ขอตั้งกระทู้แลกเปลี่ยนมุมมองสำหรับท่านที่ไม่รังเกียจ วันนี้พอดีผมอยากจะหาเพื่อนคุยด้วยในเรื่องที่กำลังศึกษาอยู่ ด้วยความที่เคยสงสัยและงงงวยมาก่อน ว่าแท้ที่จริงแล้ว อะไรคือรูปแบบที่แท้จริงของตลาดหุ้น รูปแบบที่ว่าหมายถึง ราคาของทุกๆสิ่งในตลาดหุ้นนั้นที่จริงมัน ขึ้นหรือ ลงกันแน่
ที่ผมสนใจและอยากรู้เรื่องนี้ ทั้งๆที่ จริงๆแล้วมันอาจจะเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป เพราะการทำกำไรจากตลาดหุ้นนั้น ทราบเพียงแค่ว่าช่วงสั้นๆนี้หุ้นมันจะขึ้น หรือมันจะลงเราก็ทำกำไรได้เกินงามแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าไม่จำเป็นต้องไปรู้เลยว่า
"ท้ายทีสุดแล้วหุ้นมันจะขึ้นหรือลงกันแน่"
แต่ว่าในความจริงแล้ว การลงทุนนั้นเหมือนกันกับการทำงานทุกๆอย่าง เราจะทำงานไปได้ยืดยาว และสำเร็จสมบูรณ์ดีหรือไม่ อยู่ที่เราเข้าใจในงานนั้นๆด้วยรึเปล่า เพราะหากเราไม่เข้าใจมันจริงๆ เมื่อใดที่เกิดปัญหา ก็จะติดขัดพลิกแพลงอะไรไม่ได้ บางครั้งก็ทำให้ไขว้เขวออกนอกเส้นทางเดิมที่เคยเดิน นี่จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ผมให้ความสนใจในเรื่องนี้ ตามคำสอนของซุนวูเขาว่าไว้ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
การพูดคุยของผมในครั้งนี้ ขออภัยที่ต้องยกอ้างเพียงแค่ ทฤษฎีเดียวที่ผมเข้าใจที่สุด(ของตัวเอง) คือ เรื่อง คลื่นของ Elliot wave เพราะถ้าไปนั่งคุยวิเคราะห์เรื่องอื่น เช่น ปัจจัยพื้นฐาน การเมือง หรือเศรษฐกิจ ผมคงจะออกทะเล ลอยคอ ไปไกล เพราะไม่มีความเข้าใจด้านนี้อย่างจริงจัง
สาเหตุที่นำเรื่องคลื่นของ Elliot นี่มาผูกเข้ากับหัวข้อที่ตั้งไว้ เพราะว่ามันค่อนข้างเกี่ยวพันกันมากจริงๆ เนื่องด้วยจากทฤษฎีที่ นายอีเลียต ค้นพบนี่ ถือเป็น ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของราคาสิ่งของใดๆที่มีการ ซื้อ ขาย และเก็งกำไรกันจริงๆ
พูดง่ายๆ ถ้าคุณเอาขี้มูกมาซื้อขาย การดำเนินไปของราคาขี้มูกนั่นก็จะ ออกมาในลักษณะ 1-2-3-4-5-a-b-c อย่างแน่นอน เพียงแต่มันจะมีปัญหาอยู่ที่ว่า แล้วราคาขี้มูกนั้นจริงๆแล้วมันขึ้นหรือลง เพราะ 1-2-3-4-5 นั่นตามทฤษฎีเขาบอกว่ามันคือขาขึ้น ส่วน a-b-c นั่น เขาบอกว่ามันคือ ขาลง เมื่อทั้งสองส่วนนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไป แล้วจุดจบมันอยู่ตรงไหน เพราะถ้ามันไม่มีจุดจบ มันก็ควรจะวนเวียน 1-2-3-4-5-a-b-c-1-2-3-4-5-a-b-c ฯลฯ ซ้ำๆกันไปเรื่อยไม่มีวันจบน่ะซี ช่วงแรกผมจินตนาการว่า ถ้ามันเป็นแบบนี้จริงๆ เราแค่เอาขี้มูกเรามาขาย แล้วรอให้มันพัฒนาแบบนี้ไปเรือ่ยๆสัก 30ปี คงรวยเป็นแน่แท้ เพราะผลิตได้ไม่มีวันหมด (นี่ผมไม่ได้เพ้อเจ้อน่ะ พูดจริง แรกๆอาจราคาถูกมาก แบบเทรดกันด้วยการแลกของเพราะประเมินราคาไมได้ ) แต่คิดไปคิดมา มันไม่ใช่สิ กลไกราคา 1-2-3-4-5-a-b-c นี่ต้องไม่เกิดขึ้นกับของแบบนี้ แล้วถ้าแบบนั้นมันควรเกิดขึ้นกับอะไร???? ผมขอสรุปว่า มันต้องเกิดขึ้นเฉพาะกับ สิ่งที่ คน "ต้องการ" เท่านั้น
พูดมาเสียยืดยาว ส่วนสำคัญคือตรงนี้นี่เอง "ความต้องการ" นี่แหละคือ สาระสำคัญของทฤษฎี Elliot wave
เมื่อมี "ความต้องการ" ไม่ว่าจะสาเหตุอันเนื่องมาจาก ปัจจัยพื้นฐานที่ดี ปัจจัยสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย กระแสความนิยม ความเชื่อ วัฒนธรรม หรืออะไรทั้งหลายแหล่ ที่จะสามารถเป็นต้นตอของความต้องการในสินค้าใดๆแล้ว ราคาสินค้านั้นๆ จะเป็น ขา ที่เราเรียกกันว่า ขาขึ้น แต่ไม่ขึ้นก่ายหน้าผาก
แต่หากเมื่อใด สินค้านั้นๆหมดความต้องการแล้ว ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด อาจจะเพราะคะแนนความนิยมเสื่อม สินค้าออกมาหลายรุ่นเกินไป อย่างเช่นจตุคาม รุ่นดูดทรัพย์ รวยมหาเทพ รวยค้ำฟ้า รวยไม่รู้เรื่อง รวยหลุดลุ่ย ฯลฯ คนเขาเบื่อเขาไม่ชอบ ไม่ฮิตกันแล้ว เพราะเลือกไม่ถูกว่าอยากรวยขนาดไหนดี สุดท้าย ก็กลายเป็น ขาลง ใครลงทุนจตุคาม-รามเทพไปมาก ตอนนี้คงต้องเอาไปบดเป็นผงผสมยาลมดื่มอยู่
ทั้งสองรูปแบบนี้ จะยั่งยืน และยาวนานเท่าไหรนั้น ขึ้นอยู่กับ ความต้องการ และ ความไม่ต้องการนั้นๆ ว่าจะยาวนานสักแค่ไหน หากเป็นสิ่งของที่ หมดความต้องการไปสัก 100ปี ขาลงก็จะยาวนานไปร่วม 100ปี ทำนองเดียวกันกับ ขาขึ้น
ดังนั้นขอสรุป ตรงนี้ก่อนว่า เมื่อมีความการต้องการ รูปแบบจะเป็นขาขึ้น เมื่อหมดความต้องการ รูปแบบจะเป็นขาลง รูปแบบขาขึ้น จะเป็น 1-2-3-4-5 ขาลงจะเป็น a-b-c เพียงแค่นี้
จากที่กล่าวมาข้างต้น ต้นเหตุจริงๆของทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดจาก ความต้องการ ดังนั้น เมื่อผมต้องการทราบว่า แท้ที่จริง รูปแบบของราคานั้น โดยรวม เมื่อสุดปลายทาง เมื่อผ่านไป 500 ปี 1000ปี พูดง่ายๆเมื่อมันถึงกาลอวสานแล้ว มันจะขึ้นหรือลง ก็คงต้องย้อนกลับมาถามแล้วล่ะว่า แท้ที่จริงนั้น สิ่งของนั้นๆ มันควรจะ
"ต้องการ" หรือ
"ไม่ต้องการ" กันแน่ในท้ายที่สุด
หรือพูดในอีกนัยหนึ่งได้ว่า สุดท้ายแล้วมนุษย์ จะสามารถ "ยึดติด" ใน "ความต้องการ" ของสิ่งๆนั้นถาวรไปตลอดกาลได้หรือไม่
เพราะถ้าเมื่อไหร มนุษย์ไม่สามารถที่จะ "ยึดติด" ความต้องการไว้ได้แล้ว สินค้านั้นๆก็จบไป กลายเป็นขาลง แต่ก็อาจจะไม่ใช่ถาวร เพราะภายหลังอาจเปลี่ยนชื่อใหม่ แล้วกลับมาค้าขายกันอีกรอบ เมื่อมีความต้องการเกิดขึ้นอีก เช่นเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ที่ ล้วน เกิด แก่ เจ็บ ตาย วนเวียนอยู่เช่นนี้ ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่เว้น สุดท้ายแล้วก็ ไม่สามารถดำรงคงอยู่ได้อย่างถาวร จำเป็นต้อง ตาย สูญสลายไป แต่หากยังมีแรงยึดติด ก็จะกลับมาเกิดใหม่อีกรอบ ตามหลักคำสอนของศาสนาพุทธ
ดังข้อเท็จจริงที่ว่านี้ ผมตั้งสมมุติฐานว่า รูปแบบที่แท้จริงของราคาหุ้นนั้นๆ คือ ขาลง ไม่ใช่ขาขึ้นที่ขึ้นไปได้ตลอดทางไม่รู้จบ ไม่ใช่ 1-2-3-4-5-a-b-c วนเวียนแล้วยกฐานสูงขึ้นเรื่อยๆไปตลอดทาง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น หมายความว่า เมื่อเกิด 1 ขึ้นมาแล้ว จะไม่มีวันจบ คือเป็นอมตะ หรือ พูดง่ายๆ ว่า เมื่อเริ่มนับ 1 นั่นหมายความว่า เราเริ่มที่ขาขึ้นเป็นมุมมองว่าชีวิตนี้อมตะ เพราะถ้าแพทเทริน 1-2-3-4-5-a-b-c นี้ครบ 5 ครั้ง ก้จะเริ่ม นับเป็น 1 ใหญ่ต่อได้อีก วนเวียนเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆๆ
คนละอย่างกับการที่เราเริ่มนับที่ a ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของขาลงที่มีความหมายว่า ชีวิตนี้สุดท้ายแล้วจะต้องจบลง เพียงแต่เราจะดิ้นรนขึ้นเป็น b เท่านั้น แล้วสุดท้ายก็ไม่สามารถฝืนสังขารได้ จบลงมาเป็น c เมื่อใดที่สิ่งของนั้นๆ จบลงมาเป็น c (ที่แท้จริง)แล้ว มันจะตายออกไป หายออกไป ถ้าเป็นหุ้นก็คืออกจากตลาดไปนั่นเอง ถ้าไม่เชื่อลองไปดูหุ้น หรือ วอแรนท์ที่ ต้องออกจากตลาดไปเพราะหมดความต้องการ (ย้ำว่าหมดความต้องการ ไม่ใช่แค่หมดอายุ)ก็ได้ครับ จะเห็นได้ชัดเจนดี เพราะ มันจบไปแล้ว ทำให้เราได้เห็น ธรรมชาติที่แท้จริงของตลาดหุ้นนี่ด้วย เนื่องจาก การยึดติดใน ความต้องการ นั้นไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป เหมือนกับกระดาษทิชชู่ ที่เราต้องการมันมาเพียงแค่เช็ดปาก เมื่อเช็ดเสร็จแล้ว กระดาษทิชชู่ก็ไม่เป็นกระดาษทิชชู่อีก เป็นเพียงแค่เศษกระดาษที่เราทิ้งไว้ธรรมดา นอกเสียจากใครยังหวง และเอาไปพับเก็บไว้เพื่อเอามาเช็ดใหม่อีกที นั่นอีกเรื่องนึง
บางคนอาจจะแย้งว่า ก็ สิ่งนั้นๆ วิถีชีวิตมันสั้น ทำให้มันตายไปได้ง่าย แต่พวก ดัชนีดาวโจนส์หรือ ดัชนีสำคัญๆทั่วโลก ไม่เห็นว่ามันจะตายเลย ดูยังไงๆมันก็ยังต้องขึ้นไปตลอดทาง
ถ้าพูดแบบนี้ ก็เหมือนกับเอาชีวิต ยุงมาเปรียบเทียบกับชีวิตเต่านั่นเอง ยุงอาจตายเร็วกว่าเต่าประมาณล้านเท่า (สมมุติ) เกิดมาแล้ว ไปกินเลือดได้1 วินาที โดนคนตบตายตรงนั้นเลย แต่เต่าที่อยู่นานกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ดับไป เช่นเดียวกับการแปลความหมาย คลื่นของ อีเลียตนี่เอง จะไม่เกี่ยวข้องกันในด้านเวลา จะสั้นหรือยาวนั้นไม่เกี่ยว
เรื่อง ต้นเหตุ การเกิด Elliot wave ในแง่ที่ผมพูดมานี่ ไม่ใช่ ในส่วนของ "การเกิด wave 1 คือความต้องการทางจิตวิทยา / 2 คือ ความไม่มั่นใจ / 3 คือความมั่นใจเต็มที่ทางจิตวิทยา / 4 คือ ขายทำกำไร ฯลฯ" อะไรแบบนี้ แต่พูดถึงในแง่ การต้นเหตุที่แท้จริงทั้งหมด ไม่ใช่แค่ จิตวิทยา ที่เป็นเพียงส่วนประกอปของแต่ละคลื่นอะไรแบบนั้น
สุดท้ายจึงขอสรุปดังนี้ว่า สิ่งของทุกอย่างในโลกนี้ เมื่อนำมาซื้อขายกันแล้ว ราคาของมันจะถูกเริ่มนับครั้งแรก ที่ a ตามด้วย b และสุดท้ายก็คือ c รวมแล้ว จะเกิดเป็นรูปแบบขาลงทั้งสิ้น
พูดคุยมายืดยาว ตอนนี้เวลา 18.22น เริ่มมืดแล้ว ผมออกไปวิ่งก่อนล่ะครับ เดี่ยวมืดๆไปวิ่งคนเดียวจะโดนโจรปล้นเอา ยิ่งทั้งตัวมีแค่ กกน ที่ใส่หน้า a-b-c สลับไปมาด้วยแล้ว ยิ่งอันตราย โชคดีวันปีใหม่ครับ
แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 52 18:30:53
แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 52 18:29:59