ความคิดเห็นที่ 17
เอกชนหนุนมาตรการภาษีคนกู้บ้านนำเงินต้น2-3แสนลดหย่อนภาษีได้ เชื่อทำยอดขายอสังหาฯพุ่ง
นายกสมาคมธุรกิจบ้านขานรับมาตรการให้ผู้กู้ นำเงินต้น2-3แสนลดหย่อนภาษี เชื่อทำ"ทาวน์เฮาส์-คอนโด"ยอดพุ่ง ปตท.คาดปีหน้าต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มเพิ่ม หวั่นชะลอปรับราคาเกิดส่วนต่าง2-3พันล้าน
จากการที่กระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริม ทรัพย์ โดยให้ผู้กู้ซื้อบ้านสามารถนำเงินต้น 2-3 แสนบาท มาลดหย่อนภาษี เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่สามารถนำดอกเบี้ยมาลดหย่อนภาษีได้ 1 แสนบาทต่อปี โดยมาตรการดังกล่าวเตรียมเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 20 มกราคม
เมื่อวันที่ 17 มกราคม นายประสงค์ เอาฬาร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี สำหรับการกระตุ้นการซื้อ และโอนที่อยู่อาศัยในปีนี้ สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และจะเป็นประโยชน์กับผู้ซื้อบ้านทุกกลุ่ม จากมาตรการเดิมที่ให้นำดอกเบี้ยมาลดหย่อนภาษีได้ 1 แสนบาทต่อปี ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือผู้ที่กู้ซื้อบ้านตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป แต่หากมีการนำเงินต้นมาลดหย่อนภาษีได้เพิ่มเติม จะทำให้สิทธิประโยชน์ครอบคลุมผู้กู้ซื้อบ้านทุกราคา
"มาตรการเดิม ผู้ซื้อบ้านราคา 1-1.5 ล้าน จะไม่ได้รับผลประโยชน์จากการนำดอกเบี้ยมาลดหย่อนภาษี เพราะดอกเบี้ยไม่ถึง แต่การรวมเงินต้นมาคำนวณภาษีเพิ่มด้วยครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์มากขึ้น ทุกคนมีสิทธิเท่ากัน เรียกว่าเป็นมาตรการแบบฝกตกทั่วฟ้า" นายประสงค์กล่าว นายก สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรกล่าวว่า หากรัฐบาลสามารถออกมาตรการดังกล่าวได้จริง จะส่งผลให้สัดส่วนการขายที่อยู่อาศัยประเภท ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก เพราะระดับราคาขายอยู่ที่ 1.5-3 ล้านบาท ผู้กู้จะได้ประโยชน์เต็มที่จากมาตรการนำเงินต้นและดอกเบี้ยมาลดหย่อนภาษี นอกจากนี้ ยังเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ที่ต้องการขายที่อยู่อาศัย และตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ในปีนี้
นายประสงค์กล่าวว่า สำหรับระยะเวลามาตรการที่ 2 ปีนั้นถือว่ามีความเหมาะสม เพราะจะกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของประชาชนได้เร็วขึ้น เนื่องจากถ้าตัดสินใจเร็วซื้อภายในปีนี้จะสามารถนำเงินต้นมาลดหย่อนภาษีได้ เต็มเพดาน แม้ว่าในปีถัดไปจะลดหย่อนได้เพียงครึ่งหนึ่ง แต่ก็ถือเป็นอัตราที่หากไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้น ผู้บริโภคก็จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์นี้ ดังนั้น มาตรการกระตุ้นภาษีอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลครั้งนี้จึงถือว่ามีความหมายกับ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาก
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการนโยบานพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ชะลอการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และเอ็นจีวี ออกไปโดยไม่มีกำหนดนั้น นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.เข้าใจว่ารัฐบาลต้องการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาเศรษฐกิจ ในขณะนี้ ซึ่ง ปตท.พร้อมปฏิบัติตาม หากไม่มีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน คาดว่าในอนาคตปริมาณการนำเข้าแอลพีจีจะต้องเพิ่มขึ้น โดยในปีนี้อาจต้องนำเข้าประมาณ 5 แสน ถึง 1 ล้านตัน จากปี 2551 นำเข้า 4 แสนตัน มูลค่าประมาณ 9 พันล้านบาท
นายประเสริฐกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาคณะกรรมการ ปตท. เคยมีมติเพื่อวางกรอบการนำเข้าแอลพีจีของ ปตท. ไว้ไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ดังนั้น หากต้องนำเข้าแอลพีจีสูงกว่าที่กำหนดคงจะต้องหารือกันในคณะกรรมการ ปตท. ว่าจะทำอย่างไร เบื้องต้นแนวทางที่ดีที่สุดคือ ภาครัฐควรเร่งนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมารับภาระนำเข้าแทน ปตท.เพื่อไม่ให้เกิดภาระมากเกินไป
"หากปีนี้ส่วนต่างราคาแอลพีจีในและต่างประเทศ อยู่ประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน คาดว่าภาระนำเข้าจะอยู่ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท แต่สิ่งที่น่ากังวลคือหากความนิยมใช้แอลพีจีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภาระของประเทศต้องเพิ่มขึ้นทั้งในแง่การนำเข้าแอลพีจีที่จะเพิ่มสูงขึ้นตลอด ในขณะที่โรงกลั่นน้ำมันต้องส่งออกน้ำมัน ภาระค่าขนส่งก็จะเพิ่มเป็น 2 เท่า" นายประเสริฐกล่าว
นายประเสริฐกล่าวว่า ในส่วนของเอ็นจีวีที่มีภาระเพิ่มขึ้นจากการที่ไม่ได้ปรับราคานั้น มีประมาณ 4,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งจะกระทบต่อผลประกอบการของ ปตท. และการขยายการลงทุนในอนาคตของผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับเอ็นจีวีทั้งหมด ดังนั้น รัฐบาลควรพิจารณาให้รอบคอบว่าจะสร้างความสมดุลเหล่านี้อย่างไร
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับมาตรการที่กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 20 มกราคม ได้แก่ 1.การขอยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า 3 เดือน ให้กับนักท่องเที่ยวทุกสัญชาติ เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศ 5 แสนคนต่อวัน หรือมูลค่า 500 ล้านบาทต่อวัน 2.ปรับแผนปี 2552 ให้ทุกส่วนราชการปรับแผนการประชุมสัมมนา อบรม ให้อยู่ภายในประเทศ แทนการเดินทางออกนอกประเทศ 3.ส่งเสริมการลดค่าตั๋วเครื่องบินโดยสารในลักษณะการซื้อ 1 แถม 1 หรือ ลด 50% เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งในเรื่องนี้จะต้องดำเนินการร่วมกับกระทรวงคมนาคม 4.การลดค่าขึ้นลง สนามบิน (แลนดิ้งฟี) ให้กับทุกสายการบิน และทุกสนามบิน 5.การช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวเรื่องการกู้เงินในอัตรา ดอกเบี้ยราคาถูก และ 6.เรื่องภาษีโรงเรือนที่จะจัดเก็บกับผู้ประกอบการโรงแรม โดยขอให้ชะลอเก็บค่าธรรมเนียมปีละ 80 บาท/ห้อง ไป 3 ปี ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นจึงจะชำระต่อ ข้อเสนอนี้ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ มีมติให้กระทรวงกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณา แต่ต้องเข้าสู่การพิจารณาใน ครม. ในวันที่ 20 มกราคมนี้ด้วย
วันเดียวกัน กระทรวงแรงงานจัดงานนัดพบแรงงานเพื่อช่วยเหลือคนงานที่ถูกเลิกจ้างและผู้ ว่างงานจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ที่บริเวณกระทรวงแรงงาน
นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานว่า การจัดงานครั้งได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล กว่า 40 บริษัท ตั้งโต๊ะรับสมัครและสัมภาษณ์งานโดยตรง จำนวนกว่า 10,000 ตำแหน่ง รวมทั้งยังมีตำแหน่งงานว่างจากทั่วประเทศ 135,000 ตำแหน่ง ให้ผู้ว่างงาน หรือต้องการเปลี่ยนงานได้สมัครงานผ่านศูนย์บริการจัดหางาน หรือ (E-JOB CENTER) การรับสมัครเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน การให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแรงงาน
"นอกจากนี้ ยังมีการสาธิตการประกอบอาชีพอิสระ 11 อาชีพ เช่น การทำราดหน้าหมูหมัก ก๋วยเตี๋ยวนายฮุย รวมถึงการให้คำปรึกษาด้านการกู้ยืมเงินลงทุน จากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เชื่อว่าจะเป็นช่องทางให้ผู้ที่ถูกเลิกจ้าง ล่าสุด มีจำนวนกว่า 50,000 คน ผู้จบการศึกษาใหม่รวมถึงผู้ต้องการจะเปลี่ยนงาน สามารถหางานทำได้จากการจัดงานครั้งนี้" นายไพฑูรย์กล่าว และว่า การจัดงานจะมีขึ้นในทุกวันเสาร์ตลอด 3 เดือน ไปจนถึงวันที่ 28 มีนาคม ส่วนในต่างจังหวัดจะจัดงานนัดพบแรงงานในช่วงเดือนมีนาคม โดยจะจัดพร้อมกัน 4 ภาค
ที่พรรคประชาธิปัตย์ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ภารกิจที่จะทำเป็นอย่างแรก คือกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่ไปกับนโยบายของรัฐบาล โดยจะใช้งบประมาณคงคลังที่กทม.มีอยู่ 20,000 ล้านบาท แจกจ่ายเงินให้ถึงมือของประชาชนโดยตรง แต่เบื้องต้นจะอัดฉีดเพียง 3,000-4,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะเดินหน้าโครงการแก้ไขปัญหาจราจร โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอส เฉพาะส่วนต่อขยายบริเวณสะพานตากสินข้ามไปฝั่งธนบุรีนั้น จะเปิดใช้งานไม่เกินวันที่ 15 พฤษภาคมปีนี้ ขณะที่โครงการรถด่วนบีอาร์ทีนั้น จะทำหนังสือสอบถามไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ว่าสามารถเดินหน้าโครงการต่อไปได้หรือไม่
จากคุณ :
parn 256
- [
19 ม.ค. 52 06:08:42
]
|
|
|