CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGang


    ขอโหวต / ความคิดเห็นจากชาวสินธรหน่อยครับ

      ตลาดหุ้นบ้านเราจะเลวร้ายซึมยาวไปอีกไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี (7 คน)
      ตลาดหุ้นจะขึ้น/ลงตามตลาดอื่นๆในเอเซียเป็นหลัก (8 คน)
      ตลาดหุ้นจะขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อหมดแรงขายจากต่างชาติ (10 คน)
      หุ้นในตลาดจะขึ้น / ลงแตกต่างกันมากทั้งที่ดัชนีอาจลบหรือบวกไม่มาก (2 คน)
      ตลาดหุ้นจะกลับมาดีมากๆในอีกไม่กี่เดือน แต่ปีหน้าจะซบเซาติดต่อกันหลายปี (3 คน)
      ตลาดหุ้นจะค่อยๆร่วงลงถึงระดับ 350 จุด ทว่าหลังจากกลางปีหน้าจะค่อยฟื้นตัว (13 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 43 คน

     16.28%
     18.60%
     23.26%
     4.65%
     6.98%
     30.23%


    ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนนะครับว่าไม่ได้มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจอันใด

    แต่ผมอยากได้ทัศนะ + ความคิดเห็นจากชาวสินธรว่าผลกระทบจาก Hamburger Crisis นี่สุดท้ายน่าจะส่งผลอย่างไรต่อตลาดหุ้นบ้านเรา

    ท่านๆเลือกข้อไหน
    ( จะเซฟกระทู้เป็นส่วนตัวไว้ดูผลที่เกิดขึ้นจริงครับ  สินธรอินดิเคเตอร์จะตรงข้ามเหมือนเดิมเป่า 555 )

    เฉพาะเจาะจงนิดนึงก็ได้ครับว่าประมาณช่วง 1-3 ปีนับจากนี้

    ใครมีความเห็นอื่นๆเพิ่มเติมจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่งครับ

    ท่านที่ไม่ค่อยอยากออกความคิดเห็นขอโหวตเฉยๆก็ได้ครับ

    Give ผมเหลือ 17 จะแจกให้คนที่มีทัศนะทุกท่านเลย
    ( ถ้าหมดก่อนก็ขออภัยด้วยเด้อ )





    *** คำอธิบายเพิ่มเติม ***


    1. ตลาดหุ้นบ้านเราจะเลวร้ายซึมยาวไปอีกไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี

    - เนื่องจากเงินทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นหายไปนับแสนๆล้านบาท
    เงินก้อนนี้ไม่น่าจะกลับเข้ามาได้อีกในเร็ววันนัก

    ยอดซื้อสุทธิของต่างชาติที่มีบ้างในแต่ละวัน
    ล้วนเป็นการเก็งกำไรระยะสั้นตามกระแสตลาดที่ดีดตัวขึ้นทั่วภูมิภาค

    ซึ่งรวมๆแล้วทำให้ต่างชาติขายหุ้นต่อเนื่องไปได้ราคาที่ดีขึ้นและยังหาจังหวะทำกำไรจากการรีบาวน์ได้ด้วย


    2. ตลาดหุ้นจะขึ้น/ลงตามตลาดอื่นๆในเอเซียเป็นหลัก

    - ตลาดหุ้นในเอเซียมีลักษณะคล้ายคลึงกันหลายประการ
    เกือบทุกประเทศพึ่งพาการส่งออกสินค้าไปยังอเมริกา / ยุโรป อย่างมาก

    การแก้ไขเศรษฐกิจภายในของอเมริกาเองจึงเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลก
    และจะเป็นเช่นนี้ไปอีกยาวนานตราบที่โลกยังพึ่งพาระบบทุนนิยมเป็นหลัก

    การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยของ Fed / ราคาน้ำมัน / ค่าเงินดอลล่าร์ ล้วนมีผลทำให้นักลงทุนทั่วโลกคาดเดาถึงวิกฤตของอเมริกาและตัดสินใจซื้อ / ขายหุ้น

    ราคาหุ้นจะยังแกว่งตัวอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นโอกาสของกองทุนใหญ่ๆที่จะทำกำไรกลับคืนได้จากกองทุนเล็กๆ / รายย่อยผ่านตลาดหุ้น

    และประเทศเราก็ยังคงตกอยู่ในวังวนนี้


    3. ตลาดหุ้นจะขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อหมดแรงขายจากต่างชาติ

    - ราคาหุ้นปัจจุบันมิได้สะท้อนความเป็นจริง
    ระดับราคาที่ตกต่ำลงอย่างมากล้วนเกิดจากแรงขายของกองทุนต่างชาติ

    เมื่อหมดแรงขายหรือหยุดขายแล้ว  หุ้นจะค่อยปรับตัวขึ้นไปในจุดที่เหมาะสมกว่านี้
    ( คาดว่าแรงขายยังมีได้อีกราวไม่เกินแสนล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกสองแสนล้านคงไม่ได้ขายออกไป )


    4. หุ้นในตลาดจะขึ้น / ลงแตกต่างกันมากทั้งที่ดัชนีอาจลบหรือบวกไม่มาก

    - เม็ดเงินใหม่ๆไม่มีเข้ามาเติมในตลาดหุ้นเพียงพอกับการไหลออกไป
    เมื่อเกิดภาวะขาดแคลนเม็ดเงินในตลาดหลักทรัพย์
    เงินที่เหลืออยู่จะไหลเข้าสู่หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี / มีปันผล

    หุ้นที่ปันผลน้อยหรือผลประกอบการไม่ดีต่อเนื่องมาหลายๆปีจะมีระดับราคาที่ต่ำมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้อีก

    ส่วนหุ้นที่ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 และ 4 ปีนี้ได้รับผลกระทบน้อยจะปรับตัวขึ้นสวนสภาวะตลาดซบเซา

    ดัชนี้อาจบวกลบไม่มากแต่ระดับราคาหุ้นขึ้นลงแตกต่างกันมากขึ้น
    เปรียบเสมือนน้ำในโอ่งที่กระเพื่อมรุนแรงแต่ไม่ได้กระฉอกออกมา ( ไม่เกี่ยวกับโอ่งหมุนนะครับ -_-' )

    ปลาที่อยู่ในโอ่งหากปรับตัวไม่ได้เมาตายหอง


    5. ตลาดหุ้นจะกลับมาดีมากๆถึงปลายปี แต่ปีหน้าจะซบเซาติดต่อกันหลายปี

    - สัญญานรีบาวน์จากทั่วโลกจะเกื้อหนุนกันและกันจนเกิดเป็นกระแสฟื้นตัวของหุ้นในช่วง 1-2 เดือนนี้

    แต่เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนขึ้นว่าเม็ดเงิน / ความมั่งคั่งของโลกหดหายไป

    ผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกตกต่ำลงอย่างแท้จริง

    ราคาหุ้นจะเริ่มกลับเข้าสู่ความเป็นจริงอย่างช้าๆ ( ไม่รวดเร็วรุนแรงเหมือนที่ผ่านมา )

    แนวโน้มคือ"ลง"ครับ


    6. ตลาดหุ้นจะค่อยๆร่วงลงถึงระดับ 350 จุด  ทว่าหลังจากกลางปีหน้าจะค่อยฟื้นตัวอย่างแท้จริง

    - แรงขายของกองทุนเฮดฟันด์เพื่อสภาพคล่องในช่วงแรกจะกดดันไม่ให้ตลาดหุ้นทั่วโลกไปได้ไกลนัก

    แต่เมื่อแรงขายหยุดหรือน้อยลงเราจะพบว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมไม่ได้เลวร้ายมากดังที่คาดการณ์

    ความมั่งคั่งของอเมริกาและสถาบันการเงินใหญ่ๆทั่วโลกที่เข้าไปลงทุนในบริษัทวานิชธนกิจของอเมริกานั้นเสียหายนับล้านล้านแน่นอน

    แต่เงินจำนวนนี้ล้วนไม่ได้อยู่ในมือชนชั้นกลางหรือคนจนซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของโลกแต่อย่างใด

    ยังคงมีการใช้เงินซื้อพาหนะ / จับจ่ายใช้สอย / การท่องเที่ยว ไม่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก
    ( ให้สังเกตยอดขายรถยนต์ในไตรมาส 3 และ 4 ประกอบด้วยครับ )

    ฟองสบู่ที่แตกนั้นแตกอยู่ในระดับสูง

    สิ่งที่อยู่ใต้ผิวน้ำไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงแต่อย่างใด

    แน่นอนว่าพวกที่อยู่บนฟองแต่เดิมย่อมพยายามรักษาเม็ดเงินทุกบาททุกสตางค์เอาไว้สุดฤทธิ์

    ไม่ว่าจะบีบให้โรงงานในเครือ / ที่เป็นลูกหนี้ต้องลดคนงาน / ลดกำลังผลิต / ลดทุน / ลดค่าใช้จ่าย

    แต่วิธีที่จะได้กำไรกลับขึ้นมาได้ท้ายสุดก็ต้องแข่งขันอยู่ดีครับ

    ใครลดสมรรถนะในการแข่งขันของตัวเองก็คือตายอย่างเดียว
    เราเจอวิกฤตต้มยำกุ้งมาก่อนนะครับจะรู้ว่าใครสร้างความพร้อมของตัวเองให้แข็งแกร่งได้ก่อนในช่วงวิกฤตนั่นคือหัวใจของความสำเร็จเลย

    บริษัทพวกนี้ล้วนกลับมาแข็งแกร่งขึ้น / ใหญ่ขึ้น และรับมือกับความเสี่ยงได้มากขึ้นครับ



    เอาล่ะครับผมนั่งพิมพ์ + ทำภาพประกอบมาเกือบ 2 ชั่วโมง 555

    ขอถามเพื่อนสมาชิกหน่อยเดียวแหละครับว่าน่าจะเป็นข้อไหน

    ถ้าไม่ใช่เลยน่าจะเป็นโมเดลอื่นขอความเห็นด้วยคร้าบบบ

    ขอบคุณทุกท่านล่วงหน้ามากๆครับขอให้พอร์ทเขียวๆกันทุกคนเลยเด้อ

    จากคุณ : ตอสระอือ - [ 31 ต.ค. 51 00:40:36 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com