 |
ทำอย่างไรเล่นหุ้นให้รวย....ควรอ่าน
มายาภาพในตลาดหุ้น
วัฏจักรเศรษฐกิจเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ฟื้นตัว สูงสุด ถดถอย ตกต่ำ มันเกิดไปทุกประเทศทั่วโลก แต่ทุกครั้งที่เศรษฐกิจตกต่ำ นักธุรกิจ นักลงทุนนับหมื่นนับแสนราย ต้องตกเป็นเหยื่อความโหดร้ายอย่างแสนสาหัส
ท่านเคยสงสัยหรือไม่ว่า นักลงทุนผู้น่าสงสารเหล่านี้ เขาไม่เคยรู้ล่วงหน้ามาก่อนเลยหรือว่า เศรษฐกิจได้ขึ้นมาสู่จุดสูงสุดแล้วและกำลังจะดำดิ่งลง ไม่มีสัญญาณบอกเหตุ หรือไม่มีแม้แต่การนึกสังหรณ์ใจบ้างเลยหรือว่า ความวิบัติกำลังรออยู่เบื้องหน้า
ท่านจำสมัยที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยทะยานขึ้นไป 1,700 จุด ในต้นปี 2537 ได้หรือไม่ ก่อนหน้านั้นเพียง 1 ปี ดัชนีอยู่ที่ประมาณ 800 จุดเท่านั้น แต่ความรู้สึกของนักลงทุนไทยตอบรับกับการไหลบ่ามาของเงินลงทุนต่างประเทศอย่างมาก ปริมาณการซื้อขายที่พุ่งพรวดขึ้นมา สร้างความมั่นใจให้พวกเรามากยิ่งขึ้น
ในวันเปิดทำการแรกของเดือนมกราคม ปี 2537 นักลงทุนฝรั่งก็เทขายหุ้นธนาคารอย่างหนักจนปริมาณการซื้อขายพุ่งพรวด ขณะที่นักลงทุนไทยซื้อสวนในกลุ่มหลักทรัพย์ ด้วยความเชื่อว่าปริมาณซื้อขายที่สูงโดดเด่นย่อมนำกำไรมาให้บริษัทเหล่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นนักลงทุนฝรั่งกลับเทขายหุ้นกลุ่มเงินทุนหลักทรัพย์กันแทบเกลี้ยงพอร์ต ตามด้วยการเทขายหุ้นทุกกลุ่มที่ลงทุนในประเทศไทย ด้วยเขาเห็นว่าหุ้นไทยราคาขึ้นไปเกินพื้นฐานมากแล้ว อัตราส่วนของราคาหุ้น/กำไรต่อหุ้น (P/E ratio) ของตลาดขึ้นไปถึง 30 กว่าๆ
กำไรที่วิ่งขึ้นมา 100% ภายใน 1 ปี เป็นตัวเลขที่น่าพอใจมาก เขาปล่อยให้นักลงทุนไทยฝันลมๆแล้งๆ ว่า อนาคตอันสดใสกำลังรออยู่เบื้องหน้า พวกเราเองไม่รู้ว่า เรากำลังยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของวัฏจักรที่กำลังจะดิ่งหัวลง
ยุคที่ดินบูมในสมัยนายกฯ ชาติชาย ชุณหะวัณ ราคาที่ดินพุ่งขึ้น จนราคาเปลี่ยนแทบทุกวัน เมื่อถึงจุดสูงสุด นักลงทุนต่างประเทศมองว่าราคาที่ดินสูงเกินพื้นฐานแล้ว หากซื้อมาสร้างโรงงานผลิตสินค้า กำไรที่ได้ยังสู้เอาเงินก้อนนั้นไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ยไม่ได้ เขาเลยไม่ซื้อเพิ่มและย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น
นักลงทุนรายย่อยถูกโฆษณาชวนเชื่อว่า ราคาที่ดินในเมืองไทยยังต่ำกว่าเมืองนอกมาก บ้างก็เชื่อว่า ที่ดินเป็นสินทรัพย์เดียวที่ราคาไม่เคยลดลง เพราะมีจำนวนจำกัด แต่ความต้องการเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เพราะคนเกิดเพิ่มขึ้นทุกวัน ต้องมีบ้าน ต้องสร้างครอบครัว
มายาภาพบดบังข้อเท็จจริง นำไปสู่การถดถอยครั้งใหญ่ของราคาที่ดิน ที่ดินบางแปลง เวลาผ่านมาแล้วนับสิบปี ราคายังไม่สามารถกลับไปยืนที่จุดเดิมของวันนั้นได้
