ความคิดเห็นที่ 6

อาณาจักรเสี่ยสองป่นปี้
ตามรอยหุ้นอาณาจักรเสี่ยสอง พบเสียหายหนักทั้ง LIVE-IEC-BLISS-GEN หลังถูกฟอร์ซเซลล์ ช่วงตลาดหุ้นดิ่งนรก ตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก ล่าสุด ตลท. ต้องใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์ หลังดัชนีฯ ร่วง 10% ในปลายสัปดาห์ก่อน ส่งผลบรรดาขาใหญ่ยังต้องหลบ ปรับแผนหันถือเงินสด 100% ขณะที่โบรกเกอร์ระบุหุ้นไทยไร้แนวรับ แนะชะลอลงทุน
* หุ้นเสี่ยสองรูดมหาราชตาม ตปท. ตามรอยหุ้นเก็งกำไรในอาณาจักรเสี่ยสอง หรือเสี่ยโทนี่ในปัจจุบัน ซึ่งนักลงทุนเชื่อว่าได้ลงทุนในหุ้นเก็งกำไรขนาดเล็กโดยผ่านนอมินี ทั้ง บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LIVE, บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน)(IEC), บมจ. บลิส-เทล (BLISS) และ บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEN พบว่าราคาปรับลดลงมากในปัจจุบัน โดยก่อนหน้านี้ หุ้นในกลุ่มเสี่ยสองมักจะได้รับความนิยมจากนักลงทุนค่อนข้างมาก เพราะราคาถูก ซื้อง่ายขายคล่อง และมีแรงเหวี่ยงสูง สามารถสร้างกำไรได้ในเวลาสั้นๆ แต่ขณะเดียวกัน อาจทำให้ขาดทุนค่อนข้างมากในเวลาสั้นๆ ได้เหมือนกัน แต่ทั้งนี้ ตลอดสัปดาห์ก่อน (6-10 ต.ค.) หุ้นกลุ่มนี้ปรับลดลงแรงนับตั้งแต่เปิดตลาดวันแรก และวันต่อมาราคาหุ้นได้ปรับลดลงถึงระดับต่ำสุด (ฟลอร์) ทุกวัน โดยมีกระแสข่าวระบุว่าถูกฟอร์ซเซลล์ ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงแรงมาก จนหลายตลาดฯ ต้องปิดซื้อขายชั่วคราว ยิ่งบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC) ออกมาระบุว่า ได้ปรับเกรดปล่อยวงเงินสินเชื่อ IEC จากระดับเดิมเกรด B กับเกรด D ขณะที่ปรับเกรด LIVE จากเดิมเกรด C เป็น D โดยขอหลักประกันเพิ่มให้ฟอร์ซเซลล์ก่อน 25% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.นี้ ยิ่งทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นทุกระดับราคา โดยราคาหุ้น ณ 6 ต.ค.51 สำหรับ LIVE จากปิดที่ 3.94 บาท ล่าสุด 10 ต.ค. ปิดที่ 0.96 บาท ลดลง 2.98 บาท หรือ 75.63%, IEC จากปิดที่ 3.50 บาท ล่าสุด 0.86 บาท ลดลง 2.64 บาท หรือ 75.42%, BLISS จากปิดที่ 0.23 บาท ล่าสุด 0.09 บาท ลดลง 0.14 บาท หรือ 60.86% และ GEN จากปิดที่ 1.44 บาท ล่าสุด 0.68 บาท ลดลง 0.76 บาท หรือ 52.77% ส่วน SET Index จากปิดที่ 551.80 จุด ล่าสุดปิดที่ 451.96 จุด ลดลง 99.84 จุด หรือ 18.09%
* โบรกฯ ระบุ IEC/ LIVE/ GEN 'น้ำเชี่ยวอย่ารีบเอาเรือเข้าไปขวาง' ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันซ่า ได้ออกบทวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์หุ้นเก็งกำไร ทั้ง IEC, LIVE และ GEN โดยระบุว่า ยังจำได้ไหม? กับบทเรียนราคาแพงจาก TUCC/ BWG/ RICH ในเดือน มิ.ย. ช่วงที่ตลาดหุ้นเข้าสู่ภาวะหมี (Bear Market) เต็มตัว นักลงทุนที่เจ็บตัวมากที่สุดคือ คนที่ซื้อขายหุ้นปั่นด้วยบัญชีมาร์จิ้น เพราะขายขาดทุนก็ยังต้องเสียดอกเบี้ย หรือไม่เต็มใจขายก็ถูกโบรกเกอร์บังคับ (forced selling) หลังราคาลงแรงแต่ลูกค้าไม่สามารถหาหลักประกันมาวางเพิ่มได้ ซึ่งตอนนี้มีหุ้นที่เข้าข่ายเสี่ยงดังกล่าวคือ IEC/ LIVE/ GEN ที่ราคาลงมาทดสอบฟลอร์ ซึ่งขอใช้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น TUCC/BWG/ RICH ในช่วงเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาเป็นกรณีศึกษา ซึ่งเราพบว่าราคาหุ้นร่วงลงมา 50-85% (หรือเฉลี่ย 70%) ก่อนที่จะเห็นรีบาวน์ แต่ดูเหมือนพฤติกรรม IEC/ LIVE/ GEN จะซ้ำรอยข้างบน เพราะฉะนั้นลงต่อได้อีก โดยตั้งแต่เช้าวันที่ 8 ต.ค. IEC/ LIVE/ GEN ราคาหุ้นร่วงติดฟลอร์เป็นวันที่สองติดต่อกัน แต่ทั้งนี้ไม่ควรรีบเข้าไปเก็บ เพราะหากใช้พฤติกรรมของ รุ่นพี่ ดังกล่าวข้างต้นเป็นบรรทัดฐาน คือ ราคาหุ้นต้องลงมาเฉลี่ย 70% (หรือแย่สุด 85%) จึงจะเห็นรีบาวน์ เท่ากับว่าการที่ราคาหุ้น IEC/ LIVE/ GEN ที่ขณะนี้ลงไป ~60% จากต้นเดือนยังมีโอกาสร่วงต่อได้อีก เพราะฉะนั้น น้ำเชี่ยวอย่ารีบเอาเรือเข้าไปขวาง
