ข้อมูลครับ : หุ้นหนี้สินต่ำ ผลประกอบการเยี่ยม

http://www.moneychannel.co.th/MoneyChannel/CompanyFocus/tabid/56/newsid479/74043/Default.aspx

หุ้นหนี้สินต่ำ ผลประกอบการเยี่ยม

Posted on Monday, December 08, 2008
ยาม วิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ และใครที่คิดว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มไร้เสน่ห์แล้ว อาจจะต้องทบทวนความคิดกันใหม่ แน่นอนว่าหากดูดัชนีหุ้นภาพรวมย่อมไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจ แต่ถ้ามองเข้าไปในหุ้นแต่ละตัว ต้องเจอกับโอกาสที่แสนหวาน

ฝ่าย การตลาดผู้ออกหลักทรัพย์ สายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ค้นหาหุ้นที่สามารถลงทุนได้ในระยะยาวเพื่อเก็บเกี่ยวรับเงินปันผลประจำปี ให้มองหาหุ้นที่มีเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาวน้อย มีประวัติการจ่ายเงินปันผลดีต่อเนื่อง ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง

จาก สถิติดังกล่าว ปรากฏว่าหุ้นที่ส่งเข้าประกวด บางตัวแทบจะไม่มีการซื้อขาย ด้วยเหตุผลง่ายๆ “จ่ายปันผลงาม” จึงไม่มีผู้ถือหุ้นยอมขายหุ้นออกมา แต่ก็มีหุ้นบางตัวเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง แต่บรรยากาศการซื้อขายจะคึกคักเป็นบางช่วงจังหวะ (หุ้นขนาดกลางและเล็กที่ติดโผ อ่านที่ mai Corner)

คุณสมบัติหลัก ๆ ของหุ้นเหล่านี้ เริ่มจากต้องมีหนี้สินหมุนเวียน (Current liabilities) ต่ำๆ โดยเฉพาะรายการเกี่ยวกับหนี้สินระยะสั้นของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดำเนิน งาน เช่น เงินกู้ยืมระยะสั้น ตั๋วเงินจ่าย เงินมัดจำ และเงินกู้ยืมระยะยาวที่ครบกำหนดภายใน 1 ปี เงินที่กู้ยืมมาจะนำมาใช้จ่ายในธุรกิจ เช่น ซื้อวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าหรือบริการ หรือเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ

การมีหนี้สินหมุนเวียนมากๆ ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผลดีต่อธุรกิจเสมอไป เพราะถ้าวิเคราะห์ถึงสภาพคล่องหรือพิจารณาถึงเงินหมุนเวียนในกิจการ ถ้าอัตราส่วนของหนี้สินหมุนเวียนอยู่ในระดับสูง ในขณะที่สินทรัพย์หมุนเวียน ได้แก่ ลูกหนี้การค้าและลูกหนี้ระยะสั้นมีปริมาณน้อยกว่า แสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีเงินทุนหมุนเวียนในอัตราต่ำ รวมทั้งสินทรัพย์สภาพคล่องมีน้อย ผู้ประกอบการจึงควรบริหารการเงินไม่ให้ตัวเลขหนี้สินหมุนเวียนมีปริมาณ มากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน

มาถึงสินทรัพย์หมุนเวียน (Current Asset) มีความสำคัญมากไม่ว่าจะมองในฐานะ เจ้าหนี้ ผู้ลงทุน หรือผู้บริหาร เพราะการมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่เหมาะสม และการบริหารจัดการสินทรัพย์หมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้ธุรกิจ สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างยั่งยืน

บริษัทมีความสามารถในการชำระหนี้ ระยะสั้นหรือสภาพคล่องมีมากน้อยเพียงใดในทางการเงินแล้ว จะพิจารณาอัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน ถ้ามีค่าอัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียนมาก แสดงว่ามีความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นได้ดี

นอกจากนี้ ธุรกิจใดที่มีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมีหนี้สินต่ำ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารธุรกิจ ผลลัพธ์ที่จะตามมาหนีไม่พ้นผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผลอยู่ในระดับน่า ประทับใจ เนื่องจากว่าบริษัทไม่มีภาระจ่ายหนี้ หรือภาระดอกเบี้ยเงินกู้

หากบริษัทจดทะเบียนที่มีตัวขสถิติแบบนี้ เชื่อขนมกินได้เลยว่าสามารถลงทุน และไว้วางใจได้ แม้เศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะไหนก็ตาม

บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) ผู้บริหารช่อง 3 ติดโผในครั้งนี้ ด้วยสถิติมูลค่ารวมตามราคาตลาด 38,400 ล้านบาท (ณ 5 พฤศจิกายน 2551) ด้วยสินทรัพย์หมุนเวียน 4,998 ล้านบาท หนี้สินหมุนเวียน 1,503 ล้านบาท ตามด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนแค่ 0.22 เท่า (สิ้นไตรมาส 2 ปีนี้)

"พวกเขา (BEC) ยังแข็งแกร่ง พร้อมฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ" ณัฏฐ์ปัณชญา ศุภรงค์นพนันท์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.สินเอเซีย บอก

ณัฏ ฐ์ปัณชญา กล่าวต่อไปว่า "BEC ยังคงได้เปรียบผู้ให้บริการรายอื่นในแง่ของส่วนลดค่าโฆษณา โดยให้อัตราส่วนลดเฉลี่ยเพียง 15%-20% ขณะที่รายอื่นๆ ให้ส่วนลดค่อนข้างที่จะเต็มเพดานที่ 30% และล่าสุดช่อง 7 ลดการให้ส่วนลดลงเหลือ 10% เท่ากับเป็นการขึ้นค่าโฆษณาทางอ้อม

ขณะ ที่ความได้เปรียบของรายการที่ครอบคลุมกลุ่มผู้ชมได้เกือบทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวข่าว ละครก่อนและหลังข่าว และรายการส่งเสริมเยาวชน เช่นเดียวกับด้านฐานะการเงินแข็งแกร่ง เงินสดในมือเยอะ ปราศจากภาระหนี้ ปันผลสม่ำเสมอ จึงแนะนำให้ทยอยสะสม"

ด้านดิษฐนพ วัธนเวคิน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน บอกว่าปีหน้าคาดการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลต่อการใช้เม็ดเงินโฆษณาของผู้ประกอบการ ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ค่าโฆษณาของ BEC

อย่าง ไรก็ตาม คาดว่าการลดการใช้เม็ดเงินโฆษณาของผู้ประกอบการในปีหน้าจะส่งผลต่อรายได้ค่า โฆษณาของ BEC ไม่มากนัก เนื่องจากสื่อฟรีทีวีมีประสิทธิภาพมากกว่าคู่แข่งจากการมีส่วนแบ่งตลาดและ ส่วนแบ่งคนดูเป็นอันดับ 2 ของอุตสาหกรรมสื่อฟรีทีวี

"กรณีหากรายได้ ค่าโฆษณาปีหน้าของ BEC ลดลง 15% เท่ากับการลดลงของเม็ดเงินโฆษณาในสื่อโทรทัศน์ในปี 2541 ภายหลังจากการเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง กำไรสุทธิในปีหน้าจะลดลง 31% แต่คาดยังคงให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.7% แนะนำให้ซื้อ" ดิษฐนพ กล่าว

มาถึง บมจ.ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล (ICC) แม้จะเป็นหุ้นที่ค่อนข้างเงียบเหงา แต่หากดูศักยภาพการดำเนินธุรกิจแล้วกลับแข็งแกร่ง และเชื่อขนมกินได้เลยว่าในร่างกายของคนไทย แม้กระทั่งทุกบ้านของคนไทยจะต้องมีสินค้าของบริษัทนี้ ที่สำคัญพวกเขาขายสินค้าให้กับคนไทยตั้งแต่หัวจรดเท้า ทุกเพศทุกวัย ราคาไม่กี่บาทไปจนถึงราคาไฮโซ
เรื่องราวดังกล่าวจึงไม่แปลกใจว่าทำไม หุ้น ICC ถึงไม่มีการซื้อขาย เพราะเป็นหุ้นพื้นฐานแน่น จ่ายปันผลดีต่อเนื่อง แต่ถึงแม้จะเป็นหุ้นที่ดีแต่ไม่มีบทวิเคราะห์หุ้นจากโบรกเกอร์แห่งไหนแม้แต่ ชิ้นเดียว

ณ 5 พฤศจิกายน 2551 ICC มีสถิติมูลค่ารวมตามราคาตลาด 12,497 ล้านบาท และสิ้นไตรมาส 2 ของปีนี้ มีสินทรัพย์หมุนเวียน 5,336 ล้านบาท หนี้สินหมุนเวียน 1,908 ล้านบาท ตามด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนแค่ 0.18 เท่า

