ความคิดเห็นที่ 1 Q: เรื่องมันเริ่มต้นตรงไหนเหรอครับ? A: จำกระทู้ดอกเบี้ยได้ไหมครับ? (http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2008/07/I6801881/I6801881.html) กระทู้นั้นผมให้ความเห็นว่า เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับ Asset อื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งเป็นผลมาจาก Global Imbalance และนโยบายดอกเบี้ยต่ำของสหรัฐในช่วงต้นปี 2000s (รูปที่ 1 ในกระทู้โน้น) การบูมขึ้นของอสังหาริมทรัพย์ก้อมีจุดเริ่มต้นจากตรงนั้น เช่นกันครับ ตอนนั้นดอกเบี้ยถูกมาก (รูปที่ 1 ซ้ายบน) ทำให้ประชาชนมีการเร่งกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ/ปลูกบ้านกันใหญ่ ประกอบกับรัฐสภาสหรัฐสมัยคลินตัน ออกกฏหมายที่ชื่อว่า Community Reinvestment Act,  สาระสำคัญของกฏหมายฉบับนี้คือ ส่งเสริมให้ทุกคน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ให้เข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้น โดยพยายามให้แบงค์ปล่อยกู้ให้กับคนที่มีรายได้ต่ำ เช่นเดียวกับรัฐบาลบุชสมัยแรกก้อส่งเสริมให้ทุกคนมีที่พักอาศัยกันถ้วนหน้า โดยชูเป็นนโยบายหลักอันหนึ่งเลยทีเดียวครับ ในเมื่อนโยบายเป็นแบบนี้ ทำให้ภาคธนาคารริเริ่มที่จะหาสินเชื่อที่เหมาะสมกับผู้มีรายได้น้อย นั่นล่ะครับ คือจุดเริ่มต้นของ Subprime Loan อย่างที่บอกในกระทู้ Subprime ภาคต้น ธนาคารต่างๆ มีแรงจูงใจในการเร่งปล่อยกู้ Subprime ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลตอบแทนที่สูงและ(คิดว่า)สามารถถ่ายโอนความเสี่ยงให้กับคนอื่นได้ทั้งหมด ทำให้ยอดสินเชื่อ Subprime พุ่งสูงขึ้น เช่นเดียวกับพวก Mortgage Bakced Securities (MBS) ที่กองทุนต่างๆ ต้องการกันมาก เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สูง แบงค์ก้อยิ่งต้องเร่งปล่อยกู้ Subprime เพื่อเอาหนี้อันนั้นมาทำ MBS ขายต่ออีก ไม่แปลกใจใช่ไหมครับที่ยอดขายบ้านพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ (รูปที่ 1 ขวาบน) พร้อมๆ กับราคาบ้านที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นสองเท่าในปี 2005 เมื่อเทียบกับปี 2000 (รูปที่ 1 ซ้ายล่าง อ้อ ดัชนี Case-Shiller Index คือดัชนีราคาบ้านจัดทำโดย S&P ซึ่งเรานิยมใช้อ้างอิงถึงราคาบ้านในสหรัฐครับ) เมื่อธนาคารเห็นราคาบ้านเพิ่มขึ้นก้อแอบมั่นใจว่าการปล่อยกู้หนี้ Subprime จะไม่ทำให้ขาดทุน (เนื่องจากสามารถขายทอดตลาดได้สูงกว่ายอดเงินกู้) จากนั้นก้อย่ามใจเร่งปล่อยกู้ Subprime ต่อไปอีก วนเวียนเป็นฐานเศรษฐกิจ (วัฏจักร! ^^" ) แบบนี้เรื่อยไปครับ ส่งผลให้หนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งจาก subprime และ prime เพิ่มสูงขึ้นครับ (รูปที่ 1 ขวาล่าง) สินเชื่อพวก Home Equity Loan (HEL) ทำให้ผู้กู้มีเงินไปจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้โลกประสบปัญหาเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมาครับ จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:28:45 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Q: แล้วปัญหาเริ่มขึ้นตรงไหน? A: ในสายตาผม ผมคิดว่า มันเริ่มมาจากการที่ราคาบ้านมันเริ่มหยุดเพิ่มขึ้นอ่ะครับ มันไม่มีสินค้าตัวใดที่ราคาจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องได้อย่างไร้ที่สิ้นสุดหรอกครับ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ราคาที่เพิ่มสูงขึ้นมันจะทำให้ Demand (อุปสงค์ เอ่อคิดเหมือนผมไหมครับ ว่าคำว่า Demand เข้าใจง่ายกว่าคำว่าอุปสงค์ งั้นต่อไปนี้ขอใช้ทับศัพท์นะครับ) ของสินค้านั้นๆ ลดลง เมื่อราคาเพิ่มสูงขึ้นถึงจุดๆ หนึ่ง มันจะทำให้ Demand ของสินค้านั้นๆ ไม่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป และถ้าราคายังเพิ่มขึ้นไปอีก Demand สินค้าตัวนั้นอาจจะลดลงครับ (แน่นอนครับ ทฤษฎีนี้สามารถประยุกต์ใช้ได้หมด ไม่เว้นแม้แต่หุ้นในตลาดครับ ^^ ) ราคาบ้านก้อเช่นกัน เมื่อราคาบ้านเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ Demand ของบ้านก้อจะลดลงไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด มันแพงจนไม่มีใครต้องการมันอีกต่อไป เมื่อมันไม่เพิ่มขึ้น มันก้อต้องลงครับ พอเมื่อมันลง นั่นล่ะครับ ปัญหาเริ่มเกิดแล้วครับ เพราะถ้าหนี้ก้อนสุดท้ายที่ธนาคารปล่อยไปเกิดเป็นหนี้เสียขึ้นมา มันจะทำให้ธนาคารขาดทุนจากหนี้ก้อนนี้ครับ (เพราะไม่สามารถขายทอดตลาดได้ราคาสูงกว่าวงเงินกู้ได้) ต้นปี 2550 ราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับลดลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2538 หรือในรอบ 12 ปี (รูปขวาบน) พร้อมๆ กับยอดขายบ้าน (รูปซ้ายบน) ประกอบกับช่วงนั้นโลกเริ่มประสบปัญหาเงินเฟ้อจากภาวะราคาน้ำมันแพง ธนาคารกลางทั่วโลกรวมถึง Fed ต่างพากันทยอยขึ้นดอกเบี้ยเพื่อป้องกันปัญหาเงินเฟ้อ ยิ่งทำให้ผู้กู้เงินประสบปัญหาจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้นไปอีก สองปัจจัยนี้รวมกัน ทำให้จำนวนคนขาดส่งเงินผ่อนหรือ Non-Performing Loan (NPL) เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (รูปซ้ายล่างและขวาล่าง) เมื่อ NPL ของแบงค์เพิ่มขึ้น แบงค์ต้องกันสำรองเงินเพิ่ม*  --> และการกันสำรองจะทำให้กำไรของแบงค์ลดลง --> ส่งผลให้ retained earning ของแบงค์ลดลง --> ทำให้ capital ของแบงค์ลดลง --> วงเงินที่แบงค์สามารถปล่อยกู้ได้น้อยลง (เนื่องจากเค้ามีหลักเกณฑ์บังคับว่าแบงค์จะสามารถปล่อยกู้ได้ไม่เกินสัดส่วนหนึ่งๆ ของ capital ที่ตัวเองมีเท่านั้น เมื่อ capital ลดลง แบงค์ก้อเลยปล่อยกู้ได้น้อยลงครับ) และนั่นหมายความว่าแบงค์จะต้องเริ่มเข้มกับการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เมื่อลูกค้าคนอื่นๆ ไม่สามารถกู้ได้ง่ายๆ แปลว่าลูกค้าไม่สามารถทำ HEL ได้หรือไม่สามารถไป re-finance กับแบงค์อื่นๆ ได้เหมือนตอนแรกแล้ว  NPL ก้อจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นฐานเศรษฐกิจ (ถูกต้องนะครับ วัฏจักร! ฮา) สืบไป NPL ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าว มีผู้ให้กู้ Subprime มากกว่า 25 รายต้องประกาศล้มละลาย รวมถึง New Centruy Financial ซึ่งเป็นผู้ให้กู้ subprime รายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของสหรัฐฯ ด้วยครับ *ถ้าแบงค์มีหนี้ที่สงสัยว่าจะสูญ (NPL) แบงค์จะต้องกันสำรอง (provision) หนี้ก้อนนั้น ซึ่งเงินกันสำรองนั้นจะไปหักออกจากงบกำไรขาดทุนของแบงค์ครับ เพื่อกรณีที่หนี้ก้อนนั้นสูญไปจริงๆ ผลกระทบต่อแบงค์ก้อจะไม่มากนัก เพราะได้ตัดเงินชดเชยกับหนี้ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:29:21 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Q: แล้วไหนว่าแบงค์สามารถโอนความเสี่ยงไปให้คนอื่นได้ไง? A: ถูกครับ มันเกิดอะไรขึ้นมาดูกัน จากกระทู้ก่อนนะครับ เอาแบบเบๆ สมมติว่า m_ple ไปกู้ subprime กับแบงค์ B --> แบงค์ B ขาย CDO ให้กับกองทุน X --> กองทุน X ทำ Credit Default Swap (CDS) กับกองทุน Y เมื่อ m_ple ไม่จ่ายหนี้ แบงค์ B ก้อจะถือว่า subprime loan ของ m_ple เป็น NPL ใช่ไหมครับ แบงค์ B ก้อจะเบี้ยวไม่จ่ายเงิน CDO ให้กับกองทุน X  สุดท้ายกองทุน Y จะต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับกองทุน X ถ้าเงินก้อนนี้ไม่ใหญ่มาก ก้อจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้า NPL เกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น? กองทุน Y อาจจะหาเงินชดเชยให้กองทุน X ไม่ไหว กองทุน Y อาจจะเจ๊งไปเลยก้อได้ ถ้ากองทุน Y เจ๊ง นั่นแปลว่าเงินชดเชยที่กองทุน X ควรจะได้ ก้อจะไม่ได้ ถ้ากองทุน X ไม่ได้เงิน กองทุน X อาจจะเจ็งตาม การล้มต่อๆ กันเป็นโดมิโน ทำให้กองทุนอื่นๆ ที่ยังเหลือรอดอยู่ ไม่กล้า (หรือไม่มีความสามารถมากพอที่จะ) รับซื้อ CDO ของแบงค์ B (เพราะกลัวเจ๊ง) ทำให้แบงค์ B ต้องรับความเสี่ยงของ Subprime ที่ตัวเองปล่อยไว้เต็มๆ แบงค์ B อาจจะตัดหนี้ก้อนนี้เป็นหนี้สูญและกันสำรองเพิ่มขึ้น และถ้ามันใหญ่มาก ก้ออาจทำให้แบงค์ B ล้มตามก้อได้ครับ (เพราะไม่มีใครยอมมารับความเสี่ยงต่อ) เห็นไหมครับ แค่ m_ple เป็น NPL กับแบงค์ B แค่เนี่ย มันส่งผลกระทบให้กองทุนอื่นๆ เจ๊งกันเป็นแถบๆ และสถานการณ์ปัจจุบันมันไม่ได้ simple แบบนี้นะครับ กองทุน Y อาจจะเอา CDS ไปทำกับกองทุน Z ต่อ กองทุน Z อาจเอา CDS กลับไปทำกับแบงค์ B ก้อได้ มันปนกันมั่วไปหมด ทำให้หนี้ที่เบี้ยวกับอีกแบงค์หนึ่ง มันทำให้ทุกๆ แบงค์มีผลกระทบตามไปด้วย และที่สำคัญกองทุนพวกนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นกองทุนในสหรัฐเท่านั้น ทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นในสหรัฐลามไปยังระบบเศรษฐกิจประเทศต่างๆ ทั่วโลก แม้แต่ในไทยเอง ก้อยังมีบางแบงค์ที่อุตส่าห์ไปลง CDOs กับเค้าไว้เหมือนกัน แม้จะไม่มากเท่าไร จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:29:52 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Q: แล้วเค้าไม่กลัวเหรอว่ามันจะเจ๊ง? A: ตอนนั้นนักลงทุนไม่กลัวครับ ผมสันนิฐานว่าด้วยเหตุผลสองข้อ ข้อแรกคือ เค้าไม่รู้ถึงความน่ากลัวของมันครับ อันนี้นอกเหนือ scope ของกระทู้นี้ แต่ผมอยากบอกแค่ว่าวิธีตีค่า, มูลค่า, ความเสี่ยง, บลาๆๆ ของพวก CDO นี้ มันยากมากๆ ครับ ต้องใช้ assumption เยอะ (ผมเคยเข้าไปอบรมเรื่องพวกนี้อยู่หนหนึ่ง ตอนออกจากห้องนี่ เหมือนโลกหมุนติ้วๆๆ เลย สอนอะไรฟร่ะเนี่ยยย T-T ) เนื่องจากความซับซ้อนของมัน ทำให้บรรดาผู้บริหารกองทุนบางกองทุนไม่เข้าใจผลตอบแทนและความเสี่ยงของ CDO อย่างถ่องแท้ และประเมินสถานการณ์ผิดพลาดไป จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:30:08 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Q: อ้าว ถ้ามันยากและซับซ้อนอย่างนั้น ทำไมเค้าถึงลงทุนกับมันละครับ? A: สมมตินะครับ ถ้าคุณอยากซื้อหุ้นสักตัว แต่คุณไม่รู้เลยว่า คุณจะซื้อตัวไหนดี คุณจะทำอย่างไรครับ? คำตอบแรกๆ เลย ผมฟันธงว่า คุณก้อต้องถามใครสักคนที่คุณเชื่อใช่ไหมครับ กองทุนเหล่านี้ก้อเหมือนกันครับ ในเมื่อเค้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร เค้าก้อต้องถามใครสักคนที่เค้าเชื่อครับ คนคนนั้นคือใครเอ่ย? ซึ่งคนนั้นคือ  แอ่น แอ๊นนน บริษัทจัดอันดับเครดิตไงครับ (Credit Rating) และนี่คือเหตุผลข้อสองครับ ในเมื่อกองทุนไม่ทราบ(หรือไม่แน่ใจ)ว่า CDO ก้อนนี้ คืออะไร เสี่ยงไหม ลงทุนได้ไหม แต่ถ้าเค้าเห็นว่า S&P ให้ AAA กับ CDO อันนี้ นักลงทุนก้อไม่สนใจอะไรแล้วครับ ซื้อเลย เพราะเกรด AAA หมายถึงเกรดสูงสุดที่บริษัทเหล่านี้จะออกให้กับสินทรัพย์ใดๆ ก้อตามครับ (เทียบเท่ากับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอ่ะครับ คิดดู) คิดดูสิครับ ได้เกรดตั้ง AAA ผลตอบแทนก้อสูง  ถ้ายังหวาดๆ อยู่ มองรอบข้าง เค้าก้อซื้ออันนี้กันทุกคนไม่ว่าแบงค์เล็กแบงค์ใหญ่ อ้าว แล้วเราจะรีรอทำไม (คนเรากลัวตกรถมากกว่าติดดอยใช่ม้า ผมก้อเป็น ^^" ) บริษัทจัดอันดับเครดิตกลายเป็นตัวแปรสำคัญตัวหนึ่งในเรื่องนี้เลยครับ มันสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนจนตีค่าความเสี่ยงของ CDO ต่ำไปครับ และช่วยเติมเชื้อไฟให้กับ Demand CDO ในตลาดด้วยครับ บริษัทเหล่านี้ไม่ได้โกหกนักลงทุนนะครับ ผมเชื่อว่า ตาม Model ที่เค้าคิดมา CDO เหล่านี้อาจจะได้เกรด AAA จริงๆ เนื่องจากตอนนั้นความเสี่ยงของ CDO มันไม่ได้ชัดเจนเหมือนกับตอนนี้ครับ ถ้า Model เค้า run ออกมาแล้วบอกว่า CDO นี้ได้ AAA เค้าก้อต้องให้เกรด AAA ครับ จะมาให้ BBB ก้อไม่ได้จริงไหมครับ ผมไม่ทราบ Model ของเค้านะครับ แต่ผมคิดว่าไม่ว่า Model จะสวยหรูขนาดไหน มันก้อไม่สามารถ track ความเสี่ยงได้จริงๆ หรอกครับ เพราะถามว่า CDO ที่ผ่านมือคนโน้น คนนี้มาสิบรอบ จับกองโน้นมาผสมกองนี้แล้วเอามาแบ่งขาย แล้วอันที่แบ่งมา โดยจับไปรวมอันนั้นอีก บลาๆ จากกระทู้อันก่อน ถามว่าคนที่ซื้อคนสุดท้ายจะทราบไหมครับว่า CDO ตัวที่เค้าซื้อมีหนี้ของ m_ple เป็นหลักประกันอยู่ และถ้าไม่ทราบ บริษัทจัดอันดับความเสี่ยงจะสามารถวัดความเสี่ยงที่ถูกต้องได้อย่างไร? นี่ละครับ คือข้อจำกัดด้านความรู้และข้อมูลในปัจจุบัน ส่งผลให้บริษัทจัดอันดับเครดิตตีค่าความเสี่ยง CDO ต่ำกว่าปกติ จากรูปคุณจะเห็นว่า MBS มีการถูก downgrade บ่อยมาก โดยเฉพาะเกรด A ลงมา มีการ downgrade ถึงระหว่างร้อยละ 60-80 (1 category คือ ลดลงหนึ่งอันดับ เช่นจาก A เหลือ A- ส่วน 2 categories คือลดสองอันดับ ส่วน 3+ ก้อ 3 อัพ) เมื่อเทียบกับ Rating ของบริษัทต่างๆ ในปี 2001 ซึ่งเป็นปีที่สหรัฐเกิดวิกฤต DotCom แต่การ downgrade มีน้อยกว่ามากๆ แสดงให้เห็นว่าความรู้ในการจัด Rating MBS ของบริษัทจัดอันดับมีปัญหาแน่ๆ เพราะไม่ได้สะท้อนความเสี่ยงได้ดีเท่าไร ทำให้ต้องปรับเกรดไปมา ขนาดเค้ายังไม่ค่อยจะชัวร์ แล้วเราๆ จะชัวร์ได้ไงกันเนี่ย ^^" นอกจากนี้ คุณจะเห็นว่า ตลาดมอง MBS AAA ต่างกันกับ Corporate AAA เช่นกันครับ โดย MBS ที่ได้เกรด AAA ถูกคิดค่าพรีเมียมด้านเครดิต (Credit Spread) สูงกว่า Corporate มากๆ ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ตลาดก้อไม่เชื่อเหมือนกันว่า AAA ของ MBS มีความเสี่ยงเท่ากับ AAA ของ Corporate ทั้งที่ได้ rating AAA เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงตั้งแต่ Q3 2007 เป็นต้นมา ที่สถาบันการเงินเริ่ม writedown Subprime ยิ่งทำให้ตลาดขาดความเชื่อมั่นมากขึ้นไปอีก สังเกตไหมครับ AAA ของ MBS มี credit spread สูงกว่า BBB ของ Corporate อีก เออ ก้อแปลกดี ^^" ปล.ถ้าใครสนใจเรื่องนี้ ลองหา S&P Magazine ฉบับเดือนนี้มาอ่านนะครับ มี special report เรื่อง "Why was Lehman Brothers Rated A?" เค้าเล่าให้ฟังว่า ทำไมเค้าถึงให้ Rating Lehman Brothers A ก่อนที่ Lehman Brothers จะล้มละลาย ซึ่งมองอย่างกลางๆ ผมว่าเค้าทำได้ดีที่สุดแล้วครับ จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:30:36 ]

ความคิดเห็นที่ 6 Q: ในเมื่อพวก CDO CDS มันเสี่ยงขนาดนี้ ทำไมแบงค์ชอบซื้อกันจัง? A: แบงค์มีแรงจูงใจสูงมากเลยครับที่จะทำธุรกรรมพวกนี้ อย่างแรกคือ มันเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง อย่างที่กล่าวไว้ตอนแรก ช่วงต้น 2000s ดอกเบี้ยในโลกต่ำมาก บวกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ (Emerging Country เช่น จีน อินเดีย) ทำให้สภาพคล่องในโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก สถาบันการเงิน (แบงค์ กองทุน) จึงพยายามมองหาการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งพวกนี้นี่ตอบโจทย์พอดี อีกทั้งตามมาตรฐานการบัญชีของ IAS*  CDS ถือว่าเป็นการประกันภัย เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้อง Mark-to-market** แต่สามารถนำรายได้ที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตมาใส่ในบัญชีปัจจุบันได้เลย เพราะถือว่ารายได้ที่ได้รับนั้นเสร็จสิ้นแล้ว ทำให้บัญชีของธนาคารดูดีมาก เพราะไม่มีความเสี่ยงเรื่องราคาตลาดของ CDS ใส่ไว้ แต่กลับรับรู้รายได้ของ CDS ที่ทำ นอกจากนี้ แบงค์จะรายงานการมีอยู่ของ CDS ก้อต่อเมื่อมันเจ๊งเท่านั้น ทำให้ยากในการประเมินสถานการณ์ว่า Subprime มันจะร้ายแรงไปอีกขนาดไหน เพราะเราไม่รู้ว่ามันมีอยู่ในโลกมากน้อยขนาดไหน เราจะรู้ก้อต่อเมื่อเค้าประกาศตัดหนี้สูญ (write down)  ออกมาเท่านั้น วานซืนเห็นมีคนสงสัยว่า ทำไมเวลาเค้าเจ๊งอะไรกันแบบนี้ เราไม่รู้ล่วงหน้าเหรอครับ ทำไมมารู้ตอนมันเจ๊งไปแล้ว ก้อด้วยเหตุผลนี้ล่ะครับ * International Accounting Standards หรือมาตรฐานทางบัญชีนานาชาติที่ธนาคารในโลกควรปฏิบัติตาม เพื่อให้คนอื่นๆ ทราบว่าคุณลงบัญชีตามเกณฑ์ที่สากลยึดถือเป็นรูปแบบ เค้าจะได้มั่นใจเวลาจะติดต่ออะไรกับแบงค์นั้นๆ   ** การลงบัญชีตามมูลค่าราคาตลาดเช่น ถ้าคุณซื้อหุ้น IEC มาตอน 5 บาท 1 หมื่นหุ้น (เหมือนผม) คุณจะมาลงบัญชีในทรัพย์สินของคุณว่า คุณมีหุ้นมูลค่า 5 หมื่นบาทไม่ได้ เพราะราคาตลาดปัจจุบันอยู่เพียง 0.51 บาท เพราะฉะนั้นคุณต้องลงบัญชีว่า คุณมีหุ้นมูลค่า 5,100 บาท วิธีการแบบนี้เราเรียกว่า Mark-to-Market ครับ จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:30:58 ]

