ความคิดเห็นที่ 1 มาขอแอบฟังด้วยครับ ฮาๆ จากคุณ : @scholly@ - [ 2 ต.ค. 51 17:31:39 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ให้เริ่มต้นจาก รายได้รวมของครอบครัวก่อนเลยครับ ----------------------------------------------------- เมื่อทราบรายได้ของครอบครัวแล้ว ก็แบ่งเป็น * ใช้จ่าย * เงินออม * เงินลงทุน ------------------------------------------------------ แค่นี้เองครับ *รายจ่าย แยกย่อย                 *เงินออม+เงินลงทุน (สัดส่วน) ------------------------------------------------------ จากคุณ : .... (superman2007) - [ 2 ต.ค. 51 17:39:51 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ใครก็ตอบไม่ได้หรอกครับ แต่ละคนใช้เงินไม่เท่ากันนะ จากคุณ : . (b_amarin) - [ 2 ต.ค. 51 17:42:50 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ค่าอาหาร+น้ำ+ไฟ+โทรศัพท์+เน็ต+ซักอบรีด+น้ำมัน ตกลงกันเองว่าใครจะจ่ายอันไหน จากคุณ : --^ไชโย^-- - [ 2 ต.ค. 51 17:42:59 ]

ความคิดเห็นที่ 5 แฟนบอกว่า เขาจะแบ่งเงินให้เราไปบริหารค่ะ ของเขาจะกันไปแค่ส่วนพอใช้จ่ายประจำวัน เสร็จเรา อุ๊บ ไม่ใช่ จากคุณ : la-la-bell - [ 2 ต.ค. 51 17:46:10 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่ามันอยู่ที่ความ ไฮโซ แต่ละคนด้วยครับ แล้วแถวบ้าน เราเป็นแบบไหน แถวบ้านผมตลาด ค่าใช้จ่ายการกินก้อถูกหน่อย ปัจจัยมันเยอะครับ ใกล้ ถนน เดินทางสะดวกไหม ต้องมีรถคนละคันไหม ค่าน้ำมัน ค่าน้ำมีอ่างป่าว เปลืองหน่อย จ้างซักรีดหรือทำเอง ทำกับข้าวกินเองป่าว เปิดแอร์หรือพัดลม ที่บ้านผม อยู่กัน 6 ชีวิต ค่าไฟ 1200 ค่าน้ำ 600 เปิดคอมทุกวัน วันละ 6 ชม พัดลมทั้งบ้าน เครื่องซักผ้า รีดผ้าเอง ทำกับข้าวกิน เฉลี่ยวันเว้นวัน อย่างว่าแต่ละบ้าน ประหยัดแตกต่างกัน มันตอบกันยาก แค่ต้องซื้อกับข้าวกินทุกมื้อกับจ้างซักรีด และนอนเปิดแอร์ ( สามอย่างเปลืองเดือนละไม่ต่ำกว่า สามพันได้เลยครับ) จากคุณ : E20PBO - [ 2 ต.ค. 51 17:50:25 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ... จากคุณ : lasanya - [ 2 ต.ค. 51 17:55:53 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อะจึ๋ยยย  คุณ la-la-bell จะแต่งงานซะแล้วเหรอนี่ ติดตามกระทู้มานาน  ยินดีด้วยนะครับ   ว่าแต่ เสียดายจัง 55555555 จากคุณ : ล็อกอินเข้ามาแซว (Qoo ซัง) - [ 2 ต.ค. 51 18:06:11 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อ่านะ ยังไม่ทันจะแต่งงานก็สามารถกุมอำนาจในการบริหารเงินซะแล้ว น่ากลัวมั่กๆ  -*- จากคุณ : Qoo ซัง - [ 2 ต.ค. 51 18:07:47 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คุณ จขกท ก่อนแต่ง เขาก็บอกอย่างนั้นล่ะ หลังแต่ง อาจไม่ใช่น่ะ ฮิ ฮิ จากคุณ : SurasakMan - [ 2 ต.ค. 51 18:12:03 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตอนนี้คงไม่เท่าไร มีเงินเก็บทุกเดือน  ตอนมีลูกนี่สิ .... จากคุณ : เพียวดล - [ 2 ต.ค. 51 18:18:36 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อ๋อ เรารู้จักกะฝ่ายบุคคลของบริษัทแฟนค่ะ งุบงิบเงินไม่ได้ (น่ากัวจริง) ขอบคุณค่ะ ลงจากคานซะที -- แต่ก็พูดเล่นน่ะค่ะ เรื่องคุมเงินแฟน เพราะต้องมีอิสระการใช้เงินบ้าง ไม่งั้นอึดอัดแย่ เพียงแต่ว่าสาวโสด หนุ่มโสด จะสละโสด ต้องเก็บออมเพื่ออนาคต ก็คิดเหมือนกันว่าค่าใช้จ่ายก็เยอะแน่ๆค่ะ ช่วงนี้ตอนเจอกัน ตอนเดทกัน ก็ลดๆ เรื่องค่ากินซื้อของ ดูหนังลงแล้วค่ะ เก็บเงินๆ ๆ ๆ ๆ แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 51 18:24:20 จากคุณ : la-la-bell - [ 2 ต.ค. 51 18:20:22 ]