มายาภาพยังไม่หยุดเท่านั้น มีคนไปโฆษณาชวนเชื่อว่า ราคาที่ดินกรุงเทพฯ นั้น อาจจะแพงเกินไปบ้าง แต่ที่ดินต่างจังหวัด หัวเมืองใหญ่ เช่น เพชรบุรี ระยอง เขาใหญ่ หาดใหญ่ ราคายังต่ำอยู่ เพชรบุรีจะกลายเป็นมหานครใหญ่ มีโรงเรียนนานาชาติ มีโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีฝรั่งมาเที่ยวมากมาย ระยอง เขาใหญ่ จะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศมาพักผ่อนเดือนละนับแสนคน หาดใหญ่จะกลายเป็นเขตสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ นักลงทุนจะแห่กันมาลงทุน ราคาที่ดินย่อมต้องสูงขึ้นอีกมาก
เขาไม่นึกสังหรณ์ใจกันเลยว่า เมื่อกรุงเทพฯ ที่เป็นศูนย์กลางการเงินของประเทศ เกิดภาวะฟองสบู่แตก มหันตภัยก็จะคืบคลานออกไป คล้ายแรงกระเพื่อมของคลื่นจากศูนย์กลางกระจายออกเป็นวงกว้าง แล้วความวิบัติก็เกิดขึ้น ทุกวันเรายังพบเห็นซากอาคารเหล่านั้น ทั้งที่ ระยอง ชะอำ หรือ เขาใหญ่
เมื่อเร็วๆ นี้ คงจำกันได้ว่าในยุคนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ดัชนีหุ้นวิ่งฉิวจาก 350 จุด ไปถึง 780 จุด ในช่วงปี 2546 ถึงต้นปี 2547 คนจำนวนมากเชื่อกันว่า อัศวินขี่ม้าขาวมากู้เศรษฐกิจไทยแล้ว สารพัดโครงการถูกผลักดันออกมา ประชาชนใช้จ่ายกันอย่างสนุกมือ การเมืองมั่นคง เงินลงทุนต่างประเทศไหลมาเทมา ปริมาณการซื้อขายหุ้นพุ่งเป็นประวัติการณ์วันละ 50,000 - 60,000 ล้านบาท
มายาภาพเหล่านี้เข้ามาบดบังตาของนักลงทุนรายย่อย ผนวกกับคำยืนยันหนักแน่นของคนในฟากฝั่งรัฐบาลว่า ถ้าวันนี้ผมมีเงินสัก 3 พันล้านบาท ผมจะเข้าไปซื้อหุ้นให้หมด
ต้นปี 2547 นักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ๆ ก็ขายหุ้นอย่างหนักมือจนเกือบหมดพอร์ต ทำกำไรได้เป็นเท่าตัว ปล่อยให้นักลงทุนรายย่อยเบิกตาค้าง และติดหุ้นราคาสูงในที่สุด
คุณวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เคยพูดไว้นานมาแล้วว่า เวลาจะขายหุ้น อย่าไปขายที่จุดสูงสุด ต้องขายในขณะที่ยังมีคนคิดว่าหุ้นจะไปได้อีก เพราะถ้าทุกคนคิดว่าตอนนี้เป็นราคาสูงสุดแล้ว ใครจะซื้อหุ้นต่อจากเรา ต้องรีบขายในขณะที่ยังมีคนอยากซื้ออยู่ ยอมให้เขากำไรบ้าง แต่เขาต้องไปรับความเสี่ยงเอาเอง คำพูดนี้คงจะให้แง่คิดอะไรกับเราได้บ้าง
มายาภาพไม่ใช่จะมีแต่ในเมืองไทย คงจำกันได้ว่าช่วงฟองสบู่อินเทอร์เน็ตแตกที่อเมริกา ผู้ถือหุ้นของบริษัทออนไลน์ต่างขาดทุนกันย่อยยับ หุ้นบางตัวราคาลดลงเหลือ 10 - 15% ของราคาสูงสุด มูลค่าหุ้นบางตัวก็เหลือแค่ใบกระดาษเปล่า เพราะบริษัทขาดทุนจนล้มละลาย
นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากหลงเชื่อว่า โลกยุคใหม่จากนี้ไป ธุรกรรมทุกอย่างจะผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต เช่น ธุรกรรมทางการเงิน การสั่งซื้อสินค้า การส่งข้อมูลข่าวสาร จากนี้ไปพอคเก็ตบุ๊ค หนังสือพิมพ์กระดาษอาจสูญพันธุ์ คนจะอ่านข่าว อ่านนิยายจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทุกอย่างจะออนไลน์หมด
นักลงทุนผู้เจนจัดบางคน เช่น นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ เขามีหลักการที่ยึดถือมานานแล้วว่า อะไรที่ตนเองไม่สามารถทำความเข้าใจได้ ไม่สามารถคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นได้ ให้ถอยห่างเอาไว้
ตอนแรก ใครต่อใครต่างโจมตีนายบัฟเฟตต์ ว่า อนุรักษนิยมเกินไป เป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี แต่แล้วเมื่อฟองสบู่แตก ใครๆ ก็ยอมรับในหลักการของนายบัฟเฟตต์ ว่า ต้องลงทุนในสิ่งที่ตนเองรู้ข้อมูลอย่างกระจ่างแจ้งแล้วเท่านั้น ถึงจะช้าไปบ้างแต่มั่นใจได้ว่าปลอดภัย
เหตุการณ์ต่างๆ ที่ยกตัวอย่างมา ให้บทเรียนอะไรกับเราได้บ้าง
1. วัฏจักรเศรษฐกิจ หรือวงจรธุรกิจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ ไม่มีเศรษฐกิจของประเทศใดที่อยู่ในภาวะขาขึ้นตลอดเวลา โดยไม่ชะลอตัว หรือ พักตัว ความโลภของนักลงทุนจะทำให้เศรษฐกิจเคลื่อนตัวไปเกินจริงเสมอ พึงสังเกตว่าเมื่อไรที่เศรษฐกิจหรือการลงทุนร้อนแรงเกินไปแล้ว ให้ถอยออกห่าง
2. หลักการเดิมๆ ยังใช้ได้เสมอ อย่าไปหลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อว่า โลกยุคใหม่ สินค้าชิ้นนี้หรือหุ้นตัวนี้ จะลบล้างทฤษฎีเก่าๆ มันจะให้ผลตอบแทนอย่างมโหฬาร ไม่จำกัด อย่าไปหลงเชื่อ แม้ว่าคนทั้งตลาดจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน หรือนักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์หุ้นจะส่งเสียงเชียร์ว่า เศรษฐกิจจะไปได้อีกไกล เพราะประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทุกคนล้วนถูกมายาภาพบังตามาแล้วทั้งสิ้น ถ้า P/E ของตลาดเกิน 25 ดอกเบี้ยเงินฝากเกิน 10% หรือ ดัชนีหุ้นพุ่งขึ้นมา 100 % ภายใน 1 ปี พึงระวัง
3. ช่วงปลายของวัฏจักรเศรษฐกิจ หุ้นหรือราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะผันผวน ขึ้นลงแรงเสมอ เพราะเมื่อนักลงทุนสถาบันรู้สึกว่า ราคาได้ขึ้นไปเกินพื้นฐานมากแล้ว เขาจะเทขายครั้งใหญ่ ทำให้หุ้นลงแรง แต่นักลงทุนรายย่อย หรือคนส่วนใหญ่กลับมองโลกสดใส จะแห่เข้าไปซื้อเพิ่ม ยิ่งราคาลงแรง จะยิ่งซื้อมาก ราคาจึงตีกลับแรง นักลงทุนสถาบันก็จะเทขายหุ้นที่เหลือแบบเทหน้าตัก ราคาจึงดิ่งเหวอีกครั้ง จนความเชื่อมั่นของรายย่อยเริ่มสั่นคลอน และเทขายตามในที่สุด
ดังนั้น ปลายตลาดขาขึ้นจึงเกิดสัญญาณขายรูปแบบ Double top หรือ Head and shoulder จากเหตุผลข้างต้นอยู่เสมอ
ล่าสุด นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังได้ออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะพบกับปัญหา ถ้าสหรัฐยังคงขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง และมีจำนวนมหาศาลถึงปีละ 860,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 6.5% ของ GDP โดยปี 2549 ยังมีปัญหากระแสการลงทุนขาดดุลถึง 7,300 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นการขาดดุลครั้งแรกในรอบ 77 ปี
คนในวงการค้าหุ้นก็ยังเชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐจะรับมืออยู่ แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร และถ้าสหรัฐอเมริกาประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ป็นอันดับหนึ่งของโลกประสบปัญหา ประเทศเล็กๆ อย่างเราจะเจอหางเลขหรือไม่
บางที การถือหลักอนุรักษนิยมไว้ก่อน ย่อมปลอดภัยกว่า ว่าแต่ว่า ตอนนี้มายาภาพบางอย่าง กำลังบังตาคุณอยู่หรือเปล่า
เห็นข้อเขียนอันนี้ในกระทู้ข่าวของป้ากิ๊ก ดีมาก จึงขออนุญาตป้าดึงมาแปะที่กระทู้ จะได้เห็นอ่านกันเยอะๆ
จากคุณ :
elpaso
- [
23 ก.ย. 51 03:38:09
]
|
|
|
|
|