Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    วีรพงษ์ รามางกูร คอลัมน์คนเดินตรอก ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2545

    มาอ่านอีกที ปี 2552 แม่นยิ่งกว่าหมอลักษณ์อีกครับ (^^,)

    หลายท่านคงได้อ่านแล้ว

    เผื่อเพื่อนๆสมาชิกท่านที่ยังไม่ได้อ่านแล้วกันนะครับ งง เลยครับ วิสัยทัศน มาถึงอีก 7 ปีข้างหน้าเลย

    ภาวะเงินฝืดเป็นอย่างไร

    วีรพงษ์ รามางกูร  คอลัมน์คนเดินตรอก  ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2545

    ขณะนี้มีข่าวที่ค่อนข้างหวั่นวิตกกันไปทั่วโลก ว่าถ้าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกายังซบเซา ยืดเยื้อไปเรื่อยๆ เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ก็จะเหมือนกับเศรษฐกิจของญี่ปุ่น แล้วก็จะทำให้เศรษฐกิจของทั่วโลกเข้าสู่ภาวะเงินฝืด หรือ Global Deflation

    ความเกรงกลัวว่าเศรษฐกิจของโลก จะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ต่อภาวะ "กับดักสภาพคล่อง" หรือ  "Liquidity Trap"  ที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา แล้วก็กลัวว่าโลกจะเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หรือ "Depression"  ทั่วไป จนกระทั่งท่านนายกรัฐมนตรี ยกขึ้นพูดในที่ประชุม ครม. เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก็เลยเป็นข่าวฮือฮาขึ้นในประเทศไทย

    ความจริงเป็นข่าวที่นักเศรษฐศาสตร์ที่อเมริกา ได้หยิบยกขึ้นมาเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก่อนแล้ว ทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และที่อื่นๆ

    ที่ถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ก็คือ ภาวะเงินฝืดคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วถ้าเกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นเรื่องที่น่าห่วง เพราะเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยากกว่าภาวะเงินเฟ้อ

    ภาวะเงินฝืด ก็คือ ภาวะที่ตรงกันข้ามกับภาวะ "เงินเฟ้อ" หรือ "Inflation" ภาวะเงินเฟ้อ คือภาวะที่ระดับราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กันไปหมด ไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ

    ส่วนสาเหตุ ที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ก็มีสาเหตุมาจากสาเหตุใหญ่ๆ 2 สาเหตุ สาเหตุแรกก็เพราะความต้องการสินค้า และบริการ โดยส่วนรวมขึ้นจนเกินกำลังการผลิต อาจจะเป็นเพราะปริมาณเงินมีมากเกินไป รัฐบาลใช้จ่ายมากเกินตัว หรือการส่งออกมีมากเกินไป เงินเฟ้อประเภทนี้เป็นเงินเฟ้อที่เกิดจาก "ความต้องการดึง" หรือ "Demand Pull" เป็นภาวะที่เงินทองหาได้คล่อง เงินหมุนหลายรอบ อีกประเภทเกิดจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือค่าแรงสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็เลยทำให้ต้นทุนสินค้าทุกตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วกันไปหมด เงินเฟ้อประเภทนี้บางทีก็เรียกว่าเป็นเงินเฟ้อที่เกิดจาก "ต้นทุนดัน" หรือ "Cost Push" เงินเฟ้อประเภทนี้ อาจจะรวมไปถึงกรณีสินค้าที่นำเข้าอื่นๆ มีราคาสูงขึ้น รวมทั้งกรณีค่าเงินตกต่ำลงไปด้วย

    ถ้าหากความต้องการซื้อสินค้า และบริการโดยส่วนรวม มีสูงกว่าความสามารถในการผลิต ส่วนที่เกินนี้ก็เรียกกันว่า เป็นส่วนที่มีความกดดันให้ระดับราคา และการผลิตสูงขึ้น หรือ "Inflationary Gap"

    ภาวะเงินเฟ้อประเภทแรก ถ้าไม่รุนแรงก็จะทำให้ความต้องการลงทุนเพิ่มสูงขึ้น ดึงให้การผลิตขยายตัวรองรับความต้องการสินค้า และบริการที่เพิ่มสูงขึ้น ดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ถ้าเกิด "เงินเฟ้ออย่างรุนแรง" หรือ "Hyper Inflation" ก็เป็นผลเสีย ไม่มีใครกล้าลงทุน ค่าเงินตกต่ำลง แทนที่เศรษฐกิจจะขยายตัว อาจจะกลายเป็นเศรษฐกิจตกต่ำลงมาได้