ความคิดเห็นที่ 7 Q: อ๋อ มิน่าล่ะ เราถึงเพิ่งมารู้เรื่องตอนเค้า write down กันแล้ว? A: ถูกต้องครับ ธุรกิจธนาคารเป็นธุรกิจที่แปลกครับ มีคนเปรียบเทียบไว้ว่า (ผมเคยอ่านเจอในสินธรเนี่ยล่ะ แต่จำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนเอามาโพส) "ธุรกิจธนาคารเป็นธุรกิจที่ให้ยืมร่ม แต่พอเวลาฝนตก เค้าจะมาทวงร่มคืน" อย่างที่บอกไว้ข้างต้น เมื่อแบงค์เริ่มมีปัญหากับหนี้เสีย เค้าจะเข้มการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และจะทำให้ NPL เพิ่มสูงขึ้น เมื่อ NPL เพิ่มสูงขึ้น แบงค์ก้อต้องเอาบ้านเหล่านั้นมาขายทอดตลาดมากขึ้น สุดท้ายราคาบ้านก้อจะลดลงไปอีก เมื่อราคาบ้านลดลง แบงค์ก้อจะยิ่งเจ๊งมากขึ้นเรื่อยๆ ก้อยิ่งต้องตัดหนี้สูญและกันสำรองเพิ่มขึ้น ทำให้แบงค์ต้องเข้ม NPL ขึ้นไปอีก NPL ก้อจะยิ่งสูงขึ้น ราคาบ้านก้อยิ่งต่ำลง เป็นวัฏจักร (ฐานเศรษฐกิจ! <-- ถูกแล้ว <-- ตลกไหมครับหรือมุกไม่ฮาพาเพื่อนเครียด ^^" ) สืบไป การตัดหนี้สูญและกันสำรอง ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเห็นว่าผลประกอบการของกองทุนที่ลงทุนใน subprime เริ่มเลวร้าย ความกลัวที่จะสูญเสียเงินไปมากกว่านี้ ทำให้นักลงทุนบางส่วนตื่นตระหนก พากันไปถอนหน่วยลงทุนของตน ส่งผลให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั้งแบงค์และกองทุนต่างประสบปัญหาสภาพคล่อง (Liquidity) ถ้วนหน้า และปลายปี 50กองทุนใหญ่อันดับ 5 ของสหรัฐอย่าง Bear Stearn ก้อเริ่มมีข่าวว่าขาดสภาพคล่องอย่างหนัก (ก่อนที่จะประกาศภาวะล้มลายในที่สุดครับเมื่อต้นปี 51 ครับ) ในเวลาไล่เลี่ยกัน Countrywide Financial Corporation ซึ่งเป็นผู้ให้กู้อสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของสหรัฐก้อเกือบตายเหมือนกัน ทางสถาบันการเงินต่างๆ ต้องลงขันให้กู้ฉุกเฉินกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ (สุดท้ายโดน Bank of America ซื้อไป) ตอนนี้ล่ะครับ ที่ทุกคนเริ่มมองว่า วิกฤตครั้งนี้ไม่ธรรมดาซะแล้ว ไม่จบแค่ในสหรัฐนะครับ ไม่กี่วันต่อมา Northern Rock ของอังกฤษ ผู้ให้กู้อสังหารายใหญ่ของอังกฤษ (และสปอนเซอร์หน้าอกสโมสร Newcastle ^^) ก้อขาดสภาพคล่องจนรัฐบาลอังกฤษต้องมาซื้อกิจการ (อุ้ม) ไว้ ไม่ให้ล้ม (แต่สโมสร Newcastle ยังหาคนมาซื้อไม่ได้ ฮา) ปัญหาสภาพคล่องเนี่ยล่ะครับ คือปัญหาสำคัญสำหรับโลกตอนนี้ จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:31:26 ]

