ความคิดเห็นที่ 1 DW วันละหลายคำ ตอนที่ 2 ที่มา ตลาดหลักทรัพย์ฯ :  โพสต์ทูเดย์  13 ก.พ. 52 อีกไม่นานนี้ เราจะมีอนุพันธ์ประเภทใหม่มาซื้อขายกันเพิ่มขึ้นอีกสินค้าหนึ่ง   ซึ่งก็คือ Derivative Warrants หรือที่เรียกสั้นๆว่า DW นั่นเอง  แม้ว่า DW จะดูว่าเป็นสินค้าใหม่เอี่ยมอ่อง แต่วลี "เหล้าเก่าในขวดใหม่" ก็สามารถนำมาใช้ได้ในกรณีนี้ เพราะความจริงแล้ว DW ก็เป็น warrant อีกแบบหนึ่ง แต่ DW นี้มีความแตกต่างจาก warrant ที่บริษัทจดทะเบียนเป็นผู้ออกและมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันด้วย ส่วนที่ว่าเหมือนจะเหมือนอย่างไร และที่ว่าต่างจะต่างกันอย่างไร มาลองดูในรายละเอียดกันครับ DW เป็นสิทธิที่ผู้ขายให้กับผู้ถือ DW ในการที่จะซื้อหุ้นตามเงื่อนไขที่ผู้ขาย DW กำหนด โดยสิ่งที่ผู้ขายจะกำหนดก็คือ ราคาที่จะใช้สิทธิซื้อหุ้น และระยะเวลาที่ผู้ถือ DW จะสามารถใช้สิทธิได้ ดังนั้น DW จึงมีความคล้ายคลึงกับ warrant ที่บริษัทจดทะเบียนเป็นผู้ออกค่อนข้างมาก แต่ความต่างที่ชัดเจนก็คือ ผู้ออก DW ได้นั้น จะต้องเป็นบริษัทที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. รวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ โดยบริษัทเหล่านี้ไม่ได้เป็นบริษัทจดทะเบียนที่เป็นผู้ออกหุ้นเอง พูดง่ายๆ ก็คือ บริษัทเหล่านี้ออกขาย DW ที่ให้สิทธิซื้อหุ้นของบริษัทอื่นที่ตนเองไม่ได้เป็นเจ้าของนั่นเอง  ซึ่งบริษัทเหล่านี้อาจมีหุ้นรองรับการใช้สิทธิของ DW ที่ออกทั้งจำนวน หรือมีเป็นบางส่วน หรือไม่มีเลยก็ได้ สำหรับตัวอย่างกรณีที่บริษัทผู้ออกมีหุ้นรองรับการใช้สิทธิทั้งหมด ซึ่งเคยมีการซื้อขาย กันในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ได้แก่ SCIB-C1 นั่นเอง แต่เรายังไม่เคยมีการซื้อขาย DW ที่ไม่มีหุ้นรองรับการใช้สิทธิ หรือมีหุ้นรองรับแต่บางส่วนมาก่อน ดังนั้น ในวันนี้เราจะมาคุยถึง DW ประเภทที่ไม่มีหุ้นรองรับทั้งหมดกันครับ จากคุณ : แมงเม่ามิ้ม - [ 22 มิ.ย. 52 15:01:31 ]

ความคิดเห็นที่ 2 DW วันละหลายคำ ตอนที่ 3 ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์ฯ  :  โพสต์ทูเดย์  13 ก.พ. 52 มาถึงตอนนี้ เรามารู้ถึงความแตกต่างระหว่าง DW และ warrant กันก่อนดีกว่าครับ คำตอบก็คงเป็นเรื่องของความเสี่ยงนั่นแหละครับ จากที่กล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า DW มีความเสี่ยงมากกว่า warrant เนื่องจากผู้ออก warrant นั้น ก็คือ บริษัทจดทะเบียนซึ่งเป็นเจ้าของหุ้น ดังนั้น เมื่อผู้ถือ warrant มาใช้สิทธิ ก็ไม่มีความเสี่ยงในการที่จะต้องกังวลว่ามาใช้สิทธิแล้วไม่ได้หุ้น เพราะบริษัทจดทะเบียนสามารถจดทะเบียนเพิ่มทุน เพื่อนำหุ้นมารองรับการใช้สิทธิได้ตลอดเวลา แต่ในกรณีของ DW นั้น ผู้ออกหรือคนขาย DW นั้นไม่ใช่บริษัทจดทะเบียน หรือพูดง่ายๆก็คือไม่ใช่เจ้าของหุ้น ดังนั้น เมื่อผู้ถือ DW มาใช้สิทธิ ผู้ออก DW ก็จะต้องไปหาหุ้นมาเพื่อรองรับการใช้สิทธิดังกล่าว ซึ่งในส่วนนี้เป็นความเสี่ยงที่เรียกว่าความเสี่ยงด้านเครดิต (credit risk) ของการลงทุนใน DW ที่ผู้ออกไม่มีหุ้นรองรับการใช้สิทธิทั้งหมด หรือมีหุ้นรองรับเพียงบางส่วน อย่างไรก็ดี แม้ว่า DW จะมีการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ คงต้องขอย้ำตรงนี้ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถให้ความเชื่อมั่นได้เฉพาะในส่วนของการซื้อขาย DW เท่านั้น พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อผู้ลงทุนจ่ายเงินซื้อ DW มั่นใจได้ว่า จะได้รับ DW ที่ซื้อแน่นอน ยกเว้นเรื่องการใช้สิทธิของ DW ซึ่งผู้ลงทุนต้องติดต่อดำเนินการขอใช้สิทธิกับบริษัทผู้ออก DW เอง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้ค้ำประกันการใช้สิทธิหรือไม่ได้รับประกันว่าผู้ออกจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของ DW แต่อย่างใด ดังนั้น ในการซื้อขาย DW ผู้ลงทุนจึงต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงดังกล่าวด้วย โดยต้องพิจารณาถึง cridit risk ของผู้ออก DW ว่าผู้ออกมีความน่าเชื่อถือ มีฐานะการเงินดี และมีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ผู้ออกจะมีความสามารถที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้สิทธิของ DW ได้ตามที่กำหนดไว้ จากคุณ : แมงเม่ามิ้ม - [ 22 มิ.ย. 52 15:02:12 ]

ความคิดเห็นที่ 3 DW วันละหลายคำ ตอนที่ 5 ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์ฯ  :  โพสต์ทูเดย์  13 ก.พ. 52 นอกจากความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ออกแล้ว DW ที่จะมีการซื้อขายในช่วงแรก ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับ warrant คือผู้ถือต้องจ่ายเงินค่า DW เพื่อให้ได้สิทธิในการที่จะซื้อหุ้นอ้างอิง หรือหุ้นแม่นั้นจากผู้ขาย โดยผู้ถือ DW สามารถเลือกได้ 2 ทาง ทางแรก คือ ถือ DW ไว้และรอใช้สิทธิตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งวิธีนี้ จะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นอ้างอิงในขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร ถ้าราคาหุ้นอ้างอิงหรือหุ้นแม่สูงกว่าราคาใช้สิทธิ ก็ควรใช้สิทธิ เพราะได้กำไรจากการใช้สิทธิ แต่หากราคาหุ้นแม่ต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ ก็จะไม่ใช้สิทธิ ดังนั้น ก็จะขาดทุนเท่ากับราคาที่จ่ายซื้อ DW ไป ส่วนอีกทางหนึ่งคือ ซื้อ DW ไว้แล้วขาย DW ออกไป เมื่อราคา DW มีการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งการที่ราคา DW จะปรับตัวสูงขึ้นนั้น เป็นผลมาจากหลายปัจจัย (ซึ่งจะขอกล่าวในรายละเอียดในโอกาสต่อไป) แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ราคาหุ้นอ้างอิงของ DW นั่นเอง วิธีนี้ ผู้ลงทุนก็จะได้รับกำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย DW ทันที ทั้งนี้ การที่ผู้ลงทุนจะเลือกวิธีไหน ก็ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ภาวะตลาด รวมถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง แต่โดยปกติ ในต่างประเทศนั้น ผู้ลงทุนมักนิยมขาย DW เพื่อทำกำไรส่วนต่างมากกว่าการขอใช้สิทธิ คราวหน้าเราจะมาพูดถึงรายละเอียดของ DW ที่จะซื้อขายในเร็วๆนี้กันครับ จากคุณ : แมงเม่ามิ้ม - [ 22 มิ.ย. 52 15:03:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 DW วันละหลายคำ ตอนที่ 6 ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์ฯ  :  โพสต์ทูเดย์  20 ก.