การทำงาน หากว่าทำมานานหลายๆปี สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์ใน
การทำงาน เป็นประสบการณ์ที่แลกด้วยหยาดเหงื่อและสติปัญญา ประสบการณ์ที่
มากทำให้เกิดความคล่องแคล่วเชี่ยวชาญในงานที่ทำ ผลตอบแทนที่ได้รับจะอยู่ในรูปของเงิน
เดือน หรือ ในรูปแบบของกำไรหากเป็นเจ้าของกิจการ แต่สำหรับการลงทุนในหุ้นนั้น ผมขอ
เรียกว่า ประสบการณ์ที่ต้องแลกด้วยรอยยิ้มและคราบน้ำตา
การลงทุนของของผมนั้นเริ่มตั้งแต่ปี2538 ผ่านตัวเลขหลากสีบนหน้าจอคอมพิวเตอร์มามาก
อ่านหนังสือพิมพ์รวมทั้งบทวิเคราะห์มาก็ไม่น้อย สมัยนั้นกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
หากเป็นปัจจุบันนี้คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นักศึกษาจะมีการลงทุนในหุ้น เพราะว่าภาครัฐ
ให้การส่งเสริม มีการเปิดกว้างในเรื่องการลงทุน มีการเปิดอบรมต่างๆ มีช่องทางการหาความ
รู้มากมาย แต่สมัยนั้นน้อยคนนักที่จะเริ่มแบบผมคือเริ่มสนใจในการลงทุนตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ
จุดเริ่มต้นของความสนใจนั้น คือ ความสงสัยในตัวเลขที่วิ่งรายงานหุ้นในโทรทัศน์ ตัวเลข
เหล่านั้นคืออะไร ดูอย่างไร หมายถึงอะไร จากนั้นก็เริ่มสังเกตจากหน้าหนังสือพิมพ์ว่า
ตารางรายงานราคาหุ้นนั้นอ่านอย่างไร เมื่อไม่เข้าใจ ก็พยายามค้นคว้า เปรียบเทียบราคา
วันต่อวัน ศึกษาหาความรู้สักพักใหญ่ จึงพอจะเข้าใจในการดูตารางราคาหุ้น ช่วงนั้นอินเตอร์เนต
ยังไม่แพร่หลาย ข่าวสารส่วนใหญ่อาศัยจากการอ่านตามหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น อย่างไรก็
ตามในช่วงเวลานั้นตัวผมก็ยังคงไม่เคยเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์จริงๆของการซื้อขายของหุ้น
จนกระทั่งได้มีโอกาสไปตลาดหลักทรัพย์ ที่ตั้งอยู่บนถนนวิทยุ ทำให้ผมได้สัมผัสบรรยากาศ
ของจริงๆในเวลานั้น และด้วยความอยากรู้ข้อมูลต่างๆเป็นทุนเดิม จึงพยายามทำความเข้าใจซึ่ง
ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ไม่นานนักก็เข้าใจวิธีการBid/Offerและเริ่มที่จะรู้จักดูหุ้นรายตัว
จากจุดเริ่มต้นมาจนถึงจุดที่เข้าใจวิธีการดูหุ้นนั้นใช้ระยะเวลาประมาณ1ปี แต่ถ้าเป็นสมัยนี้
สมัยที่มีระบบข้อมูลข่าวสารรวดเร็ว ระยะเวลา2เดือนก็น่าจะเพียงพอสำหรับทำความเข้าใจได้
เมื่อมีความเข้าใจในระบบการซื้อขาย การซื้อขายหุ้นจริงก็ตามมา สมัยนั้นด้วยความที่
ไม่มีตำราแนะนำการซื้อขายหุ้น หรือ สอนวิธีการลงทุนในหุ้น จึงต้องอาศัยการลองผิดลอง
ถูกไปเรื่อยๆ เทคนิคเส้นกราฟก็ดูไม่เป็น พื้นฐานทางธุรกิจก็พอทราบแต่ไม่ลึกซึ้ง มีสิ่งเดียว
ที่ทราบก็คือ หากหุ้นปรับตัวลดลงแรงๆก็ซื้อ ปรับขึ้นแรงๆก็ขาย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ตลาดเริ่ม
ตกจาก1000จุด มาเหลือ800จุดโดยประมาณ การลงทุนก็วนเวียนไปมา ส่วนมากจะขาดทุน
แต่ด้วยลักษณะนิสัยที่ถือหุ้นในระยะเวลาอันสั้น ทำให้การขาดทุนมากๆแทบไม่มี มีเพียงขาด
ทุนน้อยๆแต่บ่อยครั้งจะมีมากกว่า
การมีชั่วโมงบินที่มาก ทำให้มองอะไรต่างๆเป็นระบบยิ่งขึ้น รู้ว่าการลงทุนต้องดูอะไรบ้าง
ดูปัจจัยอะไรที่เข้ามากระทบ ช่วงที่เป็นนักศึกษา การลงทุนในตลาดหุ้นทำให้ผลการเรียนในวิชา
ที่เกี่ยวข้องกับการเงินนั้นดีมาก เพราะการลงทุนทำให้ได้ติดตามข่าวสาร ได้รู้จักโลกแห่งการเงิน
แต่บ่อยครั้งก็ทำให้บางวิชาแย่ลงเช่นกัน เพราะเอาแต่ใส่ใจกับการขึ้นลงของราคาหุ้น กำไรขาดทุน
มีผลกระทบต่อการเรียนบ้างในแง่ของภาวะจิตใจ
ช่วงที่เป็นนักศึกษานั้นได้ผ่านช่วงเวลาของการลดค่าเงินบาท ช่วงนี้นักลงทุนหลายคนมี
รอยยิ้มได้บ้าง เพราะหลังจากการลดค่าเงินบาท หุ้นก็ขึ้นหลายวันติดต่อกัน ช่วงนั้นราคาหุ้น
ไทยจะถูกมากในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ เงินบาทมีค่าเล็กลง เงินต่างประเทศไหลเข้า
มาเท่าเดิม แต่ซื้อหุ้นได้จำนวนมากขึ้น เหตุการณ์นี้คงเป็นหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างรอยยิ้มและ
สร้างกำลังใจให้กับตัวผมมาก แต่หากจะเทียบกับคราบน้ำตาที่ผ่านมา ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะ
ชดเชยกันได้หรือไม่
หลังจากที่เรียนจบ เข้าสู่วัยทำงาน การลงทุนเริ่มมีเวลามากขึ้น มีอิสระมากขึ้นและด้วย
ประสบการณ์ของรอยยิ้มและคราบน้ำตาที่สะสมไว้มาก ทำให้มีความมั่นใจและกล้าลงทุน
เต็มตัว หากแต่ภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย ตลาดหุ้นตกจาก700กว่าจุดเหลือ200กว่าจุด
มีการปิดสถาบันการเงินหลายแห่ง การลดทุนเหลือ1สตางค์นั้นเป็นเรื่องปกติ จนทำให้
นักลงทุนหวาดกลัวกันเป็นอย่างยิ่ง การลงทุนก็ยังคงเหมือนเดิม วนเวียนไปมา ขาดทุนเป็น
ส่วนใหญ่ แต่ต้องยอมรับสิ่งหนึ่งว่า เป็นนักลงทุนที่โชคดี คือไม่เคยผิดพลาดในการซื้อหุ้น
สถาบันการเงินที่โดนปิด ไม่เคยซื้อwarrantที่เหลือ10สตางค์ เพราะหากพลาดไปซื้อ
หุ้นเหล่านี้แล้ว เงินทุนทั้งก้อนจะหายไปในพริบตาทันที ไม่มีค่าเหลือเลย
ผมถือว่าผมเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ผ่านวิกฤตมาได้ แม้ว่าจะบอบช้ำพอสมควร
แต่ทุกครั้งจะบอกกับตัวเองเสมอว่า
อดีตคือสิ่งที่เป็นไป เราต้องอยู่กับปัจจุบันที่ยังคงเหลือจะดีกว่า
**หากมีขุนเขา ใยเล่าต้องกลัว ไร้เงาฟืน**
หลังจากช่วงเวลาดังกล่าวตลาดหุ้นเริ่มดีขึ้น จาก200กว่าจุดขึ้นมาตลอด
และเมื่อเสริมกับประสบการณ์ที่สะสมมาเพียบพร้อม ก็ไม่พลาดที่จะเกาะขบวนขาขึ้น
แต่การลงทุนก็ต้องผิดพลาดในบางครั้ง เช่น เหตุการณ์911 วินาศกรรมที่สหรัฐอเมริกา
ด้วยประสบการณ์ที่สะสมไว้ ก็ช่วยให้รอดพ้นมาได้ ทำให้รู้จักการควบคุมอารมณ์
ไม่ตื่นตระหนก มีความคิดแบบผู้ใหญ่มากขึ้น หากย้อนกลับไปสมัยที่เป็นนักศึกษา คือ
ตกใจขาย ดีใจก็ซื้อ คงจะไม่รอดวิกฤตการณ์มาได้อย่างแน่นอน
การลงทุนในช่วงวัยทำงานนี้ได้ให้แง่คิดมากมาย แง่คิดที่ได้รับนั้น ไม่เพียงแต่เรื่อง
เทคนิคการลงทุนหรือการดูปัจจัยพื้นฐาน แต่เป็นเรื่องของการทำอารมณ์ การเข้าใจใน
วิถีการลงทุน เข้าใจธรรมชาติของหุ้น และเน้นหนักในเรื่องมุมมองการลงทุน ให้รู้จักมุมมอง
อีกด้านของการลงทุน
**สิ่งต่างๆที่ได้รับมานั้น มาพร้อมกับอายุที่มากขึ้น เริ่มเข้าใจในชีวิตว่า ชีวิตไม่ใช่ของเล่น[/u[ **
ซึ่งความคิดเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในสมัยเป็นนักศึกษา แม้จะเคยมีความคิดแบบนี้บ้างในสมัยนั้น
แต่ก็ไม่คิดที่จะจดจำแล้วนำไปปฏิบัติ
มุมมองที่ได้รับมีค่าเป็นอย่างยิ่งและมีประโยชน์อย่างมากต่อการลงทุนในช่วงปัจจุบัน
ที่มีข่าวสารเข้ามากระทบการตัดสินใจในการลงทุนรายวัน หากไม่มีภาวะจิตใจหรือสติที่มั่น
คงเพียงพอแล้ว จะถูกข่าวสารปั่นหัวได้ง่ายดายมาก เกิดหลงทิศในการลงทุน สุดท้ายก็จะ
มีสภาพไม่แตกต่างจากสมัยเมื่อยังเป็นนักลงทุนหน้าใหม่
การลงทุนในปัจจุบันนี้จะว่ายากก็ไม่เชิง การจะประสบความสำเร็จได้นั้นคงไม่ได้วัดกัน
ที่เทคนิคการลงทุนว่าใครดีกว่า หรือ ว่าข่าวสารของใครมีมากกว่า เพราะทุกคนถือข้อมูล
เหมือนกัน รับรู้ข้อมูลทันกัน ข่าวสารสมัยนี้วิ่งเร็วมาก เทคนิคการซื้อขายก็มีหนังสือให้อ่าน
มากมาย มีผู้รู้หลายคนแนะนำผ่านหลายสื่อ แต่การจะประสบความสำเร็จได้นั้น [u]วัดกันที่การ
ควบคุมอารมณ์มากกว่า การมีวินัยในการลงทุน การมีทัศนคติ มุมมองที่ดีต่อการลงทุน
อาทิเช่น การลงทุนในหุ้นแต่ละครั้งหากขาดทุนติดต่อกันหลายครั้ง นักลงทุนจะเริ่มรู้สึก
ท้อแท้หรือไม่ แน่นอนหลายท่านต้องตอบว่าใช่ แต่ถ้าหากนักลงทุนมีมุมมองที่ดี จำกัด
อารมณ์การท้อแท้ไว้เพียงแค่การลงทุนที่จบไป ไม่เอามารบกวนการลงทุนในครั้งถัดไป
เพียงเท่านี้ การลงทุนในรอบถัดไปก็จะดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น การลงทุนต้องมองไปข้างหน้า
ไม่ใช่ ว่ามองแต่ข้างหลัง เปรียบเสมือนการเดินทาง หากหันหลังมองแล้วเดินไปด้วย
ย่อมจะสะดุดหกล้มได้ง่ายกว่าการที่เดินไปข้างหน้าพร้อมกับมองไปข้างหน้า และหากว่ามัว
แต่มองไปข้างหลังแล้วสะดุดหกล้มบ่อยครั้งไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเราอาจจะล้มไปจนไม่มี
แรงลุกขึ้นมาอีกเลย
ส่วนเรื่องวินัยในการลงทุนนั้น เมื่อนักลงทุนได้ตัดสินใจอะไรไว้ หรือคิดวางแผนล่วงหน้าไว้
แล้วว่าจะทำการอะไร ก็ควรจะมีวินัยและพร้อมที่จะปฏิบัติตามสิ่งที่คิดไว้ ถือว่าเป็น การเคารพ
ความคิดของตนเอง เช่น หากนักลงทุนยอมรับการขาดทุนได้เพียง5% เมื่อถึงจุดนั้นจริงๆ
นักลงทุนต้องหยุดการขาดทุนตามที่ตั้งใจไว้ หากไม่ทำตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อขาดทุนเพิ่มมาก
ยิ่งขึ้น ก็จะทำให้เกิดความสับสน ว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรต่อไป และเมื่อขาดทุนมากยิ่งขึ้น
ไปอีก คราวนี้ก็ได้แต่รอคอย การรอคอยยิ่งนานก็จะเกิดความเครียด เมื่อเกิดความเครียด
ย่อมต้องการหากำลังใจ
สิ่งนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมค้นพบว่า การลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยง
เช่น การลงทุนในหุ้นนั้น ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ยอมรับไว้แล้ว ตัวนักลงทุนต้องพร้อมที่
จะเผชิญและรับได้กับความเสี่ยง หากการลงทุนทุกครั้งต้องมัวแต่เรียกหากำลังใจ
แสดงว่าตอนนั้นคุณกำลังล้มเหลวอยู่
.
***ผมจึงค้นพบว่า ผมจะพยายามเรียกหากำลังใจให้น้อยลง เพราะทุกครั้งที่ผมเรียกหากำลังใจแสดงว่าผมกำลังเผชิญกับสิ่งที่แย่ๆที่กำลังทำให้ผมล้มเหลวอยู่***
สิ่งสุดท้ายก็คือ การมีมุมมอง และ ทัศนคติที่ดีต่อการลงทุน สิ่งนี้ผมให้ความสำคัญมากที่สุด
เพราะว่า การมองโลกในแง่ดี จะทำให้การดำเนินไปของกิจกรรมต่างๆเป็นไปด้วยสติ ไม่ได้ดำเนิน
ไปด้วยอคติ
การขาดทุนในหุ้นจำนวนมากนั้น หากมัวแต่โทษตนเอง อารมณ์หงุดหงิด จะมีผลดีต่อการลงทุน
ครั้งต่อไปหรือไม่ เหตุใดจึงไม่มองสิ่งที่เหลืออยู่ การให้ความสำคัญกับสิ่งที่เหลืออยู่นั้น
บ่อยครั้งสิ่งที่เหลืออยู่(เงินทุน)จะบันดาลให้เรามีแรงฮึดสู้ มีกำลังใจที่จะสร้างผลกำไร
กลับคืน ทยอยสะสมความมั่งคั่ง
แต่ถ้าหากเรามัวกังวลกับสิ่งที่ขาดทุนไป สิ่งที่สูญเสียไป ความกังวลจะทำให้การลงทุน
ในรอบถัดไปเต็มไปด้วยความประหม่า ไม่มั่นใจ กำไรที่ได้มาก็ไม่มีความสุข เพราะได้
กำไรกลับคืนมาไม่เท่ากับที่ขาดทุนไป เมื่อไม่มีความพอใจ ความต้องการได้กลับคืน
เร็วๆจึงตามมา การลงทุนจะเสียศูนย์เพราะอัตราเร่ง
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในอารมณ์ของนักลงทุนโดยเด็ดขาด การลงทุน
ควรจะมองเป็นรอบๆไป ทุกครั้งที่กำไร ควรพอใจ เมื่อพอใจ การตัดสินใจแบบมีสติ
ก็จะบังเกิดขึ้นในการลงทุนรอบถัดไป ดั่งคำกล่าวที่ว่า
ทุกคนล้วนแล้วแต่ผ่านคืนวันที่เลวร้ายมาแล้วทั้งสิ้น และย่อมจะผ่านคืนวันอันแสนหอมหวานมาเช่นกัน อยู่ที่ว่าจะเลือกจำวันไหนก็เท่านั้นเอง
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดของผมนั้น แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตการลงทุน
และก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุกๆคนต้องเหมือน เพราะแต่ละคนย่อมมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้รับจากประสบการณ์การลงทุนของผมคือ การได้เห็นในสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต
การได้เห็นแนวคิดของตนเองที่มาพร้อมกับวัยและประสบการณ์ การรู้จักนำมาพิจารณาว่า
อะไรคือสิ่งที่ควรนำมาปฏิบัติ อะไรคือวิถีทางแห่งการลงทุนในแบบฉบับของตนเอง ซึ่งทุกๆคน
สามารถที่จะมีแบบนี้ได้เช่นกัน เพราะทุกคนย่อมต้องมีประสบการณ์การลงทุนของแต่ละคนมา
แล้วทั้งสิ้น
ลองค้นหาดูว่า สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดให้อะไรกับชีวิตของการลงทุน
อะไรคือแบบฉบับการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองซึ่งอาจจะไม่เหมือนกับคนอื่นก็ได้
แต่ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ผมและทุกๆท่านจะได้รับเหมือนๆกันก็คือ
การที่เห็นตัวตน
จริงๆของตนเอง มีความมั่นใจและเชื่อมั่นในการลงทุน มีสติปัญญาที่ปลอดโปร่ง การได้เห็น
ตัวตนที่แท้จริง จะไม่หลงทิศในการลงทุน รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะสมกับตนเอง แล้วเมื่อนั้น
สิ่งที่ทุกคนคาดหวังไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนในรูปของกำไร การลงทุนอย่างมีความสุขไม่เครียด
และอารมณ์ดีแจ่มใส ก็จะมาสู่ทุกๆท่าน ไม่นานเกินรอ
.
แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 52 12:12:43
แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 52 12:11:57