ยามตลาดหุ้นดูดี ปริมาณการซื้อขายคึกคัก เดินไปทางไหน หันไปทางไหนก็มีแต่คนคุย
เรื่องการลงทุน เรื่องตลาดหุ้น ไม่มากก็น้อยที่คุณอาจจะเกี่ยวข้องกับบุคคลเหล่านี้ อาจจะเป็นเพื่อน
เป็นรุ่นพี่ รุ่นน้อง เป็นญาติ หรือเป็นใครอื่น ด้วยความต้องการที่อยากจะบอกกล่าวบางเรื่องเกี่ยวกับ
การลงทุน จึงได้มีการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อให้คุณๆเหล่านั้นอ่านและสิ่งที่ให้อ่านนี้ก็
อาจจะเป็นแนวทางสำหรับต้อนรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่จะเดินเข้ามาในสมรภูมิแห่งนี้ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่
ดีที่สุดพอจะเรียกได้ว่า บทเรียน และก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลิศพอจะเรียกว่า กลยุทธ์" แต่สิ่งนี้น่าจะเป็น
เพื่อนร่วมเดินทางที่ดีที่สุดที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย โดยใช้ภาษาคนกันเอง เข้าถึงและเข้าใจง่าย
** ก้าวแรกของความอยาก **
ร้อยทั้งร้อยของมนุษย์เรา คือความอยากมี อยากเป็นและอยากได้ ถ้าใครไม่มีใน
สิ่งเหล่านี้ แสดงว่าเป็นคนที่รู้จักพอดี พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ แต่ในความเป็นจริงทุกคน
อยากที่จะมี อยากที่จะเป็น และยิ่งมีเร็วเท่าไรได้ก็ยิ่งทำให้ความฝันบรรลุเร็วมากขึ้น
ช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคัก ร้อยคนร้อยปากแต่มีพันเรื่องเล่า มีหมื่นเล่าแสน ยิ่งประเทศไทย
อยู่ภายใต้ระบบทุนนิยม ที่มีความอิสระทางการเงินด้วยแล้ว ต่อมความอยากจึงถูกกระตุ้น
ได้ง่ายกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
เงินที่ได้มาแสนจะง่ายได้เพียงแค่ยกหูโทรศัพท์
หรือkey order ส่งคำสั่งซื้อ ส่งคำสั่งขาย การหาเศษเงินที่ตกหล่นในตลาดหุ้นที่วันๆ
Tradeกันระดับหมื่นล้านไม่ใช่เรื่องยาก พันสองพัน หมื่นสองหมื่น มันอยู่แค่เอื้อม
ปลายนิ้วสัมผัส และเมื่อมาคิดว่าการนั่งหลังขดหลังแข็งเพื่อเงินหมื่นต่อเดือนทำให้จิตใจ
ที่มีความอยากอยู่แล้ว อยากมากยิ่งขึ้น
การเข้าสู่สนามรบถ้าเรารู้แต่ว่าเรามีมีด มีดาบที่แหลมคม มีโล่ห์ มีม้าที่แข็งแรงตัวหนึ่ง
แล้วสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้นั้นเป็นความคิดที่ผิด เราต้องรู้ทิศทางลมว่าพัดในทิศทางใด
มีเมฆฝนหรือไม่ ลักษณะพื้นที่ที่จะไปสู้รบ มีหลุมพรางหรือไม่ เรามีแผนที่นำทางหรือเปล่า
และที่สำคัญเราต้องรู้ว่าเราถนัดสู้บนหลังม้าที่มีความเร็ว หรือ ถนัดเดินสู้ หรือตั้งรับสู้ หากจะ
เปรียบเทียบให้เกี่ยวข้องกับการลงทุน นั่นก็หมายถึง หากเรามีแต่เงินทุน ความรู้ มี
เครื่องมือการวิเคราะห์หุ้นอันทันสมัยพร้อมทั้งบทวิเคราะห์ต่างๆมากมาย แต่ไม่รู้ทิศทาง
ของการลงทุนอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าทิศทางขึ้นหรือลง ไม่รู้ข่าวสารเชิงลึก อาวุธที่มีก็อาจ
จะเป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น อีกทั้งนักลงทุนยังต้องรู้ด้วยว่าถนัดการลงทุนแบบใด
หุ้นที่เก็งกำไร หุ้นปันผล หุ้นขนาดกลาง หุ้นขนาดใหญ่ ทั้งหลายทั้งปวง นักลงทุนต้อง
รู้จักตนเองเสียก่อน
** คุณจงรีบเข้า(ออกจาก) ตลาดตอนนี้และบัดนี้ **
คุณมีเงินหรือเปล่า ถ้ามีก็เข้ามาสิ มาใช้บริการของเรา มาเสียค่าธรรมเนียม
นิดหน่อย ถ้าลองแล้วพอใจยินดีแถมเงินให้นำติดตัวกลับบ้าน บริการแบบนี้มีในโลกด้วยหรือ
มาใช้บริการแล้วยังแถมเงินกลับบ้านด้วย มีแน่นอน นั่นก็คือ การใช้บริการBrokerเพื่อ
ซื้อขายหุ้น หากกำไรก็เอากลับไปแต่ในทางตรงกันข้าม หากคุณเสียคุณก็จะโดนสองต่อ
คือ ค่าบริการ ค่าไฟเครื่องปรับอากาศ เพิ่มด้วยค่ากาแฟถ้วยละหลายพัน บางคนหลาย
หมื่น
นี่แหละสัจธรรมมนุษย์หุ้น มีสองด้านเสมอ
ทุกคนที่ก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น ล้วนหวังจะทำกำไร ถ้าใครคิดเข้ามาในตลาดหุ้นแล้ว
บอกว่า ขอกำไร1แสนบาทแล้วจะออกจากตลาด ปิดบัญชี เลิกการลงทุน คนผู้นั้นกำลัง
พูดเรื่องโกหก หากสามารถทำกำไรได้ก่อนก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าหากขาดทุนก่อนก็คง
คิดอีกแบบตรงกันข้าม ปกติแล้วคนส่วนมากที่ก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นมักจะมีสิ่งที่พกติดตัวมาด้วย3สิ่ง คือ
กระสุน(เงิน) ความโลภ และความอยาก(เก็งกำไร)
หากนักลงทุนผู้ใดติดตัวมาเพียง3สิ่งนี้ ก็คงต้องเตรียมตัวออกจากตลาดตอนนี้และบัดนี้
ได้เลย
และหากใครก็ตามที่บอกว่า ถ้าเราไม่ขายหุ้นตัวนั้นตัวนี้ และถือมาจนขณะ
นี้คงได้กำไร100%แล้ว ตัวนั้นอีก ตัวนี้อีก ก็จงออกไปจากตลาดหุ้นเช่นเดียวกัน
การขายหุ้นไปแล้วและหุ้นขึ้นต่อนั้น เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ไม่มีใครชนะตลาด
และทำถูกต้อง ถูกทางได้ตลอด คนที่เก่งอย่างผู้บริหารประเทศก็ไม่ได้เก่งไปทุกเรื่อง
เช่นกัน ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าหากนักลงทุนยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ เข้าใจและรับทราบ
ผลแห่งการลงทุนได้ แสดงว่าอารมณ์ของนักลงทุนยังไม่นิ่งพอ การจะดำรงตนอยู่ใน
ตลาดที่มีแต่สภาวะของการเก็งกำไรและเก็งขาดทุนนั้น ต้องมอง ขณะนี้ กับมองไปข้างหน้า
..
การมองย้อนกลับไป แล้วโทษตัวเองนั้น เป็นการบั่นทอนความคิดดีๆที่จะเกิดขึ้นใหม่ให้
เกิดขึ้นได้ยาก ยกตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนมัวแต่กลุ้มใจกับการขายหุ้นแล้วและ
หุ้นขึ้นต่อ หรือ เสียใจกับการขาดทุนในหุ้น จะทำให้การลงทุนในครั้งถัดไปของนักลงทุน
ซวนเซไร้ทิศทางตามไปด้วย การลงทุนทุกครั้งต้องนับหนึ่งเสมอ มองข้างหลังเป็น
บทเรียนสอนใจ ไม่ควรนำมาเป็นบทลงโทษที่คอยทำร้ายประกายความคิด
มองความเป็นปัจจุบันให้มากที่สุด และตอบคำถามกับตัวเองว่า พอใจกับผลการลงทุน
ในปัจจุบันหรือไม่ หากพอใจ แม้ว่าได้กำไรเพียง10%ก็พอแล้ว หากนักลงทุนยังคงโทษ
ตัวเองเรื่องการขายหุ้นแล้วหุ้นขึ้นต่อ คุณก็จะต้องพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ตลอดไป
และไม่มีวันสิ้นสุด การลงทุนก็จะไร้ซึ่งความสุข ดังนั้นจงตอบคำถามตนเองทุกครั้ง
หลังจากที่การลงทุนเสร็จสิ้นแล้วว่า พอใจหรือไม่ หากพอใจก็ถือว่าเสร็จสิ้นการลงทุน
รอบนั้น แล้วเริ่มการลงทุนรอบใหม่ด้วยอารมณ์ที่เข้าใจในสภาวะของการลงทุน
แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 52 14:02:29