ความคิดเห็นที่ 1 Executive Summary (สำหรับคนที่ไม่อยากอ่านอะไรยาวๆ ^^ ) ปัญหา Subprime ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลง เช่นเดียวกันกับเศรษฐกิจยุโรปซึ่งเป็นผู้ซื้อตราสาร subprime รายใหญ่ แม้เอเชียจะไม่ได้รับผลกระทบจาก subprime โดยตรง แต่เนื่องจากสหรัฐและยุโรปคือลูกค้าหลักของเอเชีย ทำให้การส่งออกของกลุ่มประเทศในเอเชียหดตัวลง พร้อมๆ กับการถอนเงินลงทุนเพื่อไปแก้ปัญหาสภาพคล่องทำให้มีเงินลงทุนไหลออกจากภูมิภาคค่อนข้างมาก และส่งผลให้เศรษฐกิจหดตัวลงในท้ายที่สุด ประเทศไทยได้รับผลกระทบไม่แตกต่างจากประเทศเอเชียอื่นๆ ประกอบกับปัญหาภายในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจชะลอลงต่อไปอย่างน้อยในปีนี้ จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 08:57:29 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Q: หายไปนาน ท้าวความกันหน่อย หลังจากนั้นเป็นไงต่อ? A: จากกระทู้ที่แล้วนะครับ พระเอก นางเอก ผู้ร้ายตายกันเกลี้ยง ล้มละลายหรือประสบปัญหากันทั่วหน้า ตอนนี้ผู้เล่นเหล่านี้ก้อกำลังหาเงินใช้หนี้อยู่ครับ หรือที่เราเรียกว่า Deleveraging อ่ะครับ (การลดการก่อหนี้ ส่วนมากมาจากการขายสินทรัพย์ที่ตัวเองมีอยู่ ไปจ่ายคืนหนี้ที่ตัวเองก่อไว้ครับ) จากตัวอย่างก้อในกระทู้ภาคกลางความเห็นที่ 8 นั่นล่ะครับ การขายหุ้น นำเงินสดไปใช้จ่าย + จ่ายหนี้คืนเจ้าหนี้ ซึ่งรัฐบาลและธนาคารกลางประเทศต่างๆ ออกมาช่วยกันคนละไม้ละมืออย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยครับ (เพราะถ้าสหรัฐฯ ล้ม โลกก้อจะล้มตามไปด้วยครับ) แฮะๆ แต่อย่างที่ทุกท่านทราบดีว่า ไม่ว่าจะระดมกำลังกันขนาดไหน ผลกระทบก้อยังมีอยู่ครับ เพราะนี่เป็นภัยทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เลยนะครับ ขนาดไหนอ่ะเหรอครับ ลองดูรูปข้างล่างซิครับ จากการประเมินของ IMF คุณจะเห็นว่าความเสียหายจากวิกฤตครั้งนี้สูงกว่าทุกๆ ครั้งในอดีต แถมเกิดจากประเทศที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของโลกอย่างสหรัฐฯ อีก เอาง่ายๆ ตอนวิกฤตบ้านเราที่ตายกันเกือบทั้งภูมิภาคมีความเสียหาย 4 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งนับว่าสูงแล้ว แต่งวดนี้สูงถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ มากกว่าครั้งต้มยำกุ้ง 1 ล้านล้านดอลลาร์เลยครับ เพราะฉะนั้น ผลกระทบต้องมีแน่ๆ โดยจะเริ่มจากเจ้าภาพ ซึ่งก้อคือสหรัฐและยุโรปครับ โดยผลกระทบที่เกิดในภาคการเงินทุกท่านคงเห็นแล้ว (หุ้นตก credit spread สูง ไม่มีใครปล่อยกู้ credit crunch บลาๆ) แต่จากนี้ผลกระทบจะเริ่มลามไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริงครับ จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 08:57:59 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Q: ภาคเศรษฐกิจจริงคืออะไรเหรอ? A: วันก่อน แอบเห็นคนตั้งกระทู้ถามคำถามนี้ เลยขอเล่าให้ฟังสั้นๆ ว่า ภาคเศรษฐกิจจริงหมายถึง ภาคเศรษฐกิจที่มีการผลิตสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่ใช้วัตถุดิบและปัจจัยการผลิตต่างๆ อาทิ แรงงาน ที่ดิน และทุน มาผสมผสานหรือผ่านกระบวนการผลิตเป็นสินค้าและหรือบริการ เข้าใจไหมครับ พูดภาษาชาวบ้านคือ ภาคเศรษฐกิจจริงเราซื้อ วัตถุดิบมา ใช้คน/เครื่องจักรต่างๆ ปลูก/แปรรูป/ผลิต ให้ออกมาเป็นสินค้า แล้วออกขาย อันไหนที่มีกระบวนการแบบนี้เราเรียกว่า ภาคเศรษฐกิจจริงครับ ยกตัวอย่างก้อเช่น เกษตรกรรม อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว พวกนี้คือภาคเศรษฐกิจจริงครับ ส่วนอันไหนเป็นแค่การถ่ายเทเงินตราเฉยๆ (ซื้อหุ้นมา ขายหุ้นไป หรือกู้เงินมา ปล่อยกู้ต่อ) พวกนี้เราถือว่าเป็นภาคการเงินครับ จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 08:58:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Q: แอบงง เค้าซื้อกระดาษแล้วเจ๊งกัน มันเกี่ยวอะไรกับน้องตั๊กแตนสาวโรงงานเย็บผ้าด้วย? A:  ผมแบ่งผลกระทบใหญ่ๆ ออกมาทางตรงกับทางอ้อมนะครับ ทางตรงคือ คุณเห็นด้วยไหมครับ ว่ากิจการส่วนใหญ่ในโลกนี้  ต้องกู้หนี้ยืมสินมาประกอบกิจการ (ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม) ยิ่งธุรกิจใหญ่ๆ พวกปิโตรเคมี น้ำมัน รถยนต์ อิเลคทรอนิกส์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม คงไม่มีใครหรือกลุ่มบุคคลใดมีเงินมากพอที่จะเอามาลงได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น ธุรกิจเหล่านี้ต้องกู้ยืมเงินมาประกอบกิจการ ไม่ว่ากู้มาสร้างโรงงาน กู้ล่วงหน้ามาซื้อสินค้า หรือกู้มาใช้จ่ายหมุนเวียนในกิจการประจำวัน ทีนี้พอแบงค์ประสบปัญหาสภาพคล่อง แบงค์เริ่มไม่มีเงินมากพอ แบงค์เลยต้องลดเงินกู้ยืมให้กับบริษัทเหล่านี้ บริษัทเหล่านี้ปกติเคยซื้อสินค้าได้ทีละร้อยล้าน พอโดนตัดวงเงิน เลยเหลือเงินซื้อของได้เพียงห้าสิบล้านเท่านั้น ในเมื่อการผลิตลดลง เค้าก้อต้องลดเงินเดือน ลดโบนัส และลดโอทีพนักงานลง  หรือบางบริษัทถึงขั้นต้องเลย์ออฟพนักงานออกไปบ้าง เพื่อให้บริษัทอยู่รอด ส่วนผลกระทบทางอ้อมคือ บริษัทต่างๆ เจอปัญหาแบบนี้เหมือนกันหมด ทำให้รายได้ของประชาชนคนทำงานเหล่านี้ ลดลง ส่งผลให้เค้าซื้อสินค้าน้อยลง ทำให้ยอดขายของบริษัทต่างๆ ลดลงตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ น้องตั๊กแตน จากที่เคยมีรายได้เดือนละ 7,000 พอโดนลดโอที รายได้เลยเหลือเพียง 5,000 เท่านั้น ยังดีนะจ๊ะน้องจ๋า เพื่อนน้องบางคนตกงานเลยนะ ^^" จั๋งได อดสาเอาก่อนเด้อนาง :) (อีกนานไหมน้ออ พี่ก้อไม่รู้เหมือนกันตั๊กแตนเอ้ยยย ^^" ) จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 08:58:32 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Q: อ๋อ ด้วยเหตุนี้ ปีหน้า เจ้าภาพอย่างสหรัฐ จะลามเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจจริง? A: อ่ะ รู้เรื่อง ความจริงปีนี้ก้อเริ่มแล้วล่ะครับ คุณคงได้ยินข่าวใช่ไหมครับ ที่บริษัทในภาคเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจนเริ่มประสบปัญหา อาทิ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐ เช่น GM Ford และ Chsyler ใกล้ล้มละลายจะแย่แล้ว เนื่องจากขาดเงินทุนหมุนเวียน ประกอบกับยอดขายรถยนต์ก้อตกต่ำอย่างมาก เนื่องจากน้ำมันแพงและรายได้ของคนหาย ในขณะอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น บริษัทอิเลคทรอนิกส์ บริษัทค้าปลีก บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า  ก้อเริ่มทยอยลดพนักงานกันแล้ว หลังจากที่สถาบันการเงินต่างๆ นำร่องไปก่อน ส่งผลให้ตัวเลขกิจกรรมการผลิตในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้ แย่มาก (รูปซ้ายบน) ทำให้การจ้างงานต่ำสุด ในรอบหลายๆ ปี (รูปขวาบน) สิ่งที่ตามมาก้อคือ รายได้ของประชากรสหรัฐลดลง บวกกับเค้าไม่สามารถกู้ยืมเงินมาใช้ได้ง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว นั่นหมายความว่าการบริโภคของเค้าก้อต้องลดลงด้วย (รูปซ้ายล่าง) GDP ของสหรัฐขับเคลื่อนด้วยการบริโภคเป็นส่วนใหญ่ สุดท้ายเมื่อการบริโภคของเค้าลดลง ก้อทำให้ GDP ของเค้าลดลงในที่สุดครับ (รูปขวาล่าง) ซึ่งเห็นแล้วใช่ไหมครับ ว่า GDP Q4 ของสหรัฐออกมาติดลบเลย (0.5% QoQ annualized) นั่นหมายความว่า Recession is here ครับ (ขอยืมศัพท์พี่ Mr.Messenger หน่อยนะครับ ^^" ) จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 08:58:56 ]

ความคิดเห็นที่ 6 Q:  เจ้าภาพร่วมอย่างยุโรปล่ะ ? A: จะเหลือหรือครับ :) ยุโรปในปัจจุบันก้อเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วเช่นกัน โดย ซึ่งจากรูปจะเห็นได้ว่า ทั้งการผลิต การจ้างงาน การบริโภคก้อแย่ลงทั้งนั้น ส่งผลให้ GDP ของกลุ่มประเทศ EU ติดลบแล้วเช่นกัน สาเหตุของยุโรปไม่ต่างจากอเมริกาเท่าไรนัก สถาบันการเงินในภูมิภาคนี้ซื้อพวก CDO CDS ไว้เยอะ และต้องตัดหนี้สูญเยอะไม่น้อยกว่าประเทศในอเมริกา (ตามรูปที่ 4 ในกระทู้ภาคกลาง) อีกทั้งกลุ่มประเทศที่เป็นดาวรุ่งอย่าง กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก พึ่งพาเงินทุนจากภายนอกเยอะ ปัญหาสภาพคล่องทำให้สถาบันการเงินเหล่านี้ไม่สามารถ roll over หนี้ได้ (roll over แปลว่า การกู้เงินอีกแหล่งหนึ่ง เพื่อมาชำระหนี้ที่ครบกำหนด ในกรณีนี้ เมื่อประสบปัญหาสภาพคล่องทำให้ไม่สามารถหาแหล่งกู้ยืมใหม่ๆ มาชำระหนี้เดิมได้) รวมถึงหนึ่งใน BRICs* อย่าง รัสเซีย ก้อย่ำแย่ไม่แพ้กันครับ เนื่องจากรายได้ของรัสเซียส่วนใหญ่มาจากการขายทรัพยากรธรรมชาติอย่างน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เมื่อราคาน้ำมันทำ new low ทุกวันอย่างนี้ รายได้ของประเทศหายไปเยอะ ส่งผลต่อรายได้ของประชากรในประเทศและ GDP ด้วย ล่าสุดก้อมีเรื่องกับยูเครนเนื่องจากตกลงราคาซื้อขายก๊าซกันไม่ได้ และเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นมาช่วงสัปดาห์ก่อนครับ ปล. BRICs คือกลุ่มประเทศที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของโลก ประกอบด้วย Brazil Russia India และ China ครับ แต่ตอนนี้รุ่งหรือเปล่า อีกเรื่องนะครับ (ฮา) จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 08:59:21 ]

ความคิดเห็นที่ 7 Q: แล้วเอเชียล่ะ ไม่ค่อยเป็นไรมั้ง เพราะแบงค์แถวนี้ไม่ค่อยซื้อ CDO CDS กัน? A: ผลกระทบทางตรงอ่ะใช่ครับ จากรูปที่ 4 ในกระทู้ภาคกลาง คุณจะเห็นได้ว่า Asia มีการ write down หนี้เสียน้อยมาก สะท้อนให้เห็นว่า สถาบันการเงินในเอเชียได้รับผลกระทบโดยตรงจาก Subprime น้อย อย่างไรก้อตาม ผลกระทบทางอ้อมที่เศรษฐกิจเอเชียได้รับนั้นก้อหนักหนาไม่แพ้กันครับ อันแรก เอเชียโดนปัญหา Deleveraging ครับ กล่าวคือ เงินลงทุนที่ไหลเข้ามาในเอเชีย ถูกถอนการลงทุนเพื่อนำกลับไปช่วยประเทศที่มีปัญหาอย่างอเมริกาและยุโรปครับ ตัวเลขที่ยืนยันคำพูดดังกล่าวที่ดีที่สุดคือ.... แฮ่ม ถูกต้องครับ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไงครับ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ไม่เฉพาะใน SET เท่านั้นที่ต่างชาติขายอย่างต่อเนื่องตลอดปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียต่างเจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกันทั้งสิ้น ซึ่งจากรูปขวาบนคุณจะเห็นว่าตั้งแต่ขนาดวิกฤตปี 97 ที่ Asia มีปัญหา ต่างชาติยังไม่เคยขายสุทธิในประเทศในเอเชียเลย มีช่วงวิกฤต Dotcom ที่ขายสุทธิเล็กๆ แต่งวดล่าสุดนี่ขายไปแล้วกว่า 4.8% ของ market cap แม้จะซื้อกลับบ้างในช่วงปลายปีที่ผ่านมา อันที่สองคือ การส่งออกของเอเชียชะลอตัวลงครับ จากการศึกษาของ Asia Development Bank (ADB) พบว่าลูกค้าที่บริโภคสินค้าของชาวเอเชียเราส่วนใหญ่ยังคงเป็น G3 (อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น) โดยมีสัดส่วนถึง 61.3 % ของสินค้าทั้งหมด (ตัวเลขปี 2000 นะครับ ปัจจุบันน่าจะต่ำกว่านี้) นี่คือเหตุผลสำคัญที่ผมไม่เชื่อในทฤษฎีแยกกันอยู่ (De-coupling กระทู้ก่อนๆ ผมแปล Decoupling ว่า ทฤษฎีหย่าร้างแล้วโดนเพื่อนผมคนหนึ่งคอมเม้นว่า หย่าร้างมัน Divorce เฟ้ย Decouple ไม่ได้หย่า แต่แยกกันอยู่เฉยๆ ผมก้อ เออๆ แยกกันอยู่ก้อแยกกันอยู่ เอ๊ะ ตกลงเราเป็นอะไรกัน ^^" ) เศรษฐกิจเอเชียขับเคลื่อนด้วยการส่งออกเป็นสำคัญ ถ้าอเมริกาและยุโรปเป็นอะไรไป ก้อจะไม่มีใครมาซื้อสินค้าของเอเชีย และจะทำให้รายได้ของเอเชียหายไป ส่งผลต่อเศรษฐกิจเอเชียใหญ่หลวงแน่ครับ ซึ่งตอนนี้ก้อมีสัญญาณให้เห็นแล้ว การส่งออกของประเทศในเอเชียเริ่มถดถอย (รูปซ้ายล่าง) แน่นอน เมื่อยอดขายจากการส่งออกลดลง ก้อจะทำให้รายได้ของคนในประเทศนั้นๆ ลดลงตามไปด้วย บวกกับความมั่งคงของประชาชนที่ลดลงจากการถอนการลงทุนของต่างชาติ (อย่างน้อยก้อในตลาดหลักทรัพย์ใช่ไหมครับ หุ้นตก รายได้เราก้อหายตามไปด้วย) สุดท้ายส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศนั้นชะลอลงในที่สุดครับ (รูปขวาล่าง) จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 08:59:55 ]

ความคิดเห็นที่ 8 Q: ชักไม่อยากถามคำถามนี้เลยยย --> แล้วประเทศไทยจะเจ๊งตามด้วยไหม? A: ตอนแรกผมคิดว่ามันอาจจะไม่หนักหนาเท่าไรนัก เพราะพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่ง ผมประเมินแค่เพียงว่า รายได้จากการส่งออกน่าจะชะลอลงเพียงเท่านั้น แต่พอตัวเลขเดือน พ.ย. 51 ออกมา ผมหน้าแตกยับเลย และต้องแก้กระทู้นี้ใหม่เกือบหมดเลยล่ะครับ ^^" โดยสรุป ผลกระทบที่ประเทศไทยได้รับนั้น ไม่ต่างกับประเทศเอเชียอื่นๆ กล่าวคือ ผลกระทบทางตรงมีไม่มาก แต่ได้รับผลเสียจากการที่ต่างชาติ deleverage และการส่งออกที่ชะลอลงครับ มาดูกันทีละตัวครับ อย่างแรก สถาบันการเงินในไทยไม่ได้มีปัญหาสภาพคล่อง อย่างที่บอกไว้ในกระทู้ก่อน สินทรัพย์พวก CDO, CDS เค้าไม่ได้แสดงไว้ในงบดุลกัน ทำให้เราๆ ไม่สามารถรู้ได้ว่า มันมีอยู่เท่าไรกัน ผมเคยได้ยินรองผู้ว่าการธปท. คุณบัณฑิต นิจถาวร เคยพูดไว้ว่า สถาบันการเงินไทยมีลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้เพียง 0.3% ของสินทรัพย์ทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งน้อยมากๆ แถมสินทรัพย์ดังกล่าวถูกขายทิ้งออกไปหมดแล้ว อย่างไรก้อตาม ไม่ว่าพวกนี้จะมีอยู่เท่าไรก้อแล้วแต่ มันไม่ใช่ประเด็นหรอกครับ ประเด็นคือ สถาบันการเงินประสบปัญหาสภาพคล่องหรือเปล่า? จริงไหมครับ เพราะต่อให้ลงทุนในสินทรัพย์อะไรก้อตามแต่ มันก้อมีความเสี่ยงทั้งนั้น แต่ตราบใดที่สินทรัพย์นั้นๆ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสถาพคล่อง มันก้อโอเคอยู่ ทีนี้ เรามาดูกันว่า สถาบันการเงินไทยมีปัญหาสภาพคล่องหรือเปล่า ซึ่งตัวเลขที่บอกได้ดีที่สุดคือ สินทรัพย์สภาพคล่องต่อสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงครับ* จากข้อมูลของ ธปท จะพบว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยมีสินทรัพย์เหลือเฟือครับ ณ วันที่ 21 ต.ค.51 ธพ มีสินทรัพย์สภาพคล่องถึง 1.4 ล้านล้านบาท ในขณะที่กฏหมายกำหนดให้ดำรงเพียง 4 แสนล้านบาทเท่านั้นเอง (รูปซ้ายบน) นั่นหมายความว่า ธพ มีเงินส่วนเกินที่สามารถนำไปปล่อยกู้ได้อีกถึง 1ล้านล้านบาทเชียวครับ นอกจากนี้ ธพ ไทยยังสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง (ดูจาก NIM และ ROA ในรูปขวาบนและซ้ายล่าง) รวมถึงหนี้เสีย (Non-Performing Loans หรือ NPLs) ในระบบเราก้อยังไม่สูงนัก (รูปขวาล่าง) ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมองว่า สถาบันการเงินไทยยังคงแข็งแกร่ง และไม่มีปัญหาสภาพคล่องครับ * เอาสั้นๆ นะครับ กฏหมายกำหนดไว้ว่า ธพ. ต้องดำรง สินทรัพย์สภาพคล่อง (ประกอบด้วย หลักทรัพย์ซึ่งปราศจากภาระผูกพัน, เงินฝากที่ ธปท. และเงินสดที่ธพ. ถืออยู่) ไม่น้อยกว่า 6% ของเงินฝากและเงินกู้ยืมระยะสั้น (ประกอบด้วย เงินฝากที่อายุน้อยกว่า 1 ปี และ เงินกู้ยืมต่างประเทศที่อายุน้อยกว่า 1 ปี) สรุปคือ ถ้าคุณมีเงินฝากและเงินกู้ยืมระยะสั้น 100 บาท คุณต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องอย่างน้อย 6 บาทครับ :) จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 09:00:31 ]

ความคิดเห็นที่ 9 Q: อ้าว ไม่ได้อ่านข่าวหรือที่เค้าเรียกร้องให้แบงค์ปล่อยกู้อ่ะ ถ้าแบงค์ไม่มีปัญหา ทำไมไม่ปล่อยกู้ล่ะ? A: เพราะแบงค์กลัวหนี้เสียไงครับ กล่าวคือ ไม่ใช่ว่าแบงค์ไม่มีเงินให้กู้ เพียงแต่แบงค์กลัวว่าถ้าปล่อยกู้ไปแล้วจะไม่ได้หนี้ก้อนนั้นคืน แบงค์เลยลดวงเงินหรือปฏิเสธการปล่อยกู้ที่เสี่ยงไป เพราะฉะนั้น แม้สภาพคล่องของธพ. จะไม่ใช่ปัญหา แต่สภาพคล่องของภาคธุรกิจเนี่ยละครับ ที่อาจจะเป็นปัญหาได้ในระยะถัดไป ภาคธุรกิจใหญ่ๆ ที่เคยพึ่งพาเงินทุนจากภายนอก จะต้องหันเข้ามาหาเงินกู้ในประเทศมากขึ้น เนื่องจากเจ้าหนี้ภายนอกเริ่มขาดแคลนเงินทุน และต้องนำเงินไปใช้หนี้ที่ตัวเองก่อมาอีกทีหนึ่ง อีกทั้งก้อไม่ชัวร์ว่าปล่อยกู้ไปหนี้จะสูญหรือเปล่า ภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลให้ ภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) จะยิ่งหาเงินกู้ยากขึ้นไป เนื่องจากมีรายใหญ่มาแย่งกู้ ยิ่งแบงค์มองว่า SMEs มีความเสี่ยงสูงอยู่แล้วด้วย ไปปล่อยกู้ให้กับรายใหญ่ๆ ดีกว่า อย่างน้อยก้อสบายใจกว่า นี่เป็นอีกหนึ่งโจทย์สำคัญที่รัฐต้องเข้ามาแก้ไข ก่อนที่รายย่อยๆจะยับไปกันหมดครับ ^^" จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 09:00:53 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Q: แล้วปัญหา deleverage ล่ะ? A: ข้อนี้พี่ๆ ในสินธรคงทราบกันกันดีใช่ไหมครับ ในช่วงที่ผ่านมาต่างชาติพากันขายสินทรัพย์ในไทยออกไปเพื่อไปแก้ปัญหาสภาพคล่องของสถาบันการเงินในประเทศของตน เช่นเดียวกันกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ตัวเลขที่ยืนยันได้ชัดเจนที่สุดคือ ปริมาณขายสุทธิของต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ไทย และปริมาณเงินทุนไหลออกสุทธิ (Net capital flow) ในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ จะเห็นได้ว่ามีเงินไหลออกอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าต่างชาติถอนเงินลงไทยออกไปจากไทยพอสมควรครับ   ซึ่งเบ็ดเสร็จแล้ว ปีนี้ต่างชาติขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET อย่างเดียวนะครับ) รวมทั้งสิ้น 162,346 ล้านบาท เหอๆ จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 09:01:15 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Q: อ้าว งี้ก้อเหมือนปี 41 สิที่ต่างชาติขนเงินออก จนเงินทุนสำรองเราหมดเกลี้ยง? A: สถานการณ์คล้ายกันก้อจริง แต่ตอนนี้เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งกว่าตอนนั้นมากมายครับ จากรูปจะเห็นว่า เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของเรา ณ สิ้นเดือน พ.ย. 51 สูงถึง 103,759 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  เมื่อเทียบกับปี 41 ที่มีเพียง 20,000 ต้นๆ เท่านั้นเอง ในขณะที่หนี้จากภายนอกเราก้ออยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูงนัก โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปีนี้มีสัดส่วนหนี้ภายนอกต่อ GDP เพียง 27.4 เมื่อเทียบกับปี 41 ที่อยู่สูงถึง 60-70 % และเมื่อเทียบอัตราส่วนระหว่างเงินทุนสำรองกับหนี้ระยะสั้น เราก้อจะเห็นว่า เงินทุนสำรองเรามีมากกว่าหนี้ระยะสั้นถึง 4 เท่า และสามารถรองรับการไหลออกของเงินทุนระยะสั้นได้อย่างไม่มีปัญหาแต่อย่างใดครับ จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 09:01:36 ]

ความคิดเห็นที่ 12 Q แปลว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง ไม่น่าเป็นห่วงเหรอ? A: ถูกครึ่งหนึ่งครับ (ถ้าเป็นภาษาบอลต้องบอกว่า ได้มุมเดียว ^^" ) แม้เสถียรภาพของประเทศไทยจะยังคงแข็งแกร่ง แต่แนวโน้มดูน่าเป็นห่วงเล็กๆ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าและบริการ เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น เรามาดูโครงสร้างเศรษฐกิจไทยกันก่อนครับ จากรูปคุณจะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่หลังวิกฤตปี 41 เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยภาคการส่งออกเป็นสำคัญ (แท่งสีแดงอ่ะครับ) นโยบายรัฐบาลยุคนั้น สินค้าที่มีคุณภาพ แรงงานที่มีฝีมือและราคาถูก บวกกับค่าเงินบาทที่อ่อน ส่งผลให้การส่งออกสินค้าและบริการของไทยเพิ่มสูงขึ้นมาก และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น จนเราปลดหนี้ IMF ได้ก่อนกำหนด ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ในปี 2007 ที่ GDP เราโต 4.9 นั้น เป็นผลมาจาก Net export ถึง 3.0 เลยครับ และ export คิดเป็นสัดส่วนถึง 71 ของ GDP ทีเดียวเชียวนะครับ ด้วยเหตุนี้ ภาคต่างประเทศจึงมีความสำคัญต่อประเทศไทยมาก ถ้าภาคต่างประเทศเป็นอะไรไป เศรษฐกิจไทยถูกกระทบแน่ๆ จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 09:02:02 ]

ความคิดเห็นที่ 13 Q: ซึ่งพอลูกค้าเราเจ๊ง เราก้อเลยขายของไม่ออกไปด้วย? A: นี่ละครับ คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของประเทศไทยตอนนี้ เฮ้อออ หลายท่านคงทราบแล้ว ตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนนี้ ติดลบสูงถึง 18.6% จากตารางที่ผมทำขึ้น คุณจะเห็นว่า ตลาดส่งออกหลักของเราทั้ง สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น ติดลบถ้วนหน้า นอกจากเศรษฐกิจเค้าไม่ดี กำลังซื้อเค้าลดลง จนทำให้เค้าซื้อสินค้าเราน้อยลงแล้วนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เหตุการณ์ปิดสนามบินเมื่อช่วงปลายเดือน พ.ย. นั้นกระทบต่อการส่งออกทั้งทางตรง (สินค้าไปค้างที่ cargo ส่งออกไม่ได้ สินค้าที่นำเข้ามาเพื่อมาใส่ใน line การผลิตมาไม่ได้ โรงงานต้องหยุด line นั้นไปเลย ) และทางอ้อม (ความเชื่อมั่นของต่างชาติ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า ไปสั่งจากประเทศอื่นๆ ดีกว่า เอาชัวร์ ยกตัวอย่างกันชัดๆ บริษัทผู้ผลิตอิเลคทรอนิกส์รายใหญ่มากกรายหนึ่ง ลดปริมาณการผลิตในไทยและลดเงินลงทุนในไทย และนำไปเงินที่ตอนแรกตั้งใจจะลงทุนในไทย ไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านแทน) ไม่อยากจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ กลัวว่ากระทู้จะถูกอุ้มไปราชดำเนินเสียก่อน ^^" ได้แต่หวังว่า คนไทยทุกคนจะจำเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้เป็นบทเรียนและช่วยกันหาทางแก้ไข เพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นมาอีกนะครับ _/l\_ นอกจากนี้ แทบทุกสำนักต่างฟันธงว่า เศรษฐกิจโลกปี 2009 จะแย่กว่าปี 2008 เศรษฐกิจที่คาดว่าจะเป็นความหวังอย่างตะวันออกกลาง รายได้เค้าก้อหายไปกับราคาน้ำมันที่ลดลงเหมือนกัน กลุ่ม BRICs นี่ก้อไม่ใช่ผู้ซื้อ แต่เป็นผู้ส่งออกมากกว่า เพราะฉะนั้น เลิกพูดได้เลยว่า ถ้าตลาดสหรัฐฯและยุโรปไม่ดี ก้อให้ลองไปหาตลาดใหม่ๆ ดู เราก้อคงต้องเตรียมใจไว้ว่า การส่งออกไทยปีนี้อาจแย่ลงไปอีก และแน่นอนว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้ก้อคงแย่กว่านี้อีกเช่นกันครับ จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 09:02:23 ]

ความคิดเห็นที่ 14 Q: การส่งออกแย่ มันทำให้ทุกอย่างแย่ไปหมดเลยเหรอ? A: ใช่ครับ ลองไล่สเต็ปตามนี้นะครับ เมื่อยอดการส่งออกลดลง (รูปซ้ายบน) ผู้ส่งออกก้อจะผลิตสินค้าน้อยลงถูกไหมครับ เพราะผลิตไปขายไม่ออกอยู่ดี จากรูปขวาบน เราจะเห็นว่ายอดการผลิตสินค้าของไทย (ดูได้จากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหรือ Manufacturing Production Index ) จากที่เคยเติบโตระดับ 2 digit ในปีนี้ เดือนล่าสุดกลับติดลบถึง 6.6% นับเป็นการติดลบครั้งแรกตั้งแต่ปี 2001 (Dotcom Crisis) เลยครับ   เมื่อโรงงานผลิตสินค้าลดลงอะไรจะเกิดตามมาครับ ;) ใช่แล้วครับ เค้าก้อต้องลดเวลาทำงานของแรงงานลง หรือแม้กระทั่งลดจำนวนพนักงานลงครับ (รูปซ้ายล่าง) แม้จากตัวเลขในปัจจุบันจะยังไม่เห็นสัญญาณดังกล่าว แต่ในปีหน้า คาดว่าจะชัดเจนขึ้น ผมทึกทักเอาเองว่าคนตกงานอาจสูงถึง 1 ล้านคน จากปกติ คนตกงานจะอยู่ที่ราวๆ 4-5 แสนคน โดยกลุ่มที่น่าเป็นห่วงคือ แรงงานมีการศึกษาที่จบตรีใหม่ๆ จะหางานทำยาก (แอบได้ยิน บางเจ้าบอกว่าคนจะตกงาน 2 ล้านคน ผมว่านั่นก้อเกินไปนิดครับ ขนาดตอนปี 41 คนตกงานยังมีเพียง 1.4 ล้านคนเท่านั้นเอง แรงงานบ้านเราถ้าตกงานบางส่วนสามารถกลับไปทำเกษตรกรรมที่บ้านได้ บางอุตสาหกรรมยังต้องการคนอีกเยอะ อาทิ สิ่งทอและเครื่องน่งห่ม หรือถ้าตกงานจริงๆ คนมันก้อต้องดิ้นรนหางานทำ เปิดท้ายขายของเอย ขายของแผงลอยเอย ตลาดนัดต่างๆ เอย พวกนี้ปีหนึ่งๆ รองรับคนงานได้เป็นแสนๆ เลยนะครับ อีกอย่าง ลองรัฐปล่อยให้คนตกงานสูงขนาดนั้น ประเทศไทยกลียุคแน่ครับ อาชญากรรมจะสูงแบบเดินออกนอกบ้านไปเจอดักปล้นแหง๋ๆ) และแน่นอนว่า เมื่อคนโดนลดการทำงาน หรือตกงาน นั่นแปลว่า รายได้ของคนเหล่านี้ต้องลดลงไป และเมื่อรายได้ของเค้าลดลง เค้าก้อจะไม่มีเงินไปจับจ่ายใช้สอยใช่ไหมครับ รายจ่ายของเค้า ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง (one way or another) ก้อคือ รายได้ของเราๆ ท่านๆ นั่นเอง ถูกไหมครับ (ลองนั่งนึกดูให้ดี ไม่ว่าคุณจะประกอบอาชีพอะไร รายได้ของคุณมาจากคนเหล่านี้ล่ะ one way or another ^^ ) จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 09:02:52 ]

ความคิดเห็นที่ 15 Q: ประเทศไทยไม่ได้มีแต่ภาคอุตสาหกรรมพวกนี้เสียหน่อย ภาคอื่นๆ ล่ะ? A: 55+ จริงครับ อย่างไรก้อตาม ภาคอื่นๆ ก้อแย่พอกันครับ :) เริ่มกันที่ ภาคเกษตร (รูปซ้ายบน) วันนี้เกษตรกรคนไหนยังไม่มาประท้วงนี่เชยสุดขีด อ่านข่าวหนังสือพิมพ์มีแต่ม๊อบข้าวโพดเอย ม๊อบข้าวเปลือก ม๊อบมันสำปะหลัง จำไม่หวัดไม่ไหว ราคาสินค้าเกษตรที่อยู่สูงในช่วงต้นปี จูงใจให้เกษตรกรลงทุนปลูกพืชเหล่านี้กันใหญ่ แต่พอปลายปีพืชออกรวงให้เก็บเกี่ยว ราคาดันตก เกษตรเดือดร้อนกันถ้วนหน้า รายได้ของเค้าหายไป ลำพังใช้หนี้ยังไม่พอเลย จนดักดานอีกแล้วเกษตรกรไทย นอกเรื่องนิด จากกระทู้ข้าว (link : http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2008/05/I6586882/I6586882.html ) ผมออกจะมั่นใจว่าราคาข้าวน่าจะกลับมาสูงอีก เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานข้าวของโลกมันตึงตัวค่อนข้างมาก แต่ราคาปัจจุบันตกลงมาจากเดิมตั้ง 50% มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย แต่อย่างว่าล่ะครับ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และการเงินทุกสำนักใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้เลย อย่างน้ำมันตกมาอยู่แค่ 30 ดอลลาร์นี่ ถ้าไม่เห็นกะตา ผมยังไม่อยากเชื่อเลย หน้าแหกยับเยิน ^^" ภาคท่องเที่ยว รูป (รูปขวาบน) ภาคท่องเที่ยวก้อไม่แพ้กัน นักท่องเที่ยวหายไปเยอะมาก ทั้งผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกหดตัวรวมถึงการปิดสนามบินด้วย นักท่องเที่ยวที่หายไป มันหมายถึงรายได้ของประเทศที่หายไปด้วย รวมถึงรายได้ของโรงแรมต่างๆ ร้านค้าแถวแหล่งท่องเที่ยว และธุรกิจต่อเนื่องด้วยครับ พูดภาษาชาวบ้านๆ นักท่องเที่ยวหายไปหนึ่งคน การบินไทยขาดรายได้ค่าตั๋ว พี่แทกซี่สุวรรณภูมิขาดรายได้ 1 เที่ยว โรงแรมขาดคนเข้าพัก 1 คน ร้านอาหารขาดแขกไป 1 คน spa ขาดรายได้ ถ้านักท่องเที่ยวขาดไป 1 ล้านคนล่ะ? ประเทศจะได้รับผลกระทบขนาดไหน? ทราบอะไรไหมครับ ธปท.คาดการณ์ว่า การปิดสนามบินอาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวหายไปถึง 3.4 ล้านคนเชียวนะครับ ซึ่งจะทำให้ภาคการท่องเที่ยวสูญเสียรายได้ที่ควรจะได้ถึง 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งถ้ารวมธุรกิจเกี่ยวเนื่องและธุรกิจอื่นๆ แล้ว จะส่งผลเสียหายประมาณ 2.9 แสนล้านบาท 2.9 แสนล้านบาท กับการปิดสนามบินเพียงไม่กี่วัน เฮ้ออออ..... ปล.(รายละเอียดการคำนวณดูได้ที่แว่นขยายเล่ม 10 : http://www.bot.or.th/Thai/EconomicConditions/Publication/Pages/WE_MPG.aspx ) ภาคอสังหา นี่ก้อฟุบมานานมากแล้ว ตั้งแต่ก่อนปี 41 ผมยังไม่เคยเห็นอสังหาไทยกลับมาบูมได้อีกเลย รัฐบาลพยายามออกมาตรการหลายๆ อย่างมาช่วย แต่ก้อยังไม่สำเร็จ (ภาคอสังหามันมีอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องเยอะ ไล่ไปสิครับ คุณจะปลูกบ้านสักหลัง คุณต้องไปซื้ออะไรบ้าง) และผมก้อยังมองว่า มันคงจะซบเซาต่อไปสักพัก จนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นละครับ ปล.ภาคอสังหาผมไม่ทราบจะหาตัวเลขอะไรมาให้ชมนะครับ เพราะข้อมูลเมืองไทยในภาคนี้ยังไม่สมบูรณ์เท่าใดนัก สุดท้ายภาคที่ผมมองว่าจะเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของไทยตอนนี้คือ ภาครัฐบาล ครับ นโยบายการเงินตอนนี้ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไปแล้ว (ดูสหรัฐฯเป็นตัวอย่าง ดอกเบี้ย 0% ก้อยังไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจฟื้นขึ้นมาได้เลย) เพราะฉะนั้น นโยบายที่เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวตอนนี้คือ นโยบายการคลัง ดูจากตัวเลขหนี้สาธารณะของไทยจะพบว่ามีสัดส่วนต่อ GDP ณ สิ้นเดือน ต.ค. 51 อยู่ที่ร้อยละ 36.9 ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำ เพราะตามกรอบความยั่งยืนทางการคลัง หนี้สาธารณะไม่ควรเกินร้อยละ 50   แปลเป็นไทยคือ รัฐบาลยังมีช่องที่จะสามารถก่อหนี้ได้อีกเยอะครับ ขอเพียงใช้เงินก้อนนี้ให้เป็นประโยชน์ได้ ประเทศไทยจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ครับ :) จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 09:03:23 ]

ความคิดเห็นที่ 16 Q: ในเมื่อรัฐบาลคือความหวังเพียงหนึ่งเดียว ถ้าคนในรัฐบาลมาอ่าน อยากบอกอะไรเขา? A: ผมคงมิเอื้อมอาจไปสอนหนังสือสังฆราชหรอกนะครับ ผมว่าเค้ารู้อยู่แล้วล่ะ ว่าต้องทำอย่างไร แต่อยากจะแชร์ให้พี่ๆ ในนี้อ่านมากกว่า ^^" อย่างแรก นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจควรจะเป็นนโยบายที่เร่งด่วน ชั่วคราว และตรงประเด็นครับ เร่งด่วน คือ อนุมัติวันนี้ พรุ่งนี้ เงินเข้าไปอยู่ในระบบแล้ว เพราะสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าเราช้า เศรษฐกิจจะยิ่งแย่ไปกว่านี้ครับ และถ้าเศรษฐกิจยิ่งแย่ มันจะยิ่งยากในการทำให้มันเติบโตอีกครั้งครับ (มีคนเล่าให้ฟังว่า ศก ก้อเหมือนเครื่องบิน การเทกออฟเครื่องบินจากพื้น ใช้น้ำมันมากกว่าการบังคับเครื่องบินให้รักษาระดับมากๆ เพราะฉะนั้น ต้องประคองมันไว้ อย่าทำให้มันแตะพื้น ^^" ) ชั่วคราว คือ พร้อมที่จะยกเลิกได้ทุกเมื่อ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ไม่มีภาระผูกพัน เนื่องจากในอนาคตมีความไม่แน่นอนสูงมาก ใครจะรู้ว่าปีหน้าน้ำมันจะกลับไป 200 ก้อได้ ถึงตอนนั้น ถ้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้ยังอยู่ จะยิ่งทำให้เงินเฟ้อเป็นปัญหา และอาจทำให้เศรษฐกิจพังได้ครับ ตรงประเด็น คือ สามารถไปถึงมือผู้ที่เดือดร้อนได้ตรงๆ ครับ ไม่ใช่หว่านไปทุกๆ คน มันจะเสียเปล่า ในขณะที่คนที่เดือดร้อนจริงๆ อาจจะได้รับไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย และถ้ามันสามารถช่วยแก้ไขจุดด้อยของประเทศไทยได้จะยิ่งดีมาก เช่น นโยบายแนวส่งเสริมความมั่นคงพลังงานในระยะยาว นโยบายแก้ไขสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ นโยบายส่งเสริมการศึกษา   อย่างรถไฟฟ้านั้นก้อดีครับ แต่กว่าจะสร้างมันช้า ผมเกรงว่า กว่ามันจะเริ่มสร้าง ประเทศคงตายก่อน ^^" เห็นมีข่าวว่า รัฐบาลจะเร่งรัดโครงการ กองทุนหมู่บ้านและให้เงินเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกสองเท่า เออ อันนี้เข้าท่า ผมเชียร์ เพราะใครจะรู้ความต้องการของชาวบ้านมากกว่าชาวบ้านด้วยกันเอง ที่สำคัญ แม้เราจะพอมีช่องในการนำเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เงินก้อนนี้ไม่มากเลย เมื่อเทียบกับความเดือดร้อนในหลายๆ ภาคส่วนตอนนี้ เพราะฉะนั้นเงินทุกบาท ทุกสตางค์ ควรใช้อย่างรู้คุณค่า ที่สำคัญที่สุดอย่าให้มีการรั่วไหลเป็นอันขาด ผมไม่แคร์เลยถ้าหนี้สาธารณะเราเพิ่มขึ้น ถ้าเงินเหล่านั้นนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงใจ แต่ถ้าเงินเหล่านี้ เข้าไปในกระเป๋าตังนักการเมือง แม้เพียงบาทเดียว ผมก้อรังเกียจครับ จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 09:03:53 ]

ความคิดเห็นที่ 17 Q: คำถามสุดท้าย เมื่อไรเศรษฐกิจจะฟื้นอ่ะ? A: ไม่ทราบครับ (ฮา) ผมไม่รู้จะเอาอะไรมายืนยันไอเดียของผมดี ผมไม่มีโมเดลหรือทฤษฎีอะไรมาหนุนหลังทั้งสิ้น ถ้าถามความรู้สึก (แค่ความรู้สึกนะครับ ฮา) ผมมองว่า ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่อยู่ก้นหลุม แต่เศรษฐกิจโลกก้อใกล้เคียงเต็มทน มาตรการที่รัฐบาลทั่วโลกร่วมกันแก้ไขนั้น คาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะออกฤทธิ์ได้เต็มที่ เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจโลกคงไม่น่าฟื้นเร็วกว่าครึ่งปีหลังปีนี้ แต่เศรษฐกิจโลกจะเป็น V shape, U shape, หรือ L shape นั้น ผมไม่กล้าเดาครับ :) จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 09:04:11 ]

ความคิดเห็นที่ 18 สุดท้าย ก้อขอจบ Series Subprime ไว้ตรงนี้ครับ ขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามอ่านนะครับ แค่รู้ว่ามีคนอ่าน คนเขียนก้อมีแรงเขียนแล้วครับ ^^ สวัสดีปีใหม่ครับทุกท่าน อย่าเจ็บ อย่าจน ครับ :) พบกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีครับ จากคุณ : m_ple - [ 12 ม.ค. 52 09:04:36 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ... ขอบคุณครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 12 ม.ค. 52 09:05:29 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณค่ะ เงินทุกบาททุกสตางค์ต้องใช้อย่างมีคุณค่า ....จะท่องเอาไว้ค่ะ ^^ จากคุณ : Hana* - [ 12 ม.ค. 52 09:13:19 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เืทพมากครับ งิงิ ผมก็จะต้องทำวิเคราะ์ห์หลักทรัพย์ส่งอาจารย์เหมือนกัน แต่ของพี่เน้นภาพรวมได้ดีกว่าที่ผมทำอีก ฮะฮะ ประสบการณ์จริงเป็นแบบนี้นี่เอง ข้าน้อยก็ทำแบบอย่างท่าน แต่เนื้อหาไม่ได้แน่นเท่านี้ ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ ปล. อ่านมาเข้าใจว่าพี่ไม่ได้ present เพราะ บินไม่ได้ แต่ทำไมถึงทำ PPT เป็นภาษาไทยล่ะครับ? จากคุณ : G_cyber - [ 12 ม.ค. 52 09:17:35 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ประเทศไทยอย่าก่อหนี้สาธรณะเพิ่ม ให้คนไทยมาใช้สินค้าไทย เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย เหล้า ยาสูบ เน้นค้าขายและท่องเที่ยวแบบยั่งยืน การเงินการคลัง ก็ต้องรักษาวินัย ถ้าย่อหย่อนเอาเงินมาใช้ อย่าที่นักการเมืองต้องการกัน 4 แสนล้านหมดไป นรก คัมมิ่งซูน จากคุณ : Ken - [ 12 ม.ค. 52 09:24:33 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณจากใจจริงค่ะ ^^ จากคุณ : น้อง(ของ)หมา - [ 12 ม.ค. 52 09:24:56 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณค่ะ กำลังนึกอยู่เชียวว่าคุณจะลืมตอนจบรึเปล่าเนี่ย     จากคุณ : spaceship - [ 12 ม.ค. 52 09:42:29 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณครับ ชัดเจน เข้าใจง่ายดีจังครับ จากคุณ : @power - [ 12 ม.ค. 52 09:58:05 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณมากครับ ตรงประเด็นทุกช็อต จากคุณ : อาปี้คุง - [ 12 ม.ค. 52 10:24:15 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณครับ จากคุณ : จุย - [ 12 ม.ค. 52 10:41:11 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เปลี่ยนใจละ ไม่ถามดีกว่า แก้ไขเมื่อ 12 ม.ค. 52 22:48:11 จากคุณ : Calaglin - [ 12 ม.ค. 52 11:06:38 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ว่างๆมาเขียนเรื่องอืนๆให้อ่านอีกนะคะ สนุกมาก ได้ความรู้เยอะเลย จากคุณ : WinStar - [ 12 ม.ค. 52 12:10:52 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เยี่ยมมากครับ จากคุณ : neilarm - [ 12 ม.ค. 52 12:32:30 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ชอบใจหลาย โหวตให้ครับ จากคุณ : nainu - [ 12 ม.ค. 52 13:28:17 ]

ความคิดเห็นที่ 32 รออ่านนานมาก แต่ก็ขอบคุณครับสำหรับข้อเขียนที่น่าสนใจนี้ จากคุณ : Blancpain - [ 12 ม.ค. 52 14:14:34 ]

ความคิดเห็นที่ 33 :) จากคุณ : จอม - [ 12 ม.ค. 52 14:53:26 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ชัดเจนครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : ประชาชนคนเดินดิน - [ 12 ม.ค. 52 15:08:26 ]

ความคิดเห็นที่ 35 good จากคุณ : goldengun - [ 12 ม.ค. 52 16:52:18 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เมพขิงๆค่ะคุณเปิ้ล ขอเซฟไว้ทัศนาระยะยาวนะคะ จากคุณ : <<Ayumi>> - [ 12 ม.ค. 52 16:58:56 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ดีหนอ โหวตหนอ จากคุณ : tinyangel (tinyangel) - [ 12 ม.ค. 52 17:55:49 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณสำหรับเนื้อหาดีๆที่นำมาให้อ่านครับ  ติดตามมาตลอด แก้ไขเมื่อ 12 ม.ค. 52 18:53:01 แก้ไขเมื่อ 12 ม.ค. 52 18:52:33 จากคุณ : DOOM BRINGER - [ 12 ม.ค. 52 18:51:50 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณสำหรับคำถาม คำตอบนะคะ ได้ความรู้เพิ่มค่ะ จากคุณ : minimuay - [ 12 ม.ค. 52 21:38:01 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณครับ จากคุณ : MAD MAN_TO - [ 12 ม.ค. 52 21:57:53 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : ltf06 - [ 12 ม.ค. 52 22:14:52 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ช่างมีค่าเสียนี่กระไร จากคุณ : หะหลุก - [ 12 ม.ค. 52 22:19:08 ]

ความคิดเห็นที่ 43 โดยสรุปมันก็คือการนำเงินอนาคตมาใช้ไช่ไหมครับ เมื่อพบความเป็นจริงว่าเงินในอนาคตนั้นไม่มีอยู่จริง/เป็นของคนอื่น ไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากชะลอ/ลด/ละ/เลิกการบริโภคลง เพราะฉะนั้นจะไปหวังให้มันเติบโตคงเป็นไปไม่ได้ทำได้เพียงชะลอการลดลง จากคุณ : Tamจัง - [ 12 ม.ค. 52 23:40:29 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณค่ะ อ่านแล้วเข้าใจขื้นเยอะเลย จากคุณ : น้องน้ำหวาน - [ 12 ม.ค. 52 23:49:49 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ปรบมือให้ครับ ทำให้เห็นภาพรวมชัดมากครับ ติดตามผลงานของคุณ m_ple มาตลอด เขียนแบบว่าคนทั่วไปอ่านแล้วยังเข้าได้ใจ จากคุณ : Num_EP (Num_EP) - [ 13 ม.ค. 52 00:18:54 ]

ความคิดเห็นที่ 46 นับถือครับ สุดยอดครับ ทั้งกิ๊ฟ ทั้งโหวต ทั้งเก็บครับ จากคุณ : ปกติชมใครยากนะเนี่ย อิอิ (แท็กซี่นิรนาม) - [ 13 ม.ค. 52 01:07:56 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณค่ะ สำหรับความรู้ที่นำมาเผื่อแผ่ มีประโยชน์  อ่านแล้วเข้าใจดีค่ะ กิ๊บ  โหวต  เก็บ เช่นกันค่ะ จากคุณ : เต่านำโชค - [ 13 ม.ค. 52 08:56:12 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณครับ... จากคุณ : helga - [ 13 ม.ค. 52 10:04:15 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณครับ รอภาคจบมานาน ชอบกระทู้ที่มีสาระแบบนี้  ที่สำคัญอ่านเข้าใจง่าย จากคุณ : Nirusl - [ 13 ม.ค. 52 10:22:15 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เมื่อไหร่ผมจะมีงานทำ - - จากคุณ : xSharez - [ 13 ม.ค. 52 11:40:50 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เย้ ๆ มาแล้ว จากคุณ : Let's go to the beach - [ 13 ม.ค. 52 12:31:32 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ติดตามอ่านมาตลอด เยี่ยมมากๆ ครับ จากคุณ : KoKoMan - [ 13 ม.ค. 52 13:43:05 ]

ความคิดเห็นที่ 53 คารวะสามจอกครับ อ่านง่าย สนุก และเขียนสื่อได้ดี จากคุณ : jonykeano - [ 13 ม.ค. 52 14:41:53 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณครับ ตามมาทุกตอนเลย จากคุณ : miar - [ 13 ม.ค. 52 16:02:35 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณ  ครับ จากคุณ : :::GANTZ::: - [ 14 ม.ค. 52 02:03:25 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณครับ จากคุณ : T-Fake - [ 14 ม.ค. 52 09:41:37 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณครับ save ไว้ก่อนนะครับ จากคุณ : กำมะหยี่ - [ 14 ม.ค. 52 10:15:35 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 14 ม.ค. 52 13:11:59 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ขอ save ไว้อ่านนะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : ช่องว่าง - [ 14 ม.ค. 52 13:41:11 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ชัดเจน + ตรงประเด็นมากๆ คร๊าบบบบ จากคุณ : vn, man - [ 14 ม.ค. 52 14:11:38 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ขอบคุณหลายเด้อ จากคุณ : หมี MO - [ 15 ม.ค. 52 09:36:19 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ขอบคุณมากครับ   สำหรับ ความรู้ิีอันมีค่า จากคุณ : ช่างทำแว่น - [ 15 ม.ค. 52 11:13:30 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ได้ความรู้มากเลยครับ ถึงแม้ภาคแรก ผมจะรู้เรื่องแค่นิดเดียว  พวกตัวย่อ พวก กราฟ ผมดูไม่รู้เรื่องเลย  แต่ สรุป แล้วผมเข้าใจอย่างแรง จากคุณ : ไม้โมก - [ 15 ม.ค. 52 14:16:27 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ขอบคุณครับ อยากให้รับรู้กันไว้ว่า ภาพที่เห็นจริงๆ ก็ภาพที่เห็นจากการปรุงแต่งแล้ว (ดึงความสามารถของอนาคตมาใช้ - เหมือนกับเงินปัจจุบัน กับเอาเงินบัตรเครดิตมาใช้) ปัญหาทุกวันนี้เกิดขึ้นเพราะคนเราโลภครับ อย่างภาคอุตฯ พอเห็นยอดเพิ่มนิดหน่อย ก็ทุ่มขยายๆๆๆๆ ไม่ได้ดูว่าถ้าไอ้คนซื้อเจ้านั้นมันไม่อยู่จะไปขายใครต่อ ภาระอีก (อาจจะไกลไป มามองใกล้ๆตัวกัน เงินเดือนนิดเดียว หรือขึ้นนิดเดียว หรือเงินจะมาสิ้นเดือน แต่แผนการใช้เงินล่วงหน้าไปหลายเดือนแล้ว ไม่ก็เอาเงินอนาคตมาใช้ก่อน) สาธุ.... จากคุณ : beer2nd - [ 15 ม.ค. 52 15:15:54 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ขอบคุณ+โหวตค่ะ จากคุณ : ตะวันรอนตอนเช้า - [ 15 ม.ค. 52 21:09:14 ]

ความคิดเห็นที่ 66 vote 3 point ขอบคุณครับ จากคุณ : panut - [ 15 ม.ค. 52 21:58:43 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เพิ่งเข้ามาอ่าน ยอดเยี่ยมกระเทียมดองไปเลย จากคุณ : ผู้บัญชาการรัก - [ 16 ม.ค. 52 09:17:56 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ผมเซฟเก็บลงเครื่องทั้ง 3 ตอนเรียบร้อยครับ เป็นความรู้ที่อ่านง่ายและละเอียดจริงๆ นับถือครับ แล้ว... จะมีเรื่องใหม่ๆ มาเสนอเพิ่มหรือเปล่าครับ ถ้ามีหลังไมค์มาบอกด้วยจะเป็นพระคุณยิ่งนะครับจะได้รีบมาอ่าน จากคุณ : kennyG - [ 16 ม.ค. 52 09:53:59 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณค่า เข้าใจมากๆเลย จากคุณ : St.Kyo - [ 16 ม.ค. 52 21:01:13 ]

ความคิดเห็นที่ 70 วิดวะ อ่านแล้ว ยังพอเข้าใจได้เลย ชอบมากๆ จากคุณ : ponpool1 - [ 17 ม.ค. 52 03:48:24 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ขออนุญาตส่งต่อกระทู้ไปให้เพื่อนที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย.... เพื่อเป็นข้อมูลสอนนักศึกษาครับ.... จากคุณ : Nabokov1 - [ 17 ม.ค. 52 22:19:51 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ขอบคุณครับ จากคุณ : กองทุนเหาฉลาม - [ 18 ม.ค. 52 14:02:51 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เพิ่งได้เข้ามาอ่าน ขอบคุณครับ จากคุณ : Mr.Messenger - [ 19 ม.ค. 52 00:32:22 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ขอบคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ และขอบคุณหลายๆ สำหรับคความเห็นที่มีประโยชน์นะครับ ขอบอกว่า นอกจากคนอ่านจะได้อะไรจากคนเขียนแล้ว คนเขียนก้อได้เรียนรู้หลายๆ อย่างจากคนอ่านเช่นกันครับ และที่สำคัญที่สุด ขอบคุณทุกๆ เสียงโหวตและ gives นะครับ ขอตอบบางคห. ดังนี้นะครับ คห. 21 คุณ G_cyber อ๋อ เรื่องที่ผมจะไปพรีเส้นนั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยครับ อันนี้ทำขึ้นมาประกอบกระทู้ล้วนๆ ^^" คห. 22 คุณ Ken การกระตุ้นศก ตอนนี้เป็นสิ่งจำเป็นครับ ซึ่งมันก้อเข้าทางนักการเมืองพอดี ทำอย่างไร ไม่ให้มันรั่วไหล อันนี้ยากอ่ะ คห 28 คุณ Calaglin แฮะๆ ผมเลยอ่านไม่ทันเลยว่าพี่เคยถามเรื่องอะไร แล้วทำไมเปลี่ยนใจละครับ ผมไม่อยากให้สิ่งที่ผมเขียนมัน dominate ความคิดของคนอ่านนะครับ ผมจะดีใจมากเลย ถ้าคนอ่านแย้งว่ามา เฮ้ย อันนี้ผิด เฮ้ อันนี้ผมว่าแบบนี้จะเวิร์คกว่านะ อะไรทำนองนั้นอ่ะครับ อยากให้ถามนะครับ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือเห็นแย้ง มาแชร์กันครับ :) คห 43 คุณ Tamจัง การนำเงินในอนาคตมาใช้ จะพูดอย่างนั้นก้อจริงครับ แต่ถ้าเราสามารถนำเงินในอนาคตมาใช้ 10 บาท แล้วทำให้มันงอกเงยได้ พอในอนาคต เรามีเงิน 20 บาท จ่ายคืนหนี้ 10 บาท และมีกำไร 10 บาท มันก้อดีไม่ใช่หรือครับ :) ทุกคน ทุกประเทศ เราก่อหนี้ ทั้งทางตรง (ยืมมาตรงๆ ออกหุ้นกู้) หรือทางอ้อม (เอาทรัพยากรมาใช้ เช่น น้ำมัน ถนนหนทาง หรือน้ำไฟ ทุกวันนี้ที่รัฐบาลให้คุณฟรี เค้าก้อก่อหนี้มาใช้แทนคุณก่อนทั้งนั้นครับ) เพราะฉะนั้น เราคงปฏิเสธการเป็นหนี้ไม่ได้หรอกครับ (ผมออกจะเชื่อเหลือเกินว่า ไม่มีใครไม่เคยเป็นหนี้) แต่ประเด็นคือ ทำอย่างไรที่จะก่อหนี้ให้พอดีกับตัว และมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี เพื่อรองรับการเป็นหนี้ก้อนดังกล่าวครับ :) และถ้าไม่มีการจัดการความเสี่ยงที่ดี ก้ออาจเป็นเพราะความโลภ ตามคห.ที่ 64 ของคุณ beer2nd ก้อได้ครับ :) คห 71 คุณ Nabokov1 ด้วยความยินดีครับ :) ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งนะครับ วันนี้ลุ้น LIVE กันต่อครับ ผู้กล้าทั้งหลาย (ฮา) จากคุณ : m_ple - [ 19 ม.ค. 52 08:56:15 ]

ความคิดเห็นที่ 75 พอดี Give เหลือเยอะ ขอยกให้หมดตัว จากใจเลยค่ะ จากคุณ : RebmemeR - [ 23 ม.ค. 52 03:22:06 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ขอบคุณครับ มีประโยชน์มากจริง ๆ ครับ จากคุณ : Renato Benster - [ 24 ม.ค. 52 20:49:08 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ขอบคุณก๊าบ จากคุณ : d.hunt - [ 26 ม.ค. 52 10:40:19 ]