PANTIP.COM : I7587966 ขอคำอธิบายจากผู้รู้หน่อยครับ ทำไม กอง TSB ธีรสมบัติ ถึงติดลบกระฉูดเลยเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2008 []

ความคิดเห็นที่ 12

ขอเป็นผู้ช่วย commnet คนหนี่ง เนื่องจากวนเวียนอยู่ในสารบบกองทุนตราสารหนี้มาพอสมควร ขอบอกว่าไม่ว่าจะลงทุนในพันธบัตรรัฐหรือหุ้นกู้เอกชน ก็มีบวกลบ ได้ เอาเป็นว่าถ้าจะลงทุนในตราสารหนี้ ข้อดีที่สุดของการลงทุนในพันธบัตรรัฐ คือ ไม่ต้องห่วงว่ารัฐจะเบี้ยวหนึ่ เรา หมายความว่าหากเราได้พันธบัตรมาแล้ว ถือไว้จนพันธบัตรครบอายุ แล้วก็เอาไปขึ้นเงินต้นและดอกเบี้ยของเราคืนจากรัฐได้แน่นอน

แต่ถ้าเราถือพันธบัตรไม่ครบอายุ และต้องไปขายผู้อื่น เช่นบางท่านเกิดอยากใช้เงิน เป็นต้น ราคาพันธบัตรที่ซื้อขายจะขึ้นลง ตามภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาดขณะนั้นครับ จึงมีโอกาสกำไรขาดทุนจากการซื้อขายได้

ถ้าใครลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ปีที่แล้ว คงจะจำได้ ว่าช่วงครึ่งแรกของปีเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น มีหลายกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่อายุยาว ๆ ราคาตกก็นเป็นแถว ๆ ผู้ลงทนส่วนใหญ่หันมาลงทุนในกองทุนตลาดเงิน กันมาก เพื่อหลบภัยชั่วคราว (กองทุนตลาดเงิน หรือ Money market fund จะลงทุนแต่ในตราสารหนี้หรือตราสารการเงินที่อายุน้อยกว่า 1 ปี)

แต่พอครึ่งปีหลัง ราคาน้ำมันตกฮวบฮาบ เงินเฟ้อลง ไม่มีแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ประกอบกับเจอปัญหาเศรฐกิจโลกดูไม่ดี เจอ sub prime ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ต่างพากันลดดอกเบี้ย รวมทั้งไทยด้วย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เวลาดอกเบี้ยลงนี้เป็นประโยชน์กับพวกกองทุนตราสารหนี้ เพราะราคาของตราสารหนี้ที่กองทุนลงทุนไว้จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะถ้าลงทุนในตราสารหนี้อายุยาว ๆ จะยิ่งมีราคาเพิ่มขึ้นมาก NAV ของกองทุนกลุ่มนี้ก็เลยเพิ่มขึนเด่นกว่าพวกที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุน้อย ๆ รวมทั้งมากกว่าพวกกองทุนตลาดเงินที่เคยเป็นที่หลบภัยตอนต้นปี ด้วย

ราคาที่ขึ้นลงจากอัตราดอกเบี้ย นี้ เป็นเรื่องของ supply demand ในตลาด พูดกันง่าย ๆ ว่า ถ้าดอกเบี้ยแพงขึ้น ผู้ลงทุนก็อยากหันไปลงทุนในพันธบัตรตัวใหม่ ที่จะออกมาในตลาด เนื่องจากตัวใหม่ ๆ จะให้อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วมากกว่าตัวเก่า ตัวเก่าดอกเบี้ยถูกกว่าไม่มี่ใครเอาจึงราคาตก คนขายต้องลดราคามาก ๆ เพื่อหาผู้ซื้อ และต้องลดจนผู้ซื้อรายใหม่มีต้นทุนถูกจนทำให้การลงทุนของเขาได้ผลตอบแทนสูงขึ้นเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่สูงในตลาดขณะนั้นด้วย

ในทางกลับกันเวลาดอกเบี้ยลง พันธบัตรเก่าจะมีราคาแพงขึ้น เพราะว่าพันธบัตรที่จะออกใหม่ต้องให้อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วที่น้อยลงตามภาวะตลาดขณะนั้น ของเดิมจึงมีคนอยากได้มาก แย่งกันราคาก็แพงขึ้น ต้นทุนของผู้ซื้อรายใหม่ก็จะสูงขึ้นจนทำให้ผู้ลงทุนรายใหม๋ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่มากไปกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดขณะนั้น

ในที่นี้จึงมีคำศัพท์ทางการเงินที่สำคัญ คือ
อัตราดอกเบี้ยในตลาด ที่จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามภาวะเศรษฐกิจและการลงทุน
อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว จะเป็นตัวที่ผู่้ให้กู้ระบุบนพันธบัตรว่าผู้กู้จะได้ดอกเบี้ยจากการให้กู้เท่าไร เช่น 10%ต่อปี ซึ่งถ้าพันธบัตรมีมูลค่าหน้าตั๋ว 1000 บาท ก็หมายความว่าผู้ออกพันธบัตร จะให้ดอกเบี้ยปีละ 100 บาท และ
ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ (Yield) ซึ่งจะเกิดจากราคาซื้อขาย ตาม supply demand และภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งราคาซื้อขายนี้อาจสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าหน้าตั๋วของพันธบัตรได้ (ปกติเริ่มต้นที่ 1000 บาท) และจะมีผลให้ผู้ซื้อรายใหม่มีต้นทุนที่ถูกว่าหรือแพงกว่าผู้ซื้อรายแรกได้

ในสถานะการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจดูไม่ดี มีคนเชือเป็นสองกลุ่ม อธิบายง่าย ๆ อย่างนี้

กลุ่มหนึ่งคิดว่ารัฐบาลทั่วโลก จะผลักดันให้ดอกเบี้ยประเทศตัวเองลดลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกกลุ่มหนึ่งมองว่าการที่รัฐจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องใช้เงินมาก ต้องมีการกู้ยืมเงินมาก ๆ เพราะฉะนั้น เงินจะไม่พอและต้องแย่งเงินกัน ทำให้ดอกเบี้ยสูงก็ได้

สองพวกนี้ ยังไม่รู้ว่าใครถูกหรือผิด มีข้อโต้แย้งกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งผลที่ออกมาคือ ผลตอบแทนของพันธบัตรอายุยาว ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงต้นปีนี้ และยังค้างเติ่งอยู่ ส่วนผลตอบแทนในการลงทุนในตราสารหนี้สั้น ๆ กลับปรับตัวลง ก็เลยทำให้พวกกองทุนตราสารเงินต้นปีนี้ได้ประโยชน์ ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนในตราสารที่มีอายุยาว ๆ ราคาติดลบกัน เหมือนต้นปีที่แล้ว

ก็เอาว่าท่านเชื่อข้างไหนก็พิจารณาเอาเองครับ ส่วนตัวกระผมยังคิดว่าเศรษฐกิจไม่น่าจะดี ดอกเบี้ยไม่น่าจะอยู่สูง แต่ก็ไม่รู้จะเหมือนปีที่แล้วอีกหรือเปล่า

จากคุณ : micmin - [ 4 มี.ค. 52 14:00:50 ]