ความคิดเห็นที่ 1 โห อ่านหัวกระทู้ยังกะไข้หวัดนก ต้องดูว่า Fund ที่เค้าไปเป็น Manager นั่นขนาดใหญ่เล็กขนาดไหน แต่เท่าที่ดูแกก็คงเจ๋งจริงครับ ไม่งั้นคงไม่กลับมาเมืองไทยแล้ว จากคุณ : Bomb308 - [ 11 ธ.ค. 51 23:44:04 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เมืองนอกประเทศที่ตลาดเงินใหญ่ กองทุนเนี่ยมหาศาลเลยนะครับ จบมหาลัยระดับดังๆ เก่งๆได้เป็นแน่ๆ อยู่ใน firm ใหญ่ๆ ได้ เมืองนอก คนเป็น fund ก็มีเยอะนะครับ บ้านเรา เดี๋ยวนี้โหดมากๆ Fund Manager ต้อง CFA Level 3 (ออกเป็นกฎระเบียบ) ผมว่าเหมือนปิดกั้นเด็กใหม่ๆเข้ามาเป็น Fund จากคุณ : Impetus - [ 11 ธ.ค. 51 23:52:50 ]

ความคิดเห็นที่ 3 จริงๆแล้วไม่ต้องจบสูงก็ได้ครับ (หมายถึงเ ฮดจ์ฟันนะครับ) แต่ต้องทำเงินได้ชัวร์ ไม่ใช่ตามตำราที่เรียนมาแล้วคิดว่าทำได้  Fund manager หัวหน้าของผมจบ ป.ตรี ด้าน ปรัชญา มาครับ ไม่เกี่ยวกับการเงินเลย แต่เค้ามีโมเดลที่เยี่ยมยอดมาก :) จากคุณ : MudleyGroup - [ 12 ธ.ค. 51 01:19:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เห็นด้วยครับ ใช้เลขเยอะๆไม่ได้ช่วยอะไรเลยครับ พอมาเรียน พวกโมเดลต่างๆ พวกวิศวะกรรมทางการเงินแล้วเห็นได้ชัดเลย จากคุณ : galadinner - [ 12 ธ.ค. 51 06:04:50 ]

ความคิดเห็นที่ 5 หลายคนไม่ได้จบปอ ตรีด้วยซ้ำนะคะ เช่นจอร์จ โซรอส   เเล้วก็มีอีกคนนึงเป็นคนชั้นเเรงงานยากจน ไม่ได้ไอคิวสูงมาก  ไม่จบอะไรมาเลย เค้าเพียรเก็บตังค์ไปเข้าคอร์ส คอร์สเดียว ออกมาลงทุนเองตอนหลังก็ตั้งกองทุน ใหญ่โตใช้ได้เลย เป็นเพื่อนกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ด้วย  วอร์เรน เเซวๆ กึ่งประชดเค้าบ่อยๆ ถ้าจำไม่ผิด  ผู้จัดการกองทุนระดับตำนาน ปีเตอร์ ลินซ์ ก็จบตรีศิลปศาสตร์มานะ ของอย่างนี้มันอยู่ที่ฝีมือและความถนัด เซอร์ไอเเซค นิวตันอัจฉริยะ ไอคิวเกือบสองร้อย เจ๊งหุ้นไม่เป็นท่าคิดเป็นเงินปัจจุบันเป็นร้อยล้าน เสียใจจนตลอดชีวิตห้ามใครเอ่ยชื่อหุ้นนั้นให้ฟัง เค้าบอกว่าเค้าไขความลับบางข้อของจักรวาลได้ เเต่เค้ามาเจ๊งในตลาดหุ้น ไอสไตน์(จบโรงเรียนเทคนิค ตกงานอยู่บ่อยๆ)  ได้เงินจากรางวัลโนเบล เเล้วสัญญากับเมียว่าจะให้เงินนั้น (ประมาณเป็นค่าเลี้ยงดูที่หย่ากัน ตอนนั้นเค้ามีกิ๊กเยอะเเยะ เเต่เค้าเอาไปลงทุนในกองทุนรวมก่อนเพื่อให้งอกเงย กะว่าจะได้มีมากขึ้นประมาณเหลือให้เมียเก่า เเละลูกได้เเล้วยังเหลือให้ตัวเค้าเองด้วย ผลก็คือเจ๊งไม่เป็นท่าอีกเหมือนกัน จนโดนเมียตามด่า ตามทวงเงิน ตอนหลังรับเชิญไปปาฐกถาเลยมี เงินไปใช้ให้เมียตามสัญญา ไม่นานมานี้ก็มี  กองทุนรวมที่รวมนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ อัจฉริยะกลุ่มนึง (ไม่เเน่ใจเหมือนมีคนได้รางวัลโนเบลในกลุ่มนั้นด้วย) กองทุนรวมของเค้าเจ๊งมหาศาลในเวลาที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ อ้อ  คนที่คิดทฤษฎี ผิด ๆเรื่องตลาดหุ้นยังได้รางวัลโนเบลเลย ชื่อฟาม่าเป็นผู้ได้รางวัลโนเบลด้านเศรษฐศาสตร์ คิดทฤษฎี Efficient Market Theory(EMT) วอร์เรนบอกว่าถ้าทฤษฎีนี้ถูกป่านนี้เค้าคงไปถือกะลาขอทานเเล้ว เเละที่เเอบขำ  ฟาม่าก็ซื้อหุ้น Bershire Hathawayด้วย ต่อมามีอีกคนที่คิดทฤษฐีหักล้างทฤษฎี Efficient Market Theory(EMT) ก็ได้รางวัลโนเบลด้านเศรษฐศาสตร์ เลยงง  ไอ้ที่ผิดก็ได้เเล้วไอ้ที่ถูกก็ได้ ออกมาหักล้างกันเอง  เหมือนดิสเครดิตความน่าเชื่อถือของรางวัล เเล้วจะว่าทฤษฎีเเรก เกิดมานานเเล้วจุดประกายไอเดียวก็ไม่ใช่อีก เพราะเพิ่งได้รางวัลไม่นาน เเต่เรื่องผลของโนเบลมีการลอบบี้ได้นี่รู้มานานเเล้ว เพราะเคยทราบว่าในวงการยา ซึ่งเเต่ละบริษัทมีเงินมหาศาลมากกว่างบประมาณของประเทศเนี่ย กลุ่มพวกมาเฟียเค้าใช้เงินยัดจนนักวิทยาศาสตร์ของเค้า ซึ่งทำการทดลองเเบบเมคข้อมูลได้รางวัล(หรือได้เสนอเข้าชิงไม่เเน่ใจ) มาเเล้ว ความมาเเตกเมื่อมีคนทำการทดลองซ้ำ(ประมาณเรื่องfugitive เนี่ย เเหละเรื่องจริงในวงการยาเลย) คือ  จะจบอะไรจะไอคิวเท่าไหร่  ไม่สำคัญเท่าทำเงินได้เท่าไหร่มากกว่า เอ่อ  เเต่เราไม่ค่อยไว้ใจผู้จัดการกองทุนในไทยว่าจะทำเงินให้เราได้นะ เคยไปฟังพี่ผู้หญิงคนนึงพูด  เค้าดูใจดีและจริงใจมาก เค้าเคยเป็นผู้จัดการกองทุนใหญ่ๆในไทยเค้าก็เคยเขียนหนังสือเเฉกลโกง ของผู้จัดการกองทุนที่ไม่ซื้อสัตย์(สังเกตมานานเเล้วว่าคนในวิชาชีพที่มีคุณธรรมเค้าจะเห็นเเก่ประชาชนมากกว่าปกปิด ความลับเพื่อให้วิชาชีพเค้าเองน่าเชื่อถือ )  ซึ่งคนที่ซื่อสัตย์เเละมีฝีมือคงมี เเต่น่าเศร้าใจที่เราไม่สามารถรู้ได้ไงว่าเป็นคนไหนอยู่กองทุนอะไร เเละต่อให้อยู่เค้าจะอยู่นานไม๊  จะโดนซื้อตัวไปเมื่อไหร่ เคยอ่านเรื่องการปั่นหุ้น   พวกdeal maker  เค้ามักจะโค กับผู้จัดการกองทุนบางคนอยู่เสมอ เรื่องการปั่นหุ้น รวมทั้งเจ้าของบริษัทด้วย เลยคิดว่ายังไง  เล่นหุ้นจะเจ๊งก็เจ๊งด้วยมือเราเองดีกว่า  ให้คนอื่นมาทำเจ๊ง เเต่ถ้าอยู่เมืองนอกเราจะซื้อกองทุนนะ   มีกองทุนดีๆ ที่คนบริหารมีฝีมือมากๆเยอะ จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 06:08:25 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อ่านความเห็นที่ 5 มาตั้งนาน นึกว่าข้อความของใคร ... พอมาดูชื่อ อ๋อ ! ของพี่ RoseTiara นี่เอง ... ชอบมากครับ ... จากคุณ : ยอดไม้บนปลายดอย - [ 12 ธ.ค. 51 06:24:21 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เซียนอยู่รูหมูอยู่ตึกครับ เรื่องแบบนี้ ผมเคยสัมภาษณ์งานกับ ผจก กองทุน scb ท่านนึง เค้าบอกผมว่าตอน911เค้าทำอะไรไม่ถูกเลย เค้าถามผมว่าผมจะทำยังไง ผมตอบว่า ผมคิดว่ามันส่งผลกระทบเหมือนประวัติศาสตร์เก่าๆทั่วไป ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ก็จะรู้ว่ามันส่งผลกระทบไม่นาน แม้ว่ามันเปลี่ยนโลกเราเข้าสู่ยุคของความหวาดกลัวของการก่อการร้าย เหมือนยุคที่หุ้นเทคโนโลยีล่ม แต่สุดท้ายเราก็ยังใช้เนทอยู่ดี เค้าบอกว่า ผมตอบได้เพราะมันผ่านไปแล้ว ผมอึ้งไปเลย (แล้วถามกูทำไมวะ) สุดท้ายผมก็ไม่ได้งาน เพราะว่าคงจะไม่ถูกคอกัน จากคุณ : galadinner - [ 12 ธ.ค. 51 06:43:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณทุกท่านนะครับที่มาตอบ งั้นขอต่อยอดแล้วกันเนอะ คุณ บอม แต่เท่าที่ดูแกก็คงเจ๋งจริงครับ ไม่งั้นคงไม่กลับมาเมืองไทยแล้ว เขียนผิดหรือเปล่าครับ มันน่าจะเป็น แต่เท่าที่ดูแกก็คง ไม่ เจ๋งจริงครับ ไม่งั้นคงไม่กลับมาเมืองไทยแล้ว คุณ impetus แต่แถว ๆ เอเชียเขาก็มีกฏนี้ไม่ใช่เหรอครับ อย่างสิงคโปร์ เรื่อง cfa lv3 requirement คุณ mudley พอจะแชร์ได้มั้ยครับว่าเป็น mathematical model เลยเหรอครับ แบบ ค่านั้นค่านี้เป็นสมการออกมาหรือว่าเป็นแนว ๆ philosophy มีหลักการไว้ แต่ไม่ได้ทำถึงขั้นสมการ คุณ galadinner เลขไม่ช่วยอะไรเลย? เหย ไม่ขนาดนั้นมั้งครับ ผมว่า fin en กับ investments แบบนี้มันเกือบ ๆ จะคนละเรื่องเดียวกันนะครับ อย่าง fin en น่าจะทำเกี่ยวกับพวกออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือเปล่าครับ นี่ผูกนั่นผูกนี่ ไอ inv แบบนี้บางทีมันขึ้นกับ guts, intuition, การอยุ่ในตลาดมานานคุ้นกับเจ้าแบบอากง อาป้าตามห้องค้า คุณ Rose Tiara george soros เขาจบ London School of Economics ครับ พูดในแง่ของคุณ rose tiara ก็ถูกครับ จะไปตกในเรื่องของ intuition, guts แนวๆ นั้นกับความล้มเหลวในทางทฤษฎีใน text book ที่ผมเองก็ต้องเคยมานั่งจำ assumptions ทีละข้อมาแล้ว -*- ก็เห็นด้วยนะครับ แต่ว่าผมมองว่าเรื่องนี้มันเกินขอบที่ผมถามไปนี๊สนึง เพราะลองคิดดูว่า ถ้าเราเป็นนายจ้าง ตอนเราจ้าง เราจะให้ใครที่ไหนก็ไม่รุ้ไปบริหารเงิน หลายพันล้านเหรอ ถ้าอย่างน้อยไม่มีอะไรมา guarantee ถึงความสามารถเลย แต่ยังไงกับคำถามนี้ก็ไดรับคำตอบแล้วน่ะนะ ไม่ทราบว่าหนังสือแฉกลโกงกองทุนไทยเล่มนั้นชื่ออะไรครับ เเต่ถ้าอยู่เมืองนอกเราจะซื้อกองทุนนะ   มีกองทุนดีๆ ที่คนบริหารมีฝีมือมากๆเยอะ แล้วไม่กลัวเรื่องจริยธรรมความไม่ซื่้อสัตย์ของ ผจก กองทุนต่างชาติเหรอครับ จากคุณ : EAGo - [ 12 ธ.ค. 51 06:51:07 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ในย่างเข้าวัยรุ่น นายโซรอส ได้รับแรงบันดาลใจจากสถานีวิทยุ BBC จึงเดินทางไปอังกฤษ และหางานเลี้ยงชีพเป็นบ๋อยในภัตตาคารแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ นายโซรอสยังรับจ้อบเป็นคนปลูกแอปเปิ้ล และทาสีบ้าน เพื่อเก็บเงินเป็นทุนศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งกรุงลอนดอน (London School of Economics) ซึ่งนับว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ผลิตนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ ศิษย์เก่าดีเด่นคนหนึ่งจากมหาวิทยาลัยนี้ ก็คือ อาจารย์ป๋วย ของเรา ผู้วางรากฐานระบบธนาคารกลางในไทย และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั่นเอง สังคมยุโรปในช่วงเวลาที่นายโซรอสศึกษาอยู่นั้น นักศึกษาส่วนใหญ่เลื่อมใสในลัทธิมาร์กซ์ ซึ่งนำไปสู่การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ในขณะที่อาจารย์ท่านหนึ่งของโซรอส คือ คาร์ล ปอปเปอร์ (Karl Popper) มักจะเสนอความเห็นสวนกระแสว่าลัทธิมาร์กก็ไม่ต่างจากลัทธิเผด็จการฟาสซิสม์ ซึ่งในที่สุดก็จะต้องเสื่อมสลายไป โดยแสดงแนวคิดอย่างเป็นระบบผ่านหนังสือชื่อ “The Open Society and Its Enemy” จะเห็นว่าครอบครัวโซรอสนั้น ได้ผ่านประสบการณ์จริงของการปกครองแบบฟาสซิสม์ (ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) และคอมมิวนิสต์ (ในยุคพ่อของโซรอสเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1) ดังนั้นนายโซรอสจึงได้วินิจฉัยว่าความเห็นของอาจารย์ปอปเปอร์นั้นถูกต้องแล้ว เราอาจกล่าวได้ว่าความเป็นอัจฉริยะของอาจารย์ปอปเปอร์เป็นที่ประทับใจแก่โซรอสหนุ่มอย่างยิ่งในการพยายามเจริญรอยตาม และใฝ่ฝันจะเป็นนักคิดเพื่อสังคม เช่นอาจารย์ของเขา อย่างไรก็ตามผลการเรียนของโซรอสหนุ่มไม่ได้อยู่ในระดับต้นๆ ที่จะทำให้เขามีโอกาสเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยได้ ทั้งนี้เราต้องเข้าใจด้วยว่านายโซรอสมิได้เรียนหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่ต้องทำงานส่งเสียตัวเองด้วย นอกจากเป็นบ๋อย คนปลูกแอ้ปเปิ้ล ช่างทาสี แล้ว บางครั้งถึงขั้นต้องไปรับจ้างเป็นกุลีขนกระเป๋าตามสถานีรถไฟ โซรอสหนุ่มเริ่มทำงานเป็นนักค้าหุ้นในนิวยอร์ก พร้อมกับพยายามเขียนวิทยานิพนธ์ขึ้น แต่เขาก็พบว่าแนวความคิดของเขาในเวลานั้นยังกระจัดกระจายอยู่เป็นมาก หลังจากเขียนแล้วฉีกทิ้งเขียนใหม่อยู่หลายรอบ โซรอสหนุ่มจึงค้นพบว่าตัวเองคงจะเอาดีในการเป็นอาจารย์ไม่ได้แน่ จึงเริ่มหันเหมาเอาดีทางการค้าหุ้นที่ทำอยู่ โอเคค่ะ ขอโทษด้วยที่เราจำผิด  เราอ่านอันนี้มานานเเล้วจำผิด เค้าเขียนวิทยานิพนธ์เเล้วฉีกทิ้งหลายรอบเเปลว่าเค้าไม่ได้จบโทต่างหาก เราอ่านเเล้วจำผิดไปเอง จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 07:09:09 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แต่ว่าผมมองว่าเรื่องนี้มันเกินขอบที่ผมถามไปนี๊สนึง ^ ^ ^ ^ ไม่เกินขอบเขตไปหรอกค่ะ คุณถามเรื่องการศึกษากับการเป็นfund manager ไม่ใช่เหรอคะ สรุปเลยคือ  ไม่จบปริญญาตรีเลยก็เป็นมาเเล้ว กองที่ใหญ่มากๆด้วย คนๆนั้นเค้ายากจนไม่มีการศึกษาระดับปอตรี น่าจะจบเเค่เกรดต้นๆด้วย  เค้าเก็บเงินไปเข้าคอร์ส กับเบนจามิน  เเกรม(บางคนอ่านเกรเเฮม) เราก็ความจำไม่ค่อยจะดี จำชื่อเค้าไม่ได้เเล้ว   เเต่ถ้าอยากรู้จริงๆ เดี๋ยวจะค้นมาให้ เเล้วคุณมัดเล่ย์เนี่ยก็เพิ่งจบตรีเหมือนกันนี่คะ  จบวิศวะด้วย เเละไม่ได้ทำงานกองทุนหรือ  IB อะไรมาก่อน เค้าก็ได้ไปทำงานกองทุนเมืองนอกถึงจะไม่ถึงกับเป็น ระดับ fund manager ก็ตาม  เเต่ซักพักก้อคงได้เป็นระดับนั้นค่ะ เพราะลองคิดดูว่า ถ้าเราเป็นนายจ้าง ตอนเราจ้าง เราจะให้ใครที่ไหนก็ไม่รุ้ไปบริหารเงิน หลายพันล้านเหรอ ถ้าอย่างน้อยไม่มีอะไรมา guarantee ถึงความสามารถเลย ^ ^ ^ ปริญญาอย่างเดียวมันไม่ได้การันตีอะไรไงคะ เมืองไทยนี่เเหละ ยึดถือเรื่องปริญญากันจัง (เเต่ก็โทษเค้าไม่ได้หรอก  เพราะหลายคนก็ไม่ซื่อสัตย์จริงๆ ถ้าถามว่าทำอะไรได้ก่อนรับเข้าทำงานก็บอกว่าทำได้หมด  เเต่จริงๆเเล้ว ทำอะไรไม่ค่อยได้  เเล้วคนจบปริญญาบ้านเราก็ยังไม่ค่อยได้มาตรฐาน) จริงๆ ควรวัดคนที่ฝีมือมากกว่าปริญญานะ เคยมีเคส ภารโรงในโรงเรียนเเพทย์  ที่ผ่าตัดกายวิภาคศพได้ดีกว่า Professor เพราะเค้าช่วยงานมานานเเละมีพรสวรรค์ ในมหาลัยนั้นเค้าคืออาจารย์เเพทย์  ตอนเค้าออกมาเค้าก็ได้รับการย่งย่อง จากอาจารย์คนอื่นๆเทียบเท่าProfessorเพราะในfield เดียวกัน ในมหาลัยนั้นยังไม่มีใครเก่งกว่าเค้าเลย ถ้าเป็นเมืองไทย  จะให้ภารโรงมาสอนนักศึษาเเพทย์เหรอ ฝันไปเถอะ  มีเเต่โดนดูถูกน่ะสิ(  ขออภัย ความจำไม่ค่อยดี ลืมชื่อเค้าไปอีกเเล้ว ยังไงอยากรู้ลองไปค้นกันดู) เพิ่มเติม  ภารโรงคนนั้นเป็นคนผิวสีด้วย สุดยอด!!!! สมัยนั้นถ้าไม่เจ๋งจริง คนขาวไม่มีทางยอมรับคนดำเลย แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 51 06:34:16 จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 07:25:49 ]

ความคิดเห็นที่ 11 อันนี้อยากออกความเห็น คือว่าเป็นความเข้าใจผิดๆกันมานานว่าต้อง ใช้คณิตศาสตร์อะไรให้มันซับซ้อน ขอตอบตามที่ กูรูบิดาเเห่งการวิเคราะห์หลักทรัพย์เบน  เเกรม ซึ่งเป็นคนให้กำเนิด  CFA อะไรที่คุณว่ายากๆนั่นเเหละ กับที่ผู้บรหารกองทุนระดับยักษ์ๆ  ทั้งหลายที่เป็นตำนาน (ปีเตอร์ ลินซ์  จอห์น เนฟ  จอห์น เทมเปิลตั้น  ที โรว ไพรซ์ หรือนักลงทุนระดับตำนาน   วอร์เรน บัฟเฟต์ เเม้เเต่เซอร์เค้น หรือ จิม โรเจอร์)บอกมาเค้าไม่ได้ใช้อะไรยากๆเลย เค้าก็เเค่ใช้บวกลบคูณหาร ธรรมดานี่เอง ไอ้ที่ไปคิดสมการให้มันยิ่งซับซ้อนนั่นเเหละที่เจ๊ง เค้าใช้เเค่logic  common sense และการวิเคราะห์ที่เฉียบเเหลม เเละน่าประหลาด ที่เขาเหล่านั้นส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดไม่ได้ใช้ สิ่งที่เราเรียกว่าวิเคราะห์ทางเทคนิคเลย อันนี้ไม่เกี่ยวกับที่คุณถามเเต่ เรานึกได้เเละอยากพูด เเบบว่าเจือกอะ อิอิ จบอะไรใครจะสน  ขอให้ทำเงินได้มากๆก้อพอ แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 08:15:16 จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 07:39:57 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อะหาเจอเเล้ว กองทุนที่เจ๊งมโหฬาร นั้นเป็นกองLTCM มีนักเศรษศาตร์รางวัลโนเบลสองคน กับกองทัพนักคณิตศาสตร์ นักคอมพิวเตอร์สมองเพชร ที่จะมาคิดโปรเเกรมเทรด หรือโมเดลเทรดเจ๋งๆ เเต่ปรากฎว่าขาดทุนไปสองพันล้านดอลล่าในเวลาไม่กี่สัปดาห์ จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 07:44:23 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ไม่ทราบว่าหนังสือแฉกลโกงกองทุนไทยเล่มนั้นชื่ออะไรครับ ^ ^ ^ ^ ไม่ตอบค่ะไปหาอ่านเอาเอง ที่ไม่ตอบเพราะกลัวใครไปรบกวนพี่เค้า เพราะมันต้องมีคนที่ทำงานกองทุนเเละเสียผลประโยชน์ ไปวุ่นวายกับพี่เค้า ไปค่อนเเคะหรือดิสเครดิตเค้า ++++++++++++++++ เเต่ถ้าอยู่เมืองนอกเราจะซื้อกองทุนนะ   มีกองทุนดีๆ ที่คนบริหารมีฝีมือมากๆเยอะ แล้วไม่กลัวเรื่องจริยธรรมความไม่ซื่้อสัตย์ของ ผจก กองทุนต่างชาติเหรอครับ ^ ^ ^ ^ ^ ไม่ยากเลยค่ะ เมืองไทยกองทุนมีมาไม่นาน เเถมเราหาข่าวลำบากหนังสือมีน้อย เเถมก็รู้ๆกันอยู่ ใส้ในใครบริหาร บริหารกี่คน ประวัติเป็นยังไงบริหารนานเเค่ไหน   กำไรเท่าไหร่  เเล้วย้ายไปอยู่กองทุนไหน ทำอะไรเจ๊งไปเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีรีวิวให้เห็น แถมดูจากผลตอบเเทน รับไม่ได้ค่ะ  เเค่มากกว่าเงินฝากธนาคารนิดหน่อย เเต่เสี่ยงมหาศาล  เมื่อก่อนกองทุนสินภิญโญอะไรนั่นก็เจ๊งกันไม่เป็นท่า สำหรับเราไม่เรื่องมากอะไรค่ะอิอิ ขอเเค่กองทุนที่มันให้ผลตอบแทนเเบบทบต้น 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี  ยาวนานมาสามสิบปีก็พออิอิ มันจะโกงมันจะอะไรก้อช่าง  ทำให้เดี๊ยนได้กำไรทบต้น ยี่สิบเปอร์เซ็นต์  ยาวนานกว่ายี่สิบปีเดี๊ยนก็เป็นมหาเศรษฐีเเล้วค่ะ อย่าหาว่าล้อเล่นนะคะ กองทุนอย่างนั้นมีจริงๆ เเต่ใจจริงเดี๊ยนไม่ซื้อหรอกค่ะกองทุนรวม  ถ้าเดี๊ยนไปอยู่จริงๆ เดี๊ยนซื้อ หุ้น Berkshire Hathaway type a ดีกว่าค่ะ ปล. ตอบให้หมั่นไส้เล่นกั่กๆๆๆ จริงๆไม่ได้รวยขนาดนั้นหรอกค่ะ จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 08:08:00 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมว่าศึกษาจาก กองทุนกับรายใหญ่บ้านเราก่อนดีไหม พูดภาษาเดียวกัน ก่อนที่จะร่ายยาวไป กองทุนต่างประเทศกับรายใหญ่ที่นั้น คนที่มีพรสวรรค์หรือความคิดดี ยังไง ไปทางไหนเขาก็เก่งเพราะเขารู้จักคิดวิเคราะห์หาทางอยู่ตลอดเวลา นิวตัน อาจจะชอบวิเคราะห์ทางฟิสิก แต่ไม่ชอบคิดด้านหุ้นเพราะเป็นอะไรที่อาจไม่สนุกสำหรับเขา ทำให้เขาไม่สำเร็จทางด้านนี้ก็เป็นได้ ส่วนปริญญานั้น มันเป็นใบประกาศตัวหนึ่งก็จริง แต่ยังไง มันก็รับรองได้ว่า คนที่ได้เคยผ่านสายตาเรื่องนั้นๆ แล้ว แต่ไม่ใช่เป็นใบที่รับรองว่า  คนที่ได้ เก่งในเรื่องนั้นๆ คนที่ไม่จบปริญญา ไม่จำเป็นต้องเก่งเสมอไป คนส่วนน้อยที่รู้จักคิดและหาทางออกได้เสมอๆ เท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ   คนที่จบปริญญาก็เหมือนกัน ไม่ใช้เก่งเสมอไป คนส่วนน้อยที่รู้จักคิดและหาทางออกได้เสมอๆ เท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ   และคนส่วนน้อยพวกนี้ ก็จะประสบความสำเร็จแบบ ก้าวกระโดด หรือ ทิ้งห่าง ค่าเฉลี่ยของคนทั้วไป สรุปเลยดีกว่า เราจะเอาปริญญา มาวัดความสามารถของแต่ละคนไม่ได้ แต่ มันก็ช่วยให้รู้ว่าเขาเคยผ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องมาแล้ว  หากจะให้ฝึกเรื่องงานนั้น  เอาแบบคนทั่วไป ที่ไม่ใช่คนส่วนน้อย ยังไง ผมว่า คนที่เรียนมาโดยตรงน่าจะเข้าใจเร็วกว่าคนที่ไม่เรียนมา (ช่วงแรกๆ นะครับ  ช่วงหลังๆ คงอยู่ที่ความพยายามหาความรู้ของแต่ละคน) จากคุณ : โจนาธาน (Jeonathan) - [ 12 ธ.ค. 51 08:09:24 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมว่าศึกษาจาก กองทุนกับรายใหญ่บ้านเราก่อนดีไหม พูดภาษาเดียวกัน ก่อนที่จะร่ายยาวไป กองทุนต่างประเทศกับรายใหญ่ที่นั้น คนที่มีพรสวรรค์หรือความคิดดี ยังไง ไปทางไหนเขาก็เก่งเพราะเขารู้จักคิดวิเคราะห์หาทางอยู่ตลอดเวลา นิวตัน อาจจะชอบวิเคราะห์ทางฟิสิก แต่ไม่ชอบคิดด้านหุ้นเพราะเป็นอะไรที่อาจไม่สนุกสำหรับเขา ทำให้เขาไม่สำเร็จทางด้านนี้ก็เป็นได้ ^ ^ ^ ^ ผิดเเล้วไอ้น้องเอ๋ย ถ้าเเค่ศึกษาจาก กองทุนกับรายใหญ่บ้านเรา ก็มีเเต่เจ๊งกับเจ๊ง กองทุนบ้านเราส่วนใหญ่มันก็ไม่ได้ผลตอบเเทนสูงกว่า ค่าเฉลี่ยอินเด็กซ์เท่าไหร่ จะไปเอาอย่างรายใหญ่  มั้นก็มีเงินมากกว่าสายป่านมากกว่า มีคอนเนกชั่นมากกว่าเรา เเถมมันยังปั่นหุ้นอีก จะเรียนอะไรให้เก่งมันก็ต้องไปเลียนเเบบคนเก่งว่าเค้าทำยังไงถึงเก่ง เเล้วจะไม่ให้ไปเรียนจากกูรูระดับโลก เเล้วจะให้ไปเลียนเเบบคนข้างบ้านเหรอ เเต่ไม่เถียงว่าเราต้องศึกษา พฤติกรรมรายใหญ่ กับกองทุนไทยไว้ เพราะเราเล่นเกมส์กระดานเดียวกัน ก็ต้องรุ้เขารู้เราเพื่อจะไปรับมือเค้าได้ เเต่กลยุทธ์เเน่นอนเราไม่เอาของเค้ามาใช้ นิวตัน อาจจะชอบวิเคราะห์ทางฟิสิก แต่ไม่ชอบคิดด้านหุ้นเพราะเป็นอะไรที่อาจไม่สนุกสำหรับเขา ทำให้เขาไม่สำเร็จทางด้านนี้ก็เป็นได้ ^ ^ ^ ^ เเละนี่ก็เป็นความเข้าใจผิดอีกนะคะอิอิ นิวตันชอบเล่นหุ้น  นิวตั้นชอบคิดเรื่องหุ้น เพียงเเต่ว่าไอ้ที่เค้าคิดมันผิดเท่านั้นเองค่ะ จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 08:26:44 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คนที่ไม่จบปริญญา ไม่จำเป็นต้องเก่งเสมอไป มันก็ใช่ ว่าเเต่คุณไปเอาตรรกกะนี้มาจากที่อื่นมั้งคะ กระทู้นี้เค้าถกกันเรื่อง คนที่ไม่จบปริญญา ไม่จำเป็นต้อง"ไม่เก่ง"เสมอไป จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 08:29:25 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คนที่เรียนมาโดยตรงน่าจะเข้าใจเร็วกว่าคนที่ไม่เรียนมา (ช่วงแรกๆ นะครับ  ช่วงหลังๆ คงอยู่ที่ความพยายามหาความรู้ของแต่ละคน) คุณหมายถึงจบอะไรมาคะ เราจะได้เค้าใจได้กระจ่าง จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 08:31:24 ]

ความคิดเห็นที่ 18 จริงๆคุณ จขกท ตั้งกระทู้แบบนี้ ก็ต้องเปิดใจรับความคิดเห็นอีกด้านนึงเหมือนกันนะครับ คงไม่ใช่้พอตั้งกระทู้แบบนี้ แล้วทุกคนจะเข้ามาเห็นด้วยว่า เออ จบน้อยจัง จะไปรอดมั้ยเนี่ย ถ้าแค่ จบนอก เรียนสูง จะสามารถชนะตลาดหุ้นได้ ใน Dow Jones ที่มีคนปริญญาคับแก้วเป็น "Fund Manager ระดับโลก" ขนาดนั้น ยังมีคนเจ๊งบ๊งไม่เป็นท่าเลยครับ เดี๋ยวนี้เจอบ่อยนะครับ คนที่จบ ปโท ปเอก แต่รุ้สึกว่า คุณภาพมันไม่เยอะเหมือนที่เคยคิดไว้เลย ีอีกอย่างคือ เรื่องของ EQ รู้สึกยังกับว่า มหาลัยไม่ได้ช่วยการพัฒนา EQ เลยครับ การเอาชนะตลาดหุ้น ผมว่า EQ ก็สำคัญมากกว่า IQ ด้วยซ้ำไปครับ จากคุณ : นายเอิร์ธ - [ 12 ธ.ค. 51 09:15:18 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เห็นกับนายเอิร์ธค่ะ ปล. จะเรียกคุณก็เกรงจะเปลี่ยนเพศไป --" จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 09:27:12 ]

ความคิดเห็นที่ 20 บานปลายแล้วล่ะ จปส ของผมที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาจริง ๆ เพราะว่า อ่านประวัติคุณกรณ์แล้วก็แปลกใจที่ จบ ตรีปุ๊บ ได้เป็น FM เลย ซึ่งในปัจจุบันนี้เท่าที่รู้ต้องทำโน่นนี่มากมาย ก็เลยถามเผื่อจะมีคนรู้ เช่น ในสมัยก่อนนั้น การเข้ารับเ็ป็น FM มีกฎที่ง่ายกว่าสมัยนี้? หรือ สภาพสังคมในสมัยนั้น เอื้ออำนวยกว่าเพราะกฎน้อยกว่า? หรือ Fund Industry in England ในสมัยนั้นยังใหม่อยุ่ จึงไม่น่าแปลกใจ? หรือ สมัยนั้นจบ LSE, Oxford ก็สตาร์ท FM กันทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นมีไรหนิ หรือ สมัยก่อนมันก็ยากพอ ๆ กับสมัยนี้แหละแต่คุณ กรณ์ แก exceptional จริง ๆ? หรือ ซึ่งคำตอบเหล่านั้นจะนำคำตอบให้กับคำถามว่า การเป็น fund manager ตั้งแต่จบปตรี ของคุณกรณ์นั้น เป็นไปด้วยความสามารถอัน exceptional จริง ๆ หรือ เ็ป็นเรื่องธรรมดา ๆ ของสมัยนั้น ด้้วยการทำความเข้าใจถึงลักษณะของวงการของอังกฤษในตอนนั้น หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่พึงมี เช่นลักษณะของ fund, ตัวบริษัท กลายมาเ็ป็นเรื่องที่ครอบคลุมกว้างออกไปมาก ๆ ไปสู่ ความสามารถ VS ปริญญา Mathematical Model VS Guts Investments พลังแห่งการเรียนรู้ แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 09:43:09 จากคุณ : EAGo - [ 12 ธ.ค. 51 09:35:16 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ EAGo ผมพิมพ์ถูกแล้วนะ แต่คุณ EAGo ก็เข้าใจผมถูกแล้วครับ 555 คุณ EAGo ต้องดูด้วยว่าแต่ละประเทศเค้าเป็นระบบเศรษฐกิจแบบไหน ถ้าเป็นแบบเสรีมากๆ อย่างอเมริกา หรืออังกฤษ ก็สามารถเป็นได้ง่ายๆครับ ของบ้านเราเป็นแบบเสรีที่มีการควบคุมก็อาจจะลำบากหน่อย แล้วก็บางครั้ง Fund ที่มาลงทุนแถบนี้เค้าก็ต้องการคนแถบนั้นมาเป็น Manager นะครับ เพราะมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับประเทศนั้นๆมากกว่า ยกตัวอย่าง ลองกางตำรา VI มาดูนี่ SECC นี่สุดยอดหุ้นเลยนะครับ แต่พวกเราเห็นชื่อผู้บริหารแล้วคงคิดอีกแบบ คิดดูฝรั่งมันจะรู้เรื่องพวกนี้หรือเปล่า ^^" จากคุณ : Bomb308 - [ 12 ธ.ค. 51 09:46:15 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คุณลองไปอ่านมาใหม่นะคะ ที่คุณพิมพ์ Fund Manager นี่มันเป็นกันง่ายมากเลยเหรอครับ   เข้าใจว่าคุณกรณ์ จาติกวณิช พอแกจบปุ๊บ ก็ออกมาเป็น fund manager @ london เลย สมัยก่อนมันเป็นง่ายขนาดรับคนจบ ปตรี แล้วได้เลยเหรอครับ หรือว่าแก เจ๋งจริง ๆ  ๆ ๆ ๆ ๆ  ๆ ๆ ๆ Fund Manager นี่มันเป็นกันง่ายมากเลยเหรอครับ   ^ ^ ^ ^ เป็นยากค่ะ ใครๆดก้อทราบ  คุณลองไปสมัครดูสิคะ สมัยก่อนมันเป็นง่ายขนาดรับคนจบ ปตรี แล้วได้เลยเหรอครับ ^ ^ ^ สมัยก่อนสมัยไหนคะ  คุณกรณ์ก็ยังหนุ่มอยู่ เป็นง่ายขนาดรับคนจบ ปตรี แล้วได้เลยเหรอครับ ^ ^ ^ ^ อันนี้ไงคะที่ทำให้มีประเด็นตามมาอีกมา คุณพูดเหมือนคนจบตรีไม่มีความสามารถ เลยบอกว่าไม่จบอะไรมาก็เป็นได้ เเละอัจฉริยะ  หรือดอกเตอร์ก็ไม่จำเป็นจะต้องลงทุนเก่ง น้ำเสียงในการตั้งกระทู้คุณเหมือนดูถูกคนไงคะ ปล.  ใครเคยทำงานในลอนดอนก็ลองบอกเค้าหน่อยค่ะ ว่าอะไรๆมันง่ายๆเหมือนที่เค้าคิดหรือเปล่า  สำหรับเราไม่เคยอยู่ลอนดอน เเต่ก็คาดเดาเเบบงูๆปลาๆค่ะ ว่าอะไรๆมันไม่ง่ายหรอกเเละเค้าคงเจ๋งในระดับนึงล่ะค่ะ ปล. เรื่องเค้าเจ๋งจริงเลยกลับไทยเราเห็นด้วยนะ คนที่เเน่เเละฉลาดเเบบมีคุณธรรมเค้าจะเป็นเเบบนี้นะ ไม่ค่อยเห็นเเก่เงิน แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 51 05:52:23 จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 09:54:55 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อิอิ ความเห็นเยอะเลยกระทุ้นี้  แวะมาตอบในส่วนของผมที่คุณ EAGo ถามแล้วกันนะครับ " พอจะแชร์ได้มั้ยครับว่าเป็น mathematical model เลยเหรอครับ แบบ ค่านั้นค่านี้เป็นสมการออกมาหรือว่าเป็นแนว ๆ philosophy มีหลักการไว้ แต่ไม่ได้ทำถึงขั้นสมการ "    ถ้าจะให้ตอบแบบวิชาการหน่อย แต่เรื่องนี้ผมไม่ค่อยอยากพูดเท่าไร เพราะมันแทงใจตัวผมเอง เพราะผมเรียน Math มาผิดสายจึงทำให้ผมกว่าจะเข้าใจคำว่าคณิตศาสตร์อีกแนวทางหนึ่งเนี่ยใช้เวลานานพอตัวเลย จริงๆแล้วคณิตศาสตร์เนี่ยถ้าเราศึกษามันจริงๆมันถูกออกแบบมาเพื่อตอบตรรกะพื้นฐานของเราในสิ่งที่เราเห็นว่ามันจริงอยุ่แล้ว  แน่นอนในฐานะที่เคยเรียนมาทางวิศวกรรม คณิตศาสตร์จะง่ายก็การเข้าใจหากสิ่งที่เราสนใจมันเป็น Object ที่หาค่าความจริงตามที่เราเข้าใจที่เด่นชัดได้  สมมุติผมออกแบบ ถนนสายหนึ่งเพื่อจะให้รับน้ำหนัก รถบรรทุก28 ตันเป็นเวลา 5 ปี แน่นอนเราสามารถคำนวนได้เพราะ Object ของเราที่สนใจนั้นมันคือรถบรรทุก 28 ตัน นี่คือคณิตศาสตร์วิทยศาสตร์  แต่แน่นอนคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ก็ยังคำนึงถึงเหตุการณ์ที่แกว่งตัวจาก object ที่เราศึกษาไว้บ้าง ในตอนที่ผมเรียนวิศวกรรมเราจะเรียกค่านี้ ว่า Safety Factor คนที่เรียนวิศวกรรมโครงสร้างมาคงต้องคุ้นเคยเป็นอย่างดี อ้าวแล้วเราจะเผื่อเท่าไรดี ผมถามอาจารย์ ก็เผื่อไว้ขั้นต่ำ 1.5 ถึง 2 แล้วกัน แค่นี้ก็ปลอดภัยแล้ว  คำตอบคือปลอดภัยจากอะไร ปลอดภัยจากเหตุการณ์ที่เราคิดไว้ว่ามันน่าจะเกิดได้มากสุดเท่านี้  ดังนั้นถ้ามีเหตุการเช่นแผ่นดินไหวรุนแรง ฟ้าฝนถล่ม  ซึ่งมันไม่ค่อยเกิด เราก็จะบอกได้ว่านี่คือสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายของเรา แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่นอกเหนือจากความคาดหมายของ Object ที่เราสนใจเนี่ยมันไม่ค่อยเกิดบางที 100 ปีเกิดที ดังนั้นเราก็ยิ่งมั่นใจใน คณิตศาสตร์วิทยศาสตร์ของเรากันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทีนี้พอมันเป็นตลาดหุ้นคณิตศาสตร์พลาดตั้งแต่แรกที่ระบุ Object แล้ว เราไปสนใจค่าการแกว่งตัวของตลาดไม่ว่าจะเป็น beta Alpha Theta พวกนี้มันไม่ใช่ Object ที่แท้จริง มันเป็นผลลัพท์จาก Object ที่แท้จริงซึ่งก็คือ มนุษย์นั่นเอง  หากเราจะใช้คณิตศาสตร์เราต้องมุ่งไปที่คนเพราะคนเป็นจุดกำเนิด คนทำให้เกิดสิ่งทั้งหมดนี้ เราต้องใช้คณิตศาสตร์เพื่อให้ได้เปรียบคนด้วยกัน ดังนั้นเจ้านายผมถึงศึกษาคนเป็นอย่างดี พอเรารู้คนเป็นอย่างไรเราก็สามารถกำหนดกลยุทธ์ทางคณิตศาสตร์พื้นฐานได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้สมการที่ซับซ้อนยากเกินไปเลย เพราะคนเวลาเข้าตลาดมีอารมณ์เด่นๆอยุ่ไม่กี่อย่าง โลภ และ กลัว  :) จากคุณ : MudleyGroup - [ 12 ธ.ค. 51 10:01:16 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ข้อเสียข้อนึงของการคุยกันผ่าน webboard ก็คือการ misinterpretation เนี่ยแหละ น้ำเสียงในการตั้งกระทู้คุณเหมือนดูถูกคนไงคะ ^ | ขอบอกว่า ถึงน้ำเสียงจะคล้ายการดูถูก แต่ผมไม่มีเจตนาดูถูกนะครับ ผมต้องการคำตอบในแนว ๆ ด้านสภาพเศรษฐกิจ สังคม ค่านิยมในตอนนั้นซะด้วยซ้ำ ไม่ได้คิดว่าจะลากไปไกลขนาดนี้ และไม่คิดด้วยว่าจะมีคนมา interpret เป็นการดูถูกดูหมิ่น เรื่องของความสามารถ และ การยอมรับในเรื่องของปริญญา และการถกเถียงเรื่องจริยธรรมและอื่น ๆ ไป จากคุณ : EAGo - [ 12 ธ.ค. 51 10:07:33 ]