ความคิดเห็นที่ 13 1) สองหมื่น  (แค่กินอยู่ สามมื้อ สี่มื้อ แล้วแต่ แต่ธรรมดานะ  ไม่ได้กินเหลา ค่าน้ำมันรถ  ไม่มีทางด่วน จิปาถะ  กาแฟ  อื่น ๆ ) 2) ที่เหลือส่วนเกิน สองหมื่นแล้วแต่ แล้วแต่ใช้มี   น้ำไฟ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ถ้ามี  เน็ต มือถือ โทรบ้าน ทำสวน  ซักรีด ส่วนตัวเห็นว่า   ข้อหนึ่งนี่เยอะมาก ทั้งที่ใช้ชีวิตธรรมดาที่สุด     ค่ารถ น้ำมันรถนี่ก็กินเยอะเหมือนกัน  ต้องหารถเล็ก ๆ หน่อยจะช่วยได้เยอะ 3) ที่เหลือเก็บ  เอาไปเล่นหุ้น   รอวันหุ้นกิน อิอิอิอิ เหมือนชีวิตตูเลย จากคุณ : Khun sun - [ 2 ต.ค. 51 18:21:53 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตั้งไว้สักคนละหมื่นก็พอแล้ว ข้าวใหม่ปลามัน  ไม่ต้องออกไปเสียเงินเสียทองนอกบ้านนัก จะซื้ออะไร ก็ถามกันก่อนว่า  จำเป็นมั้ย เงินทองต้องโปร่งใส  ใช้จ่ายอะไรบอกกันก่อน  อย่ามุบมิบ อย่าลืมสูตร   รายได้ - เงินเก็บ  = เงินใช้จ่าย คนทั่วไปมักจะ  รายได้ - ใช้จ่าย = เงินเก็บ  (ซึ่งจะไม่เหลือ หรือติดลบ) จากประสบการณ์ที่เห็นๆมา  ชีวิตคู่จะไปไม่รอดก็ด้วยเหตุสองประการ เรื่องเงินทอง  กะเรื่องนอกใจ ยินดีด้วยครับ  ขอให้อยู่กันจนแก่เฒ่า... แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 51 18:33:56 จากคุณ : JORD - [ 2 ต.ค. 51 18:29:24 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อืมม สบายอุราไปเลยสิ อิอิ เหมือนแฟนผมเลยมีสุภาษิตว่า เงินสามีคือเงินฉัน เงินฉันก็คือเงินฉันเหมือนกานนนน 555 ยินดีด้วยกับชีวิตคู่สด ๆ ซิง ๆ ขอให้รักกันนาน ๆ เรื่องค่าใช้จ่าย ส่วนตัวผมมองว่าน่าจะคนละไม่เกินห้าพัน แต่ถ้ามีรถยนต์ ก็ต้องเพิ่มอีกเดือนละ 4000 ต่อคัน ถ้ามีลูก ก็บวกอีกคนละแปดพันต่อเดือน (กรณีเรียนด้วย) ควรวางแผนไว้ครับ ว่าจะใช้เท่าไหร่ เก็บเท่าไหร่ ช่วงแรกอาจปล่อยไปก่อน เพื่อประมาณการณ์ได้ถูกต้อง สักสองสามเดือนค่อยมาตั้งเป้ากัน ส่วนเงินเก็บ น่าจะออกเท่า ๆ กันนะ จะแบ่งลงทุนอะไรก็ลองดูเลยครับ แต่ไม่ควรเสี่ยงมาก เพราะไม่ใช่เงินเราคนเดียว ** แก้คำผิดครับ ประมาณ ๆ เอาน่ะ ครับ ^^ แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 51 18:34:57 จากคุณ : HaHaHa - [ 2 ต.ค. 51 18:33:17 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เงินทองของ "คู่รัก" โดย กาญจนา หงษ์ทอง หยิบเอาฤกษ์งามยามดีที่เป็นช่วงเวลาเทศกาล แห่งความรัก มาโยงใยกับเรื่อง "เงินทองของคู่รัก" อย่างที่เคยบอกว่า เรื่องเงินทองเกี่ยวข้องไปกับทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่คนที่กำลังปลูกต้นรัก ไม่ต้องถึงขั้นร่วมหอลงโรงกันหรอก แค่ช่วงที่คุณกำลังคบหาดูใจกันอยู่ พฤติกรรมเรื่องเงินๆ ทองๆ ของแต่ละฝ่าย ก็พอจะบอกได้แล้วว่า คู่ของคุณจะคบหากันได้ยาวไกลแค่ไหน เช่น ถ้าฝ่ายหญิงเห็นว่า การซื้อเสื้อตัวละ 500 บาท เป็นของถูก ที่จะซื้อวันละตัวก็ไม่เห็นเป็นปัญหา ในขณะที่ฝ่ายชายมองว่า เสื้อตัวนี้ราคาแพงจังเลย และมีคำถามค้างคาใจอยู่ตลอดว่า ไม่รู้จะซื้อของฟุ่มเฟือยพวกนี้ไปทำไม แบบนี้ก็ส่อเค้าแล้วว่า ท่าทางจะไปด้วยกันยาก ทัศนคติเรื่องเงินทอง สำคัญไม่น้อยไปกว่าทัศนคติเรื่องอื่นๆ Fundamentals จึงขอหยิบเรื่องเงินทองของคู่รัก มานำเสนอ ในช่วงที่กลิ่นอายของเทศกาล วันแห่งความรักยังอบอวลอยู่ *********************************************** เรียนรู้ทัศนคติเรื่องเงินทองของกันและกัน ย้ำกันอีกสักครั้งให้คู่รักทุกคู่ฟังว่า เรื่องเงินทองเป็นเรื่องสำคัญ ไม่แพ้รายละเอียดเรื่องอื่นๆ เพราะฉะนั้นก่อนที่คู่ของคุณจะตัดสินใจลงเรือลำเดียวกัน ต้องให้แน่ใจว่า ได้เปิดอกคุยกันเรื่องเงินทองอย่างหมดเปลือกแล้ว หรือได้เรียนรู้ทัศนคติ เกี่ยวกับเรื่องการใช้เงินของกันและกันแล้ว เพราะถ้าคุณยังปล่อยให้เรื่องเงินทอง ค้างคาใจไปเรื่อยๆ อาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละฝ่าย ที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว เดี๋ยวจะหาว่าอีกฝ่ายหมกมุ่นแต่เรื่องเงินทอง เอาไว้ค่อยไปเรียนรู้กันทีหลังก็ได้ แบบนี้ถือว่าคุณคิดผิด เพราะคู่แต่งงานที่ลงเรือลำเดียวกันแล้ว เรือรักล่มกลางนาวามานักต่อนัก เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องเงินทองนี่เอง ทางที่ดีเรื่องเงินทองนั้น ควรจะคุยกันให้เรียบร้อยก่อนแต่ง การพูดคุยเรื่องเงินทองสำหรับคู่รักไม่ใช่เรื่องเสียหาย หรือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ตรงกันข้ามหากไม่คุยกันให้เรียบร้อย