Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    พอล ครุกแมน : ขั้นสุดท้ายของวิกฤติสหรัฐ

    พอล ครุกแมน : ขั้นสุดท้ายของวิกฤติ
    เขียนโดย ไท เมื่อ 20 September, 2008 - 20:17

    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน 2551 เฮนรี่ พอลสัน (Henry Paulson) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังของสหรัฐ ได้พยายามขีดเส้นบนทราย ไม่ให้รัฐเข้าไปช่วยสถาบันการเงินที่ล้มเหลวอีกต่อไป

    สี่วันถัดมา เมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤติที่กำลังลุกลามออกไปนอกเหนือการควบคุม ผู้นำส่วนใหญ่ที่กรุงวอชิงตัน ก็ดูเหมือนได้ตัดสินใจว่า รัฐไม่ใช่ตัวปัญหาแต่คือผู้แก้ปัญหา มาตราการที่ไม่มีใครเคยคิดมาก่อน คือ การที่รัฐเข้าไปซื้อหนี้เสียส่วนใหญ่ของสถาบันการเงินเอกชน ก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

    สถานการณ์ที่พัฒนามาจนถึงปัจจุบันคือ  หลังจากธนาคารกลางสหรัฐไม่ช่วยเลห์แมนบราเธอร์ การตกใจสุดขีดที่แท้จริง ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะราคาหุ้นในตลาดดาวโจนส์หัวทิ่มลงมา แต่เป็นเพราะผลกระทบต่อเนื่องของตลาดสินเชื่อ

    กล่าวโดยพื้นฐานคือ บรรดาผู้ให้กู้หยุดทำหน้าที่กันไปหมด พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งยอมรับกันว่าเป็นตราสารที่ปลอดภัยที่สุดของการลงทุนทั้งหมด (ถ้ารัฐบาลสหรัฐไม่สามารถชำระหนี้ได้ อย่างอื่นจะมีค่าเหลืออะไร ?)ได้ถูกซื้อไปจนหมดเกลี้ยง แม้ว่าแทบจะไม่มีผลตอบแทน ในขณะที่บรรดาผู้กู้เอกชนไม่สามารถหาสินเชื่อได้

    ปกติบรรดาธนาคารพานิชย์ สามารถกู้ยืมระหว่างกันด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน 2551 อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของเงินกู้ระยะ 3 เดือนระหว่างธนาคารพานิชย์ ได้พุ่งขึ้นเป็นร้อยละ 3.2 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ระยะเดียวกันเท่ากับร้อยละ 0.05 นี่ไม่ใช่การพิมพ์ตัวเลขผิด

    การที่กระแสเงินไหลเข้าไปที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปลอดภัยกันหมด ทำให้ธุรกิจจำนวนมากไม่สามารถหาเงินกู้ได้ รวมทั้งสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในตลาดการเงิน ดังนั้น จึงนำไปสู่การล้มขนาดใหญ่และการแตกตื่นตามมา มันยังทำให้ธุรกิจลดการใช้จ่าย ซึ่งเป็นการซ้ำเติมให้เศรษฐกิจที่ซบเซา ตกต่ำลึกลงไปอีก

    ธนาคารกลางสหรัฐซึ่งในภาวะปกติ เป็นผู้นำในการต่อสู้กับสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ แต่ในเวลานี้ ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก เพราะได้ใช้บรรดาเครื่องมือมาตราฐาน ของการดำเนินนโยบายทางการเงินไปเกือบหมดแล้ว

    โดยปกติ ธนาคารกลางจะแก้ไขสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ด้วยการซื้อตั๋วเงินคลังระยะสั้นคืนจากตลาดการเงิน เพื่อผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง แต่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของตั๋วเงินคลังระยะสั้น ก็แทบจะเป็นศูนย์อยู่แล้ว เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ธนาคารกลางยังสามารถใช้มาตราการอะไรได้อีก ?

    ธนาคารกลาง ยังสามารถให้เงินกู้แก่ภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งธนาคารกลางก็ได้ให้กู้ยืมไปแล้วในปริมาณที่มากจนน่ากลัว แต่การให้กู้ยืมเงินดังกล่าว ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งสถานการณ์ที่กำลังทรุดตัวลง

    ในภาพรวม มีเรื่องที่สดใสอยู่เรื่องหนึ่ง คือ อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อจำนองอสังหาริมทรัพย์ได้ลดลงไปมาก นับตั้งแต่รัฐบาลกลางสหรัฐได้เข้าควบคุมกิจการของแฟนนี่ เมย์ (Fannie Mae)และเฟรดดี้ แมค(Freddie Mac)และได้ค้ำประกันหนี้สินของบริษัททั้งสอง

    มีบทเรียนในเรื่องนี้สำหรับคนที่พร้อมจะรับฟัง คือ การที่รัฐบาลเข้าควบคุมกิจการ อาจเป็นทางเลือกเดียว ที่สามารถทำให้ระบบสถาบันการเงินทำงานได้อีกครั้งหนึ่ง

    มีบางคนได้โต้แย้งข้อเสนอดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อเร็วๆนี้ นายพอล โวคเกอร์ (Paul Volcker) ประธานธนาคารกลางสหรัฐคนก่อน และผู้มีประสบการณ์จากวิกฤติการเงินที่ผ่านมา 2 คน ได้เขียนบทความในหนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัล

    ประกาศว่าทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยง สาเหตุหลักของบรรดาสภาวะสินเชื่อหดตัวทั้งหมด คือ การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจใหม่เพื่อซื้อตราสารที่มีปัญหา ซึ่งก็คือการใช้เงินภาษีของประชาชน ไปซื้อสินทรัพย์ที่มีปัญหา ซึ่งเกิดขึ้นจากฟองสบู่ที่แตกกระจายของตลาดสินเชื่อและตลาดอสังหาริมทรัพย์

    เมื่อเสนอโดยนายพอล โวคเกอร์ ทำให้มันเป็นข้อเสนอที่ได้รับความเชื่อถืออย่างมาก

    บรรดาสมาชิกที่มีบทบาทของสภาคองเกรส รวมทั้งวุฒิสมาชิกฮิลลารี่ คลินตัน(Hillary Clinton)และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนายบาร์นี่ แฟรงค์(Barney Frank) ประธานคณะกรรมาธิการการเงินของสภาฯ ได้นำเสนอในทำนองเดียวกัน

    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน 2551 วุฒิสมาชิกชาร์ล ชูเมอร์(Charles Schumer) ประธานคณะกรรมาธิการการเงินของวุฒิสภา ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนให้จัดตั้งรัฐวิสาหกิจใหม่เพื่อแก้ไขวิกฤติการเงิน ได้แถลงว่า "ธนาคารกลางและกระทรวงการคลัง ได้ยอมรับว่า เราต้องการมาตราการแก้ปัญหาที่ครอบคลุม"

    นั่นคือเหตุที่ประธานธนาคารกลางเบ็น เบอร์นานเก้(Ben Bernanke)และนายพอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ประชุมร่วมกับผู้นำของสภาคองเกรสเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน 2551 เพื่อปรึกษามาตราการที่ครอบคลุมในการแก้ไขปัญหา" ในเวลานี้ เรายังไม่รู้ว่ามาตราการที่ครอบคลุมในการแก้ไขปัญหาคืออะไร

    มีการเปรียบเทียบมาตราการช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลสวีเดน ในการแก้ปัญหาวิกฤติการเงินเมื่อต้นปีคศ.1990 โดยรัฐบาลสวีเดนได้ช่วยเหลือด้วยการเข้าไปควบคุมสถาบันการเงินส่วนใหญ่ของ ประเทศเป็นการชั่วคราว

    อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่า ผู้กำหนดนโยบายในกรุงวอชิงตัน ได้เตรียมการในการเข้าไปควบคุมในระดับเดียวกันหรือไม่ และถ้าไม่ มาตราการนี้อาจกลายเป็นการช่วยเหลือที่ผิดพลาด คือการช่วยเหลือบรรดาผู้ถือหุ้นและตลาด ซึ่งผลก็คือการช่วยเหลือภาคสถาบันการเงิน ซึ่งได้รับผลร้ายจากทำธุรกิจด้วยความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขา

    ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าโครงการช่วยเหลือ จะออกแบบให้ดีอย่างไร มันก็มีต้นทุนในการใช้เงินภาษีอากรของประชาชนจำนวนมหาศาล

    รัฐบาลสวีเดนได้วางแผนว่า จะต้องใช้เงินประมาณร้อยละ 4 ของผลผลิตมวลรวมประชาชาติ ซึ่งสำหรับอเมริกา หมายถึงเงินจำนวน 600 พันล้านเหรียญสหรัฐ

    แม้ว่าในที่สุด ภาระที่ประชาชนชาวสวีเดนผู้เสียภาษีรับผิดชอบ ไม่ถึงจำนวนดังกล่าว เพราะรัฐบาลสวีเดนสามารถขายทรัพย์สินที่ซื้อมา ได้ในราคาพอสมควร และสำหรับทรัพย์สินบางรายการ สามารถทำกำไรได้มาก

    แต่ในเวลานี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคาดการณ์ ถึงผลที่จะเกิดขึ้นจากมาตราการช่วยเหลือทางการเงิน

    ระบบการเมืองในวันนี้ ไม่สนใจที่จะทำตามคำแนะนำที่น่าขายหน้าของนายแอนดรู เมลลอน(Andrew Mellon)ต่อประธานาธิบดี เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ (Herbert Hoover) ที่ว่า " ชำระสะสางปัญหาแรงงาน ชำระสะสางปัญหาหุ้น ชำระสะสางปัญหาเกษตรกร ชำระสะสางปัญหาอสังหาริมทรัพย์ "

    การจัดซื้อทรัพย์สินที่มีปัญหาขนาดใหญ่ของรัฐ กำลังจะเกิดขึ้น

    คำถามที่เหลืออยู่คือ การจัดซื้อนั้น จะทำกันอย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ เพียงใด

    แปลและเรียบเรียงจากบทความ เรื่อง Paul Krugman: Crisis endgame

    ใน นสพ.อินเตอร์เนชั่นแนลเฮรัล ทรีบูน

    credit
    http://arayachon.org/sansab/20080920/671

    จากคุณ : chamchompoo - [ 21 ก.ย. 51 13:41:55 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom