Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    โอกาสการลงทุนในวิกฤตการณ์การเงิน 2008 (จบ)

    บนโลกของความเปลี่ยนแปลง:ธงชัย บุศราพันธ์

    เมื่อเดือนที่แล้วผมได้เขียนเรื่อง "โอกาสการลงทุนในวิกฤตการณ์เงิน 2008"  วันนี้ตั้งใจจะเขียนให้จบ ซึ่งครั้งที่แล้วได้พูดถึงเรื่องของการลงทุนในพันธบัตร หรือตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้ของบริษัทในต่างประเทศไปแล้ว วันนี้จะขอพูดถึงเรื่องอื่นๆ ต่อไปครับ

    โอกาสที่สองการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ วันนี้สําหรับนักลงทุนทุกๆ คนคงถามเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือราคาที่ต่ำที่สุดแล้วหรือยัง คงไม่มีใครตอบได้เพราะถ้าเราดูจากปัจจัยพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์ในประเทศใด ก็มีการขายจนทะลุปัจจัยพื้นฐานไปจนหมดแล้ว ดังนั้นคงต้องกลับมาตั้งคําถามใหม่ว่าหากเศรษฐกิจตกต่ำถึงขีดสุดแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศใดหรือว่าในหมวดอุตสาหกรรมใด ที่มีโอกาสฟื้นกลับมาได้เร็วและให้ผลตอบแทนได้ดีที่สุด

    สําหรับวิกฤตในปี 2008 นี้มีความแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับวิกฤตในปี 1997 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 1997 ไทยเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของวิกฤต ดังนั้นการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วของรัฐบาลไทยและ IMF ตลอดจนถึงการลดค่าเงินบาทและการเติบโตโดยภาพรวมของเศรษฐกิจโลก ได้ช่วยให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยและภูมิภาคเอเซียฟื้นกลับมาได้รวดเร็ว แต่วันนี้วิกฤตที่เกิดขึ้นของสหรัฐอเมริกาได้ลุกลามมาถึงประเทศไทย ซึ่งเปรียบก็เป็นหางแถวของวิกฤตการณ์นี้

    ดังนั้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคงจะต้องเริ่มเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาก่อนประเทศไทยแน่นอน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากประเทศไทยยังจะมีปัญหาทางการเมืองต่อเนื่องไปในปี 2009) และที่สําคัญราคาของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาได้ปรับตัวลดลงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ยกตัวอย่างเช่น หากเราพิจารณาจากอัตราสัดส่วนราคาต่อกําไร (P/E ratio) ของหุ้นในดัชนี้ S&P 500 จะพบว่า P/E ratio มีค่าเฉลี่ยที่11 เท่าลดลงกว่า 50% ถ้านับจากอัตราเฉลี่ยของค่า P/E ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

    ในขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ S&P 500 ได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 3.4 % ซึ่งมีค่ามากกว่า 2 เท่าของค่าเฉลี่ย 10 ปี ซึ่งหลายๆ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์กล่าวว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกาในรอบ 30 ปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว สําหรับรูปแบบของการลงทุน ผมเชื่อว่าควรจะลงทุนผ่านกองทุนรวมน่าจะมีโอกาสในการกระจายความเสี่ยงดีที่สุด เราคงต้องพิจารณาว่ากองทุนใดที่จะมีโครงสร้างในการลงทุนที่เหมาะสมกับผลตอบแทน และความเสี่ยงที่เราต้องการ แต่สิ่งหนึ่งที่ควรจะเตรียมใจไว้คือ ในระยะเวลาอันสั้น 1-2 ปี ราคาหลักทรัพย์อาจจะไม่มีผลตอบแทนเป็นบวกอย่างรวดเร็ว

    ดังนั้นเงินที่นํามาลงทุนในส่วนนี้ นักลงทุนควรที่จะมีความมั่นใจสูงว่า เป็นเงินที่ใช้ในการลงทุนในระยะยาวจริงๆ หากมิฉะนั้นอาจต้องทําการขายและรับผลขาดทุนออกมาก่อนที่หุ้นจะมีโอกาสในการปรับตัวขึ้น เนื่องจากการฟื้นตัวของราคาหุ้นในรอบวิกฤตครั้งนี้คงค่อยๆ ปรับตัวขึ้นทีละนิด และต้องอาศัยระยะเวลา