ความคิดเห็นที่ 25 Manager ไหนๆ ก็มีอยู่เยอะแยะไป ที่ไม่จบอะไรเลย ไม่เฉพาะ Fund Manager หรอกครับ ...ผมเรียนภาคคณิตศาสตร์มา คณิตศาสตร์ ใช้อธิบายสิ่งต่างๆออกมาเป็นตัวเลข แต่ไม่ใช่ใช้เป็นตัวตัดสินใจครับ ความผิดพลาด ก็อยู่ตรงการตัดสินใจนี่แหละ คิดว่าคนที่เรียนมาทางศิลป์ จะมีภาษีด้านการตัดสินใจดีกว่าครับ แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 10:17:46 จากคุณ : lunch - [ 12 ธ.ค. 51 10:09:38 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้าคุณคิดว่าไม่ได้ตั้งใจดูถูกก็ต้องขอโทษด้วยค่ะ เราเข้าใจว่าเค้าคงไม่ได้ใช้เส้นสายอะไรนะคะ   เพราะอิทธิพลนามสกุลเค้าคงไม่มีความหมายอะไรที่นั่นเว้นเเต่ว่า อาจทำให้เค้ารู้จักใครซักคนมากกว่าเรา เเต่เราคิดว่าเค้าคงเจ๋งในระดับนึงล่ะค่ะ เเต่คงไม่ถึงขั้นโดดเด่นมากมายอะไร   เพราะก็คงมีคนเจ๋งๆ เป็นfund manager  อีกเยอะเเยะ เเต่สำหรับเราๆท่านๆ  การเป็นได้อย่างเค้าก้อคงยากเเล้วค่ะ สมมุติเล่นๆนะคะ ว่าผลการเรียนของเค้าคงดีเลิศในทุกวิชาหรือซักวิชา เเล้วอาจารย์เค้าอาจเป็นอาจารย์ใครซักคนในฟันด์ นั้นเเล้วรับรองเค้าเข้าไปล่ะเป็นไปได้ไม๊ เเบบเดาเล่นๆเพราะเคยอ่านเรื่องคนอินเดียเรียนเเค่มัธยม   เเต่โปรเฟสเซอร์ฝรั่งที่ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะ รับรองให้เค้าไปเข้าMIT ถ้าจำมหาลัยไม่ผิดนะ เเล้วมีคนถามเค้าว่าผลงานอะไรที่เค้าทิ้งไว้ให้โลก เค้าก็ตอบว่า การที่เค้าค้นพบรามานุจัน อีกเคสเค้าก็ได้เรียน โทเอก  เพราะอาจารย์เขียนรับรองไปอย่างเดียวว่า คนคนนี้เป็นอัจฉริยะ ก้อไม่ต้องทดสอบอะไรก็ได้เรียน เเล้วเค้าก็พิเศษว่าเค้าเป็นจริงๆเเม้จะบ้าก็ยังได้รางวัลโนเบล จอห์น เเนชไงคะ คือเมืองนอกเค้าเชื่อถือเรื่องการรับรองกัน หรือคิดอีกอย่าง  เราว่าอาจเป็นเพราะตอนไปสัมภาษณ์ เค้าเเสดงความคิดอะไรเจ๋งๆจนคนสัมภาษณ์ ประทับใจเค้าก้อได้นะคะ หรืออาจมีการทดสอบอะไรบางอย่างกับเค้านะ   หรือคิดในเเง่ร้ายที่สุด  เอาเป็นว่าบุคลิกเค้าน่าเชื่อถือ   วาจาดูดีพอที่พวกเศรษฐีจะเชื่อเค้า เเล้วยอมลงเงินในกองทุนของเค้าก็ได้นะอิอิ เดามั่วๆไปเรื่อยนะคะ   reply นี้  โปรดอย่าถือสา แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 10:29:57 จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 10:20:58 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ Mudleygroup เอ แบบนี้ก็ออก ๆ แนว Behavioral Finance ก๊ะ Psychology สิครับ แต่การศึกษาเรื่องแบบนี้ในระดับ MASS แล้วให้ได้ Precision ที่แน่นอนเนี่ย มันจะไม่ยากเกินไปหรือครับ ไหน ๆ แล้ว ดังนั้นเจ้านายผมถึงศึกษาคนเป็นอย่างดี ^ | ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับ ว่าเจ้านายคุณมัดเล่ย์เขาศึกษาคนยังไงครับ 555 -------------------- แต่พูดถึงเรื่องคณิตศาสตร์ก็ดี ถึงมันจะมีจุดอ่อนในเรื่องของสมุมติฐานอย่างที่คุณมัดเล่ย์ว่า แต่ถ้าผมเอาเรื่อง Self Fulfillment Prophecy มาแย้งล่ะ อย่าง Black-Scholes on Options เนี่ย รู้สึกก็จะผิดกันตั้งแต่ระดับมูลฐานที่ว่า return มันกระจายตัวแบบ....เอ้อ อะไรนะ ลืม -*- โอเค เอาเป็นว่า คือถึงมันจะ fundamentally flaw แต่เื่มื่อคนใช้มันเยอะ ๆ ๆ ๆ  ๆ ๆ ๆๆ  ๆ ๆ ๆ เมื่อคนเชื่ออ theoretical price เยอะ สุดท้ายแล้วมันก็จะต้องเป็นจรึง ซึ่งก็จะนำมาสู่ precision ในระดับหนึ่งของ mathematical model จริงมั้ยครับ แล้ว precision นี้ คุณ mudley ว่ามันน่าืเชื่อแค่ไหนครับโดยตัวของมันเอง และการเทียบกับ People Study of Your boss :-D ------------ พูดถึงเรื่องอามณ์ตอนนี้น่าจะมี โคตรกลัว เพิ่มมาอีกอย่างนะครับ :-P จากคุณ : EAGo - [ 12 ธ.ค. 51 10:21:53 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณ RoseTiera สมมุติเล่นๆนะคะ ว่าผลการเรียนของเค้าคงดีเลิศในทุกวิชาหรือซักวิชา เเล้วอาจารย์เค้าอาจเป็นอาจารย์ใครซักคนในฟันด์ นั้นเเล้วรับรองเค้าเข้าไปล่ะเป็นไปได้ไม๊ ู ^ | เป็นไปได้เลยครับ --------------------- ปล เด๋วจะออกจากเน็ตแล้วนะครับ ไว้ดึก ๆ จะกลับมาคุยใหม่ จากคุณ : EAGo - [ 12 ธ.ค. 51 10:29:31 ]

ความคิดเห็นที่ 29 สรุปแบบตามที่ผมเข้าใจน่ะครับ เทคนิคหรือข้อมูลต่างๆที่ใช้ตัดสินใจเป็นองค์ประกอบหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้เป็นผจก.กองทุนที่เก่งได้ ปัจจัยที่สำคัญกว่าคือความกล้าที่จะตัดสินใจทำในสิ่งที่ตนวิเคราะห์ออกมาแล้วต่างหากที่ยากกว่า ลองถามตัวเองว่าเมื่อคุณคิดที่จะทำ มีกี่ครั้งที่คุณได้ลงมือทำ เมื่อคุณทำตามที่คุณคิดแล้วเกิดผิดพลาด คุณยังทำตามที่คุณคิดอยู่ไหม ถ้าคุณเปลี่ยนแนวคิดโดยเรียนรู้จากการผิดพลาดแล้ว ยังทำให้การตัดสินใจพลาดอีก คุณจะยึดแนวคิดดั้งเดิมหรือเปลี่ยนแนวคิดไปเรื่อยๆ ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเดิม ไม่ใช่เพราะปัจจัยเดิมๆ แต่เพราะมนุษย์มักจะตัดสินใจพลาดแบบเดิมๆโดยพื้นฐานของความกลัวและความโลภ เพียงแค่คุณก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ได้โดยที่คนอื่นยังวนเวียนอยู่ในวงจรนี้ให้ได้ จากคุณ : Godgate - [ 12 ธ.ค. 51 10:39:51 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เป็นคำถามที่ดีมากครับ จากการที่ผมได้ศึกษาๆหลายๆเฮดจ์ฟันไม่จำเป็นเฉพาะฟันผมเอง ( อันนี้เป็นการค้นคว้าส่วนตัวนะครับ โชคดีเจ้านายอ่านไทยไม่ออก ลึกๆอย่างทำงานให้คนไทยมากกว่า แต่กระนั้นเองข้อจำกัดเยอะเหลือเกิน เลยต้องอยู่กะฝรั่งต่อไป ประมาณคนไทยไม่มีใครเอาครับ 5555 ) ผมก็ได้ติดตามแนวคิดของแต่ล่ะฟันและเปิดใจรับแนวคิดของทุกฟัน ถ้าเราเคยอ่านหนังสือของ Osho ที่ว่าเมื่อไรที่เราเป็นเด็กแล้วเราจะค้นพบ ซึ่งพอผมเปิดใจสนใจทุกอย่างที่ขวางหน้าซึ่งที่ผมได้เรียนรุ้มันเลยเพิ่มขึ้นมากมาย คราวนี้มาดูกันว่าผมได้เรียนรุ้อะไรบ้าง เพื่อจะให้ภาพชัดเจน คำถามแรกก็จะช่วยตอบเราได้ครับ "MASS แล้วให้ได้ Precision ที่แน่นอนเนี่ย มันจะไม่ยากเกินไปหรือครับ" เรื่องของความต้องการคาดการณ์เนี่ยจะเป็นสิ่งลึกๆในใจของพวกเราทุกคนที่อยากรู้ ไม่เช่นนั้นดวงชะตาก็อาจจะไม่มีคนสนใจ Fund ที่ล้ำหน้ากว่า Fund อื่นจะก้าวข้ามสิ่งนี้ไปคือความต้องการที่จะคาดการณ์ กล่าวคือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็อยุ่ได้ นี่คือปัญหาแรกของคนเลย อ้าวแล้วถ้าเราไม่คาดการณ์เราจะอยุ่ได้ไง คนเราต้องการความปลอดภัยในสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำ ยิ่งสามารถคาดการณ์อนาคตได้ยิ่งดี ดังนั้นเราจะเห็นศาสตร์ต่างๆออกมาตอบสนองความต้องการความปลอดภัยของคนเราไม่ว่าจะเป็นเทคนิค ความน่าจะเป็น หรือ อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งถ้าหากมันได้ผลมันก็จะเป็นเพียงการเห็นพ้องต้องกันของมนุษย์ ซึ่งเราก็จะถูกความบังเอิญเหล่านี้หลอกเราเรื่อยมา ซึ่งหากเราจะเล่นอยู่กับความเชื่อของคนเนี่ยมันก็เหมือนเราเล่นรัสเซียรูเลต ตราบใดที่เรารอดอยุ่เรามักจะคิดว่าทฤษฎีเหล่านั้นว่ามันได้ผล ซึ่งจริงๆแล้วมันอาจจะใช้ได้หรือไม่ก็ได้ ตรงนี้ที่ Fund ที่ก้าวข้ามตรงนั้นมาแล้วจะถือว่าเป็นความเสี่ยง ความเสี่ยงนั้นไม่ได้อยุ่ที่ตัววิชาการหรอกครับ วิชาการนะคิดมาอย่างดีแล้ว ความเสี่ยงอยุ่ที่คนว่าเมื่อไรที่เค้าจะเห็นพ้อง หรือวันดีคืนดีคนเหล่านี้ไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา และถ้าเราตั้งความคาดหวังไว้ว่าสักวันคนเหล่านี้จะเริ่มเชื่อในสิ่งเหล่านี้ แล้วมันจะดีเอง ซึ่งก็กลับมาที่ Loop เดิมพื้นฐานของคนเราซึ่งตั้งไว้ที่ความดคาดหวังอีก เมื่อไรที่มีความคาดหวังเมื่อนั้นเป็นความเสี่ยงครับสำหรับ เฮดจ์ฟัน ที่เอาตัวรอดมาในยุควิกฤตหลายๆครั้งได้ จริงๆแล้วผม Develop ต่อมาจากเจ้านายผมอีกขั้นแล้ว คือเราหลุดออกจากการคาดการณ์ของมนุษย์ เพราะ fund ผมก็ยังติดอยุ่ในการคาดการณ์อยุ่ดี ไม่เหมือนบาง fund ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ไปแล้ว แต่จุดเริ่มแรกก่อนเลยที่สำคัญพื้นฐานเลยคือเราต้องเรียนรุ้มนุษย์ก่อน พยามที่จะรู้ว่าเค้าคิดอย่างไร มีกระบวนการตัดสินใจอย่างไร นี่คือสิ่งที่เว็ปบอร์ดจะช่วยเราได้มาก เพราะมนุษย์ทุกคนจะแสดงความเชื่อลึกๆส่วนตัวออกมาเวลาถกเถียงกัน เราจะได้เรียนรุ้ตรงนี้เยอะมากๆครับ จริงๆอาจจะไม่ตรงคำตอบเท่าไรเพราะเรื่องของการคาดการณ์คนเนี่ยมันต้องใช้โมเดลด้านปรัชญามาจับ หรือ วิทย์ศาสตร์สังคมมาจับ ซึ่งมันอธิบายเป็นตัวเลขหรือคณิตศาสตร์ลำบากครับ เราจะใช้คณิตศาสตร์พื้นฐานช่วยเฉยๆ เช่น Survival Rate หรือ Money Management  และผมไม่เชี่ยวชาญเท่าไร ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านนี้คือโซรอส ครับ ผมว่าแกตอบได้ดีกว่าผมมาก อิอิ สรุปวิชาการเนี่ยเป็นสิ่งที่ดีครับ เพียงแต่ความบังเอิญในโลกของเรามันมากเกิน มันมากจนเรายากที่จะแยกให้ออกว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เรื่องนี้ทาเลป อธิบายไว้ในหนังสือ เก่งเทียมฟ้าหรือว่าโชค แล้วครับ :) จากคุณ : MudleyGroup - [ 12 ธ.ค. 51 11:22:37 ]

ความคิดเห็นที่ 31 หมายความว่าหาโมเดลที่สามารถใช้ได้กับทุกสภาพตลาดเหรอคะ คือไม่ต้องไปคาดการว่าตลาดหรือคนจะคิดยังไงเพราะไม่ว่าจะยังไง ก็ใช้ได้ทุกสถานการณ์เหรอคะคุณมัดเล่ย์ จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 11:36:07 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ใช่ครับ คุณ RoseTiara ตอนแรกผมก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน แต่พอเราศึกษามากๆเข้า ถึงแม้บางฟันจะไม่บอกเคล็ดลับ แต่บางที fund manager บางคนก็หลุดๆแพลมๆออกมา เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนอย่างให้มีคนชื่นชมในแนวคิดของตัวเอง และผมก็ชื่นชมพวกเค้าจากใจจริง เค้าก็เลยมีอธิบายบ้างด้วยใจที่เอ็นดูเรา  พอผมได้เรียนรุ้ก็สามารถที่จะต่อยอดของตัวเองได้กับเค้าบ้างน่ะครับ :) ดังนั้นทุกคนผมเลยถือว่าเค้าเป็น Master ของผมหมด หากมีไรให้ผมรับใช้หรือช่วยเนี่ยผมยินดีทำเต็มที่เลย เพราะวิชาความรุ้ที่เค้าได้เรียนรุ้มาเนี่ยมันช่วยเปิดโลกอันแคบๆของผมได้ดีจริงๆเลย บ่นมาเสียยาว ขอบคุณมากครับ อิอิ จากคุณ : MudleyGroup - [ 12 ธ.ค. 51 12:01:02 ]

ความคิดเห็นที่ 33 นอกจากจอร์จ โซรอสเเล้วคุณศรัทธาในเเนวคิดของใครบ้างคะ เเละอีกข้อที่อยากถามค่ะ ถ้าชาตินี้อ่านหนังสือเรื่องการลงทุนได้ห้าเล่ม คุณจะเลือกเล่มไหนคะ อิอิ  จะตามไปหาอ่านค่ะ ตอนนี้อยู่ในช่วงศึกษาเหมือนกัน จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 12:14:34 ]

ความคิดเห็นที่ 34 อยากถามอีกข้อนะคะคุณมัดเล่ย์ อยากถามว่าโมเดลเทรดที่ดี ที่ครอบคลุมได้ทุกสถานการ์นี่ ประกอบด้วยอะไรคะ หลักใหญ่คือ money management หรือเปล่าคะ จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 12:28:55 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ผมว่าที่คุณ RoseTiara พูดไว้แต่แรกนั่นใช่เลยครับ คนที่เก่งๆหลายคนที่ผมเจอใช้แค่คณิตศาสตร์พื้นฐานเท่านั้นเอง ผมไม่ทราบว่าด้วยสาเหตุใดๆคนเราถึงต้องพยามทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูยากมากมายขนาดนั้น ดังนั้นโมเดลที่ดีหัวใจของมันมีอยุ่ไม่กี่อย่าง ขั้นแรก Money management ต้องดี ดีเพื่ออะไร เพื่อให้ Survival Rate ในตลาดเราสูง กล่าวคือเราสามารถอยุ่ในตลาดในตลอดไป และที่สำคัญสิ่งที่เราจะลงทุนด้วยเนี่ยเราต้องมั่นใจว่ามันจะสามารถอยุ่กับเราได้นานเท่านาน ขั้นสอง รายได้จากพอรตการลงทุนจาก money management ของเราต้องเข้ามาสม่ำเสมอ อย่ายึดติดกับผลตอบแทนเช่นต้องทำให้ได้สูงๆถึงเก่งไรแบบนั้น ขั้นที่สามพอมีกำไรที่แท้จริงแล้ว ค่อยแบ่งส่วนกำไรนั้นมาเก็งกำไร การเก็งกำไรหัวใจของมันคือเอากำไรที่เรามีไปเก็งกำไร ไม่ใช่เอาทุนที่เรามีไปเก็งกำไร สุดท้ายพอพอร์ตเรามั่นคงแล้วไอ้สิ่งที่ทุกคนต่างวิ่งหาตอนแรก Return นั้นจะวิ่งเข้ามาหาเราเอง ผลตอบแทนเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะได้หลังจากประสบความสำเร็จ  เพราะบางคนไม่ได้สร้างฐานให้ดีก่อนแล้วไปเก็งกำไรเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ แน่นอนผลตอบแทนเป็นสิ่งที่ยั่วใจและมันดีจริงๆ แต่เมื่อฐานเค้าไม่แข็งแรงและมั่นคงแล้ว จะมีวันนึงที่เค้าพลาดในเกมส์รูเล็ตนี้ สำหรับหนังสือถึงแม้ผมจะชอบโซรอสมากที่สุดแต่อันดับแรกผมยกให้ 1. เก่งเทียมฟ้าหรือว่าโชค  Fooled by randomness  ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงได้อ่านกันแล้ว ผู้เขียนอาจจะ็เขียนแรงๆซึ่งอาจจะไม่ถูกจริตกํบบางคน ซึ่งจะเป็นตัวทดสอบว่าจิตใจเรากว้างเปิดรับความคิดเห็นของคนที่เค้าคิดแตกต่างจากสิ่งที่เราเรียนรุ้มามากแค่ไหน เราอาจไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่เมื่อเราไม่ปิดกั้นด้านไหนเลยความรุ็้้จะเปิดมุมมองให้เราได้ดีเลย (บางทีผมยังชอบดุพวกอี้จิง หรือ ดวงดาวเลย สนุกดี อิอิ) 2. The New Paradigm for Financial Markets (George Soros) อันนี้เวอร์ชั่น สมบูรณ์สุดแล้วมั้งครับของแก จริงๆแล้วหนังสือลงทุนผมอ่านน้อยมาก ชอบอ่านพวกปรัชญาอะไรแบบนี้อ่ะครับ แต่เน้นไปทางปรัชญาตะวันออกมากกว่า เพราะลึกๆบางทียังไม่สามารถเปิดใจรับปรัชญาตะวันตกได้ดีเท่า เพราะรุ้สึกเค้าเข้าถึงได้น้อยกว่า แต่อย่างที่บอกครับตอนนี้ก็พยามซื้อปรัชญาตะวันตกมาอ่านเพื่อไม่ให้ตัวเองปิดกั้นน่ะครับ อิอิ จากคุณ : MudleyGroup - [ 12 ธ.ค. 51 13:09:21 ]

ความคิดเห็นที่ 36 กระทู้เยี่ยมม มีสาระฮะ จากคุณ : Duckcovery - [ 12 ธ.ค. 51 13:45:37 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณค่ะ สุดท้ายพอพอร์ตเรามั่นคงแล้วไอ้สิ่งที่ทุกคนต่างวิ่งหาตอนแรก Return นั้นจะวิ่งเข้ามาหาเราเอง ผลตอบแทนเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะได้หลังจากประสบความสำเร็จ  เพราะบางคนไม่ได้สร้างฐานให้ดีก่อนแล้วไปเก็งกำไรเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ แน่นอนผลตอบแทนเป็นสิ่งที่ยั่วใจและมันดีจริงๆ แต่เมื่อฐานเค้าไม่แข็งแรงและมั่นคงแล้ว จะมีวันนึงที่เค้าพลาดในเกมส์รูเล็ตนี้ อ่านเเล้วนึกถึง เจซซี่ ลิเวอร์มอร์เลย  เจ๊งๆ รวยๆอยู่หลายรอบ เพราะไม่มีrisk management ที่ดีพอ  สุดท้ายเนื่องจากความวิตกกังวล อารมณ์สวิงจากเดี๋ยวเป็นเศรษฐีเดี๋ยวเป็นยาจก บวกกับปัญหาครอบครัวเลยฆ่าตัวตายซะเลย เบน  เเกรมเป็นยิว โซรอสก็เป็นยิวใช้ไม๊คะ พวกยิวนี่ฉลาดมากนะเรื่องเงินๆทองๆ เราคิดว่าปรัชญาเค้าไม่ใช่ปรัญชาตะวันตกนะ พวกตะวันออกกลางสำหรับเราเป็นเป็นความผสมผสาน ที่บอกไม่ถูกว่าเป็นออกหรือตก  เเม้เเต่หน้าตาเค้าก็เป็นเอเชียปนฝรั่ง พวกนี้ไปอยู่ที่ไหนเค้าก็ไม่ลืมประเพณีของเค้าเค้ายังฝังหัวกันอยู่ เเต่ที่ต่างจากอีกฝ่าย  ที่รบกัน คือเค้าค่อนข้างเปิดรับวิทยาการก้าวหน้า เเละคิดเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ได้สอนให้เชื่ออย่างเดียว  กับอาจารย์เค้าถกกันเป็นว่าเล่นเลย จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 13:48:21 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อ้อ  เรื่องสนใจเเนวปรัชญา เบน เเกรม  บิดาการวิเคราะห์หลักทรัพย์ตอนเรียนจบมหาลัย Professor จะให้เค้าเลือกว่าจะเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ หรือปรัชญา เพราะเค้ายอดเยี่ยมทั้งสองอย่าง เราสังเกตได้ว่ากูรูคนอื่นๆของโลกหรือของไทย(อาจารย์นิเวศน์) จะเป็นพวกพหูสูตรสนใจหลายๆอย่าง เเล้วสังเกตคนที่ชอบสนใจปรัชญามักเป็นพวกชอบคิด มีเหตุผล   มีตรรกะ  เเต่มีจินตนาการด้วย อิอิ ตอนเด็กๆเราก็สนใจนะเคยได้เอด้วย เเต่เป็นวิชาปรัชญาจริยะ ไม่ได้เป็นปรัชญาเพียวๆ   สงสัยจะมีเเววดีซะเเล้ว555(ล้อเล่นค่ะ) ข้าน้อยด้อยวิชา  ยังต้องศึกษาต่อไป จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 13:58:19 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ปล.  อยากให้กิ๊ฟ  เเต่กิ๊ฟหมด  เเจกไปหมดเเล้ว จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 14:29:06 ]

ความคิดเห็นที่ 40 สำหรับ fooled by randomness นั้นผมเห็นว่ามันต้องอาศัยพลังในการอ่านมากๆเลยครับ ไม่งั้นมันจะทำลายcognitive thinking ของเราได้ ผมไม่แนะนำให้คนที่ไม่เคยเริ่มอะไรอ่านนะ อย่างเช่น เค้าบอกว่า เวลากำไร เก่ง หรือ ดวง คุณต้องกำไรนานแค่ไหนถึงจะพอเชื่อนิดๆได้ว่าเราก็มีฝีมือล่ะ จริงอยู่เวลาเราได้กำไรหุ้น สิ่งที่ควรคิดก็คือ "อย่างน้อยก็ไม่ขาดทุน" เพราะว่ามันไม่แน่นอน ไม่รู้ว่า เก่ง หรือ ดวง แต่ แต่ แต่ ในชีวิตที่แท้จริงมนุษย์ต้องการการยอมรับทั้งจากตัวเองและคนอื่น การที่เราไม่ยอมรับในตัวเอง ส่งผลทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดในบางโอกาสได้ เช่นตอนที่ควรลงทุนมาก กลับลงทุนน้อย หรือตอนที่ควรลงน้อยกลับลงมาก หรืออีกอย่าง ก็คือ ผมคิดว่า เราควรเริ่มจากพัฒนาตัวเองก่อน สร้างzoneขึ้นมา แล้วค่อยไปเรียนรู้โลกของความจริง อย่างที่talebกล่าวในหนังสือ จากคุณ : galadinner - [ 12 ธ.ค. 51 14:37:41 ]

ความคิดเห็นที่ 41 หาโมเดลเทรดได้เเล้วระหว่างเล่นในกระดาษไปก่อน กับเล่นน้อย ในสนามจริง  คุณมัดเล่ย์เห็นว่าอย่างไหนดีกว่ากันคะ เเต่เราคิดว่าเล่นในกระดาษมันไม่มีความโลภ ความกลัวเข้ามาเกี่ยว เเต่เรื่องความโลภ เราไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เพราะจะได้เงินฟรีหลายเเสนเเล้วเเต่ไม่ได้เอา เราเล่นเหมือนเกมส์มากกว่า เงินเป็นชิปหรือไอเท่ม เเต่ความกลัวนี่เรามีมากทีเดียว  ไม่ได้กลัวเสียตังค์ เเต่กลัวเสียเหลี่ยม(  เเปลกๆนะ) ตอนคุณมัดเล่ย์หาโมเดลเทรดนี่   ลองผิดลองถูกนานไม๊คะ เเล้วเคยประยุกต์ใช้พวกการรบ ยุทธวิธีมาใช้ไม๊คะ รวมทั้งเคยอ่านพวกจิตวิทยามวลชนมาบ้างหรือเปล่า หรือว่าเป็นคนที่คาดเดาอะไรได้เอง หรือว่าศึกษาเอาจากประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นคะ สังเกตดูคนที่เล่นหุ้นเก่ง  เเนวที่ไม่ใช่VIนะ จะเก่งจิตวิทยา  ในเวปนี้หลายๆคนเลย ที่เล่นได้กำไร  จิตวิทยาเค้าดีมากเลย ทั้งจิตวิทยาตัวเค้าเองเเละการอ่านคนอื่น ทำยังไงถึงจะพัฒนาส่วนนี้คะ นอกจากประสบการณ์(เรียนลัดว่างั้นเถอะ) จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 14:39:32 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อิอิ คุณ RoseTiara นี่ตั้งใจมากเลยนะครับ ผมไม่กล้าพิมพ์เยอะแล้วล่า กลัวกระทู้มันจะมีแต่ความเห็นของผมอย่างเดียว เดี่ยวผุ้รู้ท่านอื่นไม่ได้มาแสดงความคิดเห็น มันจะกลายเป็นแต่มีมุมมองผมอย่างเดียวนะครับ ซึ่งมันต้องขาดตกบกพร่องอะไรไปอยุ่แล้ว หวังว่าผุ้รู้ท่านอื่นแบบคุณ galadinner จะช่วยมาต่อเติมเสริมแต่งจุดบกพร่องให้ด้วยแล้วกันนะครับ ผมคิดว่าควรเล่นน้อยๆในสนามจริงได้อะไรมากกว่าแน่นอน เป็นแม่ทัพต้องจับดาบฟาดฟันศัตรูจริงๆ ฝึกต่อสู้ในกระดาษมันช่วยเราได้เพียงไอเดีย แต่ Skill มันไม่เพิ่มตามครับ เพราะ skill จะมาจากประสบการณ์ล้วนๆ ก็คงเหมือนนักกีฬาที่ต้องซ้อมเยอะๆน่ะครับ จะว่าไปเรื่องของคนนี่ผมโชคดีที่ตอนเด็กชอบเล่นหมากรุก ก็ติดสอยห้อยตามพ่อไปตามที่ต่างๆว่างๆก็เล่นหมากรุก ซึ่งถ้าเล่นแบบเดินสายเนี่ยส่วนเค้าจะต้องเล่นพนันเค้าถึงจะยอมเล่นกับเด็กอย่างเรา หมากรุกเป็นเกมส์วางผลประโยชน์ทำให้เราสามารถมองได้ว่าอีกคนคิดอะไรอยู่ ซึ่งตรงนี้ช่วยทำให้ผมมีพื้นฐานมากพอสมควรเกี่ยวกับเรื่องของคน หลังจากเป้นนักหมากรุกไทยดาวรุ่งที่อายุน้อยที่สุดผมก้วางมือไปเพราะเส้นทางนี้ในเมืองไทยมันไม่เหมือนเมืองนอก อยากเรียนลัดนี่ผมว่าศึกษาพวกพิชัยสงครามเยอะๆ เล่นเกมส์ผลประโยชน์อะไรก็ได้ที่ต้องต่อสุ้กับคนด้วยกันเอง สิ่งสำคัญคือ ฝึกสมองอีกซีกไว้ด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นดนตรี หรือ ศิลปะ  แม้กระทั่งการนั่งสมาธิ จะช่วยทำให้เรามีสติ พอรุ้เท่าทันตัวเองก็จะรุ้เท่าทันคนอื่นได้ไม่ยาก แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการฝึกเทรดจริงนี่หล่ะครับ ไม่ต้องเงินเยอะเงินน้อยๆที่เราคิดว่าเป้นการฝึกฝน เวลาผมจะทดลองแนวคิดอะไรผมจะทดลองด้วยเงินจริงของตัวเองตลอด เพื่อนๆที่อยุ่ที่นีี่มานานมักจะทราบดี  นั่นจะทำให้เรามีประสบการณ์โดยตรงกับตลาดครับ จนถึงปัจจุบันนี้ผมเทรดมาไม่น้อยกว่า 3-4 หมื่นรายการ ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับผมจับดาบออกไปฟาดฟันศัตรูมาหลายหมื่นครั้ง แน่นอนมีเจ็บสาหัสบ้าง แพ้ก็บ่อยไป แต่ก็ไม่สำคัญอะไรหากเรายังไม่ตายไปในสนามรบนั้น อย่างที่บอกครับถ้าเรามี Survival Rate สูงเนี่ยสิ่งที่ได้มาแน่นอนคือ skill   ยังไงวันนี้ขอตัวก่อนนะครับ  ขอบคุณมากครับ :) จากคุณ : MudleyGroup - [ 12 ธ.ค. 51 15:29:42 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ไม่มีความรู้เรื่อง Fund maneger เลยค่ะ ไม่เคยเจอด้วย แต่พออ่านแล้วเห็นว่า มีการแสดงความคิดแนว คณิตศาสตร์และปรัชญา เลยขอ แจม นิดๆนะคะ   คณิตศาสตร์และปรัชญาถือว่าเป็นวิชาโซนเดียวกันนะคะ ถ้าจบปริญญาเอกคณิตศาสตร์สาขา logic จะได้รับปริญญาทั้งสองสาขาค่ะ ทั้งทาง math และปรัชญา  คณิตศาสตร์ระดับลึกจะแบ่งเป็นหลายสาย ดังนั้น ไม่ใช่ว่าใครเรียนคณิตศาตร์แล้วจะรู้ลึก รู้จริง ไปทุกสาย  อย่างเช่น  สมมติกองทุน ที่คุณ Rose Tiara เอ่ยถึง รับนักคณิตศาตร์มามาก ก็ต้องดูก่อนว่าเขารับสาขาไหนเข้ามา  โดยทั่วไปการทำคณิตศาสตร์ประยุกต์ที่เป็นการหยิบหรือหา model มาใช้ จะเป็นทางสาขา apply math  ซึ่งเรียนทาง แคลคูลัส มาแน่น   วิธีการคิด คือ ต้องมีขอบเขตที่ชัดเจน นักคณิตศาตร์ก็จะคิดตามขอบเขตที่กำหนดให้ "เท่านั้น"  และจะมีการอธิบายแนวโน้ม "เล็กน้อย"   ดังนั้น  แนวทางการลงทุนก็ต้องให้ สาขาอื่นทำให้ ถ้าจะให้สาขานี้ทำ ก็คือ ไม่ทันกินหรอกค่ะ  การให้นักคณิตศาตร์เข้ามาคิดให้จึงไม่ได้รับประกันว่ามันจะทำให้เกิดกำไร ถ้าจะนับ นิวตัน เป็นนักคณิตศาตร์ที่ล้มเหลวในการค้าขายหุ้น ก็ไม่แปลกใจค่ะ เพราะ นิวตันอยู่สาย แคลคูลัส ซึ่งถนัดการต้องกรอบสมมติที่ชัดเจน จึงไม่เหมาะกับ การเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (ไม่ทันกิน) ไม่ใช่ว่าจะไม่มีนักคณิตศาตร์ที่ประสบความสำเร็จ ก็มีอยู่คนหนึ่งที่เห็นชัดเจน "วอแรนต์ บัฟเฟต" ค่ะ ก็นักคณิตศาสตร์นะคะ ถนัด logic ด้วย เห็นด้วยอีกอย่างที่ต่างประเทศจะเชื่อถือ recommend มากๆ การได้ recommend จากอาจารย์ดังๆซัก 3 ท่าน มีผลต่อการตอบรับมากกว่าเกียรตินิยมอีกค่ะ (ในสาขาคณิตศาตร์) จากคุณ : กันดัมจัง - [ 12 ธ.ค. 51 15:44:01 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ที่จริงแล้ว โมเดลหลายโมเดลในคณิตศาสตร์ ก็ให้สิ่งที่น่าสนใจนะครับ เช่นdiscount cashflow เนี้ยะ ไอเดียไม่ได้อยู่ที่ว่าหุ้นควรจะราคาเท่าไหร่ แต่ไอเดียอยู่ที่ว่า สัดส่วนการแปรผกผันกับระหว่างราคาหุ้นกับอัตราดอกเบี้ยที่discount และ แปรผันตรงกับเงินปันผล(ดังนั้นในเมืองนอกเค้าจะพยายามปันผลให้คงที่มากๆครับ เพื่อลดการผันผวนของราคาหุ้น บางครั้งไปกู้มาปันผลก็มี (ดัดหลังโมเดล)) ส่วนเรื่องเทรดกระดาษนั้น เวลาเพื่อนๆมาถามผมว่าจะลงทุนยังไงดี ผมมักจะบอกว่า ให้เอาเงินจริงเทรดไปเลย แต่ให้เป็นเงินที่เสียได้ เพราะในชีวิตจริงน้ัน การเทรดที่ดีก็คือ เทรดกับเงินที่คิดว่าจะเสียได้ โดยอาศัยหลักการsurvival rateอย่างที่คุณมัดเล่ย์กล่าวนั่นแหล่ะ อยู่ในตลาดให้นานที่สุดจนกว่ารอบของเราจะมาถึง จากคุณ : galadinner - [ 12 ธ.ค. 51 15:56:34 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณทุกๆท่านนะคะ โดยเฉพาะคุณมัดเล่ย์ เราต้องไปนอนเเล้วเหมือนกัน จากคุณ : RoseTiara - [ 12 ธ.ค. 51 16:46:41 ]

ความคิดเห็นที่ 46 กลับเข้ามาดูอีกทีคุยยาวเลยแฮะ ... ว่าแต่ถึงผมอยู่ด้วยก็คงคุยด้วยไม่รู้เรื่องแน่ ๆ ... เพราะไม่ค่อยมีความรู้ครับ ... โดยเฉพาะเรื่องโมเดลก็ศึกษามานิดหน่อยครับความรู้จริง ๆ ทางด้านนี้ไม่มีเลย ... แล้วก็ไม่ค่อยได้เอามาใช้จริงด้วยครับ เพราะเวลาเทรด ผมใช้ระบบแบบเรียบง่ายมาก ๆ เลย ดูโมเดลแล้วปวดหัวครับ ... อิอิอิ ส่วนปรัชญาชอบมากเลยครับ ทั้งตะวันตกและตะวันออกเลย แต่ความรู้ด้านนี้ก็ไม่ค่อยมีอีกเหมือนกันครับ ... แต่ชอบหนังสือของโซรอสเหมือนกันนะครับ อ่านแล้วงง ๆ ดีครับ ... หุหุหุ ไปแล้วครับ เข้ามาอ่านเฉย ๆ ครับ จากคุณ : ยอดไม้บนปลายดอย - [ 12 ธ.ค. 51 19:51:08 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เป็นเด็กน้อยผ่านเข้ามาอ่านค่ะ เผอิญตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องการลงทุนหลายๆประเภทอยู่ และส่วนตัวเป็นคนชอบคณิตศาสตร์ ตรรกะ และศึกษาแนวคิดของผู้อื่นอยู่แล้ว อ่านๆไปก็งงไป @_@ เพราะไม่มีความรู้ทางด้านนี้  แต่ก็อ่านตั้งแต่ต้นจนจบค่ะ ชอบตรงที่แต่ละท่านที่โพสมีแนวคิดที่เป็นตัวของตัวเอง   นับถือค่ะ ยังไงเดี๋ยวต้องไปหาหนังสือที่โพสๆกันมาอ่านกะเค้าบ้างซะแล้ว ------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------- สำหรับเด็กน้อยคนนี้  ตอนนี้คิดเป็นอย่างเดียวคือ ตั้งเป้าหมาย ศึกษาหาความรู้ และลงมือทำ ที่สำคัญ ต้องคิดบวก*** จะได้มีความสุขในทุกๆวัน   ไม่ใช่ **การรอ** เพื่อที่จะมีความสุขในอนาคต D:^_______^:D จากคุณ : deedee777 (DD-BV) - [ 13 ธ.ค. 51 00:16:55 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คุณกรณ์ จบป.ตรี เกียรตินิยม อันดับ 2 มหาวิทยาลัย อ็อกซ์ฟอร์ด ธรรมดาที่ไหน?? สัมภาษณ์งานเป็น 10 แห่ง กว่าจะได้ทำงาน ไม่เห็นง่ายเลยครับ?? จากคุณ : Gun_kun - [ 13 ธ.ค. 51 01:50:55 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เราว่าเรื่องคณิตศาสตร์ วอร์เรนในคณิตศาตร์เป็นระดับเก่งธรรมดา เเต่คนที่ไม่ธรรมดาคือเบน เเกรมซึ่งเป็นอาจารย์วอเรน วอร์เรนเรียนไม่ได้เก่งมากเเค่เรียนดี เค้าต้องย้ายมหาลัย เเถมมหาลัยบางที่ยังปฎิเสธเค้าเข้าเรียน มีการเเซวว่ามหาลัยนั้นคงเสียใจที่ไม่รับเค้าเข้าเรียน   (ไม่งั้นคงมีศิษย์ชื่อดังเเถมรวยที่สุดในโลกเเล้ว) เเต่เบนไม่ใช่     เบนนั้นจบเเล้ว อาจารย์ยังชวนเป็นอาจารย์ต่อในสองสาขาด้วยกัน (จริงๆเค้าอัจฉริยะหลายด้าน) เพราะเห็นความอัจฉริยะเเละผลการเรียนยอดเยี่ยม  ตอนหลังเค้าก็มาสอนที่โคลัมเบียเป็นอาจารย์พิเศษประมาณนั้น เเล้วศิษย์เอกเค้าเกือบทุกคน ทำเงินมหาศาลมีชื่อเสียงโด่งดัง เเละอีกคนที่ดูเเล้วฉลาดมากๆเลย ก็คืออาจารย์อีกคนของวอร์เรน  ฟิลิป ฟิชเชอร์ ที่ว่าเบนเก่งกว่าเพราะผลการเรียน ยอดเยี่ยมเเละอย่าลืมกว่าก่อนเบนไม่มี ใครคิดเรื่องการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหุ้นอย่างเป็นระบบมาก่อน เเละวอร์เรนก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรกับหุ้นมากมาย เค้าใช้เครื่องมือทางเทคนิค เเละ เหมือนว่าเคยเขียนคอลัมเกี่ยวกับการ วิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยจนเค้ามาเจอเบนนี่เเหละ เหมือนชีวิตเค้าเปลี่ยนไป เค้าเป็นคนบุกเบิก  วอร์เรนเพียงเเต่มาปรับใช้เพราะวิธีของเบนเน้นเชิง ปริมาณมากเเต่วอร์เรนปรับทางคุณภาพเข้ามาด้วย ซึ่งการวิเคราะห์เชิงคุณภาพคงได้มาจากฟิลิป ฟิชเชอร์ สำหรับฟิลิป  ฟิชเชอร์คุณลองไปหาอ่านหนังสือเค้าดู  หุ้นที่เค้าวิเคราะห์เป็นหุ้นยากๆต้องใช้ไอคิวสูงๆในการวิเคราห์ พูดง่ายๆ เป็นหุ้นยากๆที่จะเข้าใจ เเละยากที่จะเล่นเเล้วได้ตังค์ ทั้งนั้น  ต้องใช้ความสามารถในการวิเคราะห์สูง เป็นหุ้นเเบบที่วอเรนจะเอาใส่ตะกร้า  too hard เลยล่ะ เเล้วหนังสือเค้าอ่านยากอะ เเต่นับว่าวอร์เรนฉลาด  คือทำสงสรามก็เลือกสมรภูมิที่คิดว่าเราชนะเเน่ๆ คือเค้าเลือกหุ้นที่ไม่ยากเกินความเข้าใจของเค้า(เเต่อาจยากสำหรับเรา) แล้ววิธีการเค้าก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเพียงเเต่บางคนไม่นิยมเพราะมันเป็น ความรวยอย่างช้าๆ เเต่มั่นคงเเละปลอดภัย ทบต้นไปเรื่อยๆ เเต่ส่วนใหญ่คนสมัยนี้เค้าไม่ชอบอดทน เค้าชอบรวยมากๆรวยเร็วๆ    เลยชอบเก็งกำไรกัน   อิอิ  ถ้าทำได้มันก็ดี(เราก็อยากใครจะไม่อยาก)  รวยมากๆเร็วๆ ใครจะไม่อยากได้ เเต่ส่วนใหญ่มันจะกลายเป็นเจ๊งมากๆ แถมเจ๊งเร็วๆไปน่ะสิ ปล  เก่งเทียมฟ้าหรือว่าโชค ไม่ขอเก่งหรอกขอเฮงก็พอ อิอิ จากคุณ : RoseTiara - [ 13 ธ.ค. 51 06:18:23 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ok จากคุณ : EAGo - [ 13 ธ.ค. 51 13:28:43 ]

