ความคิดเห็นที่ 3

ตลาดหุ้นไทยในรอบเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมาถือว่ามีความผันผวนเป็นอย่างมาก ดัชนีปรับตัวขึ้นจรากจุดต่ำสุดในรอบปี 383 จุด ในวันที่ 28 ตุลาคม ขึ้นมาถึงจุดสูงสุด 478 จุด ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ปรับตัวขึ้น 25% โดยใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นก็ปรับตัวลดลงมาเรื่อยๆ และกลับมาที่จุดต่ำสุดอีกครั้งที่ 384 จุดในวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน เรียกว่าภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนดัชนีลงมาถึงจุดต่ำกสุดและปรับขึ้นแล้วกลับมาระดับต่ำสุดใหม่อีกครั้ง จนนักลงทุนตั้งหลักกันไม่ถูกเลยทีเดียว
ถ้าดูความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีตลาดหุ้นไทยกับดัชนีตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกแล้ว จะพบว่าเป็นไปในลักษณะเดียวกัน นั่นคือปรับตัวลดลงถึงจุดต่ำสุดพร้อมๆ กัน และเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดในรอบนี้ระยะเวลาใกล้เคียงกันและลดลงมาที่จุดเดิมอีกครั้งไล่เลี่ยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับอิทธิพลจากดัชนีดาวโจนส์เป็นสำคัญถ้าดัชนีดาวโจนส์ขึ้น ดัชนีหุ้นทั่วโลกทั้งเอเชียและยุโรปมักจะขึ้นตามขณะเดียวกันถ้าดัชนีดาวโจนส์ลบ ตลาดหุ้นทั่วโลกพลอยปรับตัวลดลงไปด้วย ในวันพฤหัสที่ 20 พฤศจิกายน ดัชนีดาวโจนส์ลดลงเหลือ 7,552 จุดต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี เป็นช่วงเวลาที่ดัชนีหุ้นไทยและตลาดหุ้นเอเชียลดลงถึงจุดต่ำสุดอีกครั้ง ถ้าลองดูในรายละเอียดของดัชนีดาวโจนส์จะประกอบไปด้วยหุ้นของบริษัทต่อไปนี้
Alcoa, Exxon Mobil, McDonald's, American Express, General Electric, Merck, AT&T, General Motors, Microsoft, Bank of America, Home Depot, 3M, Boeing, Hewlett-Packard, Pfizer, Caterpillar, IBM, Procter & Gamble, Chevron, Intel, United Technologies, Citigroup, J.P. Morgan, Verizon Communications, Coca-Cola, Johnson & Johnson, Wal-Mart Storres, DuPont, Kraft, Walt Disney
หุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นขนาดใหญ่ มีชื่อเสียงและมีมูลค่าการซื้อขายสูง รวมทั้งสามารถชี้เป็นชี้ให้กับตลาดหุ้นได้ทั่วโลก ราคาหุ้นของตลาดหุ้นอื่นๆ ขึ้นกับราคาหุ้นรวมกันของบริษัทเหล่านี้เท่านั้นถ้ามองในแง่ของข้อเท็จจริงแล้ว ดัชนีดาวโจนส์ประกอบไปด้วยหุ้นขนาดใหญ่เพียง 30 บริษัทซึ่งไม่สามารถเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจและตัวแทนหุ้นของในตลาดหุ้นอเมริกาซึ่งมีกว่า 20,000 บริษัทได้ทำไมดัชนีดาวโจนส์ถึงมีความสำคัญต่อตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นทั่วโลกได้มากขนาดนี้
สาเหตุหนึ่งอาจเนื่องมาจากมีการใช้ดัชนีดาวโจนส์มาเป็นเวลานาน สามารถนำมาเปรียบเทียบกับสภาวะเดียวกันในช่วงอดีตได้ เช่น การตกต่ำทางเศรษฐกิจในปี 1929 ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี (S&P 500) เกิดขึ้นมาหลังจากนั้นหลายสิบปี ยังไม่มีข้อมูลมาเปรียบเทียบกันได้
นอกเหนือจากนั้นในช่วงเวลาวิกฤติที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ตลาดหุ้นมักถูกชักนำด้วยจิตวิทยามากกว่าข้อเท็จจริง เมื่อไรที่นักลงทุนหวาดกลัว ภ้าดาวโจนส์ลดลง หุ้นทั่วโลกจะถูกเทขายออกมาแบบไม่สนใจราคาพื้นฐาน ถึงแม้ว่าดาวโจนส์จะไม่ได้แบ่งบอกถึงสภาพเศรษฐกิจจริงๆ ของประเทศหรือของโลกสักเท่าไรนัก แต่ดัชนีหุ้นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญยังคงเป็นดัชนีดาวโจนส์ต่อไปอีกนานเพราะไม่มีดัชนีหุ้นอื่นใดมาทดแทนได้
ดังนั้นคำถามที่ว่าดัชนีหุ้นไทยถึงจุดต่ำสุดหรือยัง คงตอบไม่ได้เพราะต้องเปลี่ยนคำถามว่าดัชนีดาวโจนส์ถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือยังแทน
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
จากคุณ :
หนูขนทอง
- [
24 พ.ย. 51 10:46:24
]
|
|
|