคาหุ้นมอร์แกน สแตนเลย์ดิ่งลง 14 % เมื่อวานนี้ซึ่งเป็นวันที่เลห์แมนยื่นเรื่องเพื่อขอรับการพิทักษ์ทรัพย์จากภาวะล้มละลายและต่อจากวันที่เมอร์ริลตกลงขายกิจการ
โกลด์แมนรายงานผลประกอบการรายไตรมาสวานนี้ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่แปรรูปเป็นบริษัทมหาชนในปี 1999 และการดิ่งลงของราคาหุ้นโกลด์แมนเมื่อวานนี้เป็นการทรุดตัวลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี
มอร์แกน สแตนเลย์ได้ระบายสินทรัพย์ออกจากบริษัทอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดเผยยอดขาดทุนประจำช่วงไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว และมอร์แกนมีกำหนดจะเปิดเผยผลประกอบการในวันพรุ่งนี้
สิ่งที่สำคัญก็คือว่า รูปแบบการดำเนินงานที่เคยช่วยให้บริษัทในย่านวอลล์สตรีททำกำไรได้เกือบตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายต่อบริษัทในปัจจุบัน โดยรูปแบบการดำเนินงานดังกล่าวก็คือการลงทุนกับตราสารหนี้ในตลาดทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มพูนอัตราผลตอบแทนให้สูงขึ้นจากเดิมหลายเท่า
นายเกร็ก เชิร์ช ประธานบริษัทเชิร์ช แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า "การกู้ยืมเงินจากตลาดเพื่อนำเงินมาลงทุนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป และในอนาคตบริษัทเหล่านี้ก็จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร"
นักลงทุนเริ่มมุ่งความสนใจอย่างใกล้ชิดไปที่ระดับการกู้ยืมเงินมาลงทุนของบริษัทแต่ละแห่ง, คุณภาพของสินทรัพย์ที่อยู่ในงบดุล และแหล่งที่มาของเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินงานในบริษัท
ถึงแม้เลห์แมนระบายสินทรัพย์ด้านสัญญาจำนองออกไปแล้วเป็นจำนวนมากในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 แต่เลห์แมนก็ยังคงถือครองสินทรัพย์ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ยากต่อการขายเป็นมูลค่าราว 8 หมื่นล้านดอลลาร์ และสินทรัพย์กลุ่มนี้ก็มีมูลค่าลดน้อยลงเรื่อยๆ ขณะที่สัดส่วนการกู้ยืมเงินขั้นต้นก็ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดอยู่ที่ 21.1
เท่าของมูลค่าหลักทรัพย์ของผู้ถือหุ้น
ภายในภาวะแวดล้อมที่เลวร้ายนี้ โกลด์แมนและมอร์แกน สแตนเลย์ก็อาจได้รับแรงกดดันให้ควบรวมกิจการกับธนาคารขนาดใหญ่ที่ครอบครองเงินฝากจำนวนมาก
นายเดวิด โทรน นักวิเคราะห์ของบริษัทฟ็อกซ์-พิทท์, เคลตันกล่าวว่า "ในช่วงก่อนหน้านี้บริษัทกลุ่มนี้อาจจะเคยคิดว่า ทางบริษัทจะไม่มีวันประสบกับวิกฤติความเชื่อมั่น อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ในระยะนี้ก็แสดงให้เห็นว่า การคาดการณ์ล่วงหน้าอย่างมีเหตุผลนั้นไม่สามารถพิจารณาแต่เพียงปัจจัยพื้นฐาน" นอกจากนี้ เขายังกล่าวเสริมว่า "บริษัท 2 แห่งนี้จะพิจารณาหาหุ้นส่วนที่เป็นธนาคารพาณิชย์"
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่คาดว่าโกลด์แมนและมอร์แกนจะล้มละลาย
นายเกลนน์ ชอร์ นักวิเคราะห์ของธนาคาร UBS กล่าวว่าโกลด์แมนและมอร์แกนไม่มีสถานะความเสี่ยงที่กระจุกตัวมากเท่ากับเลห์แมนหรือเมอร์ริล เมื่อเทียบกับมูลค่าหลักทรัพย์ของพวกเขา นอกจากนี้ โกลด์แมนและมอร์แกนก็มีเงินกองทุนที่ใหญ่กว่า และมีแหล่งระดมทุนที่น่าเชื่อถือกว่าโดยโกลด์แมนและมอร์แกนยังมีธุรกิจบริหารสินทรัพย์และธุรกิจที่ปรึกษาในการบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูงด้วย
นายชอร์กล่าวว่า เลห์แมนครอบครองสินทรัพย์ที่มีปัญหาและมีความเสี่ยงสูงเป็นมูลค่าสูงถึง 4 เท่าของขนาดสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (tangible equity) ส่วนมอร์แกน สแตนเลย์ มีอัตราส่วนสินทรัพย์เสี่ยงเพียง 1.7 เท่าของสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ขณะที่โกลด์แมนมีค่าอัตราส่วนดังกล่าวใกล้กับ 1.4 เท่า
มอร์แกนและโกลด์แมนทำงานได้ดีกว่าบริษัทอื่นๆในด้านการกระจายการลงทุนในวงกว้างในหลายตลาดและในหลายประเทศในขณะที่เลห์แมนมีผลกำไรส่วนใหญ่มาจากหลักทรัพย์ด้านการจำนองถึงแม้เลห์แมนขยายกิจการด้านธนาคารและหุ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาส่วนเมอร์ริลเพิ่งเข้ามาลงทุนด้านสัญญาจำนองและการปล่อยกู้แก่บริษัท
ที่มีหนี้สินสูงในช่วงที่ตลาดดังกล่าวแตะจุดสูงสุดแล้ว
นายทิโมธี กริสคีย์ ซึ่งเป็นหัวหน้าบริษัทโซลาริส แอสเซทแมเนจเมนท์กล่าวว่า "โกลด์แมนและมอร์แกน สแตนเลย์มีการดำเนินงานที่หลากหลายกว่า, กู้ยืมเงินมาลงทุนในสัดส่วนที่ต่ำกว่า และจัดการกับประเด็นด้านความเสี่ยงได้ดีกว่าบริษัทอื่นๆ"
มีแนวโน้มว่ามอร์แกนและโกลด์แมนจะได้ครอบครองส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นในขณะที่การแข่งขันลดน้อยลง
อย่างไรก็ดี แม้แต่วาณิชธนกิจที่ประสบความสำเร็จก็อาจจะพิจารณาเรื่องการผนึกกำลังกับธนาคารพาณิชย์เช่นกัน เพื่อจะได้เข้าถึงเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ เพราะเงินฝากเป็นแหล่งระดมทุนที่น่าเชื่อถือกว่าแหล่งอื่นๆในช่วงที่เศรษฐกิจเลวร้าย
เป็นที่คาดกันว่าหน่วยงานควบคุมกฎระเบียบของรัฐบาลกลางสหรัฐอาจจะออกกฎระเบียบใหม่ที่มีความเข้มงวดมากกว่าเดิมในการควบคุมวาณิชธนกิจ โดยจะใช้กฎที่คล้ายคลึงกับกฎควบคุมธนาคาร
นายเคน ลูว์อิส ซีอีโอของแบงก์ ออฟ อเมริกา กล่าวว่าเขาคาดว่าธนาคารกับบริษัทโบรกเกอร์จะควบกิจการกันมากยิ่งขึ้น
"ผมได้กล่าวตลอดช่วง 7 ปีที่ผ่านมาว่า ในอนาคตธนาคารพาณิชย์จะเข้ามาครอบครองวาณิชธนกิจเพราะปัจจัยด้านการระดมทุนและผมก็ยังคงคิดเช่นนั้น โดยยุคทองของวาณิชธนกิจได้สิ้นสุดลงแล้ว"
จากคุณ :
แสบสนิทศิษย์พี่จืด
- [
17 ก.ย. 51 15:07:07
]
|
|
|
|
|