ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาช่วงเวลาแห่งความสดใสและช่วงเวลาแห่งวิกฤตการณ์
ของนักลงทุนทั้งรายเล็กและรายใหญ่นั้น ทำให้หลายๆคนคงจะมีแนวคิดและวิถีทางแห่ง
การลงทุนที่มีรูปแบบเฉพาะของแต่ละคน บ้างประสบความสำเร็จและบ้างก็ผิดพลาด
แต่ในท้ายที่สุดแล้วนิยามของการลงทุนก็คือ การซื้อในราคาที่ต่ำและขายเมื่อราคาปรับ
ขึ้นจนมีกำไรแทบทั้งสิ้น
การลงทุนในหุ้นเปรียบได้กับการทำธุรกิจอย่างหนึ่งที่ต้องการผลตอบแทนในรูป
ของกำไร นักลงทุนบางคนอาจจะมีรายได้หลักมาจากการลงทุนในหุ้น แต่ส่วนมากแล้ว
นักลงทุนจะมีงานประจำ มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ธุรกิจครอบครัว มีรายได้หลักมาจากตัวธุรกิจ
มีรายได้เสริมมาจากการลงทุนในหุ้น
แต่
.จะมีสักกี่คน ที่คิดว่าการซื้อขายหุ้นในแต่ละครั้งนั้นเป็นการทำธุรกิจ
บ่อยครั้งของการซื้อขายหุ้นจะถูกครอบงำด้วยความโลภและความกลัว ซึ่งแตกต่างกัน
โดยสิ้นเชิงกับรูปแบบการทำธุรกิจ
การทำธุรกิจ อาทิเช่น การซื้อของมาแล้วขายของไปแบบร้านค้าปลีก หรือ
การลงทุนทำธุรกิจซื้อมาขายไปของสินค้าอื่นๆ ยังต้องมีการวางแผนทางการเงิน
มีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของธุรกิจ หรือแม้แต่อุตสาหกรรมการผลิต ก็ยังต้อง
มีการวางแผนการผลิต การคำนวณและควบคุมต้นทุน การดูจุดคุ้มทุน
ในโลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มีนักลงทุนหลายท่านที่ซื้อขายหุ้นโดยใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง
และถูกกดดันโดยภาวะตลาด บังคับและเร่งให้ทำการซื้อขาย
เงินจำนวน1ล้านบาทในการทำธุรกิจนั้น กว่าที่จะเริ่มลงทุนได้ยังต้องมีการประเมินหลายด้าน
เช่น กำลังซื้อ แนวโน้มของธุรกิจ ทิศทางของอุตสาหกรรมนั้นๆว่าอยู่ในทิศทางใด
ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
แต่เหตุใด ทำไมการซื้อขายหุ้น1ล้านบาท ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงในการตัดสินใจ
บางคนอาจจะเพียงแค่5นาทีเท่านั้น สิ่งเหล่านี้น่าคิด
หากวิเคราะห์และประเมินง่ายๆ เหตุผลก็คือ
สภาพคล่องในการเปลี่ยนจากเงินเป็นสินค้า จากสินค้าเป็นเงิน
การลงทุนทำธุรกิจ
หากลงทุนไปแล้ว การจะเปลี่ยนใจเลิกลงทุนในทันทีนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยากและใช้ระยะ
เวลา เงินลงทุนต่างๆนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งของต่างๆ ในรูปแบบ ค่าเช่า เครื่องใช้ อุปกรณ์
ตกแต่ง รวมถึงสินค้า ดังนั้นการตัดสินใจทำอะไรจึงต้องคิดให้ถี่ถ้วน คิดระยะเวลาผลตอบแทน
ว่าจะคืนทุน คุ้มค่ากับดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาสหรือไม่
ตรงกันข้าม กับการซื้อขายหุ้น เมื่อนักลงทุนตัดสินใจซื้อ-ขายไปแล้ว หากนักลงทุนต้องการ
เปลี่ยนแปลงการลงทุน ก็สามารถที่จะทำรายการแก้ไขได้ทันที คือขาย-ซื้อ การแปรเปลี่ยน
ระหว่างเงินสดกับหุ้นนั้น เป็นเรื่องง่ายและคล่องตัว ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้การตัดสินใจในการ
ลงทุนเป็นไปอย่างรวดเร็ว และ เมื่อถูกกระตุ้นด้วยความโลภกับความกลัวด้วยแล้ว ก็เป็น
ตัวเร่งอย่างดีที่ทำให้เกิดการซื้อขายที่เร็วขึ้น ถี่ขึ้น
นักลงทุนจึงควรเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น เสมือน การลงทุนทำธุรกิจ
การเปลี่ยนทัศนคตินี้จะช่วยให้นักลงทุนรู้จัก คำว่า ความเสี่ยง ความพอดีในการลงทุน
ความสมดุลในการซื้อขายและการมองโลกด้วยความเป็นจริง ไม่ใช่สิ่งเพ้อฝัน
วิธีการง่ายๆในการปรับเปลี่ยนมุมมองทัศนคติด้านนี้ คือ
** การลงทุนในแต่ละครั้ง ย่อมมีความผิดพลาดได้เสมอ ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้อย่าง
ครบถ้วน ถูกต้อง ถูกจังหวะตลอดเวลา การประเมินทิศทางของเศรษฐกิจ การประเมิน
บรรยากาศทางเศรษฐกิจโดยรวมเป็นสิ่งสำคัญ นักลงทุนต้องเชื่อและปฏิบัติตามสิ่งที่ได้
รับจากประเมิน การคิดเข้าข้างตนเองแบบมีอคติ และใช้ความคาดหวังแบบเพ้อฝันมาเป็น
ที่ตั้งนั้น คือความผิดพลาดอย่างร้ายแรง จุดนี้สำคัญมากที่สุด เพราะความผิดพลาดส่วนใหญ่
ของนักลงทุนมักเกิดจากการที่นักลงทุน ไม่ยอมรับสภาพสิ่งที่เป็นอยู่จริง พยายามฝืนตลาด
มีความต้องการที่จะเอาชนะอย่างเดียว โดยไม่มองด้านแพ้ ทำให้เกิดการประมาทและขาด
ความยั้งคิด ผลที่ตามมาก็คือความเสียหายด้านทรัพย์สิน เวลา และบางครั้งกระทบถึงสภาพจิตใจ
เมื่อนักลงทุนเข้าใจในสิ่งต่างๆที่กำลังเผชิญอยู่แล้ว สิ่งที่นักลงทุนต้องมีต่อไปนั้น ก็คือ
** การรู้จักรอคอย รอคอยโดยใช้สติ รู้จักอดทนกับทุกสภาวะที่หลั่งไหลเข้ามา
ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสาร บรรยากาศการลงทุน การรอคอยที่ดีนั้น ไม่ใช่การรอคอย
แบบเป็นผู้รับ ต้องรอคอยแบบเป็นผู้รุก นั่นก็คือ
ช่วงเวลาระหว่างการรอคอยโอกาสต่างๆนั้นต้องมีการเตรียมความพร้อมให้กับตนเอง
หมั่นศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมต่างๆที่สนใจ และ กรองข่าวสารต่างๆที่หลั่ง
ไหลเข้ามาว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน อย่างไร มีความเป็นไปได้หรือไม่
เหล่านี้คือการรอคอยแบบรุก เสริมสร้างอาวุธให้พร้อม เมื่อใดโอกาสดีมาถึง นักลงทุน
ก็จะมีความพร้อมที่จะลงทุนและมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นเพราะมีการเสริมสร้างความรู้ไว้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อนักลงทุนเข้าใจเรื่องความเสี่ยง การรู้จักรอคอยโอกาส และ การเตรียมความ
พร้อมให้กับตนเองแล้ว ก่อนที่จะเริ่มทำการลงทุน ควรจะปฏิบัติตัวให้เหมือนกับการลงทุน
ทำธุรกิจทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น
หากเราเปิดร้านค้าปลีก เราต้องเลือกสินค้าที่ขายง่าย เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคและ
มีหลากหลายในตัวสินค้า มีสินค้า ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ เฉกเช่น
กับการลงทุนในตลาดหุ้น เราต้องเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่อง ซื้อขายคล่องตัว ทุกครั้งที่เรา
ต้องการจะขาย ก็มีคนพร้อมที่จะรับซื้อ หุ้นที่นักลงทุนเลือกควรมีความหลากหลาย
เป็นการกระจายความเสี่ยง และที่สำคัญคือ ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่มีข่าวมากระทบ
ในด้านลบ หรือ มีการเปลี่ยนแปลงในด้านพื้นฐานของบริษัทอย่างชัดเจน บริษัทเหล่านี้
ก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกซื้อสินค้าเน่า กระป๋องบุบ หมดอายุเข้ามาขายในร้าน
จะเห็นได้ว่าการเลือกลงทุนนั้นไม่ยาก หากนักลงทุนตั้งสติแล้วเข้าใจการดำเนินไป
ของการซื้อขายหุ้น โดยการเปรียบเทียบกับการทำธุรกิจจริงๆ สิ่งเหล่านี้จะทำให้นักลงทุน
ได้รู้ว่าเงินทองนั้นสามารถสร้างผลกำไรให้เป็นกอบเป็นกำ ไม่ว่าจะลงทุนในธุรกิจจริงๆ
หรือลงทุนในหลักทรัพย์
ประการสุดท้าย
** การประกอบธุรกิจใดๆ หรือลงทุนในอะไรก็ตาม ต้องรู้จักแบ่งเงินลงทุนออกเป็นส่วนๆ
ทยอยลงทุน นักลงทุนไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่า ทุกครั้งที่ทำการลงทุนไปนั้นจะเป็นช่วงโอกาสที่ดีที่สุด
การแบ่งเงิน ทยอยลงทุน จะทำให้นักลงทุน ไม่พลาดโอกาสที่ดีที่สุด และเป็นการป้องกัน
ความเสี่ยง หากเกิดความผิดพลาดๆใด นักลงทุนก็ยังคงเหลือเงินลงทุนบางส่วนอยู่
ตราบใดที่การลงทุนนั้นยังคงเปิดกว้าง นักลงทุนไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ลงทุน ทุกคน
มีโอกาสได้ลงทุนทุกเวลา ทุกสถานที่ แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องกลัวก็คือ เมื่อถึงคราวที่น่า
ลงทุนจริงๆ จะไม่มีเงินลงทุนเหลือให้ลงทุนต่างหาก ดั่งสุภาษิตที่ว่า เจอไม้งามเมื่อขวานบิ่น
จะเห็นได้ว่า ก่อนที่นักลงทุนจะเริ่มต้นทำการซื้อขายหุ้นได้นั้น นักลงทุนต้องมีมุมมอง
เกี่ยวกับธุรกิจให้ถ่องแท้เสียก่อนแล้วนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนในหุ้นเพื่อให้ทุกครั้ง
ของการลงทุนนั้น เป็นการลงทุนที่มีค่า และผ่านการกลั่น
กรองโดยความคิด
ไม่ใช่ โดยอารมณ์ จงตระหนักว่า นักลงทุนกำลังใช้เงินเพื่อการลงทุนจริงๆเสมือนการทำธุรกิจ
ซึ่งมีโอกาสผิดพลาดได้เช่นกันหากไม่มีการประเมินในทุกๆด้าน การทำธุรกิจหากผิดพลาดยัง
พอมีสินทรัพย์พอขายทอดตลาดได้ แต่การลงทุนในหุ้นหากผิดพลาดแล้ว มีแต่ทุนหาย
ความเสี่ยงจึงมากกว่า แต่ไม่มีอะไรในโลกนี้ยากเกินกว่ามนุษย์จะทำได้ ดังนั้นการมีทัศนคติ
ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุน จะทำให้ทุกครั้งของการลงทุนของนักลงทุน มีเหตุผลมากยิ่งขึ้น
และจะเข้าใจในธรรมชาติของคำว่ากำไรและขาดทุนว่าเป็นสิ่งที่คู่กัน ทุกครั้งที่นักลงทุนกำไร
ก็จะมีอีกหนึ่งนักลงทุนที่ขาดทุน ไม่ว่าจะเป็นการขาดทุนจริงๆหรืออาจจะเป็นการขาดทุนกำไร
(กำไรน้อยกว่าที่ควรจะได้รับ)
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น คงเป็นเพียงเรื่องจริงเรื่องหนึ่งที่ควรรู้ก่อนการซื้อขายหุ้นเท่านั้น
ยังคงมีหลายเรื่องที่เกี่ยวกับการลงทุน อาทิ เช่น การเลือกว่าจะลงทุนอะไร ปัจจัยใดที่ต้องนำ
มาพิจารณาให้ความสำคัญในการลงทุน เทคนิควิธีการซื้อขาย ซึ่งทั้งหมดนี้ยังต้องรอการเข้า
มาศึกษาของบรรดานักลงทุนเพิ่มเติม แต่การเริ่มต้นที่ดีย่อมเสมือนการเตรียมความพร้อม
ก่อนเข้าสู่สนามการลงทุน ให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น นักลงทุนไม่ควรละเลยที่จะให้ความสำคัญ
กับการปรับเปลี่ยนทัศนคติ
มุมมองทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผมพยายามนำเสนอ เพื่อให้นักลงทุนได้ฉุกคิดแล้วมีมุมมองในด้าน
บวกต่อการลงทุน การลงทุนเสมือนนักลงทุนร่วมทำธุรกิจ ไม่ใช่ เข้ามาลงทุนเพื่อ การวัดดวง
รอการทำราคาหุ้น เพียงแค่นักลงทุนปรับเปลี่ยนมุมมองได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนเดียวก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่สวยงามแล้ว
แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 52 13:27:15