    โอกาสที่สาม การลงทุนในกองทุน Hedge Fund  สําหรับการลงทุนประเภทนี้เป็นการลงทุนในรูปแบบพิเศษ เป็นที่แพร่หลายในต่างประเทศ แต่ในไทยยังไม่มีกองทุนในลักษณะนี้เปิดให้บริการแก่นักลงทุนโดยทั่วไป กองทุน Hedge Fund นั้นเป็นรูปแบบของการลงทุนที่ค่อนข้างยืดหยุ่น และให้อิสระต่อผู้บริหารกองทุนเป็นอย่างสูง ซึ่งผู้บริหารกองทุนเองก็จะปกปิดกลยุทธ์ของตนเป็นความลับไม่ได้ เปิดเผยรายละเอียดของการลงทุนให้กับนักลงทุนมากนักเพราะต้องการที่จะรักษาความสามารถในการหากําไรของตนไว้ไม่ให้ผู้จัดการกองทุนอื่นลอกเลียนแบบกองทุน Hedge Fund นี้ จะมีการผสมผสานการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลาย ซึ่งบางกองทุนอาจจะลงทุนได้ครอบจักรวาลทั้งหุ้น, ตราสารหนี้, สินค้าโภคภัณฑ์ ,อัตราแลกเปลี่ยน

    แต่ที่ผมคิดว่าน่าสนใจและคงมีออกมานําเสนอค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาและในยุโรปก็คือกองทุน Hedge Fund ที่จะลงทุนใน Distressed Asset (สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ) ที่เป็นต้นเหตุของวิกฤตการณ์ครั้งนี้นั่นเองหลายๆ คนคงสงสัยว่า ในเมื่อเป็นสินทรัพย์ที่ทําให้เกิดปัญหาทําไมถึงจะมีคนต้องการเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ ประเภทนี้คําตอบก็คือราคาที่มีการปรับลดลงอย่างมากนั่นเองที่สร้างโอกาสในการทํากําไรมหาศาล คุ้มกับความเสี่ยงที่จะเข้าไปลงทุนนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น

    ในปี 1999 ประเทศไทยได้มีการประมูลขายสินทรัพย์ที่รัฐบาลได้ทําการยึดจากสถาบันการเงิน ที่ได้ถูกสั่งให้ปิดกิจการสินทรัพย์เหล่านั้น ส่วนหนึ่งก็คือโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สถาบันการเงินเหล่านั้นได้ปล่อยสินเชื่อให้อยู่ ขณะนั้นนักลงทุนข้ามชาติ อาทิ โกลด์แมนแซคเลห์แมนบราเดอร์ก็ได้เข้ามาประมูลสินทรัพย์พวกนั้น และซื้อไปในราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 30-40% ของราคาสินทรัพย์ก่อนวิกฤตการณ์ ซึ่งหลังจาก 3 ปีกองทุนเหล่านั้นได้ทํากําไรมหาศาลได้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่า 30% ต่อปี

    วันนี้โอกาสเช่นตัวอย่างข้างต้นกําลังเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่เกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาและในยุโรป ดังนั้นไม่ต้องเป็นที่สงสัยเลยว่ากองทุน Hedge fund ทั้งหลายกําลังเตรียมตัวระดมทุนครั้งใหม่เพื่อที่จะเข้าไปซื้อสินทรัพย์ดังกล่าว สมกับคํากล่าวที่ว่า  “One man's junk is the other man treasure”นั่นเอง แต่การลงทุนประเภทนี้ก็ต้องระมัดระวังให้ดี ประการแรกกองทุน Hedge Fund ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นกองทุนปิดและไม่มีสภาพคล่องหรือตลาดรองรอรับไว้ ผู้ลงทุนจึงต้องมั่นใจได้ว่าไม่มีความจําเป็นที่จะต้องถอนเงินออกจากกองทุนในระยะเวลาที่กําหนดไว้ (ประมาณ 5 ปี)  
    และประการที่สองความน่าเชื่อถือของผู้บริหารกองทุนเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อสองเดือนที่แล้ว นาย Bernard Madoff อดีตประธานตลาด Nasdaq ซึ่งเป็นผู้บริหารทางการเงินที่ประสบความสําเร็จ และมีชื่อเสียงได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูง ซึ่งประกอบอาชีพภายหลังจากเกษียนจาก Nasdaq เป็นผู้บริหารกองทุน Hedge Fund ของตนเองก็ได้ออกมายอมรับว่า กองทุนของเขาไม่ได้ทํากําไรให้กับนักลงทุนอย่างที่ได้แจ้งในงบการเงินหากแต่ใช้กลยุทธต่อเงินแบบแชร์แม่ชม้อย (คงยังจํากันได้เมื่อสักยี่สิบปีที่แล้ว)  ทําเอานักลงทุนที่ลงเงินกับเขาหงายหลังไปตามๆ กันเมื่อความจริงถูกเปิดเผยออกมาครับ

    หวังว่าคงจะได้เห็นโอกาสในปี 2009 นี้ และขออวยพรท่านผู้อ่านมีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมรับกับสถานการณ์อันน่าตื่นเต้นของปีนี้นะครับ

    http://www.bangkokbiznews.com/home/news/finance/guru/2009/01/19/news_7973.php

    จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา - [ 20 ม.ค. 52 00:12:26 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom