ความคิดเห็นที่ 66
o ทางคุณTimothy Geithner รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้เชิญสถาบันการเงินที่เข้าร่วม Stress Test มารับฟังผลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาและได้ให้เวลาสำหรับแบงก์เหล่านี้ 1 สัปดาห์ก่อนที่จะมีการเผยแพร่ผลต่อสาธารณชนตามที่ได้กำหนดไว้ในวันที่ 4 พฤษภาคมที่จะถึงนี้
ก่อนที่จะลงในรายละเอียด อยากให้เริ่มโดยการเล่าถึงกรอบโดยรวมของ Stress test ครั้งนี้
การทำ Stress Test ครั้งนี้เริ่มทำมาตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ คือเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว โดยใช้ผู้ตรวจสอบสถาบันการเงินกว่า 150 คน จากสถาบันกำกับดูแลสถาบันการเงินของสหรัฐ นำโดย FED FDIC เข้าไปตรวจสอบฐานะความเข้มแข็งของสถาบันการเงิน 19 แห่ง ซึ่งคัดเลือกมาเฉพาะสถาบันการเงินขนาดใหญ่ โดยใช้เกณฑ์ว่ามีสินทรัพย์เกินกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สรอ. ขึ้นไป
สถาบันการเงินทั้ง 19 แห่ง ได้แก่ JPMorgan Chase & Co., Wells Fargo & Co., Goldman Sachs Group Inc., Bank of America, US Bancorp, The Bank of New Mellon Corp., American Express Co., Morgan Stanley, MetLife Inc., PNC Financial Services Group Inc., Citigroup Inc., State Street Corp., BB&T Corp., Capital One Financial Corp., Sun Trust Banks Inc., Regions Financial Corp., KeyCorp และ Fifth Third Bancorp ครอบคลุมถึงสถาบันการเงินประเภทต่างๆ ทั้งที่เป็นธนาคารพาณิชย์ ธนาคารพาณิชย์ที่เป็น Regional Bank วิเทศธนกิจ ประกันภัย บริษัทสินเชื่อรถยนต์ ฯลฯ ซึ่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา รวมกันแล้วมีสินทรัพย์ เท่ากับ 2/3 ของสินทรัพย์ทั้งหมดของสหรัฐ และเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อประมาณ 1/2 หนึ่งของสินเชื่อในสหรัฐ
Stress Test ต่างจากการบริหารความเสี่ยงที่สถาบันการเงินทำอยู่ในปัจจุบันอย่างไร และสำคัญอย่างไร
ความจริง Stress Test ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงิน แต่ที่แตกต่างกันก็คือ การบริหารความเสี่ยง ที่เราเคยได้มาคุยกันไปครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อสัก 2 เดือนที่ผ่านมา พยายามวัดว่า ณ ปัจจุบัน ความเสี่ยงของสถาบันการเงินมีมากน้อยแค่ไหน เปลี่ยนไปอย่างไร
ซึ่งในกระบวนการดังกล่าว สถาบันการเงินจะพยายามที่ใช้ข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคา สินทรัพย์ต่างๆ รวมทั้งข้อมูลการผิดนัดชำระหนี้ในอดีตมาเป็นเครื่องช่วยในการประมาณว่าความเสี่ยงในปัจจุบันมีมากน้อยแค่ไหน
แต่ปัญหาของวิธีการดังกล่าว ก็คือ หลายๆ ครั้งอดีตไม่ได้บอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ทำให้การใช้ตัวเลขความผันผวนต่างๆในอดีตมาวัดความเสี่ยงอาจจะไม่ถูกต้องนัก และเป็นจุดบอดของระบบบริหารความเสี่ยง เหมือนกับ การขับรถโดยการมองกระจกหลัง ซึ่งเป็นอันตรายมาก
ด้วยเหตุนี้ จึงมีการทำ Stress test ประกอบ เพราะเป็นการมองไปในอนาคต ว่าจะเกิดอะไรบ้าง และในสถานการณ์ต่างๆ Portfolio ของเราจะเสียหายแค่ไหน และจะสามารถผ่านมันไปได้หรือไม่ ซึ่งการทำ Stress Test ไม่จำเป็นต้องกลับไปดูข้อมูลในอดีต สามารถตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับสิ่งที่กังวลใจว่าจะเกิดขึ้นได้เลย โดย Stress Test ที่ดี จะทำหน้าที่เป็นกระจกเงา สะท้อนว่า Portfolio ที่เรามี อ่อนไหวกับอะไร อ่อนไหวแค่ไหน และโดยปกติแล้ว หลายๆสถาบันการเงินจะมี Stress Scenario เป็น 10 อย่าง ที่จะทดสอบหาดูว่าปัญหาตรงไหน
ซึ่งในเรื่องนี้ ประเด็นที่สำคัญก็คือ Scenarios และสมมติฐานที่ใช้
o ต้องครอบคลุมกรณีต่างๆ ที่สำคัญ
o สอดคล้องกับ Portfolio ที่สถาบันการเงินมี
o ต้องแรงพอ
ซึ่งทางธนาคารกลางสหรัฐย้ำว่าการทำ Stress Test เป็นการมองไปข้างหน้า
รายละเอียดของ Stress Test ครั้งนี้มีอะไรบ้าง
ในการทำ Stress test ครั้งนี้นั้น ประกอบด้วย 2 กรณี คือ กรณีฐาน และ กรณีที่เศรษฐกิจมีปัญหามากขึ้น หรือ Adverse Case โดยมีสมมติฐานสำคัญอยู่ 3 เรื่อง คือ
o อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ
o อัตราการว่างงาน
o การปรับตัวลดลงของราคาบ้าน
จากคุณ :
pheromotone
- [
4 พ.ค. 52 11:48:27
]
|
|
|