PANTIP.COM : I7131888 financial supermodel [หุ้น]

ความคิดเห็นที่ 2

ที่สงสัยคือ วิกฤตครั้งนี้ ใครได้ประโยชน์ บุช หรือ ? ผมกลับไม่คิดเช่นนั้นนะครับ ผมกลับคิดว่าสาเหตุหลักคือราคาน้ำมัน ที่พุ่งมากเกินไปจนกระทบกับเงินเฟ้อและความเชื่อมั่นในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก คงไม่มีใครคิดว่าน้ำมันไม่มีผลต่อการเกิดวิกฤตครั้งนี้ หากเรามองกลับไปเมื่อประมาณสัก 10 ปีกว่าก่อน ผมยังจำได้ถึงราคาน้ำมันราคา 10 กว่าเหรียญซึ่งตกต่ำมากจนโอเปคต้องออกมาเรียกร้องให้ลดการผลิตน้ำมัน และพยายามผลักดันให้ราคาอยู่ประมาณ 25 เหรียญให้ได้ ซึ่งเป็นราคาที่กลุ่มนี้พอใจ แต่ภายหลังกลับพยายามสร้างราคาร่วมกับ พวกเก็งกำไรราคาน้ำมันผลักดันราคาต่อมาเรื่อยๆจนถึง 147 เหรียญ นักวิเคราะห์เจ้าดังๆของโลก
บางแห่งก็ทำนายกันไปถึง 300 เหรียญในอีก 1-2 ปีก็มี ธุรกิจต่างๆเมื่อต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นมากมายจากต้นทุนพลังงานก็อยู่ไม่ไหว ต้องขึ้นราคาสินค้าของตัวเองให้สูงขึ้นเพื่อความอยู่รอด เมื่อราคาเพิ่มขึ้นในบางกลุ่มเช่นสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้เกิดการเก็งกำไรตามมาอย่างรวดเร็ว จนเกิดภาวะ เงินเฟ้อขึ้นทั่วโลก ซึ่งทำให้นักลงทุนทั่วโลกกลัวกันนักหนา และมองว่าทั่วโลกจะต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อตามมา อย่างที่รู้กันเมื่อดอกเบี้ยเพิ่ม ต้นทุนก็เพิ่ม กำไรก็จะลด ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยก็จะโดนไปเต็มๆก่อน ยิ่งสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้กับลูกค้าเครดิตไม่ค่อยดีอยู่แล้วเมื่อดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นความสามารถในการจ่ายก็จะลดลงกลายเป็น NPL แบงค์ก็จะต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติมาก อาจเพิ่มหลายเท่าตัวกว่าสภาวะปกติ ทำให้จากกำไรกลายเป็นขาดทุนมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว หากเรามองกลับไปหลังธุรกิจของไทยหลังลดค่าเงินบาทจะเห็นว่า แบงค์ต่างๆจากกำไรดีมากมายกลายเป็นขาดทุนเพิ่มสูงขึ้นทุกๆไตรมาสติดต่อกันนานหลายปี กว่าขาดทุนจะเริ่มชะลอตัวลงและ NPL จากกว่า 50% ลดลงมาถึงต่ำกว่า 10% อย่างในปัจจุบันนี้ จะเห็นว่าเราใช้เวลาเกือบ 10 ปีทีเดียว กว่าแบงค์จะกลับมายืนเข้มแข็งได้อย่างตอนนี้ ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกเขาถึงกระหน่ำซัมเมอร์เซลหุ้นกลุ่มการเงินตอนนี้ด้วยมุมมองอย่างนี้ อย่าเพิ่งมองว่าเมื่องไทยกระทบน้อยจากวิกฤตครั้งนี้ อาจน้อยจริงในแง่การที่ไปลงทุนในเลห์แมน แต่ผลกระทบหลักจริงๆที่จะเกิดต่อไปคือ ผลกระทบทางอ้อมจากลูกค้าธนาคารที่มากู้เงินไป แล้วได้รับผลกระทบจากภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจต่างหาก เช่นกลุ่มส่งออก บางกลุ่ม กลุ่มรถยนต์ กลุ่มอัญมณี และอิเลคโทรนิค เป็นต้น ดังนั้น หากเราไม่มั่นใจว่าผลกระทบด้านลบมันจะมีมากแค่ไหน นักลงทุนเขามักจะขายออกไปก่อนแล้วรอดูว่าผลมันจะเป็นอย่างไร โดยดูผลประกอบการในแต่ละไตรมาสที่จะตามมา เช่นกลุ่มการเงินหากผลประกอบการไตรมาส 4 ออกมาดีขึ้นหรือเสมอตัวก็ยังน่าจะ ok แต่หากออกมาแย่กว่าที่คาดก็แสดงให้เห็นว่า มันมีผลกระทบมากกว่าที่เรารู้ และอาจเกิดต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงจุดต่ำสดก็จะรู้ได้เองจากผลประกอบการ คนที่เขาเคยผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มา ก็คงพอมองออก แต่นักลงทุนรายใหม่ๆ อาจไม่เคยเห็นหรือพบกับภาวะเหล่านั้น อาจยังไม่รู้จักมันดี แต่เหตุการณ์ครั้งนี้คงมีประโยชน์ต่อไปในวันข้างหน้า

จากคุณ : kitty63 - [ วันปิยมหาราช 20:53:42 ]