ความคิดเห็นที่ 51 คุณ Mudley ผมไม่ทราบว่าด้วยสาเหตุใดๆคนเราถึงต้องพยามทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูยากมากมายขนาดนั้น เพราะคนเรานั้นพยายามทำดีที่สุด โดยใช้สิ่งที่ตนรู้มาครับ คนรู้ปรัชญาก็ใช้ปรัชญา คนเก่งเลข ก็ใช้เลข คนเก่งชีวโมเลกุล ก็พยายามใช้ชีวโมเลกุล หมอสมัยใหม่เป็นหวัดก็ให้พารา หมอแผนโบราณเป็นหวัดก็สั่งสมุนไพร ทุกคนต่างใช่สิ่งที่ตนรู้ ที่ิคิดว่าดี เพื่อทำสิ่งนั้น ๆ ครับ Stochastic Calculus เข้าใจว่าเอาไว้คำนวณหาการเคลื่อนไหวที่ไม่มีแบบแผน เอาไว้ใช้กับทางดาราศาสตร์ พอคนที่รู้เรื่องนั้นมาดูหุ้น เขาก็ใช้เรื่องที่เขารู้มาปรับใช้ครับ ผมเชื่อว่า ทุก ๆ คน ทุก ๆ theory ที่เกิดขึ้น มาจากความพยายามทั้งนั้น เพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพื่อหาเงินจากตลาด ตราบใดที่เราไปถึงจุดมุ่งหมายได้ ผลสุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก ฉันเหนือกว่าเธอ เธอเหนือกว่าฉัน ไม่มี VA ไม่มี TA เพราะยังไงก็ไม่มี Model ที่สมบูรณ์แบบ มีผิด มีพลาดกันทุกฝ่าย ก็ไม่รุ้จะสาดโคลนกันทำไม ในเมื่อมันก็ยังมีผิดพลาดกันทั้งนั้น แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 51 14:19:56 จากคุณ : EAGo - [ 13 ธ.ค. 51 14:14:56 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ใครสาดโคลนใครกันเนี่ย ไอ้น้องเอ๊ย จากคุณ : RoseTiara - [ 13 ธ.ค. 51 14:56:44 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ถ้าในกระทู้นี้ก็คุณ RoseTiara ไงครับที่เป็นคนสาด ถ้านอกออกไปหน่อย ก็จะมีให้เห็นเป็นบางครั้งคราวระหว่างการปะทะกันของ Fundamental Analysis กับ Technical Analysis ระหว่าง Thaivi กับ Pantip เนี่ยแหละครับ บางทีเห็นแขวะกันเรื่อง investment style อะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่เห็นเขาด่ากันนานแล้ว นอกออกไปอีกช่วงที่ผ่านมา ดร.นิเวศน์ เคยสาดใส่ Technical Analysis คุณเสี่ยปู่...หรือเปล่า ก็ออกบทความสาด Fundmental Analysis กลับเป็นการ ตอบโต้ หรือตา Taleb คนเขียน ฟูลบายแรนด้อม ก็เคยฟัดกับ Philippe Jorion เรื่อง VaR มาเหมือนกัน ------------- คุณ กันดัมจัง เอ่อ ปรัชญากับเลข ระดับ ปเอก มันเกี่ยวกันได้ยังไงครับ เลขมันไม่เรียน สมการยึกยือ แต่ปรัชญาจะแบบ อืม นะ ก็แบบปรัชญาอะ เป็นตัวหนังสืออะไรแบบนั้น ไม่ทราบว่าคุณกันดัมได้ข้อมูลจากไหนเหรอครับว่า ตา warren แกเป็น นักคณิตศาสตร์น่ะครับ จากคุณ : EAGo - [ 13 ธ.ค. 51 16:01:29 ]

ความคิดเห็นที่ 54 คุณอีโก้นี่อีโก้สมชื่อนะคะ เราเป็นมือใหม่   เเต่เราไม่เลือกเเนวหรอก เราศึกษาหมดทุกอย่าง fundamental  ,technical(เพิ่งซื้อหนังสือมา) funflow  จิตวิทยาอะไร เเม้เเต่หลักการเก็งกำไร หลักการพนัน  ความน่าจะเป็น  ทฤษฎีเกมส์ การตลาด  เศรษฐศาตร์ บัญชี อันนี้ไปเข้าคอร์สมาเลย บริหาร  ประวัติศาสตร์ เราอ่านหมด  ตอนนี้หลังจากที่คุณมัดเล่ย์เเนะนำ เราจะไปหัดเล่นหมากรุกไพ่บริดจ์   เเล้วก็เกมส์กลยุทธทั้งหลายรวมทั้งจะไปหาอ่านสามก๊กด้วย เราไม่ได้ปิดกั้นตัวเอง คืออะไรที่เค้ามีใช้เป็นเครื่องมือกันเราอ่านดะ ไอ้ที่เราตอบไปก็เป็น fact ค่ะ ไม่ได้เป็น opinion คงไม่ต่อล้อต่อเถียงกันคุณเเล้วนะคะ เห็นได้ว่าไม่ค่อยประเทืองปัญญาเท่าไหร่ อ้อ  ไปว่ากูรูคนนั้นสาดโคลนกูรูคนนี้  เหลือเกินจริงๆ ไม่ไหว ไม่ไหว เข้าใจไม๊คะ คำว่าโต้เเย้งกันทางวิชาการกับสาดโคลนนี่มันคนละเรื่อง คุณมีทัศนะคติที่ไม่ดีนะคะ   ต้องปรับปรุง  พยายามคิดบวกให้มากๆนะคะ   แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 51 16:54:58 จากคุณ : RoseTiara - [ 13 ธ.ค. 51 16:50:12 ]

ความคิดเห็นที่ 55 อ้อ  หลังจากอ่านข้อความคุณมัดเล่ย์ เราว่าจะไปหาหนังสือปรัชญามาอ่านเหมือนกัน และคงไปหัดนั่งสมาธิด้วย   เพราะเรายังข่มใจได้ไม่ดี มีทมะ  ไม่เข้าขั้น จากคุณ : RoseTiara - [ 13 ธ.ค. 51 16:57:14 ]

ความคิดเห็นที่ 56 กว่าจะศึกษาทั้งหมดนี่ ใช้เวลากี่ปีครับ คุณRoseTiara นับถือในความพยายามครับ นับถือ นับถือ ส่วนปรัชญานี่ รู้สึกว่าถ้ามีพื้นฐานทางlogicมาก่อน จะเรียนได้ดีมั้งครับ เพราะเห็นตามมหาวิทยาลัย เท่าที่เคยอ่านหลักสูตรมา ส่วนใหญ่ต้องให้เรียน logicก่อน ถึงจะให้เรียนปรัชญาได้ อันนี้ไม่รู้นะครับ เพียงแต่เป็นการคาดว่าน่าจะ จากคุณ : Clarvoyance - [ 13 ธ.ค. 51 19:36:20 ]

ความคิดเห็นที่ 57 คุณ กันดัมจัง เอ่อ ปรัชญากับเลข ระดับ ปเอก มันเกี่ยวกันได้ยังไงครับ เลขมันไม่เรียน สมการยึกยือ แต่ปรัชญาจะแบบ อืม นะ ก็แบบปรัชญาอะ เป็นตัวหนังสืออะไรแบบนั้น ไม่ทราบว่าคุณกันดัมได้ข้อมูลจากไหนเหรอครับว่า ตา warren แกเป็น นักคณิตศาสตร์น่ะครับ จากคุณ : EAGo ------------------------------------------------------------------- คณิตศาสตร์ สาขา logical ในระดับ ป.เอก จะได้ปริญญาของวิชา ปรัชญาด้วย เป็นเบสิกที่ นักศึกษาสาขานี้ควรต้องรู้ค่ะ  ถ้าเราทำ thesis ของคณิตศาตร์ในสาขา logical ในระดับ ป.เอก เราสามารถนำไปเทียบขอใบปริญญา สาขาปรัชญา ป.เอก ได้อีกใบค่ะ   อันนี้หมายถึง ถ้าเราเรียนในต่างประเทศนะคะ (โซน อังกฤษ เยอรมัน)    เลขในระดับสูงขึ้น ปกติการเรียนก็ไม่ค่อยมีตัวเลขอยู่แล้วนะคะ   ถ้ายังพอจำกันได้ในวิชาตรรกศาตร์เบื้องต้น(logic) ที่เรียนสมัย มัธยมปลาย ก็เป็นวิชาที่ ไม่มีตัวเลขมาเกี่ยวมากมาย เรื่องวอแรนต์ บัฟเฟต เป็นนักคณิตศาสตร์ อาจารย์ที่สอนดิฉันเล่าให้ฟังค่ะ เพราะเขาเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน ตาวอแรนต์ไปงานภาควิชาและขึ้นพูดในงาน  (สมัยที่ไกลมากแล้ว)  ตอนนั้นดิฉันยังไม่รู้จักชื่อเสียงของวอแรนต์เลยคะ รู้แต่อาจารย์บอกว่ารวย ใช้คณิตศาสตร์หาเงิน   คณิตศาตร์ถ้าคนแต่คนค้นพบทางของตัวเอง แล้วจะไปได้ไกลมาก อันนี้ไม่ใช่เฉพาะวอแรนต์ นะคะ  คือ มันเป็นความเข้าใจส่วนตัว เป็น model ในหัว ที่อธิบายให้คนอื่นรับรู้ยาก แต่สำหรับคนที่คิดได้ เขาจะรู้สึกเหมือนมันง่ายมากๆ จากคุณ : กันดัมจัง - [ 13 ธ.ค. 51 20:41:27 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอต่ออีกนิด.....   อย่าว่าแต่คณิตศาสตร์คนในสาขาอื่นจะไม่เข้าใจเลยนะคะ สำหรับนักคณิตศาตร์ด้วยกันเอง  ถ้าฟังบรรยายในสาขาวิชาที่ต่างกันก็ยากจะเข้าใจค่ะ ดังนั้น ธรรมชาติของนักคณิตศาสตร์จะไม่มีใครพูดคำว่า "ตัวเองเก่ง" ได้หรอกคะ  ถ้าใครพูดนี่แสดงว่าไม่ได้อยู่วงการนี้ (เพราะจะโดนลองของจนน๊อค )  บัฟเฟตเป็นคนที่เก่งนะคะ เขาสนใจคณิตศาตร์ไปพร้อมๆกับสิ่งรอบตัว มีความสนใจทางการเงินที่ชัดเจน และการปฎิเสธการเข้ามหาลัยมันเป็นเรื่องธรรมชาติค่ะ เพราะปกติเวลาส่งเรื่องเรียนต่อก็ส่งหลายมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว    การเล่นหุ้นของบัฟเฟตในระยะแรกก็เป็นการเก็งกำไรค่ะ เพราะเงินน้อย แต่ไม่ได้เก็งกำไรตามบุญตามกรรม เคยอ่านในกระทู้สินธรนี่ล่ะค่ะ เขามีแนวทางชัดเจนไม่ได้เฮง    จากนั้นเมื่อเงินเพิ่มก็เปลี่ยนสไตล์ จนถึงทุกวันนี้จึงไม่เล่นเก็งกำไรเพราะเขามี model ระยะไกล ที่เหมาะสมกับตัวเอง  อีกอย่าง ทางด้านวิศวกรรม ทางด้านการเงิน คณิตศาตร์ของวิชาพวกนี้ ก็ไม่ใช่ว่า คนเรียนคณิตศาตร์จะเห็นรู้แจ้งไปหมดนะคะ   ถึงต้องมีสาขาแยกยังไงล่ะคะ เริ่มไม่เกี่ยวกับ fund meneger แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 51 01:04:13 จากคุณ : กันดัมจัง - [ 13 ธ.ค. 51 20:51:16 ]

ความคิดเห็นที่ 59 "ถ้าคุณยังพยายาม หาคำตอบ คุณจะไม่มีวันพบวิธีการ" แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 51 01:01:20 จากคุณ : ชายชุดดำ (ID_Number_070) - [ 14 ธ.ค. 51 00:55:17 ]

ความคิดเห็นที่ 60 คหห 59 หมายถึง การขอลอกคำตอบคนอื่นรึปล่าวคะ จึงไม่สนใจหาวิธีการ จากคุณ : กันดัมจัง - [ 14 ธ.ค. 51 01:06:48 ]

ความคิดเห็นที่ 61 โห..มีคนนอนดึก หมายถึง ถ้ายังพยายามหาคำตอบว่า พรุ่งนี้ หุ้นจะขึ้น หรือ ลง ก็จะไม่พบ วิธีการ ที่จะกำไรได้ โดยไม่ต้องสนใจคำตอบ ครับ จริงๆเขียนเยอะกว่านี้ แต่ลบออกไปหมด เพราะไม่คิดว่าจะมีคนอ่านครับ จากคุณ : ชายชุดดำ (ID_Number_070) - [ 14 ธ.ค. 51 01:30:50 ]

ความคิดเห็นที่ 62 :-) แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 51 22:59:51 จากคุณ : ชายชุดดำ (ID_Number_070) - [ 14 ธ.ค. 51 01:44:55 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ลืม :-) แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 51 22:58:50 จากคุณ : ชายชุดดำ (ID_Number_070) - [ 14 ธ.ค. 51 01:52:20 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ขอบคุณมากครับ คุณ ชายชุดดำ (ID_Number_070) พอดีได้ดูซีรี่ญี่ปุ่นชุดนี้เหมือนกันได้อะไรเยอะดีครับ อิอิ มาแอบอ่านครับ :) จากคุณ : MudleyGroup - [ 14 ธ.ค. 51 01:53:29 ]

ความคิดเห็นที่ 65 โอว ขอบคุณ คุณกันดัมจัง มากครับ ---------------------- คุณ ID_Number_070 แต่ผมว่าสมมุติฐานของเกมนั้นกับตลาดหุ้นมันต่างกันนะครับ เกม เสียงข้างมาก ต้องออก นั่นหมายความว่าต่อให้เราตามเสียงข้างมาก เราก็สามารถที่จะแพ้ไปง่าย ๆ เลยก็ได้ ส่วนผู้ที่จะอยุ่ก็คือ การอ่านทางให้ออกว่าฝั่งไหนน่าจะน้อยและไปอยุ่ฝั่งนั้น ทีนี้ ถ้าเราให้ความเสมือนว่า การออกจากเกม --> หมดตูด -_-' เสียงข้างมาก --> เงิน ตลาดหุ้น ตัวหุ้นที่จะึขึ้น หรือ ลง ได้นั้น ยังไง ๆ มันก็ต้อง ใช้เงิน เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถตามเงินระดับใหญ่ ๆ ได้ ที่จะเข้าไปปั่นหุ้นตัวนั้น ๆ เราก็จะอยุ่รอดในเกมได้ ซึ่งก็คือกำไรนั่นแล ----------------------------------------- ปล หนังอันนั้นมันชื่ออะไรครับ แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 51 03:11:50 จากคุณ : EAGo - [ 14 ธ.ค. 51 03:10:31 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ความเห็นที่ 30 ย่อหน้าแรก อืม ๆ เข้าใจครับ Focus ลงไปตรงมนุษย์ที่เป็นฐานความเชื่อ บอกตรง ๆ ผมอ่าน ๆ ก็ งง ๆ เหมือนกัน ในเรื่องของการต่อยอดที่คุณ mudley ว่า ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกมั้ยนะครับ คุณ Mudley กำลังจะบอกหรือเปล่าครับว่า โอเค ในเมื่อมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งเชื่อ และ ไม่เชื่อ เกิดเชื่อก็แบบนึง ไม่เชื่อก็แบบนึง ซึ่งผมเห็นด้วยว่ามันก็เป็นความเสี่ยงจริง ๆ เกิดจะสลับไปล่ะยุ่ง แต่จุดนึงที่ผมขอแย้งในส่วนตรงนี้คือ 1. แต่การเปลี่ยนมันไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามวันนี่ครับ เรามาว่ากันที่ Black-Scholes ละกัน ถึงแม้มันจะผิด และถึงแม้พรุ่งนี้มันจะมีอะไรใหม่ ๆ ออกมา สมมุติมี Mudeley-Eago 55555555 ขออนุญาตนะครับ มันก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้คนจะยกเลิก B-S แล้วไปที่อันใหม่ในทันทีนี่นา ต่อให้มีจริง ๆ   มันก็จะต้องมีช่วงทดสอบ ช่วงศึกษา ซึ่งจะยิ่งเป็นช่วงเวลานานพอดู กว่า Mass จะให้การตัดสินไปทางใดทางหนึ่ง นอกเสียจากว่า HF จะมองแบบ ยาวววววววววววววววจริง ๆ ทีนี้เรามาว่ากันเรื่อง ต่อยอดจากความใจโลเลของมนุษย์ :-P HF ก็เลยไป Focus ที่การเรียนรู้มนุษย์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ คุณ Mudley กำลังจะบอกไปแนว ๆ ว่า HF นั้น ศึกษา Human Instinct กับการ Invest ในตลาดหุ้นเหรอครับ ส่วนเรื่อง Webboard มันใช้ได้จริง ๆ เหรอครับ :-S สำหรับการเรียนรู้มนุษย์ Factor มันจะไม่หลากหลายแบบสุด ๆ เหรอครับ หรือแบบนี้ เราไปอ่านพวก Psychology ตรง ๆ ไปเลย จะไม่ง่ายกว่าเหรอครับ จากคุณ : EAGo - [ 14 ธ.ค. 51 03:37:23 ]