    เงินเฟ้อประเภท "ต้นทุนดัน" ระดับราคา เพิ่มขึ้นเพราะต้นทุนก็จะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน แต่ก็มีเงินเฟ้อด้วย หรือที่เรียกว่า "Stagflation" ก็ได้  อย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลังจากเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่สอง มีเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ดอกเบี้ยขึ้นสูง แต่เศรษฐกิจทั่วโลก ยกเว้น ญี่ปุ่นซบเซากันทั่วไปหมด รวมทั้งประเทศเราด้วย ก็เลยเป็นสถานการณ์เศรษฐกิจชะงักงัน แต่มีเงินเฟ้อ

    ต่างกับภาวะเงินเฟ้อลดลง หรือ disinflation คือระดับราคาลดลงพร้อมๆ กับการลดลงของความต้องการรวม และรายได้ประชาชาติ เพื่อทำให้การนำเข้าลดลง ดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดจะได้ดีขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจลดความร้อนแรงลง

    สาเหตุสำคัญก็คงจะเหมือนกับภาวะเงินเฟ้อ แต่กลับทางกัน ประการแรกเกิดจากความต้องการสินค้า และบริการเพื่อการบริโภค และการลงทุนลดลง เพราะตลาดไม่มีกำลังซื้อ รายได้ของผู้คนลดลง คนว่างงานมากขึ้น คนที่มีเงินก็ไม่กล้าลงทุน สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ เพราะไม่เชื่อว่าลงทุนไปแล้ว จะมีรายได้คืนเจ้าหนี้ เงินทองอาจจะล้นตลาด แต่หาได้ยาก การค้าฝืดเคือง เงินไม่หมุน หรือหมุนช้าลง เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงเรื่อยๆ ยืดเยื้อไปเรื่อยๆ ถ้าหากความต้องการซื้อสินค้า และบริการโดยส่วนรวมมีต่ำกว่าความสามารถ เช่น ผลิตเพียง 50 หรือ 60% ของการผลิต ส่วนที่ขายไปนี้ ก็จะสร้างความกดดันให้ระดับราคา และการผลิตต่ำลง หรือ "Deflationary Gap"

    แต่ถ้าสถานการณ์รุนแรง ก็จะกลายเป็นภาวะ "เศรษฐกิจตกต่ำ" หรือ "Depression" อย่างที่เคยเกิดขึ้น ในสมัยปี ค.ศ.1929-30 แต่ไม่เรียกว่า "Hyper Deflation"

    ส่วนสาเหตุที่ราคาอ่อนตัวลงโดยทั่วไป ก็คือ ต้นทุนการผลิตลดลง อาจจะเป็นเพราะค้นพบวิทยาการใหม่ๆ หรือแหล่งน้ำมันใหม่ๆ หรือกลุ่มโอเปกแตกคอกัน รวมกันไม่ติดราคาวัตถุดิบ ราคาสินค้านำเข้าก็เลยถูกลงทั่วโลก

    หรือกรณีที่มีแหล่งผลิตใหม่ที่ค่าแรงถูกลง มีทรัพยากรธรรมชาติที่มีราคาถูกกว่า เช่นประเทศจีน ที่กลายเป็นแหล่งผลิตสินค้าราคาถูก คุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ มาทดแทนแหล่งผลิตเก่า ที่มีราคาแพงกว่า อย่างนี้ก็ทำให้ระดับราคาสินค้า และบริการโดยระดับราคาทั่วไป อาจจะลดลงก็ได้ อย่างนี้ไม่เป็นไร

    เวลาเกิดเงินเฟ้อ ก็อาจจะเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งก็ได้ หรืออาจจะเกิดขึ้นจากทั้งสองสาเหตุก็ได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้าไม่ใช่เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง แบบประเทศละตินอเมริกา เมื่อ 20-30 ปีก่อน ตลาดก็จะปรับตัว กลายเป็นวัฏจักร แต่ถ้าเกิดรุนแรงอย่างในอเมริกา เงินไหลออกจากประเทศอย่างรุนแรง จนล้มละลายก็แย่ ค่าเงินตกต่ำ คนว่างงาน กลายเป็นปัญหาทางการเมือง และสังคม สถาบันการเงินต่างก็เข้าไปช่วยเหลือ จึงจะเอาอยู่

    ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์อธิบายภาวะ "เงินฝืด" น้อยกว่าอธิบายเรื่องภาวะเงินเฟ้อ อาจจะเป็นเพราะว่า ภาวะเงินฝืด เกิดขึ้นไม่บ่อยเท่าภาวะเงินเฟ้อ

    แม้ว่าบางครั้งเศรษฐศาสตร์อาจจะชะงักงัน หรือชะลอตัวลงบ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงจนเป็นเหตุถึงกับระดับราคาโดยทั่วไป มีแนวโน้มลดลงเป็นเวลายาวนาน เพียงแต่ระดับราคาเพิ่มขึ้นมาก หรือเพิ่มขึ้นน้อย แต่ก็พออนุมานเอาได้ว่า ภาวะเงินฝืด ก็คือภาวะที่ตรงกันข้ามกับภาวะเงินเฟ้อ

    ถ้าสภาวะเงินเฟ้อมีไม่มาก และเกิดจากความต้องการซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเป็นความต้องการของตลาดภายใน หรือความต้องการจากภายนอกรวมกัน ทำให้มีช่องทางในการลงทุน เพื่อผลิตเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่ชั่วคราว หรือเป็นฤดูกาล และเป็นเช่นว่าทุกส่วนของเศรษฐกิจ บางทีก็เรียกว่าภาวะ "ทำมาค้าคล่อง"

    เงินหมุนเร็วขึ้นปีหนึ่งหลายรอบ การหมุนของเงินเร็วหรือช้า ภาษาฝรั่งเรียกว่า "Velocity of Circulation" ถ้าเงินหมุนเร็ว ก็หมายความว่าจำนวนเงินเท่าเดิม แต่หมุนเร็วขึ้นเพื่อรองรับกิจกรรมการค้า การลงทุนได้มากขึ้น

    ดังนั้น ถ้าเกิดภาวะเงินฝืดแต่ไม่มาก หรือปานกลาง ก็น่าจะเรียกว่าภาวะ "ฝืดเคือง"  หรือภาวะทำมาค้าไม่คล่อง ของผลิตแล้วขายยาก "อัตรากำไร" หรือ "Margin" ลดลง จนบางทีก็ขาดทุน เงินในระบบหมุนช้าลง แปลว่า เงินจำนวนเท่าเดิมหมุนเพื่อรองรับกิจกรรมทางธุรกิจการค้าได้น้อยลง ทำให้ธุรกิจบริษัทห้างร้านขาดสภาพคล่อง แม้ว่าระบบทั้งระบบ มีสภาพคล่องเหลือเฟือ แต่ไม่มีใครกู้ไปลงทุน หรือเจ้าหนี้ไม่กล้าปล่อยกู้ เพราะกำลังการผลิตยังเหลือเฟือ ระบบเศรษฐกิจยังผลิตในระดับต่ำกว่า ระดับความสามารถในการผลิต ระดับราคาอ่อนตัวลง อัตราดอกเบี้ยลดลง

    โดยปกติแล้ว ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว การชะลอตัวจะไม่รุนแรง ถึงกับเกิดภาวะเงินฝืด จนอัตราเงินเฟ้อ ลดลงจนเข้าใกล้ศูนย์ หรือติดลบ อัตราดอกเบี้ยจะไม่ลดลงจนถึงอัตราต่ำสุด จนถึงระดับที่แม้จะลดลงไปต่อไปก็ไม่มีประโยชน์  หรือเข้าสู่ภาวะ "กับดักสภาพคล่อง" แต่เมื่อลดลงจนถึงภาวะกับดักสภาพคล่อง ระดับราคา ก็จะเป็นตัวปรับลง เมื่อถึงจุดนี้ก็จะเป็นภาวะเงินฝืด ถ้าฝืดบ้างหรือปานกลาง ก็เป็นภาวะเงินฝืดธรรมดา ถ้ามากจริง และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเป็นเวลานาน ก็กลายเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หรือ Depression แต่ไม่เรียกว่าภาวะ Hyper Deflation เหมือนกรณีภาวะเงินเฟ้อ เพราะหลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกเมื่อ 70 กว่าปีก่อน ก็ยังไม่เกิดขึ้นเลย ส่วนที่ว่าอัตราเงินเฟ้อโดยทั่วไปต้องติดลบหรือไม่ อาจจะไม่จำเป็น เพราะปัจจัยทางด้านต้นทุน เช่นราคาน้ำมัน หรือราคานำเข้าจากประเทศอื่น อาจจะยังเพิ่มอยู่ แต่ผู้ผลิตไม่มีกำไร ขายของไม่ออก ขาดเงินทุนหมุนเวียน