อาจเกิดความเสียหายในอนาคตได้ แล้วคู่รักควรจะพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนกัน เรื่องเงินทองกันขนาดไหน หรือก่อนจะตัดสินใจร่วมเรียงเคียงหมอน ควรเรียนรู้เรื่องเงินอย่างไรบ้าง ตามมาดูกัน *********************************************** ศึกษาพฤติกรรมการจับจ่ายของอีกฝ่าย อย่างที่เคยบอกว่าพฤติกรรมการใช้เงินของแต่ละฝ่าย จะเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่า คู่ของคุณจะไปกันตลอดรอดฝั่ง ถึงขั้นร่วมหอลงโรงได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่คู่รักไม่ควรลืมคือ เฝ้าศึกษา พฤติกรรมการใช้เงินของอีกฝ่ายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่จับผิด แต่นี่คือ หนึ่งในบททดสอบของคุณ ในการเรียนรู้นิสัยใจคอว่า แต่ละฝ่ายมีวิธีการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันอย่างไร เช่น ฝ่ายชายก็อาจจะดูว่า ฝ่ายหญิงใช้จ่ายเงินแบบไหน ชอปปิงบ่อยมั้ย ซื้ออะไร จำเป็นแค่ไหน ถ้าเจอฝ่ายหญิงที่ช้อปกระหน่ำซัมเมอร์เซล คุณก็ลองถามตัวเองดูว่า รับได้มั้ยกับการชอปปิงแบบนอน-สต็อป บางคนช้อปแบบกะปริบกะปรอย บางคนเกิดมาเป็นสาวกของลัทธิบูชาแบรนด์เนม และบางคนก็อาจจะซื้อแบบไร้เหตุผล ฝ่ายหญิงเองก็เช่นกัน ที่ต้องเรียนรู้พฤติกรรมการใช้เงินของฝ่ายชาย เพราะไม่ใช่ว่าฝ่ายชายจะไม่ช้อป แต่เขาก็มีวิธีจับจ่ายในแบบของเขา ที่บางทีก็หมดเงินไปกับ โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด เครื่องเสียงติดรถยนต์ โฮมเธียเตอร์ ไม้กอล์ฟ และกิจกรรมแบบแมนๆ ที่สาวๆ อาจจะไม่เข้าใจ ข้อสำคัญ ล้วนแล้วแต่ก็เป็นของชิ้นใหญ่ราคาแพงแทบทั้งสิ้น ศึกษาและเก็บข้อมูลเอาไว้ประมวลผล แล้วลองถามตัวเองดูว่า คุณรับพฤติกรรมการใช้เงินเหล่านั้นได้มั้ย และถ้าต้องร่วมชายคากับเขาหรือเธอไปตลอดชีวิต คุณจะมีความสุขหรือไม่ *********************************************** เรียนรู้ทัศนคติเรื่องเงินทองของกันและกัน ช่วงคบกันใหม่ๆ ต่างฝ่ายก็ต่างพยายามสงวนท่าที มีแต่สิ่งดีๆ แสดงออกมาให้แก่กันและกัน คงไม่ค่อยมีใครอยากพูด เรื่องรายได้รายจ่ายให้เสียอารมณ์ พอคบหากันไปสักพัก หลายคู่อาจจะคิดเรื่องเงินๆ ทองๆ แต่บางคนไม่ได้หยิบยกขึ้นมาคุยกันอย่างจริงจัง ของแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป การจะหยั่งความรู้สึกนึกคิด หรือทัศนคติเรื่องเงินๆ ทองๆ ของอีกฝ่าย ต้องค่อยๆ หยอด ค่อยๆ เลียบเคียงอย่างมีศิลปะ ไม่ใช่บุ่มบ่ามถามหรือคาดคั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ...........คอลัมนิสต์คอลัมน์ Smart Money ประจำ Fundamentals เจ้าของหนังสือเรื่อง ............... แนะว่า การจะดูทัศนคติของอีกฝ่าย ว่าคิดอย่างไรกับเรื่องเงินทอง ควรเริ่มต้นด้วยการหยั่งความรู้สึกของคนรักว่า คิดอย่างไรกับเรื่องเงิน เช่น อาจตั้งคำถามง่ายๆ ว่า ตอนเด็กๆ อยากได้อะไร ไม่ว่าของเล่นหรือของใช้ก็ได้ หรืออยากได้แต่ไม่เคยได้ เพื่อดูว่าเงินมีบทบาทมากน้อยเพียงใดในครอบครัว หรืออาจจะชวนคุยเรื่องความคิด หรือทัศนคติเกี่ยวกับเงินว่า ณ วันนี้เขาหรือเธอรู้สึกอย่างไรกับเงิน เช่น กลัวจนหรือไม่ และต้องมีแค่ไหนถึงจะคิดว่ารวย หรือว่าขอแค่มีพอกินพอใช้ไปวันหนึ่งๆ "วิธีง่ายๆ คือ ลองดูซิว่าสำหรับเขาหรือเธอนั้น แค่ไหนเรียกว่าแพงเกินไป เช่น ซื้อของราคา 500 บาท บางคนก็ถือว่าแพงแล้ว หากเป็นของฟุ่มเฟือย หากเป็นของจำเป็นแม้ราคาเป็นพันก็ซื้อได้ หรือหากเป็นเรื่องอาหารการกินเท่าไรก็ไม่ว่า ชวนกันพูดคุยเรื่อง ถูก-แพง รวย-จน ช่วยบอกทัศนคติเรื่องเงินทองของอีกฝ่าย ได้ในระดับหนึ่ง *********************************************** ชวนกันเก็บออม เมื่อคบหากันไปสักพัก ศึกษานิสัยใจคอเรื่องการใช้เงินกันระดับหนึ่งแล้ว รู้แล้วว่าเขาคิด และมองเรื่องเงินทองยังไง เมื่อประมวลกับข้อมูลส่วนตัวด้านอื่น ของเขาหรือเธอแล้ว น่าจะไปด้วยกันได้ หรือพูดจากภาษาเดียวกัน ก็ชวนกันสร้างอนาคตได้เลย เมื่อคิดจะสร้างอนาคตร่วมกัน .......