ความคิดเห็นที่ 8 Q: แล้วแบงค์เจอปัญหาแบบนี้แล้ว เค้าแก้ปัญหากันอย่างไร? A: ลองจินตนาการดูว่า ถ้าคุณมีทรัพย์สิน 1 ล้านบาท เป็นบ้าน 5 แสน พันธบัตรรัฐบาล 1 แสน กองทุน 1 แสน หุ้น 2 แสน เงินสด 5 หมื่น ให้เพื่อนยืม 5 หมื่น โดยเพื่อนผ่อนให้คุณเดือนละ 1 หมื่น คุณก้อเอาเงินนั่นล่ะมาใช้จ่าย วันดีคืนดี เพื่อนคุณเกิดเบี้ยวคุณ เงินก้อนนั้นสูญ ในขณะที่คุณยังมีรายจ่ายประจำวันเหมือนดิม ไอ้ครั้นจะยืมคนอื่น เพื่อนๆ คุณทุกคนต่างมีปัญหาเรื่องเงินเหมือนกัน อีกทั้งก้อไม่มั่นใจว่าให้คุณยืมแล้ว เค้าจะได้คืนหรือเปล่า คุณก้อต้องใช้เงินสดห้าหมื่นของเค้าประทังชีวิตไปก่อน พอเงินสด 5 หมื่นของคุณกำลังจะหมดลง (แปลว่าคุณกำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง) คุณจะทำอย่างไรครับ? คุณต้องขายทรัพย์สินคุณออกมาเพื่อใช้จ่ายใช้ไหมครับ (แม้จะหั่นรายจ่ายมากแค่ไหนก้อตาม มันก้อต้องมีอยู่ดีเรา คนเราต้องกินต้องใช้)  และนั่นล่ะครับคือ เหตุผลสำคัญที่สินทรัพย์ต่างๆ ราคาพากันตกลงถ้วนหน้า รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ด้วย :) เมื่อสถาบันการเงินเริ่มตระหนักในความรุนแรงของวิกฤตการณ์ครั้งนี้ เวลาที่มีสถาบันการเงินไหนมาขอกู้ในตลาดเป็นจำนวนมากๆ ก้อเกิดความระแวง และจะคิดไปก่อนเลยว่า สถาบันการเงินนั้นขาดทุน Subprime (ไม่งั้นจะมาขอกู้ทำไมทีละมากๆ ละเนี่ย) และกลัวว่าถ้าสถาบันการเงินนั้นล้มตัวเองจะไม่ได้เงินคืน ก้อเลยไม่กล้าปล่อยกู้ ในเมื่อไม่มีใครให้ยืมเงิน (หรือให้ยืมในอัตราดอกเบี้ยที่สูงมากๆ) กองทุนและธนาคารที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง(จะเป็นผลมาจาก Subprime หรือไม่ก้อตามแต่) ถูกบีบให้ขายทรัพย์สินที่ตัวเองถืออยู่ออกมามากมายเพื่อนำเงินสดมาใช้จ่าย ประกอบกับประชาชนเริ่มไม่มั่นใจในสถาบันการเงิน พากันแห่ไปถอนเงินมาจากธนาคารที่มีปัญหา ยิ่งทำให้ธนาคารนั้นๆ ขาดเงินสด ทำให้ปัญหาสภาพคล่องยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เหมือนที่เคยพูดไว้เสมอๆ ครับ แบงค์นะครับ ต่อให้มันแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ถ้าคนแห่ไปถอนเงินก้อเจ๊งทุกรายครับ เงินเริ่มไหลออกจากประเทศต่างๆ กลับไปสู่สหรัฐและประเทศที่มีปัญหาสภาพคล่อง ค่าเงินดอลลาร์เริ่มแข็งขึ้น (เพราะต้องการเงินดอลลาร์ไปใช้จ่าย) อย่างไรก้อตาม แม้จะขายสินทรัพย์ที่ตัวเองถืออยู่มามากขนาดไหนก้อได้ ก้อยังไม่สามารถทำให้สภาพคล่องของตัวเองดีขึ้นมาได้ เพราะมูลค่าที่ได้รับยังไม่มากพอกับหนี้เสียที่เสียไป นักวิเคราะห์ทั้งหลายถึงมักจะเรียกวิกฤตคราวนี้ว่า Credit Crunch หรือสภาพคล่องตึงตัวครับ จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:31:57 ]