* หุ้นไทยใช้ เซอร์กิต เบรกเกอร์ หลังร่วงแรง 10% สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทย เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2551 ต้องใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์ ในเวลาประมาณ 14.35 น. หลังดัชนีฯ ปรับตัวลดลง 10% และเปิดให้ซื้อ-ขายอีกครั้งในครึ่งชั่วโมงถัดมา แต่แรงขายยังคงมีออกมาอย่างหนาแน่น ท่ามกลางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับลดลงอย่างหนัก เช่น ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียว วันที่ 10 ตุลาคม 2551 ปิดที่ระดับ 8,276.43 จุด ลดลง 881.06 จุด หรือ 9.62%, ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดที่ระดับ 14,796.87 จุด ซึ่งต่ำกว่าระดับ 15,000 จุด เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี ลดลง 1,146.37 จุด หรือ 7.2% ดัชนีสเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 1,948.33 จุด ลดลง 154.38 จุด หรือ 7.34% ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย สั่งปิดไม่มีกำหนด เพื่อป้องกันแรงเทขายอย่างรุนแรง หลังดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลดลง 678.91 จุด หรือ 7.33% รวมทั้งตลาดหุ้นรัสเซีย และโรมาเนีย ที่ประกาศปิดการซื้อขาย หลังดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นในภูมิภาคเอเซียลดลงอย่างรุนแรง
* ภัทรียา บอกไม่มีปัญหา ระบบการซื้อขายยังปกติ ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ดัชนีฯ ที่ปรับลดลงแรงกว่า 10% ทำให้ตลาดฯ ต้องใช้มาตรการหยุดการซื้อขายชั่วคราว (เซอร์กิตเบรกเกอร์) เป็นเวลา 30 นาที ซึ่งเป็นไปตามกลไกของตลาดฯ ที่วางไว้ โดยยอมรับว่าดัชนีฯ ช่วงนี้ประเมินยากว่าจะปรับลดลงแรงกว่านี้หรือไม่ เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจในการลงทุน ทำให้เทขายหุ้นออกมา อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่ต้องกังวลในเรื่องระบบการซื้อขาย และระบบส่งมอบในตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน โดยสัปดาห์หน้ายังประเมินภาวะตลาดหลักทรัพย์ฯ ลำบาก โดยต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรป และสถานการณ์การเมือง เนื่องจากมีผลต่อการลงทุน และแนะนำนักลงทุนให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ส่วนการประชุมร่วมระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ได้เชิญผู้แทนและสมาชิกของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ทั้งไทยและต่างประเทศ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน และสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ร่วมประเมินสถานการณ์ตลาดทุนไทย หลังได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐโดยได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารกว่า 40 ราย ในวงการตลาดทุนร่วมระดมความเห็นนั้น ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าเหตุการณ์นี้ยังไม่ถือว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด โดยเห็นว่าการปรับตัวลดลงของดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ร้อยละ 41.73 ตั้งแต่ต้นปี มาอยู่ที่ระดับ 499.99 (ณ วันที่ 9 ต.ค. 2551) ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดลดลงถึงร้อยละ 41 มาอยู่ที่ระดับ 4 ล้านล้านบาท ถือว่าเป็นไปตามทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปยังภูมิภาคอื่น ๆ รวมทั้งเอเชียโดยดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศที่สำคัญ มีการปรับตัวลดลงประมาณร้อยละ 30 60 ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งนอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้วตลาดหุ้นไทยยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมืองในประเทศด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ถือว่ายังไม่มีความจำเป็นต้องปิดการซื้อขาย โดยในช่วงที่ผ่านมาพบว่าผู้ที่มีเงินออมได้มีการเข้าเลือกลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีเป็นระยะ ๆ เนื่องจากเห็นว่ามีหุ้นของบริษัทพื้นฐานดีหลายตัว ที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่สูงถึงกว่าร้อยละ 10 ซึ่งเป็นโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดี
* ยันซอร์ตเซลล์-ฟอร์ซเซลล์ อยู่ในระดับปกติ ไม่กระทบตลาดทุน สำหรับแนวทางการซื้อขายหุ้นโดยการทำ Short sell ในระยะที่ผ่านมา เห็นว่าไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนเนื่องจากมีปริมาณเฉลี่ยร้อยละ 0.6 0.7 ของมูลค่าการซื้อขายต่อเดือนในขณะที่กฏเกณฑ์การทำ short sell ของตลาดหุ้นไทย ก็มีความแตกต่างจากตลาดหุ้นต่างประเทศโดยกำหนดให้ทำได้เฉพาะหุ้นใน SET50 ซึ่งเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่อง ณ ราคาที่ไม่ต่ำกว่าราคาที่ตกลงซื้อขายครั้งสุดท้าย จึงไม่มีส่วนทำให้ราคาหุ้นปรับลดลง นอกจากนี้ ยังต้องมีการยืมหุ้นเพื่อการส่งมอบด้วยโดยปัจจุบันธุรกรรมการให้ยืมหุ้นเพื่อการทำ short sell มีจำนวนน้อยเนื่องจากมีผู้ที่ทำธุรกิจให้ยืมหลักทรัพย์เพียงไม่กี่ราย ที่ประชุมจึงเห็นว่ายังไม่จำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ Short sell สำหรับยอดรวมการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ทั้งระบบมีประมาณ 27,000 ล้านบาทซึ่งเป็นระดับที่ปกติ หากต้องมีการ Force sell ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุน
* ขาใหญ่ยังต้องถอย เน้นถือเงินสด 100% นอกจากหุ้นอาณาจักรเสี่ยสองจะปรับลดลงถ้วนหน้าแล้ว พิษเศรษฐกิจที่ลามไปทั่วโลก ยังส่งผลให้นักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ทั้งหมด เน้นถือเงินสด 100% โดยนายวัชระ แก้วสว่าง หรือ เสี่ยป๋อง นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า ในช่วงภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลงแรงจากควมตื่นตระหนกในวิกฤตภาคการเงินสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรง ได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนมาเป็นถือเงินสด 100% แทนการซื้อหุ้นเก็บ เพราะด้วยสถานการณ์ตลาดฯ ที่ผันผวนทำให้ประเมินความเสี่ยงได้ยากลำบาก และสิ่งที่น่ากลัว คือ แรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่กำลังสำรองเงินสดเพื่อดำรงสภาพคล่องจึงเทขายหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ทำให้บรรยากาศการลงทุนนั้นย่ำแย่เพราะนักลงทุนทั่วไปไม่กล้าเข้ามาซื้อหุ้น ด้านนายสมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์ หรือเสี่ยแตงโม กล่าวว่า ปัจจุบันไม่ได้มีพอร์ตการลงทุนในหุ้นแล้ว ซึ่งก็เป็นการทยอยปรับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในช่วงวันที่ 19 ก.ย. 2549 โดยช่วงนั้นลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30% อยู่แล้ว พอมาเจอบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะที่ผ่านมา ก็ทยอยลดลงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจนปัจจุบันไม่มีการลงทุนในหุ้น หรือ 0% ซึ่งการซื้อขายหุ้นจะเป็นบัญชีเครดิตบาลานซ์ ขณะที่นายวิชัย วชิรพงษ์ หรือ เสี่ยยักษ์ ระบุว่า จากปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐฯและยุโรป ที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และตลาดหุ้นทั่วโลกโดยทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง แต่ในประเด็นดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของตนแต่อย่างใด เนื่องจากได้ล้างพอร์ตการลงทุนไปแล้วก่อนหน้านี้
* หุ้นไทยยังถูกกดดันจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ต้องชะลอลงทุน นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า แนวโน้มในสัปดาห์หน้าภาพรวมการลงทุนยังถูกกดดันจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ที่มีระดับความเสียหายใหญ่หลวงเกินกว่าที่จะคาดการณ์ได้ การปรับตัวลงของดัชนีฯ จึงยังคงมีต่อไป แต่หากจะประเมินแนวรับแนวต้านในทางเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐานคงไม่สามารถคาดเดาได้แม่นยำเพราะภาวะตลาดฯไม่ปกติ หลังจากนี้คงต้องจับตาความคืบหน้าปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ทางการสหรัฐฯ คงต้องเร่งออกมาตรการฉุกเฉินเพิ่มเติมเพื่อยับยั้งความตื่นตระหนกในภาคการลงทุน และติดตามผลผู้ว่าการธนาคารกลางจากกลุ่มประเทศจี 7 ที่ได้ประชุมร่วมกันเพื่อหาทางยุติวิกฤตสินเชื่อ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงและจะมีการประชุมประจำปีของ IMF ที่ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ของโลกในปี 52 เป็น 3.0% จากก่อนหน้าที่ 3.9% กลยุทธ์การลงทุน จึงแนะนำให้ชะลอลงทุน
FROM http://www.efinancethai.com
จากคุณ :
C_yada
- [
11 ต.ค. 51 13:29:34
]
|
|
|