ความคิดเห็นที่ 67 สวัสดีครับคุณ EAGo ก่อนที่ผมจะมาเป็นกุนซือให้เฮดจ์ฟันนั้น ตอนอยุ่อเมริกาต้องผ่านการเทรนจำนวนมาก ทั้งการเรียนคณิตศาสตร์ ทั้งถูกสะกดจิต เรียนดนตรี รวมทั้งต้องออกไปเล่นโปกเกอร์ตามบ่อน จริงๆแล้วงานวิจัยของเฮดจ์ฟันก้าวไปค่อนข้างไกลแล้วพอสมควรตอนนี้ไปถึงระดับที่เค้าเรียกว่าดึงจิตใต้สำนึกของเราออกมาใช้เพื่อเร่งประสิทธิภาพของเทรดเดอร์นี่ถึงเป็นสาเหตุทำไมผมโดนจับเค้าคอร์สสะกดจิตตอนอยุ่อเมริกา  ส่วนเฮดจ์ฟันที่ตั้งสำนักงานวิจัยเปิดเผยหน่อยก็มีของ Fund ที่ชื่อว่า Winton Future Fund อันนี้สร้างสำนักงานวิจัยโดยเฉพาะที่ Oxford โดยมีทั้งวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญมากมายจะว่าไปก็ดูๆไปก็คล้ายกับ Cern เลยเพียงแต่วิจัยทางด้านการเงินแทน  ส่วนการเรียนรู้คนนั้นในบอร์ดเนี่ยเราไม่จำเป็นต้องเรียนรุ็้้้นิสัยของเค้า เพียงแต่จากการอ่านบอร์ดจะทำให้เราเห็นอารมณ์ มุมมองของคนที่มีต่อตลาด แล้วก็ดูตลาดว่าตอบสนองกับมุมมองเหล่านี้อย่างไร  แต่จริงๆแล้วเราจะไม่สนใจก็ได้ครับเพราะว่าไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลงเราก็ได้เงินอยู่ดี  ทฤษฎี Math ณ ปัจจุบัน ก็จะเป็นอนุกรม ณ ครับที่เค้าใช้กันอยุ่ กล่าวคือ เค้าจะเรียนแบบการศึกษาตลาดหุ้นคล้ายๆกลไกการเปลี่ยนแปลงอนุกรมของจักรวาล เพราะเรายังศึกษาจักรวาลได้ ตลาดหุ้นซึ่งก็เป็น Sub set ของ จักรวาลเหมือนกันย่อมง่ายกว่า  ดังนั้นเราจึงตามทันวิชาการพวกนี้ลำบากเพราะมันกว่าจะมาบรรจุหลักสูตรให้เราเรียนกันก็ต้องใช้เวลา มันก็เลยมีแต่พวกเราที่ใช้กันน่ะครับ คนอื่นเค้าเปลี่ยนไปแล้ว ตำราเรียนสมัยนี้ก็เหมือนเป็นการเรียนประวัติศาสตร์น่ะครับ กล่าวคือเราเรียนรุ้ความคิดของคนในอดีต ก็เหมือนกฏของนิวตันน่ะครับไม่ได้ถูกทั้งหมดแต่ก็สามารถใช้การได้ในระดับที่เรายอมรับได้ ซึ่งก็จะขึ้นอยุ่กับงานเช่นกันถ้างานวิศวกรรมก็โอเคมันอยุ่ในระดับยอมรับได้ แต่ถ้าเป็นงานด้านอื่นที่ต้องใช้ความละเอียดมากกว่านั้นก็จะเลิกใช้ไปแล้ว  คราวนี้มาดูกันที่  Black-Scholes อันนี้เราเรียนความคิดของรุ่นปี 1970-1975 มั้งครับราวๆนี้นะถ้าผมจำไม่ผิด ก่อนผมเกิดอีก ผมยกตัวอย่างแค่ไม่กี่ค่าแล้วกันครับเช่นค่าความผันผวนในสูตร การจะเล่นกับ implied volatility นี่จะทำให้โมเดลนี้มีจุดอ่อนมากมาย ถ้าสนใจด้านนี้จริงๆผมแนะนำหนังสือ ชื่อ volatility Surface แล้วกันครับ เล่มนี้จะช่วยให้เราเห็นว่าเราต่อยอดการเล่นกับ volatility   ดังนั้น  Black-Scholes เนี่ยคนอื่นเค้าเลยเลิกใช้กันไป แต่ก็ไม่ได้ความว่ามันใช้ไม่ได้ แต่มันก็ใช้ได้ในระดับที่ยอมรับได้ค่าหนึ่งเท่านั้น  ผมเห็นอาจารย์ธรรมศาสตร์ท่านหนึ่ง เก่งๆมากๆครับ ในงานวิจัยเค้าผมเห็นเค้าเอาก๊าซ 1-1 มาใช้แทนในการจับพวกนี้แล้ว :) สรุปอย่างที่คุณ  EAGo บอก หล่ะครับใครใช้วิธีไหนแล้วคิดว่าเหมาะกับตัวเองก็ใช้ Method อันนั้นไป ซึ่งแต่ล่ะขบวนการคิดมันก็จะมีความเสี่ยงของตัวมันอยุ่ หากเรารุ้ว่าความเสี่ยงของสิ่งที่เราใช้อยุ่มันมีอะไรบ้างก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งไล่ตามแนวคิดใหม่ๆ้ให้เหนื่อยได้ครับ ผมว่าที่หลายๆ Fund เลิกสนใจ เลิกคาดการณ์ เพราะวิธีการใหม่นี้มันสบายกว่ามันไม่ต้องทำอะไรมาก ปล่อยให้อยุ่กับตลาด ขึ้น หรือ ลง ก็ได้เงินออกมา ก็ปล่อยให้พวกกองทุนใหญ่ๆ วิเคราะห์ตัวเลข แล้วก็คาดการณ์โดยโมเดลกันต่อไป ผมว่าวิธีใหม่นี้มันอาจจะคล้ายๆกลไกของเต๋าคือปล่อยให้ธรรมชาติมันเป็นไป ได้น้อยหรือมากตามแล้วแต่ตลาด แต่ได้เรื่อยๆทุกวัน จากคุณ : MudleyGroup - [ 14 ธ.ค. 51 10:04:34 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เรื่องการเรียนรู้เป็นเรื่องสนุกสนานของเรานะ ไม่ได้ต้องใช้ความพยายามอะไร จากคุณ : RoseTiara - [ 14 ธ.ค. 51 14:16:58 ]

ความคิดเห็นที่ 69 คุณMudleyGroup ต้องดูหุ้นเเละเทรดบ่อยมากเเค่ไหนคะ จากคุณ : RoseTiara - [ 14 ธ.ค. 51 14:18:03 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ค่อยยังชั่วคะ พี่ชายชุดดำมาขยายความ  เมื่อคืนเผลอดื่มกาแฟไป นอนไม่หลับ ลุกมาเล่นกระทู้คะ......ไม่ต้องลบ คหห หรอกคะ เราแลกเปลี่ยนความเห็นกันสนุกดีออกคะ เห็นด้วยกับคุณ MudleyGroup หลายๆเรื่อยเลยคะ คณิตศาสตร์ทุกวันนี้ไม่ใช่จะตอบทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด ทฤษฎีที่เราใช้ก็เป็นของที่คิดไว้เมื่อร้อยปีก่อน     เป็นความเจ็บใจที่ต้องยอมรับว่า math พื้นฐานที่ใช้เรียนกันทั้งโลก ไม่สามารถใช้แก้ปัญหาวิศวกรรมขั้นสูงได้    จนทางวิศวกรรมต้องคิดเลขสำหรับอาชีพของตนเองขึ้น   แต่ก็เชื่อว่าซักวัน(ไม่นาน) นักคณิตศาตร์ต้องตามไปเก็บได้ ตอนนี้แอบเป็นแฟนคลับพี่ MudleyGroup อยู่นะคะ อิอิ......เพราะชอบตาม link ของแก๊ง DSM ไปอ่านคะ อย่างคุณ จขกท พูด ก็จริงนะคะ ใครถนัดอะไรก็ใช้อันนั้น ดีที่สุด ความเห็นส่วนตัวจากคนที่ไม่ได้ซื้อหุ้นและได้แต่มองอยู่ใกล้ๆ   มันคือการเล่นกับพื้นฐานจิตใจมนุษย์ โดยมีเทคนิค ตัวเลขมาเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจ   เป็นสิ่งที่น่าสนุกและน่าเรียนรู้ค่ะ จากคุณ : กันดัมจัง - [ 14 ธ.ค. 51 15:19:51 ]

ความคิดเห็นที่ 71 จนทางวิศวกรรมต้องคิดเลขสำหรับอาชีพของตนเองขึ้น ู^ | | อันนี้ใช่ Tensor Calculus หรือเปล่าครับ คุณกันดัมจัง ่ชวยยกตัวอย่าง วิศวกรรมขั้นสูง หน่อยสิครับ ว่ามีอะไรบ้างอะ จากคุณ : EAGo - [ 14 ธ.ค. 51 20:43:33 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ตัวอย่างเช่น    วิชา finite element   เป็นวิชาที่วิศวกรรมคิดขึ้นเพื่อวิศวกรรม  เป็นเลขที่ทฏษฎีต่างๆ มาจากพื้นฐานการทดลอง ไม่ได้มาจากพี้นฐานการพิสูจน์อย่างคณิตศาตร์ปกติทั่วไปคะ  คือนำผลการทดลอง มาสรุปทำเป็นทฤษฎี ซึ่งวิธีนี้ทางคณิตศาตร์จะไม่ยอมรับ   ถ้านักศึกษาวิชานี้ได้เปิดมาเห็นวิธีการพิสูจน์ โปรดจงรู้ได้เลยว่า เป็นการพิสุจน์เก็บตามทฤษฎี(มีคนตั้งทฤษฎีมาก่อนแบบไม่มีพิสูจน์แล้วมีการตามเก็บทีหลัง) ตอนนี้วิชานี้ได้ถูกเพิ่มบรรจุลงในคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ประยุกต์ระดับ ป.โท ในบางสถาบันด้วยนะคะ เพราะเหมาะจะทำ thesis     เพราะทฤษฎีส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์  ถึงแม้ว่าจะมีเรียนเป็นชื่อวิชาเดียวกัน แต่เนื้อหาต่างกันอย่างแรง ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน วิศวกรรมเรียนเพื่อนำไปใช้งานจริง คณิตศาตร์เรียนเพื่อตามเก็บทฤษฎีที่นักคณิตศาตร์ยังไม่ยอมรับว่ามันคือเลขและต้องการการพิสูจน์  วิชาดังกล่าวยากมากกกกก............ดังนั้น ที่สอนๆกันส่วนใหญ่จะเป็นแค่ intro เท่านั้น  จะเข้มข้นสุดๆ ในพวกมหาวิทยาลัยดังๆในต่างประเทศ  ประชุมวิชาการในตอนวิชานี้ออกมาแรกๆ วิศวกรที่คิดค้นแทบจะยกพวกตีกับคณิตศาตร์ (ฮามากๆ) ส่วนวิชา Tensor Calculus เป็นการประยุกต์ของ tensor ซึ่งจริงๆจะมีแยกไปทาง vector และ calculus เป็นสองทางใหญ่ๆ  อันนี้เป็นคณิตศาตร์อยู่คะ ยังไม่ใช่คณิตศาสตร์วิศวกรรมคะ แฮ่ๆ   อย่าถามเรื่อง finite element ลึกว่านี้นะคะ.........เพราะดิฉันก็ไม่รู้เรื่อง  555+ จากคุณ : กันดัมจัง - [ 15 ธ.ค. 51 04:28:37 ]

ความคิดเห็นที่ 73 55 ไม่ถามเพิ่มหรอกครับ เพราะผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ปล เช็กหลังไมค์ด้วยนะครับ :-D จากคุณ : EAGo - [ 17 ธ.ค. 51 20:54:18 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ขอบคุณครับ จากคุณ : Jazz Lilt - [ 19 ธ.ค. 51 15:10:20 ]

ความคิดเห็นที่ 75 สมัยรุ่นคุณกรณ์ คนจบปริญญาเศรษฐศาตร์ที่เมืองไทยนี่แหละ ...ได้เป็น Fund manager (ที่เมืองไทย)กันหลายคน สมัยนั้นยังไม่ต้องมี CFA เพราะเมืองไทยยังไม่ฮิต คนไทยเพิ่งจะเริ่มมาสอบกันเมื่อซักประมาณ 12 ปีนี่เอง เศรษฐศาตร์ต้องเรียน Econometric ...ซึ่งเป็นการสร้างโมเดลการตัดสินใจแบบนึง จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร - [ 19 ธ.ค. 51 15:28:32 ]

ความคิดเห็นที่ 76 Madoff เก่งๆกันทั้งนั้นหงายหลังกันหมด คุณกรณ์ ถ้าจะให้บอกกันตามตรงก็ต้องบอกว่า มีแบ็คดีครับ คุณพ่อคุณแม่ จากคุณ : guyver - [ 2 ม.ค. 52 06:21:31 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ผมเก็บเข้าคลังกระทู้แล้ว ไม่งั้นกระทู้หายหมด เจอกระทู้ดีๆ อย่าลืมกด เก็บเข้าคลังกระทู้ด้วยนะครับ จากคุณ : จิตผู้รู้ - [ 10 ม.ค. 52 13:34:27 ]