ความคิดเห็นที่ 9 Q: แล้วปัญหาตอนนี้ รัฐแก้กันอย่างไร? A:  แนวทางการแก้ปัญหาของภาครัฐหลักๆ มี 3 ข้อครับ ข้อ 1 อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง โดยเฉพาะให้กับสถาบันการเงินที่มีปัญหา รวมถึงผ่อนปรนกฏเกณฑ์ต่างๆ เพื่อลดปัญหาสภาพคล่อง คุณคงเห็นแล้วว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของวิกฤตครั้งนี้คือ สถาบันการเงินขาดสภาพคล่อง ด้วยเหตุนี้รัฐบาลต่างๆ ผ่านธนาคารกลางของแต่ละประเทศได้พยายามอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบจำนวนมาก แปลเป็นไทยคือ ในเมื่อทุกคนไม่มีเงิน และต้องการเงินแต่ก้อไม่มีใครให้กู้ รัฐเลยเข้ามาให้กู้เสียเอง นึกภาพตามนะครับ นึกถึงหุ้น QH (อิ อิ) และตอนนี้หุ้น QH ไม่มีสภาพคล่องแปลว่า มีวางบิด ออฟเฟอช่องละ พัน สองพันหุ้น ทุกคนอยากได้ qh แต่อมกันแก้มตุ่ย ไม่มีใครขาย ถ้าใครอยากได้สักล้านหุ้นเงี่ย ต้องเคาะขวาหลายช่อง ทำให้ราคาสูงและสวิง ถูกไหมครับ :) ถ้าผมเป็นเจ้ามือหุ้น QH และอยากให้ QH มีสภาพคล่อง ผมจะทำไงครับ? ง่ายๆ เลยก้อเอาหุ้นในมือที่ผมมี ไปวางออฟเฟอขวางไว้เลย ช่องละสิบล้านหุ้น ใครยกมา มีบิดเท่าไร ผมโยนให้หมดเลย (อ้าว ก้อผมเจ้ามือนิ ^^" ) คราวนี้ใครอยากได้ก้อเคาะได้เลย คนที่คิดว่าอยากได้หุ้น QH ในอนาคตก้ออุ่นใจ ไม่ต้องรีบเคาะแข่งกะเค้าตอนนี้ ทำให้ราคา QH นิ่งและไม่มีปัญหาสภาพคล่อง เห็นภาพไหมครับ :) ทีนี้ลองนึกว่า QH คือ เงินสด ราคา QH คือ อัตราดอกเบี้ย ผม(เจ้ามือ)คือธนาคารกลางประเทศต่างๆ นะครับ เนี่ยละครับ คือสิ่งที่เค้าพยายามทำตอนนี้ เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง ;) ข้อ 2 เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันการเงิน ตัวการอีกตัวที่ทำให้ปัญหาสภาพคล่องของธนาคารเลวร้ายลง ก้อคือประชาชนทั่วไปเนี่ยล่ะครับ ที่เริ่มไม่มั่นใจถึงความมั่นคงของธนาคารที่ตัวเองฝากเงินอยู่ พากันไปแห่ถอนเงิน อย่างที่บอก ธนาคารต่อให้มันอยู่ดีดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าคนฝากเงินแห่กันไปถอนเงินเยอะๆ มันก้อเจ๊งอยู่ดีละครับ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลประเทศต่างๆ จึงต้องฟื้นความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงินโดยเร็ว อย่างว่าแต่ประชาชนทั่วไปเลย แบงค์ด้วยกันเองยังไม่ค่อยจะเชื่อมั่นเลยว่า ปล่อยกู้ให้แล้วจะได้คืนไหม หรือจะล้มไปก่อน เพราะฉะนั้นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันการเงินที่มีปัญหาเป็นเรื่องเร่งด่วนครับ ซึ่งมาตรการที่เค้าเร่งดำเนินการตอนนี้แบ่งได้เป็น 3 ข้อใหญ่ๆ คือ 2.1) วิธีที่ง่ายที่สุด ได้ผลที่สุด คือ การรับประกันเงินฝากครับ :) รัฐบาลจะการันตีว่า ต่อให้แบงค์นี้ล้ม รัฐบาลก้อจะจ่ายเงินทดแทนให้เอง คนฝากเงินจะได้สบายใจ ไม่แห่กันไปถอนเงิน ตอนนี้รัฐบาลหลายประเทศมากๆ ที่ประกาศรับประกันเงินฝากของประชาชนครับ :) 2.2) การเพิ่มทุนให้กับธนาคาร (Recapitalization) ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ คือ ถ้าธนาคารไหนไม่มีเงินใช้ (ขาดทุนจาก Subprime หรืออะไรก้อตามแต่) ก้อให้ออกหุ้นเพิ่มทุนมา ถ้าไม่มีใครซื้อ รัฐจะเข้าไปซื้อให้ บางประเทศก้อบังคับให้ธนาคารที่ต้องการให้รัฐเข้าไปอุ้มต้องแปรสภาพกลายเป็นของรัฐ (Nationalization)   พอธนาคารเพิ่มทุนได้ ฐานะทางการเงินก้อจะกลับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง และจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ฝากเงินได้ว่า จะไม่ล้ม ผู้ฝากเงินก้อวางใจ ไม่มาถอนเงิน ;) 2.3) การเข้าไปซื้อสินทรัพย์ที่ขาดสภาพคล่อง (แปลว่าประกาศขายแล้วไม่มีใครเอา นั่นหมายความว่าเป็นหนี้เน่า (Toxic Assets) นั่นเองครับ) เพื่อที่แบงค์จะได้มีเงินเพิ่มขึ้นนำไปปล่อยกู้ได้มากขึ้น ระบบธนาคารจะได้เดินหน้าต่อไปได้ เช่นเดียวกัน พอหนี้เน่าไม่มี (หรือน้อยลง) ผู้ฝากเงินก้ออุ่นใจ ^^ ข้อ 3 ผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและให้สถาบันการเงินเริ่มปล่อยกู้ได้อีกครั้ง ปัญหาในตลาดเงินเริ่มกระทบกับระบบเศรษฐกิจ ทำให้หลายคนคาดว่า เศรษฐกิจโลกในปีหน้าอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย ผมว่าคงไม่มีรัฐบาลไหนต้องการเห็นเศรษฐกิจตนเป็นแบบนั้น ก้อเลยเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลดดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ ด้านหนึ่งก้อเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยอีกแรง ถ้าเศรษฐกิจขยายตัวได้ แบงค์ก้อจะมีรายได้จากการกู้ยืมมากขึ้น ระบบเศรษฐกิจก้อจะเดินหน้าต่อไปได้ นอกจากนี้ อีกด้านหนึ่งก้อจะทำให้ภาระของธนาคารต่างๆ รวมถึงธนาคารกลางที่ต้องให้กู้ยืมลดลงด้วยครับ จำสามข้อนี้ไว้ให้แม่นๆ ครับ แล้วลองอ่านข่าวในชีวิตประจำวันนี้ คุณจะเห็นได้ว่า ไม่ว่ามาตรการอะไรก้อตามที่ออกมาในช่วงนี้ จุดมุ่งหมายก้อคือหนึ่งในสามข้อเนี่ยล่ะครับ :) จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:32:30 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Q: และนั่นคือแนวทางที่รัฐบาลสหรัฐทำมาโดยตลอด? A: ใช่แล้วครับ ผมจะลองลำดับเหตุการณ์ให้ฟังนะครับ ว่ามันรัฐบาลสหรัฐแก้ปัญหาอย่างไรมาแล้วบ้างนะครับ ถ้าคุณจำได้ วิกฤตการณ์ครั้งปัจจุบันเริ่มแดงเมื่อไตรมาสที่ 3 ปี 50 หลังเราได้ข่าวว่าสถาบันการเงินต่างๆ เริ่ม writedown หนี้เสียกัน แม้ตอนนั้นคนทั่วๆ ไป ยังไม่ตื่นตระหนกเท่าไรนัก แต่อย่างน้อยรัฐบาลประเทศต่างๆ เริ่มรู้ตัวแล้ว และพยายามแก้ปัญหาสภาพคล่องด้วยการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบผ่านธนาคารกลางของแต่ละประเทศ Fed เริ่มต้นด้วยการปล่อยเงินกู้ให้กับธนาคารกลางหลักๆ ทั่วโลก จำนวนกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อให้นำไปปล่อยในระบบของประเทศตน จากนั้นก้อตัดสินใจลดดอกเบี้ยฉุกเฉินลง 50 basis points (Fed ลด Discount Rate ซึ่งเป็นอัตราที่ปล่อยกู้ในตลาดเงินก่อนที่จะลด Fed Fund Rate ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครับ) ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายลดลงจาก 5.25 เหลือ 4.75% ก้าวนี้ของ Fed นับว่าแรงมาก เพราะปกติเค้าจะลดดอกเบี้ยกันทีละไม่เกิน 25 bps เพื่อไม่ให้ตลาดผันผวนจนเกินไป แต่ครั้งนั้น ผมมองว่า Fed ต้องการส่งสัญญาณว่าปัญหาคราวนี้ไม่ใช่เล็กๆ และรัฐบาลจะทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งปัญหาครั้งนี้ให้จงได้ การกดอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ ก้อเพื่อที่แบงค์จะได้ไม่ต้องแบกภาระหนี้สินจากการกู้ยืมเงินไปแก้ปัญหาสภาพคล่องมากนัก อีกทั้งยังช่วยบีบให้คนที่มีเงินนำเงินมาใช้จ่ายในระบบมากขึ้น โดยหวังว่าราคาสินทรัพย์จะได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ลดลงมากไปกว่านี้ ที่สำคัญ ถ้าคุณยังจำได้ ตอนนั้นเงินเฟ้อโลกอยู่ในระดับสูงมากอันเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ธนาคารกลางแทบทั้งโลกเร่งกันขึ้นดอกเบี้ยเพื่อจัดการเงินเฟ้อกันใหญ่ มีเพียง Fed เท่านั้น ที่สวนกระแสลดดอกเบี้ย แต่เหตุผลที่ Fed ให้ตอนนั้น ก้อดูสมเหตุสมผล โดยบอกว่า สำหรับสหรัฐปัญหาด้าน growth ยังคงมีน้ำหนักมากกว่าด้าน inflation และคง message นี้เรื่อยมา ผมยอมรับนะครับ ว่าไม่คิดเหมือนกันว่าปัญหาจะร้ายแรงขนาดที่ Fed ทำขนาดนี้แล้วยังไม่ได้ผล ปล. อย่างไรก้อตาม ผมยังคงเห็นด้วยกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง. เมื่อกระทู้ก่อนนะครับ ปัญหา growth บ้านเราไม่ได้รุนแรงเหมือนบ้านเค้าแต่ปัญหา inflation บ้านเราสูงกว่าบ้านเค้ามาก เรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ค่อยว่ากันกระทู้ภาคจบครับ :) จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:32:55 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Q: แปลว่าสิ่งที่ Fed ทำแก้ปัญหาไม่ได้? A: ช่ายครับ เพราะสถาบันการเงินยังคงขาดสภาพคล่อง ไตรมาสที่ 4 ปี 50 Fed จึงตัดสินใจเปิด Term Auction Facility (TAF) กล่าวคือ เปิดหน้าต่างพิเศษให้ธนาคารกู้ยืมเงินได้ 28 วัน โดยนำหลักทรัพย์ชนิด MBS มาเป็นหลักประกัน โดยให้วงเงินไว้จำนวน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ Fed ออก TAF เพื่อช่วยสถาบันการเงินที่ต้องการเงินสด แต่ตัวเองมีแต่ MBS เต็มพอร์ท ก้อให้เอา MBS มาค้ำแล้วเอาเงินสดของ Fed ไป จากนั้น ไตรมาสที่ 1 ปี 51 Fed ได้เพิ่มวงเงิน TAF จาก 6 หมื่นล้านเป็น 1 แสนล้าน (คิดดูแล้วกันว่า หกหมื่นล้านไม่พอ ต้องเพิ่มเป็น 1 แสนล้าน) และพยายามออกมาตรการช่วยเหลือสภาพคล่องของสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่องโดยออกมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น เปิดหน้าต่างให้ Primary Dealer (คนที่ได้รับใบอนุญาตให้ทำธุรกรรมกับธนาคารกลางโดยตรง) มากู้ยืมกับ Fed ได้โดยตรง (Primary Dealer Credit Facility หรือ PDCF) และอนุญาตให้สามารถนำ MBS มาค้ำประกันได้ตามโครงการ Single-Tranche OMO program หรือเอา MBS มาแลกสินทรัพย์ชั้นดีอื่นๆ ตามโครงการ Term Securities Lending Program  (TSLF) อีกทั้งยังเปิด Swap lines กับ Europe Central Bank (ECB) และ Swiss National Bank (SNB) เพื่อปล่อยสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินในยุโรปอีกด้วย (เผื่อในกรณีแบงค์ในยุโรปต้องการดอลลาร์แล้ว ECB และ SNB มีไม่พอให้มาเอาที่ FED) เอ่อ ผมขอข้ามรายละเอียดไปนะครับ แค่อยากจะเขียนถึงเพื่อไม่ให้ตกหล่นเท่านั้น และเผื่อคนที่สนใจเพิ่มเติมจะได้ไปหาอ่านดู เอาเป็นว่าโดยสรุป มาตรการเหล่านี้ก้อเพื่อให้สถาบันการเงินมีช่องทางในการกู้เงินมากขึ้นครับ อย่างไรก้อตาม ในไตรมาสนี้ ก้อมีผู้เสียชีวิต(รายใหญ่)รายแรก นั่นคือ Bear Stearns Fed เห็นว่าการปล่อยให้ Bear Stearns ล้ม อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ไอ้ครั้นจะไปอุ้มตรงๆ ก้ออาจเกิดปัญหา Moral Harzrad (แบบแบงค์อื่นจะเคยตัว พาลคิดไปว่า ถ้าตัวเองเจ๊ง Fed ก้อจะเข้าไปอุ้มอยู่ดี ทำให้ไม่เข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อและไปลงทุนอะไรเสี่ยงๆ) อีกทั้งยังจะโดนประชาชนด่าอีกด้วยว่า เอาเงินภาษีไปอุ้มสถาบันการเงิน สุดท้าย Fed เลยปล่อยเงินกู้พิเศษให้ JP Morgan Chase เพื่อให้เข้าไปซื้อกิจการ Bear Stearns แทนตัวเอง พร้อมๆ กันในไตรมาสนี้ รัฐบาลสหรัฐเริ่มเห็นว่าเศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย จึงเริ่มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อันใหญ่อันแรกก้อคือ Economic Stimulus Act of 2008 ที่มีวงเงิน 152 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมีสาระสำคัญคือ ผู้เสียภาษีจะได้รับเงินคืนภาษีคนละ 300 ดอลลาร์ สรอ. หรือครอบครัวละ 600 ดอลลาร์ สรอ. ครับ จากนั้น Fed เล่นยาแรงอีกหน โดยเรียกประชุมฉุกเฉินในวันที่ 22 ม.ค.51 และประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายจาก 4.25% เหลือ 3.5% ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยลงที่แรงที่สุดในรอบ 25 ปีเลยนะครับ ก่อนที่จะเรียกประชุมฉุกเฉินอีกครั้งในวันที่ 17 มี.ค.51 และลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เหลือ 3.25% แต่ก้อยังไม่ตอบโจทย์ ทุกคนเริ่มกลัวและเริ่มตะหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยน่าจะรออยู่อีกไม่ไกล จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:33:19 ]

ความคิดเห็นที่ 12 Q: ดูแย่จังเลยอ่ะ? A: ใช่ครับ มาตรการที่ออกมาทั้งหมด ยังคงไม่สามารถแก้ปัญหาสภาพคล่องได้ ไตรมาสที่ 2 ปี 51 บริษัทที่ออกพันบัตรรายใหญ่อย่าง AMBAC และ MBIA เริ่มประสบทางการเงิน จนทำให้ถูกลด Credit Rating ส่งผลให้พันธบัตรของ AMBAC และ MBIA ถูกลดเกรดตามไปด้วย และทำให้มูลค่าของมันลดลง นั่นยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก เพราะส่งผลให้มูลค่าสินทรัยพ์ของสถาบันการเงินที่ถือพันธบัตรของ AMBAC และ MBIA ลดลงตามไปด้วย ยิ่งทำให้ปัญหาสภาพคล่องเพิ่มขึ้นอีก จน Fed ต้องขยายวงเงิน TAF เพิ่มเป็น 2 แสนล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการกู้เงินมีสูงมาก สุดท้ายสถานการณ์ทั้งหมดก้อมาระเบิดในไตรมาสที่ 3 ปี 51 เนี่ยละครับ ซึ่งว่ากันว่า เหตุการณ์ในไตรมาสที่ 3 นี้ เปลี่ยนแปลงโลกการเงินทั้งหมด พร้อมๆ กับการล่มสลายของธุรกิจที่เคยได้รับดีที่สุดธุรกิจหนึ่งในโลกธุรกิจอย่าง Investment Banking ด้วยครับ จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:34:09 ]

ความคิดเห็นที่ 13 Q: มันเกิดอะไรขึ้น ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้เหรอ? A: ไคลแมกซ์อยู่ตอนนี้ละครับ เริ่มจากวันที่ 7 ก.ย. ทางการสหรัฐฯ เข้าเทกโอเวอร์รัฐวิสาหกิจที่ปล่อยกู้ด้านอสังหาของตนอย่าง Freddie Mac และ Finnie Mae เนื่องจากทั้งสองบริษัทไม่สามารถจัดการปัญหาหนี้เสีย Subprime ของตนได้ และประสบปัญหาสภาพคล่องขนาดหนัก โดยแผนเทกโอเวอร์ของรัฐบาลครั้งนี้อยู่ในรูปแบบ Conservatorship ซึ่งแปลว่า รัฐจะเข้ามาควบคุม ดูแล บริหารจัดการ ชั่วคราวจนกว่าทั้งสองบริษัทจะแข็งแกร่งเหมือนเดิม นี่เป็นระเบิดลูกสำคัญ ที่ทำให้ตลาดการเงินตื่นตระหนกกันมาก เนื่องจากไม่มีใครคาดคิดว่าก่อนว่ารัฐบาลจะเข้ามาอุ้มแบบนี้ คนในตลาดเริ่มตกใจและกลัว เพราะไม่รู้ว่าปัญหานี้จะร้ายแรงไปอีกขนาดไหน และใครจะล้มเป็นคนต่อไป ไม่ต้องคิดนานครับ เพราะหลังจากนั้นเพียงอีก 1 อาทิตย์ ในวันที่ 14 ก.ย Lehman Brothers วาณิชธนกิจอันดับ 4 ของก้อยื่นขอประกาศล้มละลาย หลังจากไม่สามารถหาคนมาเพิ่มทุนได้ทัน (ก่อนหน้านั้นสองสามวันมีข่าวว่า Barclay Capital และธนาคารแห่งหนึ่งของเกาหลีใต้พยายามจะขอซื้อ แต่ดีลตกลงกันไม่ได้) การล้มของ Lehman นับเป็นการประกาศล้มละลายที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกเลยนะครับ ถัดมาอีกวันเดียว ก้อเป็นคิวของ Merrill Lynch วาณิชธนกิจอันดับ 3 ครับ ที่เกือบโดนชะตากรรมเดียวกันกับ Lehman Brothers แต่โชคดีที่ได้ Bank of America มาซื้อไปก่อนที่จะล้มละลาย วันรุ่งขึ้นก้อเป็น AIG ครับ ที่ทางการสหรัฐต้องเข้ามาอุ้มด้วยเงินจำนวนมหาศาลกว่า 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อไม่ให้บริษัทประกันที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯต้องล้มละลาย และทำให้ผู้ถือกรมธรรณ์ที่เป็นประชาชนตาดำๆ ชาวสหรัฐต้องสูญเงินก้อนนี้ไปด้วย 20 ก.ย. รัฐบาลสหรัฐเสนอแผนกู้วิกฤตมูลค่า 7 แสนล้านเหรียญดอลลาร์แก่สภา นับเป็นแผนการกู้วิกฤตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียวครับ (อย่างที่ทุกท่านทราบกันดี แม้จะถูกตีกลับในวันที่ 29 ก.ย. แต่สุดท้ายก้อผ่าน(แบบมีข้อแม้เล็กๆ)ในที่สุด) 21 ก.ย. Goldman Sachs และ Morgan Stanley วาณิชธนกิจอันดับ 1 และ 2 ของสหรัฐก้อยอมยกธงขาว ขอยื่นใบอนุญาตเปลี่ยนรูปแบบกิจการจากวาณิชธนกิจเป็นธนาคาร เพื่อที่จะได้สิทธิ์ขอรับการช่วยเหลือจาก Fed นั่นเป็นการปิดฉากธุรกิจวาณิชธนกิจอย่างสมบูรณ์แบบ ชนิดที่ว่า ถ้าห้าปีก่อนมีคนบอกว่าธุรกิจ Investment Banking จะล่มสลาย คงมีแค่คนบ้าและคนเมาเท่านั้นล่ะที่เชื่อ ;) (พอๆ กับมีคนบอกว่า Live จะวิ่งจาก 1 บาท ไป 50 บาท (คิดพาร์เดิม) ภายใน 1 ปีอ่ะล่ะ ฮา) หลังจากนั้น 3 วัน ธนาคาร Washington Mutual ซึ่งเป็นธนาคารที่มีเงินฝากและเงินกู้มากที่สุดของสหรัฐ ก้อถูกรัฐบาลเข้าเทกโอเวอร์เช่นกัน โดยมี JP Morgan Chase เข้าไปซื้อหุ้นบางส่วน ไม่เฉพาะแต่เพียงในสหรัฐเท่านั้นนะครับ ปัญหาแบงค์ล้มลามไปถึงยุโรปด้วยเช่นกัน แบงค์ใหญ่ๆ ถ้ารัฐไม่เข้ามาซื้อ ก้อต้องให้คนอื่นๆ มาช่วยซื้อทั้งสิ้น ทั้ง HBOS ของอังกฤษถูกคู่แข่งชาติเดียวกันอย่าง Lloyds TSB ซื้อไป หรือ Bradford & Bingley ถูกรัฐบาลอังกฤษเข้าซื้อกิจการ รวมถึงกรณี Fortis Bank ของเบลเยี่ยมถูกรัฐบาลเบลเยี่ยมร่วมกับรัฐบาลเนเธอร์แลนด์และลักแซมเบิร์กเข้ายึดกิจการเช่นกัน นี่ยกมาเฉพาะที่ดังๆ นะครับ ไอ้ที่ไม่ดังมีอีกเพียบ แต่ผมหมดแรงเล่าแล้วอ่ะ ^^" จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:34:43 ]