แนะว่า อย่างแรกที่ควรจะทำคือ คุยกันเรื่องแผนการเก็บออมเงิน เช่น จะเปิดบัญชีกลางร่วมกันดีมั้ย หรือต่างคนต่างมีบัญชีส่วนตัวเป็นอิสระจากกัน ถ้าเปิดบัญชีเงินฝากด้วยกัน จะเก็บเดือนละเท่าไรดี เรื่องนี้ถึงแม้จะดูจริงจัง และบาดอารมณ์ไปหน่อย แต่ก็ต้องพูด ทางออกที่ดีควรพบกันครึ่งทางคือ มีทั้งบัญชีร่วมกัน และมีบัญชีส่วนตัวด้วย เมื่อไรที่เริ่มปลูกต้นรัก ขอให้วางรากฐานเรื่องการออมร่วมกัน เพราะนอกจากความเข้าอกเข้าใจกันแล้ว การออมยังเป็นปุ๋ยชั้นดีอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ต้นรักของคุณงอกงามได้ *********************************************** หนี้-ภาระ-ลงทุน ต้องบอกให้กระจ่าง อีกเรื่องหนึ่งที่......แนะนำคู่รักคือ ก่อนจะจูงมือกันเข้าประตูวิวาห์ กรณีที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีภาระหนี้สินติดตัวไปด้วย ต้องแจ้งกันให้ชัดเจนและคุยกันให้เรียบร้อย เช่น ถ้าคุณมีหนี้จากบัตรเครดิตค้างอยู่อีก 4 หมื่นบาท ก็ควรจะบอกเขาหรือเธอให้ทราบ ส่วนจะร่วมกันรับผิดชอบหรือ ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งร่วมรับผิดชอบ ก็ควรจะพูดคุยกันให้กระจ่าง หรือในกรณีที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มีภาระต้องส่งเสียเงินทองรายเดือนให้พ่อแม่ ส่งน้องหรือหลานเรียน ก็ควรแจ้งกันให้ชัดเจน ว่าจัดการด้านการเงินร่วมกันอย่างไร นอกจากนี้ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลงทุนอะไร ก็ควรบอกกล่าวให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ด้วย เช่น ฝ่ายชายอาจจะชอบเล่นหุ้น ฝ่ายหญิงเน้นซื้อสลากออมสิน เพราะชอบลุ้นรางวัล แบบนี้ก็ต้องบอกกันไว้ ว่าลงทุนในหุ้นเยอะแค่ไหน ขาดทุนหรือกำไร ผลตอบแทนเป็นอย่างไร นี่เป็นตัวอย่างโดยสังเขป ที่คู่รักทุกคู่ควรคุยกันเรื่องเงินให้เรียบร้อย ก่อนจะตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เพื่อจะได้ป้องกันไม่ให้เรื่องเงิน มาเป็นปัญหาสำหรับชีวิตคู่ในอนาคต อย่าลืมว่า เมื่อคุณตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่มี เงินฉัน เงินเธอ  แล้ว ต่อไปมีแต่ เงินเรา *********************************************** วางแผนเข้าประตูวิวาห์ เมื่อคุณปลงใจจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ตามสูตรของการจัดการเงินทอง คุณก็ควรจะวางแผนเก็บเงินร่วมกันสัก 1-2 ปี ก่อนจะจูงมือกันเข้าสู่ประตูวิวาห์ เพราะอย่างน้อยเงินก้อนนี้ จะทำให้คุณวางแผนการใช้ชีวิตร่วมกันได้ง่ายขึ้น ยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเลย คุณก็มีเรื่องเงินให้คิดมากมาย สำหรับงบประมาณที่ใช้ในงานแต่ง เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ถูกๆ ซะด้วย ไหนจะค่าการ์ด ค่างานเลี้ยง สถานที่ ค่าชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว บางคู่มีค่าถ่ายรูปในสตูดิโอพ่วงมาอีก เผลอๆ เดี๋ยวนี้เรียบง่ายสุดๆ เตรียมไว้หนึ่งแสนยังเอาไม่อยู่ เอาเป็นว่าคำนวณดูคร่าวๆ ก่อนว่า คู่ของคุณชอบแนวไหน จะได้รู้ว่าควรเตรียมเงินไว้เท่าไร ซึ่งความจริงข้อหนึ่งที่เกิดขึ้นกับหลายๆ คู่คือ ความหรูหราฟู่ฟ่า และใช้งบประมาณหลักล้าน ไม่ได้บ่งบอกและการันตีว่า คู่ของคุณจะหวานฉ่ำไปตลอดชีวิต บางคู่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำได้แป๊บเดียว ก็เตียงหักแล้ว สำคัญที่สุดอยู่ที่ความเข้าอกเข้าใจมากกว่า จากคุณ : Learn and Live - [ 2 ต.ค. 51 19:10:55 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มองหาวิมานในฝัน ปัญหาใหญ่ที่คู่รักจำนวนไม่น้อยขบคิดกันนั่นคือ เรื่องของวิมานในฝัน หรือเรือนหอนั่นเอง เรื่องใหญ่เชียวล่ะ เพราะไม่ใช่คู่รักทุกคู่ที่พรั่งพร้อมไปด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ และไม่ใช่ทุกคู่ที่จะหาจุดลงตัวในเรื่องนี้กันได้ง่ายๆ จะเห็นว่า นอกจากเงินเก็บ ที่ต้องเตรียมไว้สำหรับจัดงานแต่งงานแล้ว คุณทั้งคู่ก็ควรจะมีเงินอีกก้อนหนึ่ง ที่คุณสองคนเตรียมเก็บไว้เป็นเงินดาวน์บ้านด้วย หลายคู่ที่อาจจะมีปัญหาเรื่องนี้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร เพราะมีไม่น้อยที่แต่งงานกันแล้ว แต่ยังใช้ชีวิตอยู่ในชายคาเดิมร่วมกับพ่อแม่พี่น้อง ระหว่างนั้นก็ค่อยๆ ช่วยกันเก็บหอมรอมริบไป และพูดคุยกับคู่ของคุณดูก่อนว่า อยากได้บ้านแบบไหน แนวไหน แถวไหน และราคาประมาณเท่าไร พร้อมเมื่อไรแล้ว ค่อยออกไปสร้างวิมานในฝันของตัวเอง ส่วนจะซื้อบ้านราคาเท่าไรดี อันนี้ก็เป็นไปตามสูตรของการจัดการเงินทอง ดูว่าคู่ของคุณมีรายได้ต่อเดือนเท่าไร ราคาบ้านที่จะซื้อ ไม่ควรเกิน 30 เท่าของรายได้ต่อเดือน เช่น ถ้าคุณและคนรักมีรายได้รวมกัน เดือนละ 60,000 บาท ก็ควรซื้อบ้านราคาไม่เกิน 1,800,000 บาท ที่จริงก็เป็นเพียงแค่หลักเกณฑ์คร่าวๆ ที่ช่วยคุณประเมินกำลังการซื้อ คุณอาจจะยืดหยุ่นได้ตามฐานะและกำลัง แต่มีอีกสิ่งหนึ่ง ที่เมื่อคิดจะซื้อบ้าน จำเป็นต้องคิดอย่างถ้วนถี่ นั่นคือ ความสามารถในการผ่อนชำระ เพราะการกู้เงินซื้อบ้านนั้น ไม่ได้ผ่อนกันแค่ปีสองปีแล้วจบ แต่เป็นการสร้างภาระหนี้ระยะยาว 10-30 ปี ภาระในการผ่อนบ้านรายเดือนที่เหมาะคือ ไม่ควรเกินกว่า 30% ของรายได้ต่อเดือน เพราะในแต่ละเดือน คุณยังต้องกันเงินไว้เพื่อชำระหนี้ก้อนอื่น หรือเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ถ้ารายได้ 2 คนเดือนละ 60,000 บาท ก็ไม่ควรผ่อนเกินเดือนละ 18,000 บาท *********************************************** ตกลงเรื่องค่าใช้จ่าย เมื่อตกร่องปล่องชิ้นกันแล้ว ตกลงกันให้ชัดเจนว่า ใครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เช่น บางบ้านสามีรับผิดชอบ ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ค่าคนทำงานบ้าน ส่วนภรรยารับผิดชอบค่ากับข้าว หรือรับผิดชอบร่วมกันกรณีการผ่อนบ้าน ฯลฯ บางครอบครัวสามีผ่อนบ้าน ภรรยาผ่อนรถ ส่วนค่าเทอมลูกหารสอง ค่าใช้จ่ายภายในบ้านเป็นเรื่องจุกจิก แต่สำคัญไม่น้อย เพราะถ้าตกลงกันไม่ดี หลายบ้านก็จะมีปัญหาตามมาทีหลัง เพราะฉะนั้น นั่งจับเข่าคุยกันเลยดีกว่า อีกเรื่องหนึ่งที่ควรทำคือ ดูว่ามีเอกสารใดบ้าง ที่ต้องเปลี่ยนแปลงภายหลังการแต่งงาน เช่น กรณีกรมธรรม์ประกันชีวิต ที่ต่างฝ่ายต่างมีมาก่อน แล้วจะเปลี่ยนชื่อผู้รับประโยชน์หรือไม่ หรือ กรณีฝ่ายใดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีบ้านอยู่แล้ว และใช้บ้านหลังนั้นเป็นเรือนหอ จะเพิ่มชื่อภรรยาหรือสามี เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องหมูๆ แน่ สำหรับเรื่องเงินๆ ทองๆ บอกแล้วว่ามีรายละเอียดให้ขบคิดเยอะ ยิ่งถ้าคุณมาจากพื้นฐานครอบครัวที่แตกต่างกันมาก ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีมุมมอง และทัศนคติเรื่องเงินๆ ทองๆที่แตกต่างกัน ค่อยๆ จูน ค่อยๆ ปรับ ภายใต้พื้นฐานของความเข้าใจ ก็น่าจะประคับประคองเรือรักไม่ให้ล่มกลางคันได้ http://www.bangkokbiznews.com/fundamental/ จาก นสพ.กรุงเทพธุรกิจ วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ขอให้มีความสุข สมหวังในชีวิตคู่ตลอดไปนะครับ จากคุณ : Learn and Live - [ 2 ต.ค. 51 19:13:19 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ยินดีด้วยครับ.... แต่เป็นกังวลแทนครับ..... คุณสองคนไม่ได้คุยกันเรื่องนี้เลยหรือครับ กับแค่เรื่องค่าใช้จ่ายของคุณสองคนคุณต้องมาถามคนอื่น... หากให้ผมตอบ... ผมก็ไม่รู้ว่าคุณสองคนจะใช้จ่ายเท่าไหร่... หากผมสองคนภรรยา...เริ่มต้นปีแรกๆของการอยู่ด้วยกัน... เราตกลงกันว่าเราจะต้องจ่ายค่าบ้านแต่ล่ะเดือนให้ได้ ส่วนเรื่องอื่นเราสองคนตกลงกันว่าเราจะกัดฟันดิ้นรนกับมัน... เราจะไม่มีอารมณ์ใส่กันในเรื่องเงินทอง... ครับ...จำได้ว่า...ช่วงเวลาเริ่มต้น... เราสองคนกินต้มจับฉ่ายซี่โครงไก่(ซื้อที่ตลาดบางกะปิ) กันเป็นว่าเล่น  มีไข่ดาวบ้างในบ้างมื้อ...น้ำพริกกะปินี่ตำแช่ตู้เย็นกันเลย นั่นของผม.... มาดูของเพื่อนผม... บ้านมานมีคนรับใช้... มานกินข้าวนอกบ้านสองมื้อ  กินมื้อเดียวที่บ้านตอนเย็น แทบทุกวันหยุดมานไปเที่ยว ตจว.หรือไม่มานก็พากันไปดูหนังฟังเพลง นอกบ้านหรือไปช๊อบปิ้งในห้างดังๆ ลูกมานเรียนอนุบาลค่าใช้จ่ายเป็นแสนต่อเทอมค่าอะไรก็ไม่รู้มาน แต่มานก็ไม่เคยบ่นอะไรมาก...ส่วนลูกผมเรียน รร. กทม. ฟรี... แต่ผมไม่เคยถามมานว่ามานใช้เงินวันละเดือนล่ะเท่าไหร่.... คุณคิดเองก็แล้วกันนะ... ตกลงว่าคุณคิดว่าคุณเป็นอย่างผมหรือเป็นอย่างเพื่อนผมล่ะ... หรือไม่เป็นทั้งสองคน.....นั่น...เป็นสิทธิอันชอบธรรมของคุณครับ... ครอบครัวเราเป็นของเราครับ...อย่าไปลอกเลียนแบบใครเลยครับ... มันไม่มีสูตรสำเร็จของการดำรงชีวิตของครอบครัวหรอกครับ... แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 51 19:27:30 แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 51 19:25:38 จากคุณ : ข้างบูรพา - [ 2 ต.ค. 51 19:23:20 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เงินทองของนอกกาย ถ้าอยู่กับคนที่เรารัก และเขารักเรา แม้ต้องอาศัยอยู่บนธารน้ำแข็งที่เหน็บหนาว ก็ดั่งสรวงสวรรค์ พิศพิมาน จากคุณ : St.Paul - [ 2 ต.ค. 51 19:44:47 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้าใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ผมว่าค่าใช้จ่ายในบ้าน (ไม่รวมค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรืออะไรๆ ที่ต้องผ่อนนะครับ) ถ้าเป็นค่าอยู่ค่ากินอย่างเดียว เดือนละ 30,000 ก็อยู่ได้แล้ว - 10,000 ค่าอาหารการกิน แก๊สหุงต้ม ซื้อของเข้าบ้าน ซื้อของเก็บตู้เย็น - 6,000 ค่าน้ำมันรถ เดินทางไปทำงาน ฝ่ายชาย - 4,000 ค่าอาหารกลางวัน ในที่ทำงานงาน สำหรับฝ่ายชาย - 6,000 ค่าน้ำมันรถ เดินทางไปทำงาน ฝ่ายหญิง (ในกรณีทำงานคนละที่ ไปคนละเส้นทาง) - 4,000 ค่าอาหารกลางวัน ในที่ทำงานงาน สำหรับฝ่ายหญิง (- ถ้ามีลูก 1 คนก็เพิ่มรายจ่ายขึ้นอีกแค่ 40,000 ไม่เกินนี้) *** สรุปแล้ว 30,000 - 40,000 บาท สำหรับ 3 คน พ่อ-แม่-ลูก อยู่กันได้สบายๆ ครับ วันหยุดก็พากันเดินเที่ยวห้าง ซื้อของเข้าบ้าน เที่ยวพักผ่อนนิดๆ หน่อยๆ อยู่อย่างพอเพียง สุขใจได้ครับ อ้อ....ที่พูดมาทั้งหมด in case ที่ไม่มีฝ่ายไหนเล่นหุ้นนะครับ ถ้ามี ก็คงต้องกันค่าใช้จ่ายไว้เผื่อเหลือเผื่อขาดมากๆ หน่อย อาจจะสำรองไว้เดือนละแสน-สองแสน ไว้สำรองเวลาฉุกเฉิน (แบบสถานการณ์เบอร์เกอร์ไครสิสตอนนี้ไงครับ อิอิ) จากคุณ : MrNick - [ 2 ต.ค. 51 20:12:56 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ไปแป๊บเดียว มีคนมาตอบเยอะแยะเลยขอบคุณค่ะ จริงๆเราก็ไม่ได้กะจะโหดร้ายกับคุณแฟนขนาดนั้นหรอกค่ะ ประเภทเงินเธอคือเงินฉัน เงินฉันก็ยังเป็นเงินฉันอยู่ ก็เอามาพูดแหย่กันบ่อยๆ ก็ก่อนหน้านี้จะตั้งไว้ก็คุยกันไว้กับแฟนคร่าวๆอย่างนี้ค่ะ - เงินเดือนเรา เราหักเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเราเอง 1 หมื่น ที่เหลือเก็บไว้เป็นเงินสะสมฉุกเฉินส่วนนึง (เผื่อว่ามีกรณีฉุกเฉินต้องใช้เงินก้อน)  กับเงินอีกก้อนนึงถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ๆ ๆ จะไม่เบิก เพราะไว้สำหรับค่าใช้จ่ายลูกในอนาคต(ที่คาดว่าแต่งไปอีก 1-2 ปีค่อยมี) - เงินเดือนแฟน หักเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของแฟน 1.2 หมื่น (แฟนทำงานไกลกว่ามีค่าเดินทางมากกว่า) ที่เหลือเก็บไว้เป้นค่าใช้จ่ายในบ้านทุกอย่าง ไม่ว่าค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เนท ค่ากับข้าว ค่าจิปาถะ ที่ไม่ได้บอกกันก่อน เพราะอยากจะรู้ว่าแต่ละคนมีแผนเป็นยังไงบ้าง เผื่อได้ไอเดียใหม่ๆ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : la-la-bell - [ 2 ต.ค. 51 20:45:09 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คห 20. ขา ครอบครัวเราเล่นหุ้นทั้งคู่เลยแฮะ เอาละสิทีนี้ ไม่มีลูกจนกว่าจะเลิกเล่นหุ้นดีกว่า ไม่ต้องพาเค้ามาลำบาก อึ๋ยยยย จากคุณ : Tripradap - [ 2 ต.ค. 51 20:53:07 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ยินดีด้วยนะคะ อยากแนะนำให้ทำบัญชีครัวเรือนนะคะ ช่วยได้เยอะค่ะ เราจะพอมองออกว่าเราควรเก็บเงินออมได้กี่เปอร์เซนต์ของรายได้รวม ค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่มองว่าเป็นค่าใช้จ่ายประจำ อะไรบ้างเข้าข่ายฟุ่มเฟือยค่ะ มีฟอร์มน่าสนใจที่ช่วยให้เราลงบันทึกได้ง่ายขึ้นเยอะจากเว็บลิงค์ค่ะ ลองใช้ดูนะคะ http://office.microsoft.com/th-th/templates/TC101885141054.aspx จากคุณ : Katee Noi - [ 2 ต.ค. 51 21:08:15 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ไม่มีทั้งครอบครัว ประสบการณ์ หรือไอเดียครับ แต่เข้ามายินดีด้วยฮะ จากคุณ : Skyman (Analayo) - [ 2 ต.ค. 51 21:19:12 ]

ความคิดเห็นที่ 25 .....ข้อตกลงใดๆ ควรแน่ใจว่า ผู้ชายสมยอม อย่าให้มีการ เออ ออ...เพียงเพราะ เอาใจ เกรงใจ หรือข้าวใหม่ปลามัน เพราะนานๆไป ...คนเราทุกคู่ ต้องคุยความจริงกันเท่านั้น ไม่มีใครมาตามใจ หรือ เออออใครไปตลอดชาติ ที่บ้านดิฉัน....ซะมีมีเงินติดกระเป๋า สองพันบาท กับบัตรเครดิต 1 ใบ และเดบิต 1 ใบ แต่ไม่ค่อยได้ใช้เงิน ใช้อย่างมากก้อร้อยสองร้อย น้ำมัน บริษัทที่เป็นวิศวกรที่ปรึกษา...เติมให้.... ตกเย็นถึงบ้าน ดิฉันจะดูกระเป๋าสตางค์ทุกวัน จัดเรียงแบงค์ตามลำดับชนิด 1000 500 100 20 ให้ครบ และเติมให้ครบสองพันทุกวัน ถ้าเค้ามีเหตุจ่ายพิเศษ เค้าจะบอกเอง โดยไม่ต้องถาม 1 ปีมีโบนัส ให้ 1 ครั้ง คือของขวัญวันเกิด ราคาไม่เกินงบ 50000 บาท (ซะมี จะคิดได้ทั้งปี ว่าปีนี้อยากได้อะไร) ค่าใช้จ่ายในบ้าน ซะมีรับผิดชอบหมดคะ (แต่ดิฉันเป็นคนถือเงิน ทั้งหมดของบ้านคะ... ส่วนเงินออมส่วนตัวเค้า เราก้อเอาเข้าบัญชีเค้าให้เรียบร้อยคะ) อ้อ...ตอนจะแต่งงาน เค้าเก็บเงินเองทุกเดือนรวมสองปี... เพื่อค่าสินสอดทองหมั้นและจัดงาน ค่าชุดเจ้าสาวด้วย และอื่นๆ.... เลยจ่ายซะชินคะ เดือนนึงสัก ไม่เกิน 15000 - 20000 บาทคะ... อยู่กันสองคน กะแมว...ไม่มีบุตร กินข้าวนอกบ้าน เฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง... ส่วนใหญ่เน้นขับรถไปชมวิวมากกว่า เช่น บางแสน ตลาดน้ำ ดอนหอยหลอด....แบบบ้านๆ ไม่นิยมของแพงทั้งคู่ กินนอกบ้านอย่างมากก้อพันเดียว ซะมีไม่ดื่มอัลกอฮอล์คะ กินน้ำเปล่าหรือเป๊บซี่แค่นั้นคะ คนสวย ณ เซดตะเหรด มาตอบเอง...ฮี่ๆๆๆๆ ไปแระจ๊ะ จากคุณ : ink/smart girl club @ settrade (อิ๋ง ณ มอ.) - [ 2 ต.ค. 51 21:19:39 ]

ความคิดเห็นที่ 26 . จากคุณ : C_yada - [ 2 ต.ค. 51 22:05:22 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ผมไม่เห็นความสำคัญของการใช้เงินครับ เพราะการย้ายไปอยู่ด้วยกัน ค่าใช้จ่ายมันจะหารสอง  ค่าใช้จ่ายจะถูกลงกว่าเดิม อยู่ได้ดีกว่าเดิมอยู่แล้ว ถ้าไม่นับค่าใช้จ่ายที่ต้องดูแลพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย การย้ายมาอยู่ด้วยกัน ใหม่ๆคือสวรรค์แน่ๆครับ แต่ที่อยากให้ดูไม่ใช่เรืองเงิน แต่เป็นเรืองการตั้งคำถามกับตัวคุณเอง ว่าคุณรู้จักแฟนคุณมานานกี่เดือนแล้ว รู้จักนิสียใจคอเค้าเวลาโมโหหรืออารมณ์ไม่ดีหรือไม่ ตรงนี้ผมว่าสำคัญ คนเราเพิ่งรักกันไม่นาน จะมองแต่ในแง่ดี แง่ที่สวยงาม มองข้ามแง่ไม่ดีของฝ่ายตรงข้าม ผมว่าเรืองนี้สำคัญกว่าเรืองอื่น ถ้าเพิ่งคบสนิทกับเค้าไม่กี่เดือน ขอให้ใคร่ครวณให้ดีเสียก่อน แต่ถ้าคบกันมาเป็นปีแล้ว อย่างนี้โอเคครับ ปลอดภัยดี อันนี้หมายถึงคบหาเป็นแฟนนะครับ สักปีนึงขึ้นไป ผมว่าพอจะวางใจได้เราจะเห็นเค้าในอารมณ์ต่างๆครบถ้วน ทั้งดีและร้าย แต่ถ้าเพิ่งรักกันไม่กีเดือนพึงระวัง คิดใคร่ครวณให้หนักครับ อยู่ด้วยกันแล้วเลิก มันจะทิ้งร่องรอยไว้ในจิตใจคุณเยอะ  ถ้ายังไม่แน่ใจ ไปมาหาสู่ เจอกันเป็นครั้งคราว จะดีกว่า แต่ถ้าเวลากับความมั่นใจ ดีพอแล้ว อย่างนี้เห็นด้วยครับ ย้ายไปอยู่ด้วยกันได้เลย  อยู่เป็นคู่ ดีกว่าอยู่คนเดียวเยอะครับ ถ้าได้คู่ที่ดีนะครับ เวลาไปอยู่ด้วยกันมันง่าย แต่เวลาเลิกกันแล้ว จะทิ้งบาดแผลไว้ในใจ ผู้หญิงได้คอ่นข้างเยอะ ก่อนจะตัดสินใจ ดูให้รอบคอบเสียก่อน เรืองเงินไม่สำคัญเท่าเรื่องคนครับ  คู่ของเราตอ้งดี แน่นอนเสียก่อนครับ จากคุณ : khonthai.tk. - [ 2 ต.ค. 51 22:39:15 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ไม่เคยใช้เงินรวมกับใคร เลยตอบไม่ได้ค่ะ แต่ก็มาอ่านความเห็นการใช้เงินของชีวิตคู่ อืม ละเอียดอ่อนเหมือนกันนะคะเนี่ยะ .อันตัวเราก็..หาเองใช้เองคนเดียวต่อไป สบายใจแฮ..... ============== อ้อ ยินดีด้วยกับคุณ : la-la-bell  นะคะ ขอให้มีความสุขเหมือนที่ตั้งใจไว้ค่ะ จากคุณ : มุกวาริน - [ 2 ต.ค. 51 23:05:09 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ผมเคยใช้ชีวิตคู่ อยู่กันสองคนแบบที่ว่านี่ครับ ปีแรกมีความสุขมากๆเลย แต่พอนานไป นิสียที่แท้จริงเค้าหลุดออกมา กว่าจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเค้าผมก้หงายท้องหละครับ เจ็บแสบเหลือคำบรรยาย การรู้จักคู่ชีวิต ของเราให้ดี สำคัญที่สุดครับ เรียกว่า ผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก่อนหนะครับ จึงอาจจะมองในแง่ร้ายสักหนอ่ย จากคุณ : khonthai.tk. - [ 2 ต.ค. 51 23:49:22 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ติดตามกระทู้ในห้องสินธรอย่างต่อเนื่องมาได้สามเดือนแล้วครับ นับแต่ริมาซื้อกองทุน แต่ไม่เคยโพสต์มาก่อน ------------------------------------------- เพิ่งตกลงเรื่องกฎการใช้เงินกับภรรยาเมื่อตะกี๊เองครับ (ความจริงตกลงกันมาหลายเดือนแล้ว แต่มีการปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง) ผมกับภรรยาทำงานสอนหนังสือที่เดียวกัน (เงินเดือนต่ำเตี้ยติดดิน) ตกลงกันว่าทุกเดือนเราจะเอาเงินเข้ากองกลางคนละก้อนหนึ่ง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายกินอยู่ และค่าบริการต่างๆ ตลอดทั้งเดือนโดยไม่ฟุ่มเฟือย ส่วนที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายและเงินออมส่วนตัว จะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน เมื่อใช้จ่ายอะไรที่เป็นส่วนรวมก็จะใช้เงินกงสีออก นอกจากนี้เราก็ตกลงกันว่าถ้าเรามีรายได้จากทางอื่น (เช่น ค่าวิทยากรจากหน่วยงานภายนอก รับจ๊อบ ค่าลิขสิทธิ์หนังสือ ฯลฯ) รัฐบาลจะขอหักภาษี 20 เปอร์เซนต์เข้าเงินกองกลาง ไว้สำหรับโปะหนี้บ้าน หรือไม่ก็เก็บไว้เป็นกองทุนสำหรับลูกที่จะเกิดต้นปีหน้า เป็นแนวทางที่วางไว้คร่าวๆ สำหรับช่วงนี้ครับ ยังไม่รู้ว่าจะเวิร์ครึเปล่า ได้แต่หวังว่าสักพักสถานการณ์น่าจะเข้าที่ และอาจมีการปรับเปลี่ยนวิธีการอีกบ้าง (ตอนนี้รายจ่ายยังสูงกว่ารายได้อยู่ครับ ต้องแคะกระปุกมาใช้ซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านที่เพิ่งสร้างเสร็จ) -------------------------------- เหมือนกับที่ความเห็นข้างบนๆ บอกแหละครับว่า "สูตร" ของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน แต่ยังไงก็ขอให้มีความสุขนะครับ จากคุณ : ปรีดา (Aka Prita) - [ 3 ต.ค. 51 00:05:45 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ต้องวางแผนการเงินก่อนเลยครับ อนุมานว่า ทั้ง 2 คนไม่มีทุนสะสมเริ่มต้นมาก่อนนะครับ เงินเดือนเพียวๆ เอาเงินของเรา 2 คนมารวมกัน แล้วคำนวณว่า 1. ค่าใช้จ่ายกองกลางเท่าไหร่ 2. ค่าใช้จ่ายส่วนตัวเท่าไหร่ 3. ค่าใช้จ่ายในอนาคต (ลูก ขยายบ้าน) เท่าไหร่ 4. ค่าใช้จ่ายสำรองอื่นๆ เช่น ไปเที่ยว ดูหนัง ต้องมีบ้าง อีกเท่าไหร่ จัดสรรปันส่วนให้ดี ตกลงกันตั้งแต่ต้น สบายใจครับ ยินดีด้วยนะครับ จากคุณ : tonytui - [ 3 ต.ค. 51 07:37:05 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เข้ามายินดีค่ะ คุณก้อย จำคุณได้ตั้งแต่ห้องแฮรี่สมัยก่อตั้ง ขอให้มีความสุขกับวันที่สุขที่สุดนะคะ แอบอิจฉาทุกครั้งเวลามีใครแต่งงาน แต่ก็ยินดีและดีใจกับเขาทุกครั้ง ขอให้มีชีวิตคู่ที่ดีค่ะ จากคุณ : คุณน้องหนู - [ 3 ต.ค. 51 08:22:01 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เคยคำนวนเล่นๆเหมือนกัน  เผื่อจะมีสาวคนไหนหลงทางมาอยากอยู่กับผม คิดว่าเงินเดือนสองคนรวมกันน่าจะประมาณ 70,000 บาท  จะได้อยู่สบายๆ จากคุณ : MAD MAN_TO - [ 3 ต.ค. 51 15:51:27 ]

ความคิดเห็นที่ 34 สำหรับเราแล้วค่าใช้จ่ายประจำเป็นหน้าที่ของฝ่ายชายทั้งหมดยกเว้น เครื่องใช้ที่มีราคาสูง  จะเฉลี่ยในสัดส่วน  ชาย3 ญ 1  แล้วเงินเดือน ของใคร ก็ของใคร ไม่ก้าวก่ายกัน ต่างคนต่างเก็บ  แต่จะมีการออมเงิน ร่วมกันคือ ฝากประจำระยะยาว  ใส่เงินคนละครึ่ง   พอส่งครบ ก็กลายเป็นเงินเรา  ฮิฮิ  พอผ่านไป 4 5 ปี เงินเดือนเค้าทั้งหมด  เราบริหารเองค่ะ จากคุณ : Kpetcharat - [ 3 ต.ค. 51 18:09:26 ]