แม้ว่า ICC จะขายสินค้าอุปโภค บริโภค ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจหดตัวลง คนไทยเริ่มประหยัดกันมากขึ้น ส่งผลต่อยอดขายของพวกเขา เรื่องนี้ ดร.สม จาตุศรีพิทักษ์ ประธานกรรมการ ICC บอกว่าในช่วงที่ผ่านมาการขยายตัวของการลงทุนและการบริโภคลดลงอย่างชัดเจน แต่เป็นความท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย (ดูความสามารถการทำกำไรในตาราง)

"ภายใต้เศรษฐกิจแบบนี้ ICC ได้พยายามจนปรากฏผลประกอบการในระดับที่น่าพอใจ และยังสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดได้อย่างมั่นคง เป็นตัวชี้วัดถึงการเป็นผู้นำตลาดได้อย่างดี"

ด้าน บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) แม้ในช่วงนี้และในอนาคตเริ่มเป็นกังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากพิษวิกฤติการ เงิน อาจจะส่งผลต่อปริมาณความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น แต่ข้อดีของหุ้นตัวนี้อยู่ที่มีการจ่ายเงินปันผลที่ดีและจ่ายต่อเนื่อง (จ่ายปีละ 2 ครั้ง)

"การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์สูงหากเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น เพราะนักลงทุนมีความกังวลใจต่อการลดลงของผลการดำเนินงาน แต่พวกเรายังมีมุมมองบวกต่อ HANA จากความหลากหลายของสินค้า ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แนะนำทยอยสะสม" นารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าว

ด้านอิศรา ศิวะกุล รองประธานและผู้จัดการทั่วไป HANA บอกว่า "ความท้าทายจากการแข็งค่าของค่าเงินบาท และการปรับปรุงการผลิตอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายหลักในปีนี้ แต่พวกเรายังคงมีความเชื่อมั่นว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป ถึงแม้จะมีสิ่งท้าทายเหล่านี้ก็ตาม"

บมจ.ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม (UVAN) ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าน้ำมันปาล์ม เป็นอีกหุ้นที่นักลงทุนมองข้าม ทั้งๆ ที่มีการจ่ายเงินปันผลออกมาแต่ละปีน่าประทับใจเหลือเกิน โดยเมื่อปี 2549 จ่ายเงินปันผล 2.75 บาทต่อหุ้น ปีถัดมาจ่าย 4 บาทต่อหุ้น และงวดครึ่งแรกของปีนี้จ่ายเงินปันผลไปแล้ว 5 บาทต่อหุ้น

หากดู สินทรัพย์หมุนเวียนมี 1,376 ล้านบาท แต่มีหนี้สินหมุนเวียนเพียง 208 ล้านบาท และมีหนี้สินรวมแค่ 237 ล้านบาท แต่ส่วนผู้ถือหุ้นสูงถึง 2,134 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม นารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่าสิ่งที่ต้องจับตาในปีหน้าสำหรับ UVAN ในปีหน้า คือ ความกังวลใจต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและการปิดสถานะการขายในสินค้า โภคภัณฑ์ ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลง ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบได้รับผลกระทบตามไปด้วย

ส่วนแนวโน้มการ ผลิตปาล์มของโลกในปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.3% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของผู้ผลิตในอินโดนีเซีย ขณะที่ประเทศไทยคาดว่าจะมีผลผลิตปาล์มเพิ่มขึ้น 33% แต่จากความกังวลต่อเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ความต้องการใช้และราคาขายเฉลี่ยปรับลดลง

"แม้แนวโน้มผลการ ดำเนินงาน UVAN ในปีหน้าจะลดลง แต่พวกเรายังมีมุมมองที่ดีต่อความต้องการทั้งการบริโภคและการนำไปผลิตเป็น พลังงานทดแทน ทำให้ความต้องการปาล์มยังคงอยู่ในระดับสูง"

มาถึง บมจ.ไทยเทพรสผลิตภัณฑ์อาหาร (SAUCE) เจ้าของสินค้าแบรนด์ "ภูเขาทอง" เป็นหุ้นอีกตัวที่ไร้การเหลียวแลจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ทั้งๆ ที่จ่ายเงินปันผลงาม ผลประกอบการเยี่ยม ที่สำคัญเป็นบริษัทที่แทบจะไม่มีการก่อหนี้เลย

จากคุณ : tonytui - [ 19 ธ.ค. 51 18:03:12 ]