ความคิดเห็นที่ 14 Q: ฟังจนเหนื่อยเลย ล้มกันระเนระนาด? A: ใช่ครับ วาณิชธนกิจสูญพันธุ์ ธนาคารและบริษัทประกันระดับใหญ่ที่สุดล้ม เห็นภาพไหมครับ ว่าทำไมเราถึงบอกว่า นี่เป็นวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ เพราะไม่เคยมีวิกฤตครั้งไหนที่สถาบันการเงินจะเสียหายและล้มละลายมากถึงขนาดนี้มาก่อน อย่างไรก้อตาม ผมเชื่อว่าระเบิดลูกสุดท้ายซึ่งเป็นลูกที่ใหญ่ที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว เพราะรายใหญ่ๆ ในโลกการเงินสหรัฐแบไต๋มาแทบจะทุกราย และตายกันจะเกือบหมดแล้วครับ จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:35:15 ]

ความคิดเห็นที่ 15 นั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมาครับ แต่ผลกระทบของระเบิดลูกนี้ต่อระบบเศรษฐกิจล่ะจะเป็นอย่างไร? วิกฤตการณ์ในตลาดเงินจะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงไหม? และมันจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยรวมถึงเราๆ ท่านๆ อย่างไร? ติดตามต่อกระทู้สุดท้ายที่เป็นภาคจบนะครับ ซึ่งขอล้อฟรีนิดหนึ่งนะครับ ^^" คาดว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ผมจะเจองานพิเศษซึ่งไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไรด้วย เพราะฉะนั้นกระทู้สุดท้ายนี่ ผมรับปากไม่ได้เลยว่าจะเสร็จเมื่อไร T-T อยากเขียนครับ จะพยายามเข็นออกมาให้ได้ แต่ไม่ต้องรอนะครับ ขออภัยสุดๆ เลยครับ _/l\_ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านครับ (ถ้ามีโอกาส) พบกันใหญ่กระทู้หน้าครับ สวัสดีครับ :) จากคุณ : m_ple - [ 31 ต.ค. 51 00:36:02 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอขคุณมากครับ อ่านจนจบเลย อิอิ Recession is here.... จากคุณ : Mr.Messenger - [ 31 ต.ค. 51 00:54:32 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบพระคุณมากๆ ครับ เรียบเรียงได้ เยี่ยม จากคุณ : boy2000 - [ 31 ต.ค. 51 00:58:23 ]

ความคิดเห็นที่ 18 กระทู้ดี มีประโยชน์ ยกนิ้วให้ เนื่องจาก แต้มหมด แฮ่ๆๆๆๆ จากคุณ : มนนจ - [ 31 ต.ค. 51 01:03:39 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตั้งใจดีจังค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : ออลูตง (NANG20) - [ 31 ต.ค. 51 01:07:59 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณที่แบ่งปันครับ จากคุณ : มิสเตอร์กั๊ม - [ 31 ต.ค. 51 01:32:58 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เป็นบทความที่ให้ทั้งความรู้ (knowledgible) และบูรณาการมาก (comprehensive) สะท้อนความเป็นผู้รู้ของผู้นิพนธ์อย่างดียิ่ง   ที่ชอบคือมีการยกกรณี (case) ภาพฉาย (scenario) และการตั้งคำถามเชิงปรากฎการณ์ (phenomenon) เพื่อถกแถลง (discussion) และข้อสรุป (conclusion) จากคุณ : ซำแก้ว (ซำแก้ว) - [ 31 ต.ค. 51 07:29:11 ]

ความคิดเห็นที่ 22 สุดยอด ^_^ จากคุณ : apiwatt - [ 31 ต.ค. 51 07:36:43 ]

ความคิดเห็นที่ 23 สงสัยครับ ว่าเสปอร์ลุกขึ้นมาจากหลุมอย่างนี้ บรรดาแฟนๆของ น่อล จะทำใจยังไง เอ่อ..สงสัยจะสงสัยผิดห้องซะแล้ว ยังไงก็ขอบคุณในข้อมูลครับ จากคุณ : rnakym - [ 31 ต.ค. 51 07:38:07 ]

ความคิดเห็นที่ 24 สุดยอด ขอบคุณครับ จากคุณ : s_reewong - [ 31 ต.ค. 51 08:17:33 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เดือนนี้ give หมด เดี๋ยวพรุ่งนี้ ขึ้นเดือนใหม่ จะแวะมาแจกนะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : รูปเงาะเดินสบาย - [ 31 ต.ค. 51 09:29:48 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เข้ามาโหวตให้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ  ^__^ จากคุณ : picmie - [ 31 ต.ค. 51 09:36:35 ]

ความคิดเห็นที่ 27 สุดยอด สาธุ จากคุณ : Hernia - [ 31 ต.ค. 51 10:11:21 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณครับ จากคุณ : CanFly (jackz08) - [ 31 ต.ค. 51 10:22:56 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณมากครับ  ได้ความรู้เพียบเลย รออ่านกระทู้ภาคจบอยู่นะครับ  ขอขอบคุณอีกทีครับ จากคุณ : MAD MAN_TO - [ 31 ต.ค. 51 11:16:07 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ตามมาอ่านต่อค่ะ จากคุณ : ต้องให้เปลี่ยนสักกี่ที - [ 31 ต.ค. 51 13:37:18 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ตามมาด้วยคน ขอบคุณคับ จากคุณ : No Regret - [ 31 ต.ค. 51 16:22:15 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ยอดเยี่ยมเช่นเคยครับ   ลำดับเหตุการณ์และความเป็นมาเป็นไป และมีข้อมูลประกอบเพิ่มความน่าเชื่อถือ ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ของคุณ M_Ple นับว่าขั้นเซียนจริงๆเพราะเรื่องวิกฤตการเงินครั้งนี้เกิดจาก Financial Engineer ที่คิดเครื่องมือที่ซับซ้อนและเข้าใจได้ยาก แต่คุณ M_Ple ก็ถ่ายทอดออกมาได้แบบ คนไม่ต้องเรียน Finance ก็พอ Get Idea ได้ นักเก็งกำไร และนักลงทุนทั้งหลายจะไ้ด้เอาไปเป็นแนวทางในการตัดสินใจซะมั่ง (อยากให้แมงเม่าทั้งหลายได้มีวิวัฒนาการบ้าง ตลาดทุนของไทยจะได้มั่นคงหน่อย ไม่ใช่มีแต่...........(เซ็นเซอร์ตัวเอง )) คราวนี้ได้ความรู้อีกเพียบ และไม่รู้จะถามอะไรเลย จะรอตอนต่อไปครับ (ติด Give ไว้ก่อนเช่นกันครับ) จากคุณ : Endless_ Luck - [ 31 ต.ค. 51 21:29:27 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อ่านแล้ว ได้ข้อมูลเพียบเลยครับ ขอบคุณมากนะครับ ... จากคุณ : ... กระซิบรัก จากความทรงจำ ... - [ 31 ต.ค. 51 22:48:58 ]

ความคิดเห็นที่ 34 สุดยอดครับ ไม่นึกว่าจะหาคนมาอธิบายได้ดีขนาดนี้ ไอสไตล์ บอกว่า " คนที่เชี่ยวชาญจริงๆเท่านั้น ที่จะสามารถอธิบายอะไรที่ยาก ๆ ให้คนธรรมดาเข้าใจได้ " เสียดาย give หมดแล้ว ไว้มีเมื่อไหร่จะนำมาถวายนะครับ จากคุณ : kennyG - [ 1 พ.ย. 51 00:22:21 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอให้ผลบุญครั้งนี้เกิดแก่ท่าน แล้วครอบครัว จากคุณ : Horizon (itevolution) - [ 1 พ.ย. 51 13:48:35 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เข้ามาดู....   สุดยอดนักวิเคราะห์จริง ๆ เลยครับ ขอยกนิ้วให้ จากคุณ : Sirtraderlot - [ 1 พ.ย. 51 20:20:53 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อธิบายได้ยอดเยี่ยมครับ เดี๋ยวผมรอภาคต่อไป จากคุณ : BEETONG - [ 2 พ.ย. 51 11:32:43 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณข้อมูลมากๆเช่นกันครับ ตัวผมเองทำงานอยู่ออสเตรเลีย จะส่งเงินกลับไปใช้หนี้สินที่เมืองไทย ก็เจอปัญหาเรื่องค่าเงินเหมือนกัน เพราะอัตราแลกเปลี่ยน AUD-THB ตกเหลือเกิน จะพยายามถือรอวันที่อัตราแลกเปลี่ยนกลับขึ้นมาครับ จากคุณ : Success-Seeker - [ 2 พ.ย. 51 12:13:47 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เขียนได้น่าอ่าน น่าติดตาม และมีสาระครบเครื่องจริงๆ ค่ะ ตอนแรกไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับวิกฤตการนี้เท่าไหร่ ขอบคุณที่สละเวลามาช่วยอธิบายให้ฟังนะคะ จากคุณ : honeytina - [ 3 พ.ย. 51 13:46:15 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เอาไป 3 give.. จากคุณ : DarkEnemy - [ 3 พ.ย. 51 20:31:44 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เป็นงานเขียน และเรียบเรียง ที่สุดยอดครับ ไม่ตกประเด็นสำคัญ อ่านเข้าใจง่าย คาดว่าคงทำการบ้านมาหนักเลยน่ะครับ ขอบคุณสำหรับน้ำใจน่ะครับ แปะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : kmir - [ 4 พ.ย. 51 00:26:35 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เยี่ยมครับ ขอบคุณสำหรับความตั้งใจเขียน ขอให้คนเขียนเจริญก้าวหน้าเพราะทำวิทยาทานนะครับ จากคุณ : p173174 - [ 4 พ.ย. 51 03:15:33 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณมากค่ะ ได้ความรู้ดีจัง ^^ จากคุณ : นู๋กุ๊ก... - [ 4 พ.ย. 51 16:22:32 ]

ความคิดเห็นที่ 44 โอ้โห  นี่มันเหมือนปาหินลงน้ำเลยนะครับ โดนกันถ้วนหน้า  ทุกอย่างมันเริ่มจากความโลภของคนเราจริงๆ จากคุณ : Desolation Angel - [ 5 พ.ย. 51 13:59:32 ]

ความคิดเห็นที่ 45 มารอตอนต่อไป อย่างตั้งใจ .... จากคุณ : ยูนิคอร์น - [ 5 พ.ย. 51 19:23:48 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆที่เรียบเรียงมาได้อย่างน่าอ่าน พร้อมข้อมูลที่ชัดเจนครับ จากคุณ : หนุ่มจีน (panaweea) - [ 5 พ.ย. 51 22:06:25 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ยอดเยี่ยมครับ ขอให้เจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จครับ จากคุณ : BenZCoM - [ 5 พ.ย. 51 22:48:24 ]

ความคิดเห็นที่ 48 มีคำถามครับว่า รัฐบาลอเมริกาเจ๊งได้มั้ยครับ เพราะลงเงินมาอุ้มกันสุดตัวแบบนี้ ถ้าเกิดสถานการณ์มันยังไม่ดีขึ้น คนอุ้มก็อาจจะทรุดได้เหมือนกัน จากคุณ : s7014249 - [ 6 พ.ย. 51 10:04:47 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : sigsign - [ 6 พ.ย. 51 11:11:10 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ตามอ่านต่อนะค่ะ จากคุณ : ตาลบูด (GaljaZZZ) - [ 6 พ.ย. 51 16:09:30 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน แต่ถ้ากู้โดยไม่คิด ระวังมิตรจะมายึดบ้าน จากคุณ : beer2nd - [ 6 พ.ย. 51 17:50:44 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เอาไปอีก 3 แต้มค่ะ จากคุณ : Let's go to the beach - [ 7 พ.ย. 51 12:01:38 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เอาไป 1 โหวตครับ V13 m_ple ^^ จากคุณ : Kamui Shirou (Kamui Shirou) - [ 7 พ.ย. 51 16:16:52 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ยังไงขอภาคจบไว ๆ นะคะ(ขอร้องนะคะ) แบบว่ากำลังสนุกเลยค่ะ จากคุณ : Let's go to the beach - [ 7 พ.ย. 51 16:24:48 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ข้อมูลแน่นปึ้ก ขอบคุณมาก ๆ ครับ จากคุณ : LovelyPanda - [ 8 พ.ย. 51 17:43:36 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เทพ จากคุณ : xSharez - [ 10 พ.ย. 51 12:42:47 ]

ความคิดเห็นที่ 57 สุดๆครับ  มึนๆบ้างเพราะไม่เคยรู้เรื่องประเภทนี้เลย ผมสงสัยว่า AIG ไปเกี่ยวกับ sub prime loan ได้อย่างไร ว่าไปแล้วการซื้อขายหนี้  เหมือนเอาเงินไปสุมๆๆๆๆๆๆๆ ไว้จุดเดียวโดยคาดว่ามันจะได้กลับมา  แล้วก็ไม่มีเงินในระบบ เงินก็เฟ้อ คนกู้ไม่มีความสามารถชำระ  สุดท้ายฟองสบู่ก็แตก ไม่เหลืออะไรเลย Fed เอาเงินให้กู้ไม่ผิดหลักที่ว่าธนาคารชาติต้องทำความเสี่ยงของเงินในธนาคารชาติให้เป็นศูนย์เหรอครับ จากคุณ : คนโง่ว์ - [ 10 พ.ย. 51 19:13:53 ]

ความคิดเห็นที่ 58 .. เยี่ยมโคด จากคุณ : k.o.p - [ 10 พ.ย. 51 23:55:30 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ตามมาอ่านครับ ถึงจะงงๆ แต่ก็ขอบคุณครับ ^_^ จากคุณ : I Believe inTrue LoVe - [ 11 พ.ย. 51 16:07:24 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เข้าใจขึ้นเยอะเลย ขอบคุณมากครับผม จากคุณ : นักลงพุง - [ 11 พ.ย. 51 18:49:15 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เฝ้ารอด้วยใจระทึก ... จากคุณ : ยูนิคอร์น - [ วันลอยกระทง 07:53:19 ]

ความคิดเห็นที่ 62 สุดยอด ยุ่งๆอยู่ยังต้องอ่านเลย จะไม่คอย แต่จะติดตามด้วยความระทึกในดวงหทัยพลันครับ...ฮิ้ว จากคุณ : kiox - [ 13 พ.ย. 51 22:03:25 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ยอดเยี่ยมมากๆ ได้ความรู้เยอะเลยครับ.. จะรออ่าน ภาคต่อๆไปครับ ขอบคุณมากครับ.. จากคุณ : plaloma63 - [ 14 พ.ย. 51 02:09:30 ]

ความคิดเห็นที่ 64 อ่านเพลิน เข้าใจง่าย ขอบคุณสำหรับความรู้ที่ให้ค่ะ จากคุณ : piggy woman - [ 15 พ.ย. 51 19:27:32 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ขอบคุณมากๆ ครับ ^_^ จากคุณ : KENG76 - [ 17 พ.ย. 51 21:28:46 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เยี่ยมยอด วิทยาทานชั้นยอด จากคุณ : ONT TITANIUM - [ 19 พ.ย. 51 21:34:50 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : ก้อนหินขยับ - [ 20 พ.ย. 51 01:05:11 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ยอดเยี่ยมจริงๆ....ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Jeranimo - [ 20 พ.ย. 51 15:55:06 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เข้ามาอ่านอีกรอบ เซียนจริงๆ จากคุณ : lockroom - [ 20 พ.ย. 51 20:34:21 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ขอบคุณมากๆๆเลยค่ะ อ่านแล้วพอจะเข้าใจสถานการณ์นี้ได้มากขึ้นเลย แต่ก็สงสัยเหมือน #48 เช่นกันค่ะ มาตอบไวไวน้า ^^ จากคุณ : ก้านหญ้า * - [ 24 พ.ย. 51 01:50:31 ]

ความคิดเห็นที่ 71 เทพจริงๆ จากคุณ : สาวใช้ในเมืองใหญ่ - [ 25 พ.ย. 51 00:02:17 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 26 พ.ย. 51 00:12:18 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ขอบพระคุณมากเลยค่ะ เอาเรื่องนี้ไปทำรายงานส่งอาจารย์ค่ะ จะรอ ภาคต่อไปนะค่ะ จากคุณ : กวางจัง (kwangjang) - [ 26 พ.ย. 51 20:06:44 ]