PANTIP.COM : I7856522 DOW...!!! [หุ้น]

ความคิดเห็นที่ 15

ขออนุญาต คุณ : เย่หยงเทียน นำข้อเขียนมาบันทึกไว้ใน DOW...!!!

## มนุษย์หุ้น ชีวิตต้องหุ้น ## : การลงทุนนั้นไม่ยาก การควบคุมอารมณ์นั้นยากกว่า

ยามตลาดหุ้นดูดี ปริมาณการซื้อขายคึกคัก เดินไปทางไหน หันไปทางไหนก็มีแต่คนคุย
เรื่องการลงทุน เรื่องตลาดหุ้น ไม่มากก็น้อยที่คุณอาจจะเกี่ยวข้องกับบุคคลเหล่านี้ อาจจะเป็นเพื่อน
เป็นรุ่นพี่ รุ่นน้อง เป็นญาติ หรือเป็นใครอื่น ด้วยความต้องการที่อยากจะบอกกล่าวบางเรื่องเกี่ยวกับ
การลงทุน จึงได้มีการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อให้คุณๆเหล่านั้นอ่านและสิ่งที่ให้อ่านนี้ก็
อาจจะเป็นแนวทางสำหรับต้อนรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่จะเดินเข้ามาในสมรภูมิแห่งนี้ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่
ดีที่สุดพอจะเรียกได้ว่า “บทเรียน” และก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลิศพอจะเรียกว่า “กลยุทธ์. แต่สิ่งนี้น่าจะเป็น
เพื่อนร่วมเดินทางที่ดีที่สุดที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย โดยใช้ภาษาคนกันเอง เข้าถึงและเข้าใจง่าย

** ก้าวแรกของความอยาก **

ร้อยทั้งร้อยของมนุษย์เรา คือความอยากมี อยากเป็นและอยากได้ ถ้าใครไม่มีใน
สิ่งเหล่านี้ แสดงว่าเป็นคนที่รู้จักพอดี พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ แต่ในความเป็นจริงทุกคน
อยากที่จะมี อยากที่จะเป็น และยิ่งมีเร็วเท่าไรได้ก็ยิ่งทำให้ความฝันบรรลุเร็วมากขึ้น

ช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคัก ร้อยคนร้อยปากแต่มีพันเรื่องเล่า มีหมื่นเล่าแสน ยิ่งประเทศไทย
อยู่ภายใต้ระบบทุนนิยม ที่มีความอิสระทางการเงินด้วยแล้ว ต่อมความอยากจึงถูกกระตุ้น
ได้ง่ายกว่าประเทศเพื่อนบ้าน … เงินที่ได้มาแสนจะง่ายได้เพียงแค่ยกหูโทรศัพท์
หรือkey order ส่งคำสั่งซื้อ ส่งคำสั่งขาย การหาเศษเงินที่ตกหล่นในตลาดหุ้นที่วันๆ
Tradeกันระดับหมื่นล้านไม่ใช่เรื่องยาก พันสองพัน หมื่นสองหมื่น มันอยู่แค่เอื้อม
ปลายนิ้วสัมผัส และเมื่อมาคิดว่าการนั่งหลังขดหลังแข็งเพื่อเงินหมื่นต่อเดือนทำให้จิตใจ
ที่มีความอยากอยู่แล้ว อยากมากยิ่งขึ้น

การเข้าสู่สนามรบถ้าเรารู้แต่ว่าเรามีมีด มีดาบที่แหลมคม มีโล่ห์ มีม้าที่แข็งแรงตัวหนึ่ง
แล้วสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้นั้นเป็นความคิดที่ผิด เราต้องรู้ทิศทางลมว่าพัดในทิศทางใด
มีเมฆฝนหรือไม่ ลักษณะพื้นที่ที่จะไปสู้รบ มีหลุมพรางหรือไม่ เรามีแผนที่นำทางหรือเปล่า
และที่สำคัญเราต้องรู้ว่าเราถนัดสู้บนหลังม้าที่มีความเร็ว หรือ ถนัดเดินสู้ หรือตั้งรับสู้ หากจะ
เปรียบเทียบให้เกี่ยวข้องกับการลงทุน นั่นก็หมายถึง หากเรามีแต่เงินทุน ความรู้ มี
เครื่องมือการวิเคราะห์หุ้นอันทันสมัยพร้อมทั้งบทวิเคราะห์ต่างๆมากมาย แต่ไม่รู้ทิศทาง
ของการลงทุนอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าทิศทางขึ้นหรือลง ไม่รู้ข่าวสารเชิงลึก อาวุธที่มีก็อาจ
จะเป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น อีกทั้งนักลงทุนยังต้องรู้ด้วยว่าถนัดการลงทุนแบบใด
หุ้นที่เก็งกำไร หุ้นปันผล หุ้นขนาดกลาง หุ้นขนาดใหญ่ ทั้งหลายทั้งปวง นักลงทุนต้อง
รู้จักตนเองเสียก่อน

** คุณจงรีบเข้า(ออกจาก) ตลาดตอนนี้และบัดนี้ **

“คุณมีเงินหรือเปล่า ถ้ามีก็เข้ามาสิ มาใช้บริการของเรา มาเสียค่าธรรมเนียม
นิดหน่อย ถ้าลองแล้วพอใจยินดีแถมเงินให้นำติดตัวกลับบ้าน” บริการแบบนี้มีในโลกด้วยหรือ
มาใช้บริการแล้วยังแถมเงินกลับบ้านด้วย มีแน่นอน นั่นก็คือ การใช้บริการBrokerเพื่อ
ซื้อขายหุ้น หากกำไรก็เอากลับไปแต่ในทางตรงกันข้าม หากคุณเสียคุณก็จะโดนสองต่อ
คือ ค่าบริการ ค่าไฟเครื่องปรับอากาศ เพิ่มด้วยค่ากาแฟถ้วยละหลายพัน บางคนหลาย
หมื่น … นี่แหละสัจธรรมมนุษย์หุ้น มีสองด้านเสมอ

ทุกคนที่ก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น ล้วนหวังจะทำกำไร ถ้าใครคิดเข้ามาในตลาดหุ้นแล้ว
บอกว่า ขอกำไร1แสนบาทแล้วจะออกจากตลาด ปิดบัญชี เลิกการลงทุน คนผู้นั้นกำลัง
พูดเรื่องโกหก หากสามารถทำกำไรได้ก่อนก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าหากขาดทุนก่อนก็คง
คิดอีกแบบตรงกันข้าม ปกติแล้วคนส่วนมากที่ก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นมักจะมีสิ่งที่พกติดตัวมาด้วย3สิ่ง คือ

กระสุน(เงิน) ความโลภ และความอยาก(เก็งกำไร)

หากนักลงทุนผู้ใดติดตัวมาเพียง3สิ่งนี้ ก็คงต้องเตรียมตัวออกจากตลาดตอนนี้และบัดนี้
ได้เลย … และหากใครก็ตามที่บอกว่า “ถ้าเราไม่ขายหุ้นตัวนั้นตัวนี้ และถือมาจนขณะ
นี้คงได้กำไร100%แล้ว” ตัวนั้นอีก ตัวนี้อีก ก็จงออกไปจากตลาดหุ้นเช่นเดียวกัน

… การขายหุ้นไปแล้วและหุ้นขึ้นต่อนั้น เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ไม่มีใครชนะตลาด
และทำถูกต้อง ถูกทางได้ตลอด คนที่เก่งอย่างผู้บริหารประเทศก็ไม่ได้เก่งไปทุกเรื่อง
เช่นกัน ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าหากนักลงทุนยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ เข้าใจและรับทราบ
ผลแห่งการลงทุนได้ แสดงว่าอารมณ์ของนักลงทุนยังไม่นิ่งพอ การจะดำรงตนอยู่ใน
ตลาดที่มีแต่สภาวะของการเก็งกำไรและเก็งขาดทุนนั้น ต้องมอง ขณะนี้ กับมองไปข้างหน้า …..

การมองย้อนกลับไป แล้วโทษตัวเองนั้น เป็นการบั่นทอนความคิดดีๆที่จะเกิดขึ้นใหม่ให้
เกิดขึ้นได้ยาก ยกตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนมัวแต่กลุ้มใจกับการขายหุ้นแล้วและ
หุ้นขึ้นต่อ หรือ เสียใจกับการขาดทุนในหุ้น จะทำให้การลงทุนในครั้งถัดไปของนักลงทุน
ซวนเซไร้ทิศทางตามไปด้วย การลงทุนทุกครั้งต้องนับหนึ่งเสมอ มองข้างหลังเป็น
บทเรียนสอนใจ ไม่ควรนำมาเป็นบทลงโทษที่คอยทำร้ายประกายความคิด

… มองความเป็นปัจจุบันให้มากที่สุด และตอบคำถามกับตัวเองว่า พอใจกับผลการลงทุน
ในปัจจุบันหรือไม่ หากพอใจ แม้ว่าได้กำไรเพียง10%ก็พอแล้ว หากนักลงทุนยังคงโทษ
ตัวเองเรื่องการขายหุ้นแล้วหุ้นขึ้นต่อ คุณก็จะต้องพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ตลอดไป
และไม่มีวันสิ้นสุด การลงทุนก็จะไร้ซึ่งความสุข ดังนั้นจงตอบคำถามตนเองทุกครั้ง
หลังจากที่การลงทุนเสร็จสิ้นแล้วว่า พอใจหรือไม่ หากพอใจก็ถือว่าเสร็จสิ้นการลงทุน
รอบนั้น แล้วเริ่มการลงทุนรอบใหม่ด้วยอารมณ์ที่เข้าใจในสภาวะของการลงทุน

จากคุณ : dsc - [ 13 พ.ค. 52 06:09:33 ]

ความคิดเห็นที่ 16

** ความจริง กับ ความคาดหวัง **
ในโลกแห่งเสรีภาพทางความคิด ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคาดหวัง จะหวังมากหรือน้อย
ก็ขึ้นอยู่กับความทะยานอยาก การลงทุนก็เช่นเดียวกัน บางคนลงทุนวันนี้มองว่าขอ
กำไรประมาณ20%ใน1สัปดาห์ บางคน5%ต่อเดือน แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อมาถึงช่วงเวลา
ณ จุดๆหนึ่ง ความคาดหวังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เช่น เมื่อครบ1สัปดาห์
แล้วหุ้นที่ถืออยู่ได้กำไรเกิน20% หากนักลงทุนท่านนั้นเกิดมีความโลภ อาจจะมีความอยาก
ได้เป็น40% ในทางกลับกัน หากหุ้นตัวนั้นยังคงไม่เคลื่อนไหวและราคายังอยู่ที่เดิม หรือ
ขาดทุนเล็กน้อย นักลงทุนอาจจะคิดว่าไม่สนใจหุ้นตัวนี้แล้ว เกิดความกลัวว่าหุ้นจะลง
ไปคาดหวังหุ้นตัวอื่นน่าจะดีกว่า ดังนั้นความคาดหวังกับความจริงจะบรรลุเป้าหมายร่วมกันได้
ถ้านักลงทุนไร้ซึ่งความโลภและความกลัว

จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น ไม่ได้มีความต้องการให้ทุกคน ขาดซึ่งความหวัง
แต่หากเป็นความคาดหวังเรื่องอื่นๆที่ไม่ใช่เรื่องเงินทองแล้ว นับว่าเป็นสิ่งที่ดี มันสามารถ
ทำให้เรามีความฝันที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ แต่ถ้าเป็นความหวังเรื่องเงินๆทองๆแล้ว
อยากจะให้อยู่กับความเป็นจริงจะดีกว่า ลองนึกดูง่ายๆ ถ้าตอนนี้นักลงทุนถือหุ้นแล้วมีกำไร
ก็คงหวังต่อไปว่าจะเอากำไรมากกว่านี้อีก ซึ่งกำไรจริงๆยังไม่ได้มีการรับรู้ ยังคงเป็นเพียงแค่
ตัวเลขในบัญชี แล้วถ้าหากวันถัดไปเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายขึ้น จากที่เคยมีกำไร กลายเป็นขาดทุน
คราวนี้ เงินกำไรก็ไม่ได้ อีกทั้งยังต้องเสียเงินต้นอีก ดังนั้น จงจำไว้ว่า ความจริงคือ
สิ่งที่จับต้องได้ รับรู้ได้ สามารถทำให้ท้องอิ่มได้ ความคาดหวังคือสิ่งที่เรารอแต่ยังมาไม่ถึง
หากรอด้วยความเป็นไปได้ บนสมมติฐานแห่งความเป็นจริง ก็สามารถคาดหวังและรอได้
แต่หากมันเป็นเรื่องเพ้อฝัน ก็ควรจะทำให้ปัจจุบันนั้นเป็นความจริงเสียตอนนี้เลย จะได้ไม่
ต้องคาดหวังแบบฝันกลางวันอีกต่อไป

** ความรู้สึกก่อนจะลงทุนซื้อหุ้น **

นักลงทุนที่เข้ามาในตลาดหุ้นช่วงเริ่มต้นนั้น คงจะดูผลประกอบการ ดูงบการเงิน
ดูยอดขาย ดูตัวเลขทางการเงิน แต่สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ข้อมูลเบื้องต้น
ที่ใช้ในการประกอบการตัดสินใจซื้อหุ้น

…. ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจกันก่อนว่า คำว่าหุ้นที่ดีคืออะไร หลายท่านต้องตอบว่า
หุ้นตัวนั้น มีผลการดำเนินงานดี มีปันผล มีธรรมภิบาล คำตอบทั้งหมดที่ได้นั้น ถูกต้อง
แต่ถูกต้องเพียงส่วนเดียว หากตราบใดยังไม่ได้รับการเปรียบเทียบกับราคาหุ้น คำว่า
หุ้นที่ดีที่น่าซื้อของนักลงทุนมืออาชีพนั้น คือ หุ้นที่มีราคา Fair Value ที่อยู่สูงกว่าราคา
ตลาดที่ซื้อขายกันอยู่ มี premium จูงใจพอที่จะเข้าลงทุน กล่าวง่ายๆก็คือ แม้หุ้นตัวนั้น
จะเป็นปูนซีเมนต์ไทย ปตท. หากราคาหุ้นสูงมาก หุ้นตัวนั้นก็ไม่ใช่หุ้นที่ดีของนักลงทุน
ตรงกันข้าม ถ้าบริษัทที่มียอดขายตกลงอันเนื่องมาจากฤดูกาล แต่ราคาได้ลดต่ำลงมา
มากจนเกินไป หุ้นตัวนั้นถือได้ว่าเป็นหุ้นที่ดีสำหรับนักลงทุน สรุปก็คือ หุ้นที่ดีคือหุ้นที่ทำ
กำไรให้นักลงทุน ไม่ใช่ดีเพราะบริษัทได้รับใบประกาศ โล่ห์รางวัลจากหน่วยงานนั่นหน่วย
งานนี่ แต่นักลงทุนกลับไม่ได้อะไรเลย …

คราวนี้มาว่ากันถึงความรู้สึกก่อนที่จะซื้อหุ้น ถ้าหากนักลงทุนท่านใดคิดว่าจะเข้ามา
ทำกำไร5-15%แล้ว และจะกำไรขาดทุนไปเรื่อยๆในตลาดหุ้น นักลงทุนก็ไม่ต้องปฏิบัติ
ตามวิธีที่จะบอกต่อไปนี้ แต่ถ้าคิดว่าการเข้ามาลงทุนแล้วยึดกฎการรักษาเงินต้นเป็นหลัก
ลองอ่านวิธีต่อจากนี้

… นักลงทุนทุกท่าน จงจำไว้เลยว่า การที่ท่านก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น แค่เริ่มต้นมีความคิด
นี้ก็ถือว่ามีความเสี่ยงเกิดขึ้นแล้ว หากเข้ามาแบบฉาบฉวยด้วย คงไม่นานเกินรอ
คนจะตายก่อนหุ้น สิ่งที่จะแนะนำคือ ทุกครั้งของการตัดสินใจทำอะไรให้ยึดหลักการรักษา
เงินต้นไว้ โดยไม่ต้องสนใจว่าหุ้นที่ซื้อราคาจะขึ้นไปถึงไหน แต่ให้สนใจว่า ซื้อหุ้นตัวนี้
เพราะราคาหุ้นคงไม่ตกลงไปมากกว่านี้แล้ว หรือ ถ้าราคาลดลงก็คงไม่มาก ขาดทุนก็ไม่มาก
เปรียบเสมือนนักลงทุนกำลังยืนอยู่บนตึกตึกหนึ่ง ขอให้มองว่าหากตกจากตึกแล้ว จะบาดเจ็บ
แค่ไหน ขาหัก คอหัก หรือไม่เหลือเป็นซาก โดยไม่ต้องไปสนใจว่าจะขึ้นไปถึงชั้นที่เท่าไร
การจะขึ้นไปชั้นไหน มันอยู่ที่ว่าขาแข็งแรง มีกำลังเพียงพอ ไม่พลัดตกจากตึก ก็จะ
สามารถขึ้นไปชั้นที่สูงๆได้ (เปรียบเป็นหุ้นก็คือ อยู่ที่พื้นฐานของตัวหุ้นนั้นๆว่ามีศักยภาพหรือไม่)

…. การที่มีกฎข้อนี้นั้น เหมาะสมกับนักลงทุนที่ถือกฎการรักษาเงินต้นเป็นหลัก คือ
มองแล้วว่า หากซื้อหุ้น การขาดทุนหากจะเกิดก็ไม่มาก ส่วนจะกำไรหรือไม่นั้น
เป็นผลพลอยได้ที่เข้ามา ซึ่งในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำ การที่ได้กำไรแค่3-4%บางครั้งก็
เป็นสิ่งที่น่าพอใจแล้ว

… แต่ถ้าผู้ใดที่ชอบHigh Return ผลตอบแทนมากๆ คงจะไม่ชอบวิธีการนี้เพราะว่ากำไร
ได้ไม่เป็นกอบเป็นกำ ไม่มากเท่ากับการซื้อหุ้นที่มีการไล่ราคา มีการปั่นหุ้น ซึ่งนักลงทุน
ที่เลือกลงทุนวิธีแบบนี้ คือ กำไรแสน ขาดทุนห้าหมื่น แล้วกลับมาได้กำไรอีก2แสน
ย้อนกลับไปขาดทุน1แสน ไปๆมาๆ ส่วนมากจะไปไม่รอด หากไม่ถูกค่าcommission
ค่านายหน้า หักไปจนหมด ก็อาจจะเป็นแค่การประคองตัว หรือ อาจจะเป็นZero Sum Game
สุดท้ายแล้วนักลงทุนท่านนั้นก็จะเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนอย่างเห็นได้ชัด คือ หากกำไร
ก็จะดีใจจนออกนอกหน้า หากขาดทุนมากก็ไม่พูดไม่จา สุดท้ายคนก็จะตายก่อนหุ้น

… หลักที่กล่าวไปทั้งหมดก็เป็นแค่หลักการเบื้องต้นของการกำจัดความเสี่ยง
รักษาเงินต้น
และทยอยสะสมความมั่งคั่ง

** ทุกอย่างมีรูปแบบ จงเชื่อมั่นในแนวโน้ม **

การทำงานต้องมีรูปแบบการทำงาน การดำเนินชีวิตก็ต้องมีรูปแบบการดำเนินชีวิต
การลงทุนก็ย่อมมีรูปแบบเช่นกัน ท่านรู้หรือไม่การที่Set indexและราคาหุ้นสามารถ
เคลื่อนไหวไปมาได้นั้นเพราะสาเหตุใด

สาเหตุเกิดจาก ความกลัวสุดขีด ความมั่นใจสุดขีด ความระแวง ความอยาก ความโลภ
ที่เกิดจากนักลงทุนหลายแสนคนในเวลาเดียวกัน ณ นาทีนั้น ซึ่งข้อมูลเดียวกันนั้นอาจจะ
ถูกตีความได้หลายเรื่อง ดังนั้นเมื่อนักลงทุนก้าวเข้ามาในสนามรบแห่งนี้ จงจำไว้ว่า
นักลงทุนไม่ได้แข่งขันกับฝ่ายตรงข้ามเหมือนนักกีฬา ไม่ได้แข่งกับตัวเองเหมือนการ
อ่านหนังสือสอบ แต่กำลังแข่งกับสิ่งรอบๆตัว ดังนั้นต้องพยายามไม่ให้สิ่งที่อยู่รอบๆตัวนั้น
มากดดันความคิดของนักลงทุน ต้องปฏิบัติตัวเป็นฝ่ายรุกและกดดันสิ่งรอบตัวจะดีกว่า
เมื่อใดที่นักลงทุนตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว เช่น ซื้อหุ้นไปแล้วหรือขายหุ้นไปแล้ว
ต้องพยายามอย่าให้ข้อมูลต่างๆรอบตัวมากดดันความคิดที่ได้ทำลงไปก่อนหน้านี้
จงเชื่อมั่นในแนวโน้มของการตัดสินใจที่ได้ทำลงไป จงเชื่อในรูปแบบทางความคิดที่สร้างขึ้นในใจ

ตัวอย่างง่ายๆเช่น เมื่อซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่10บาท นักลงทุนวิเคราะห์ ทำการบ้าน หาข้อมูลต่างๆมากมาย
คาดการณ์แล้วว่าน่าจะไปได้ประมาณ 15บาท เมื่อถือลงทุนไปสักระยะราคาก็ยังคงอยู่ที่10-12บาท
ความลังเลกับข้อมูลรอบข้างว่า ราคามีโอกาสลดต่ำลงเริ่มเกิดขึ้น หุ้นตัวนี้ไม่ดีมีข่าวร้ายรออยู่
จนทำให้ท้ายที่สุดต้องยอมขายทิ้งไป ซึ่งหลังจากขายไปแล้วไม่นานราคาหุ้นก็ทะลุขึ้นไป15บาท
และ20บาทตามลำดับ นี่คือตัวอย่างของการไม่เคารพในความคิดของตนเอง ไม่เชื่อในแนวโน้ม
และรูปแบบที่สร้างขึ้นไว้

… อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้แนะนำให้นักลงทุนทุกท่าน ปิดตา ปิดหู ปิดปากตนเองไม่รับรู้สิ่งรอบด้าน
แต่พยายามจะสื่อให้นักลงทุนทุกท่านเชื่อในสิ่งที่ได้ประเมินและทำการบ้านไว้ ข้อมูลที่เข้ามา
กระทบเป็นเพียงข้อมูลเสริมเพิ่มเติมเท่านั้น จงจำไว้ว่า เวลาซื้อหุ้นไม่มีผู้ใดมาบังคับให้คุณซื้อ
เวลาขายก็เช่นกัน ดังนั้นควรจะเคารพความคิดของตนเองให้มากที่สุด

…. ทุกสิ่งทุกอย่างมีรูปแบบ วันนี้นักลงทุนขาดทุน พรุ่งนี้อาจจะกำไรจนชดเชยที่ขาดทุน
เมื่อวานนี้ก็เป็นไปได้ ดังนั้น จงจำไว้เสมอว่า ไม่มีคำว่าหัวเราะที่
หลังดังกว่า
ตราบใดที่คุณยังคงพัวพันอยู่ในตลาดหุ้น ถ้าหากคุณอยากที่จะหัวเราะและดีใจ
ผมขอให้หัวเราะและดีใจในวันที่คุณล้างมือในอ่างทองคำแล้วออกจากตลาด เลิกการลงทุน
ในหุ้นตลอดไป และหากวันนี้เป็นวันที่นักลงทุนมีกำไร หัวเราะ ดีใจอย่างมาก
ก็ต้องจดจำวันที่นักลงทุนจะต้องร้องไห้ เสียใจไว้ด้วย ทุกสิ่งมีสองด้านเสมอ เรื่องอารมณ์
กับคนที่ลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก บ่อยครั้งมักไม่ค่อยได้รับความใส่ใจ นักลงทุน
จงรักษาระดับของอารมณ์ให้ปกติอย่างเข้าใจธรรมชาติการลงทุน หากทำได้แล้วนักลงทุน
จะมีความสุขมาก มากจนหลายคนต้องอิจฉาในตัวท่าน

ขอขอบคุณ คุณ : เย่หยงเทียน

จากคุณ : dsc - [ 13 พ.ค. 52 06:11:25 ]