    ภาวะอย่างว่านี้ ญึ่ปุ่น เจอมานานแล้ว แล้วก็ลามมาที่ภูมิภาคเรา สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ก็กำลังเจอภาวะดังกล่าว เพราะเศรษฐกิจการส่งออกของเขา ผูกกับเศรษฐกิจของอเมริกามากกว่าของเรา

    เข้าใจว่าเศรษฐกิจของสหรัฐ คงจะมีสัญญานว่า จะชะลอตัวลงไปอีกจนถึงขั้นหดตัว ดอกเบี้ยก็ลดต่ำลงไปจนสุดแล้ว ลดลงอีกก็คงไม่มีประโยชน์ ระดับราคาอ่อนตัว ราคาตลาดโลก ของสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก ก็มีแนวโน้มลดลงไปหมด

    สินค้าประเภทอุปโภค บริโภค ทั้งปี เป็นสินค้าจากภาคเกษตร และอุตสาหกรรมก็ลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งโลกมีแหล่งผลิตใหม่ ทั้งประเทศจีน และอินเดีย มีราคาถูกกว่า เพราะค่าแรงถูกกว่า และมีวิทยาการผลิต (Technology) ที่ไล่ทันประเทศที่มีความก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ

    ในอเมริกาก็เหลือแต่เศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น ที่ยังร้อนแรงอยู่ ถ้าเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ชะงักงันลงเมื่อใด ก็จะเกิดปัญหาทั้งระดับราคา และระดับการขยายตัว ก็จะชะลอลงไปอีก จึงเกิดเป็นข่าวฮือฮา และเกิดความหวั่นวิตกกันโดยทั่วไป

    และถ้าสหรัฐอเมริกาชะลอตัวลงไปอีก ก็เกรงว่าจะดึงให้ภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เอเชีย ละตินอเมริกา ซึ่งย่ำแย่อยู่แล้ว จะย่ำแย่ลงไปอีก ซึ่งเป็นเรื่องแนวโน้มที่นักเศรษฐศาสตร์อเมริกัน เขามองไปข้างหน้า

    ที่นี้เมื่อคราวก่อนที่ยุโรป หรืออเมริกาเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลังวิกฤตการณ์น้ำมัน เมื่อ 20 ปีก่อน อัตราเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยแพง คนตกงานมาก ก็เพราะคราวที่แล้ว ตลาดการเงิน และตลาดการค้าปรับตัวได้ ญี่ปุ่น และเอเซียกลายเป็นเขตที่เศรษฐหิจขยายตัวในอัตราที่สูง ยุโรปแก้ไขปัญหาค่าแรงแพง เพราะสหภาพแรงงาน เมื่อราคาน้ำมันลดลง อัตราเงินเฟ้อลดลง ดอกเบี้ยลดลง ค่าเงินดอลลาร์ลดลง เงินเยนและเงินมาร์กเยอรมัน เงินฟรังก์สวิสแพงขึ้น ประกอบกับอเมริกา ค้นพบวิทยาการในเรื่องอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคม และสารสนเทศ หรือ IT  อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จึงดึงเศรษฐกิจอเมริกาขึ้นมา เที่ยวนั้นอเมริกามีเครื่องมือทางนโยบายครบครันที่จะนำมาใช้ได้

    แต่เที่ยวนี้เศรษฐกิจอเมริกาลงเร็ว น้ำมันก็ไม่ได้ขึ้นราคา ดอกเบี้ยก็ไม่ได้แพง ที่จริงต่ำไปด้วยซ้ำ ค่าเงินอเมริกาจะลดลง ก็ไม่ได้ เพราะยุโรป และญี่ปุ่น ก็ย่ำแย่อยู่แล้ว ไม่ยอมให้ค่าเงินของตนแข็งขึ้น เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ เที่ยวนี้อเมริกาหมดเครื่องมือทางนโยบาย ที่จะใช้

    ดังนั้น ที่ท่านนายกรัฐมนตรีออกมาเตือนหน่วยงานต่างๆ ให้ช่วยกันดู เพื่อความไม่ประมาท จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จะได้เตรียมการไว้เสียแต่เนิ่นๆ แต่ก็ไม่ควรจะตะหนกตกใจอะไรเกินควร เพราะเราอยู่ในภาวะเช่นนี้ มาตั้งนานแล้ว บัดนี้เริ่มคลี่คลายไปบ้างแล้ว

    แต่ดอกเบี้ยธนาคาร ถูกปรับลดลงเป็นสัญญานที่น่าห่วงกว่า

    ดร.โกร่ง

    จากคุณ : BMWTurboman - [ 13 ก.พ. 52 11:38:02 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom