ความคิดเห็นที่ 1 1 ) หุ้นโรงพยาบาล ระดับ B+ ลงมา เหตุผลที่ไม่รวม รพ. ระดับ A อย่าง BH BGH เพราะว่ากลุ่มนี้มีลูกค้าต่างชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งของลูกค้าต่างชาติมาจากสหรัฐและยุโรปซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนน้อยลง รวมถึงการที่เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวจึงส่งผลให้ลูกค้าระดับ A บางส่วนเปลี่ยนมาใช้ รพ. รัฐ หรือ รพ. เกรด B หรือ B+ แทน โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ประกันสุขภาพของบริษัทประกันต่างๆ เช่น Bupa Bluecross หรือการเบิกจากบริษัทที่มีจำนวนสูงสุดของแต่ละครั้ง เช่น ผู้ป่วยนอกไม่เกินครั้งละ 1,000 บาท ซึ่ง รพ. ระดับ A มักจะมีค่ารักษาพยาบาลต่อครั้งสูงกว่า 1,000 บาทค่อนข้างมากแล้วในปัจจุบัน ทำให้ลูกค้ากลุ่มที่ใช้ประกันสุขภาพหันมาใช้ รพ. เกรด B หรือ B+ กันมากขึ้น เท่าที่ดูงบ TNH ไตรมาสล่าสุดจะเห็นว่ารายได้และกำไรยังเติบโตดีมาก EPS ปี 2551 อยู่ที่ 0.71 บาท ราคาปัจจุบันคือ 6 บาท p/e ประมาณ 9 เท่า และปันผล 0.41 บาทหรือประมาณ 7% ส่วน KH EPS ปี 2551 น่าจะอยูที่ประมาณ 0.65 บาท ราคาปัจจุบันที่ 6.10 บาท ก็มี p/e ประมาณ 9 เท่ากว่าๆ เช่นกัน ปันผลทั้งปีก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 0.35 บาทต่อหุ้น หรือประมาณ 6% ไตรมาส 2 ที่ผ่านมามีกำไรต่อหุ้น 0.15 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 40% แนวโน้มกำไรไตรมาส 3 ที่กำลังประกาศออกมานั้นจะสูงกว่าไตรมาส 2 เนื่องจากเป็น high season ของ รพ. เพราะเป็นฤดูฝน ผมประมาณว่ากำไรไตรมาส 3 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 0.17 บาทต่อหุ้นครับ เติบโตจาก Q3 ปีก่อนประมาณ 50% ( กำไรปีก่อนใช้ตัว adjust ที่ปรับเรื่องค่าเสื่อมฯ และ goodwill แล้วครับ ) เมื่อมองระยะยาวแล้ว ทั้ง KH และ TNH นั้นค่อนข้างถูกคือ p/e ต่ำกว่า 10 เท่า ในขณะที่การเติบโตในแต่ละปีน่าจะสูงกว่า 10% โดย KH จะมีจุดเด่นคือ มีการขยายสาขาอีก 2 แห่งในอนาคตโดยไม่ต้องเพิ่มทุนเพราะมีฐานทุนค่อนข้างสูง และมีรายได้จากประกันสังคมและโครงการ 30 บาท ที่แน่นอนและเพิ่มขึ้นทุกปี ส่วน TNH มีจุดเด่นกว่า KH คือเรื่อง p/e และเงินปันผล แต่จุดที่ด้อยกว่า KH น่าจะเป็นเรื่องฐานทุน ( ส่วนของผู้ถือหุ้น ) ดังนั้น TNH ไม่ควรรีบขยายสาขาในระยะ 2-3 ปีนี้ครับ จากคุณ : kasimasi - [ 22 ต.ค. 51 15:51:19 ]

ความคิดเห็นที่ 2 2 ) หุ้นค้าปลีก หากเรียงลำดับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาวะปัจจุบันน้อยที่สุดไปยังมากที่สุด 1. CPALL 2. MAKRO 3. CPN 4. BIGC ( BIGC จะกระทบกว่า Makro เนื่องจาก BigC มีสินค้าประเภท non-food เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ในสัดส่วนที่มากกว่า ) 5. SE-ED 6. IT 7. HMPRO ROBINS หากเรียงอันดับเงินปันผล จาก มากที่สุด ไปยังน้อยที่สุด ( % เทียบราคาหุ้น ) 1. SE-ED IT 2. MAKRO 3. CPALL 4. BIGC HMPRO ROBINS 5. CPN หมายเหตุ 1 ) CPALL มีปัจจัยเรื่องการขาย Lotus ที่จีน ซึ่งถ้าขายได้จะเป็นปัจจัยบวกทำให้ EPS และปันผลสูงขึ้น ถ้าขายไม่ได้หรือเลื่อนออกไปอีกก็จะเป็นปัจจัยลบที่มีผลต่อ EPS และปันผลได้ 2 ) ผมรวม CPN ในกลุ่มค้าปลีกเพราะมีรายได้แน่นอนจากค่าเช่า และแม้เศรษฐกิจไม่ดีในปี 40 พื้นที่เช่าในศูนย์อย่างเซ็นทรัลก็ยังมีคนเช่าเต็มตลอด อย่างไรก็ตาม เงินปันผลปีนี้จะสะท้อนกำไรของปีนี้ ซึ่งปีหน้าเราเองก็ไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร หุ้นกลุ่มที่จะได้รับกระทบมากก็มีโอกาสที่มีกำไรเติบโตน้อยลงหรือกำไรลดลงจากปีนี้ได้ครับ ดังนั้นเราควรจะเลือกหุ้นที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย และมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง เพราะเงินปันผลที่สูงทำให้เรามีเงินที่สามารถมาลงทุนเพิ่มได้ รวมถึงเงินปันผลที่สูงจะช่วยชะลอการลดลงของราคาหุ้นได้ในระดับหนึ่ง จากคุณ : kasimasi - [ 22 ต.ค. 51 15:51:52 ]

ความคิดเห็นที่ 3 3 หุ้นกลุ่มสื่อสาร ผมมองว่าหุ้นกลุ่มสื่อสารเป็น defensive อีกกลุ่มหนึ่ง เนื่องจากมือถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนไปแล้ว เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี การใช้มือถืออาจจะลดลงไปบ้างแต่การหยุดใช้มือถือด้วยการยกเลิกเบอร์คงจะเกิดขึ้นน้อยมาก ดังนั้นกลุ่มมือถือก็จะเป็นหุ้นที่รายได้และกำไรจะได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยครับ หุ้นตัวที่ปันผลดีก็จะเป็น ADVANC แต่ความเสี่ยงของกลุ่มนี้คงจะเป็นเรื่อง 3G ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ครับ แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 51 15:52:45 จากคุณ : kasimasi - [ 22 ต.ค. 51 15:52:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 4 กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ได้แก่สินค้าเฉพาะตัวที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันที่มียอดขายที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจมากนัก และไม่ใช่สินค้า commodity เท่าที่นึกออก เช่น ผ้าอ้อม ( DSGT ) ยาและเวชภัณฑ์ ( JCT ) ขนมปัง ( PB ) มาม่า ( TF ) แต่หุ้นเหล่านี้ตัวที่ปรับลดลงมากๆ จึงจะน่าสนใจ ถ้าไม่ลดลงหรือลดลงน้อยมากก็คงไม่ถึงกับน่าสนใจนักครับ จากคุณ : kasimasi - [ 22 ต.ค. 51 15:52:55 ]

ความคิดเห็นที่ 5 5 หุ้น turnaround Turnaround ครั้งนี้คงไม่ใช่การ turnaround จากการปรับโครงสร้างนี้นะครับ แต่คือ หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เต็มๆ ดังนั้นหุ้นกลุ่มนี้ควรซื้อเมื่อราคาลดลงมามากๆ จนมี margin of safety ที่สูงพอ และควรซื้อเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ต่างๆ มีแนวโน้มดีขึ้นมาบ้างแล้ว หุ้นที่น่าสนใจก็คือ หุ้นที่ดีที่สุดในธุรกิจที่แย่ในช่วงนี้ เช่น MINT PS ฯลฯ เพราะเมื่อทุกอย่างกลับมา หุ้นที่แข็งแรงที่สุดในกลุ่มจะฟื้นตัวก่อนครับ --จบ-- จากคุณ : kasimasi - [ 22 ต.ค. 51 15:53:26 ]

ความคิดเห็นที่ 6 GLOW  เป็น defensive หรือไม่ครับ จากคุณ : stoes - [ 22 ต.ค. 51 15:59:42 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณฮะ เรื่องขายโลตัสจีนของเซเว่นนี่มันยืดเยื้อเจงๆ .. จากคุณ : Duckcovery - [ 22 ต.ค. 51 16:28:40 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เก็บข้อมูลค่ะ.... จากคุณ : นักเรียนประจำห้องสินธร (Genie Neung) - [ 22 ต.ค. 51 16:48:03 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถูกใจให้ give จากคุณ : Tripradap - [ 22 ต.ค. 51 16:51:10 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : spaceship - [ 22 ต.ค. 51 16:53:33 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ข้าน้อยขอคารวะ จากคุณ : แม่ชีมีโชค - [ 22 ต.ค. 51 17:23:34 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อืม......... เห็นด้วยครับ มีหลายตัวเล็งๆไว้อยู่ครับ จากคุณ : Endless_ Luck - [ 22 ต.ค. 51 19:29:30 ]

ความคิดเห็นที่ 13 หุ้นโดนใจ 2ตัวค่ะ จากคุณ : หนูปุ๊ก - [ 22 ต.ค. 51 19:49:30 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผ่านมาอ่าน...   จากคุณ : ชายยอดนักทดลอง - [ 22 ต.ค. 51 20:00:30 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณครับ จากคุณ : rider XXX - [ 22 ต.ค. 51 20:26:49 ]

ความคิดเห็นที่ 16 +1 จากคุณ : เบดูอินเกิร์ล - [ 22 ต.ค. 51 21:22:03 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อืม ผมมองว่า ระยะกลางถึงยาว BH ได้ประโยชน์นะครับ ค่ารักษา BH แพงของเรา แต่ถูกของต่างชาติครับ การบินมารักษาตัวที่เมืองไทย โดยเฉพาะการผ่าตัด ค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการรักษาตัวที่บ้านเมืองเขามากๆ ถึงเศรษฐกิจนอกจะไม่ดี แต่เรื่องเจ็บป่วยมันห้ามกันไม่ได้ ถ้าบริษัทประกัน หรือแม้แต่ตัวผู้ป่วยเองต้องการลดค่าใช้จ่าย เมืองไทยก็เป็นตัวเลือกที่ดีใช้ได้ตัวหนึ่ง เพียงแต่ในระยะสั้น BH ยังคงถูกกดดัน แต่ถ้า BH รุกมากขึ้น ทำตลาดให้ดีๆ น่าจะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ จากคุณ : อวิรุืทธ์ - [ 22 ต.ค. 51 22:45:07 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ ih คนนี้ผมไปอ่านของแกบ่อยๆ ยอมรับว่า วิจารณาญาณแกเฉียบมากเลยครับ รอบคอบ ลึกซึ้ง จากคุณ : ต้นสนใบเดี่ยว - [ 22 ต.ค. 51 23:37:47 ]