|
พลิกตำราหาจุดต่ำสุดของหุ้น
ก๊อปเค้ามาอีกทีนะครับ เอามาฝากเพราะเห็นว่า คงจะอยู่ในความสงสัยของทุกๆ คน
ขอให้โชคดีทุกคนครับ
พลิกคัมภีร์ หาจุด "ต่ำสุด"
> > จะรู้ได้อย่างไรว่า "จุดต่ำสุด" หรือ "Bottom" ของดัชนีหุ้นไทยอยู่ตรงไหน เพื่อหาโอกาสจับจังหวะลงทุน ยังเป็นคำถามคาใจ..
> > กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ :
> > แม้ความจริงไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า
> > ระดับต่ำสุดของดัชนีอยู่ตรงไหนกันแน่
> > แต่เราสามารถใช้วิธีการประเมินเหตุการณ์ หรือพิจารณาจาก "เงื่อนไข" (Event)ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะทำให้เห็น จุดต่ำสุดได้ไม่ยาก
> > มีการประเมินกันว่า "ไครซิส" หรือ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์รอบนี้ "ร้ายแรง"
> > และกินลึก กว่าที่เคยเกิดมา เนื่องจากเป็นการผสมผสานเอาวิกฤติที่เคยเกิดมาก่อนหน้าถึง 4 เหตุการณ์
> > ทั้งวิกฤติสหรัฐปี 1930 ,ต้มยำกุ้งของไทย, วิกฤติเศรษฐกิจญี่ปุ่น และภาวะเงินฝืด มาอยู่รวมกัน
> > ขณะที่สถานการณ์ต่างๆ ในสหรัฐและยุโรป กำลังรอวัน "ปะทุ" ขึ้นมา
> > โดยเฉพาะ สัญญารับประกันเงินกู้(Credit Default Swaps) หรือ "อนุพันธ์ CDS"
> > จะนำความวิบัติมาให้สถาบันการเงินอีกครั้ง ซึ่งมี
> > การประเมินว่า คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 54.6 ล้านล้านเหรียญ
> > ใกล้เคียงกับตัวเลขจีดีพีของโลกที่ 54.3 ล้านล้านเหรียญ ทีเดียว
> > หากอนุพันธ์ CDS เกิดความเสียหายทั้งหมด ก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
> > รวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลก อีกครั้ง อย่างแน่นอน
> > เช่นเดียวกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งยังคงปกคลุมด้วยความ "เสี่ยงสูง"
> > จากวิกฤติสหรัฐ รวมถึงการเมืองในประเทศ ที่รอวันระเบิดรอบใหม่
> > ฉะนั้น เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยรู้เท่าทันสถานการณ์และสู้กับนักลงทุนต่างชาติให้ได้
> > จึงต้องสามารถประเมินเหตุการณ์และพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้
> > ก็จะทำให้เราสามารถสแกนหา "จุดต่ำสุด" ของดัชนีหุ้นไทย และหาโอกาสในการเข้าลงทุน
> > วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ทิสโก้ บอกว่า
> > ก่อนที่จะรู้ว่า เมื่อใดที่ดัชนี หุ้นจะถึงจุดต่ำสุด ตลาดหุ้นไทยจะถูกทดสอบและผ่านสถานการณ์เลวร้ายต่างๆ
> > ที่จะเข้ามากระแทกตลาดหุ้นอย่างน้อย 4 ข่าวร้ายใหญ่จากต่างประเทศไปเสียก่อน..
> > ข่าวแรก..ประเมินกันว่า จะต้องมี "กองทุนเฮดจ์ฟันด์" ได้รับความเสียหายจนกระทั่งถึงขั้น"ล้มละลาย"
> > หลังจากที่ได้เห็นธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐ ได้ล้มไปบ้างแล้ว
> > ขณะที่ช่วงนี้มีการพุ่งเป้าไปยังกองทุน
> > "CITADEL" ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่
> > ที่มีผู้ถือหน่วยขอไถ่ถอนหน่วยลงทุนคืนกันจำนวนมาก
> > "เรามองว่า ในช่วงไตรมาส 4 และไตรมาส 1/52
> > จะมีกองทุนเฮดจ์ฟันด์ล้มละลายอีก
> > เนื่องจากตอนนี้ มีเฮดจ์ฟันด์ขอร้องไม่ให้ผู้ถือหน่วยไถ่ถอนอยู่หลายแห่ง
> > ทำให้ยังไม่มีการ Mark to Market หรือบันทึกการขาดทุนจริงเกิดขึ้น
> > เมื่อสถาบันการเงินล้มละลาย ก็จะทำให้เกิดแรงเทขายกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยง
> > รวมถึงสินค้าคอมมอดิตี้ และหุ้น ออกมาอีกมาก เนื่องจากเป็นกองทุนเฮดจ์ ฟันด์
> > ขนาดใหญ่ที่มีคนถือหน่วยลงทุนไว้จำนวนมาก และที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนที่สูง"
> > ข่าวที่สอง..ผลกระทบของ "อนุพันธ์ CDS " (Credit Default Swaps-CDS)
> > หรือสัญญารับประกันเงินกู้ จะลุกลามไปยังประเทศยุโรปตะวันออก หรือไม่ (Contagion Effects to Eastern Europe)
> > แม้ว่าธนาคารกลางของยุโรปจะเข้าไปสนับสนุนทางการเงินให้แก่สถาบันการเงิน
> > จึงทำให้ล้มละลายได้ยากกว่า แต่หากเกิดปัญหากับประเทศในยุโรปก็จะทำให้เศรษฐกิจจริงมีปัญหา
> > เพราะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก
> > "จุดสังเกตก็คือ หาก CDS Spread ของยุโรป และตลาดอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต
> > ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุด ก็จะทำให้เกิดความเสี่ยงสูงขึ้นและนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในตลาดหุ้น
> > ดังนั้น จึงต้องจับตาดูการลุกลามของสินเชื่ออนุพันธ์ว่าจะลามไปยังประเทศยุโรปตะวันออกเมื่อไร"
> > ข่าวที่สาม..ผลประกอบการบริษัทบัตรเครดิตจะมี "หนี้เสีย" เพิ่มขึ้น
> > เนื่องจากอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.1% และหากเพิ่มขึ้นเป็น 7%
> > จะทำให้คนตกงานจำนวนมาก และความต้องการใช้บัตรเครดิตมากขึ้นเช่นกัน
> > ซึ่งในปัจจุบันหนี้เสียบัตรเครดิตได้เพิ่มขึ้นมาแล้วในปีนี้ 60-70% จากปีที่ผ่านมา
> >คิดเป็นมูลค่าหนี้เสีย 2.4 หมื่นล้านบาทจากเดิมอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท
> > "ทั้งนี้จะต้องจับตาดูตัวเลขหนี้เสียบัตรเครดิตจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร
> > โดยเราคาดว่าจะเห็นตัวเลขในราว เดือนธ.ค.หรือม.ค. 2552"
> > ข่าวที่สี่..ตลาดหุ้นได้รับความเสียหายอย่างมาก
> > เนื่องจากความมั่งคั่ งของคนสหรัฐหายไป เนื่องจากคนสรัฐลงทุนในตลาดหุ้นประมาณ100 ล้านคน
> > คิดเป็น 1 ใน 3 ของคนทั้งหมดในประเทศ
> > ซึ่งที่ผ่านมาพวกเขาคิดว่ามีสินทรัพย์และความมั่งคั่งอยู่ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นหนี้สินเพิ่มขึ้น
> > ขณะที่บางคนตกงานจึงจำเป็นต้องไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกองทุนบำเหน็จบำนาญ
> > จึงกดดันให้ Pension Fund ของสหรัฐ จำเป็นต้องขายหลักทรัพย์ที่มีกำไรออกไป
> > โดยเฉพาะหุ้นในตลาดเกิดใหม่ซึ่งกองทุนส่วนใหญ่ลงทุนไว้ตั้งแต่ปี 1988-1999
> > "สี่ข่าวร้ายนี้จะทยอยออกมาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้จนถึงไตรมาส 1 ปีหน้า
> > ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าทั้ง 4 ข่าวจะมาพร้อมๆ กัน หรือไม่ได้เกิดพร้อมกันก็ได้
> > แต่เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องจับตา"
> > ส่วนข้อสังเกตว่า ดัชนีหุ้นที่ไหลลงไป เมื่อใดจะถึง "จุดต่ำสุด" หรือ "Bottom" นั้น..
> > วิศิษฐ์ แนะนำให้นักลงทุนพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ ดังต่อไปนี้
> > ประการแรก.. ให้พิจารณา "ส่วนต่าง" ระหว่างดอกเบี้ยกู้ยืมกับดอกเบี้ยของเฟด (LIBOR Spread)
> > จะต้องกลับมาอยู่ที่ 1% จะเป็นผลดีต่อตลาดมากกว่า
> > จากที่เคยขึ้นไปสูงถึง 3-4%
> > ในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงินสหรัฐ สะท้อนถึงสภาพคล่องในตลาดที่ ตึงตัวอย่างมาก
> > ประการต่อมา.. ต้องดู Credit Default Swaps Spread (CDS) หรือ "ส่วนต่าง"ของสัญญารับประกันเงินกู้
> > จะต้อง "ลดลง" โดยไม่ทำ "นิวไฮ" หรือ ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดอีก
> > เพราะจะสะท้อนถึงนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและตลาดหุ้นจะปรับตัวลง
> > ประการที่สาม..จะต้องไม่มีการ "บันทึก" ความสูญเสียของสถาบันการเงินในสหรัฐอีก
> > ขณะที่ในปัจจุบันสถาบันการเงินสหรัฐหลายแห่งยังไม่ได้ลงบันทึกผลการขาดทุนของสินเชื่ออนุพันธ์
> > คาดว่าหากลงบันทึกจะทำให้เกิดความสูญเสียขึ้นอีกจำนวนมากหลังจากนี้
> >และประการสุดท้าย..ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศจะต้องมีการ "ปล่อยกู้"ออกมาบ้าง
> > เทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐไม่ได้มีการปล่อยกู้
> > แม้แต่ระหว่างธนาคารด้วยกันดังนั้น ถ้าหากเงื่อนไขต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้น..
> > วิศิษฐ์ เชื่อว่า ดัชนีหุ้นไทย "มีสิทธิ" ที่จะไหลลงไปแตะที่ระดับจุดต่ำสุดได้ไม่ยาก ซึ่งฝ่ายวิจัยบล.ทิสโก้
> > ประเมินว่า ในช่วงไตรมาสแรกปีหน้า (2552) นักลงทุนน่าจะมีโอกาสได้เห็น
> > "จุด Bottom" อย่างแน่นอน
> > แต่หลังจากวิกฤติ มักเป็นโอกาส (ลงทุน ) เสมอ
> > เขาคาดว่า ในช่วงไตรมาส 2 ปี2552 ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวกลับมา "ขึ้นแรง"
> > อีกครั้ง (BullMarket Rally)
> > ด้วยปัจจัยบวกสนับสนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดให้ลงเหลือ0.25-0% จะผลักดัน
> >ให้ผู้ฝากเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์นำเงินออกมาจากซื้อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นโดยเฉพาะหุ้น
> > รวมถึงปัจจัยเงินเฟ้อทั่วโลกในปีหน้าจะลดลงอย่างรวดเร็ว
> > จนอาจจะถึงขั้นเกิดภาวะเงินฝืด ขณะที่เงินเฟ้อของไทยจะอยู่ที่ 0.5-2%
> > ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงไทย
> > กลับมาดีขึ้นได้อีกครั้ง...
จากคุณ :
Galaxi
- [
7 พ.ย. 51 15:40:24
]
|
|
|
|
|