พ. 52 หลังจากที่ได้เกริ่นในครั้งที่แล้วว่า เร็วๆนี้ เราจะมีการซื้อขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrant) หรือที่เรียกสั้นๆว่า DW นั้น เรามาดูกันดีกว่าครับว่า DW ที่จะมาซื้อขายกันในช่วงแรกนี้ จะมีลักษณะอย่างไร DW ที่จะมีการซื้อขายกันนั้นเป็น "สิทธิ" ที่บริษัทผู้ออก DW (ซึ่งในระยะแรก ก็คือ บริษัทหลักทรัพย์) ให้แก่ผู้ซื้อหรือผู้ถือ DW ในการที่จะซื้อหุ้นอ้างอิงที่กำหนดไว้ ตามราคาใช้สิทธิ (exercise price) และตามสัดส่วน (exercise ratio) ที่บริษัทผู้ออก DW กำหนด เช่น กำหนดให้ DW 10 หน่วย สามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นอ้างอิงได้ 1 หุ้นในราคาใช้สิทธิหุ้นละ 10 บาท เป็นต้น โดยหุ้นที่บริษัทผู้ออก DW สามารถนำมาใช้เป็นหุ้นอ้างอิงเพื่อออก DW นั้น จะต้องเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มดัชนี SET50 ทั้งนี้ผู้ถือ DW จะสามารถใช้สิทธิเมื่อถึงวันที่กำหนดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และเมื่อใช้สิทธิ ผู้ถือ DW จะได้รับการชำระราคาเป็นเงินสดจากผู้ออก DW หรือที่เรียกว่า cash settlement เท่านั้น โดยจะไม่มีการส่งมอบหุ้นอ้างอิงแต่อย่างใด ผู้ถือ DW จะเลือกใช้สิทธิก็ต่อเมื่อราคาหุ้นอ้างอิงนั้นสูงกว่าราคาใช้สิทธิ เช่น ถือ DW ไว้ 1,000 หน่วย ราคาหุ้นอ้างอิง 15 บาท ราคาใช้สิทธิ 10 บาท และกำหนดอัตราส่วนการใช้สิทธิไว้ 1 หุ้นต่อ DW 10 หน่วย ในกรณีนี้ ผู้ถือ DW สามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นได้ 100 หุ้นในราคาใช้สิทธิหุ้นละ 10 บาท และจะได้รับเงินจากการใช้สิทธิเป็นมูลค่าเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาหุ้นอ้างอิง (15 บาท) และราคาใช้สิทธิ (10บาท) คูณด้วยจำนวนหุ้นที่มีสิทธิซื้อ (100 หุ้น) เท่ากับ (15-10) x 100 = 500 บาท อย่างไรก็ดี เนื่องจากผู้ลงทุนมีต้นทุนในการซื้อ DW มาด้วย ดังนั้น ในการคำนวณกำไรขาดทุนสุทธิ จึงต้องหักต้นทุนที่จ่ายซื้อ DW จากกำไรขาดทุนที่เกิดจากการใช้สิทธิด้วย จากคุณ : แมงเม่ามิ้ม - [ 22 มิ.ย. 52 15:05:00 ]

ความคิดเห็นที่ 5 DW วันละหลายคำ ตอนที่ 7 ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์ฯ  :  โพสต์ทูเดย์  20 ก.พ. 52 ในทางปฏิบัติแล้ว เงื่อนไขต่างๆเกี่ยวกับการใช้สิทธิและรายละเอียดอื่นๆของใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือ DW นี้ ผู้ออก DW จะต้องระบุรายละเอียดไว้ในสาระสำคัญและข้อกำหนดสิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ออกขาย ตัวอย่างเช่น ผู้ออก DW อาจกำหนดให้ราคาหุ้นที่จะนำมาใช้อ้างอิงเพื่อคำนวณมูลค่าการชำระราคาเมื่อมีการใช้สิทธิ โดยอาจใช้ราคาเฉลี่ย 5 นาทีสุดท้ายของหุ้นอ้างอิง แทนราคาปิดของหุ้นอ้างอิงในวันซื้อขายวันสุดท้ายของ DW ก็ได้ ซึ่งผู้ซื้อ DW จะต้องมีการศึกษาข้อมูลเหล่านี้ให้เข้าใจและพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อขาย เพื่อผลประโยชน์ของผู้ลงทุนเอง จากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าเราจะเปรียบเทียบ DW กับ Call Options ที่ซื้อขายในตลาด TFEX ก็จะเห็นว่ามีทั้งลักษณะที่คล้ายกันและต่างกันหลายอย่างครับ ส่วนที่คล้ายกันก็คือ ลักษณะพื้นฐานว่าเป็นสิทธิซื้อเหมือนกัน และเมื่อใช้สิทธิก็จะได้รับเงินส่วนต่างหรือที่เรียกว่า Cash Settlement เหมือนกัน ส่วนที่ต่างกันก็คือ Options นั้นตลาดอนุพันธ์เป็นผู้กำหนดลักษณะของสัญญา และการซื้อขายการใช้สิทธิก็จะค้ำประกันโดยบริษัทสำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด (TCH) แต่สำหรับ DW นั้น ผู้ออก DW จะเป็นคนกำหนดรายละเอียดของ DW ที่จะมาซื้อขายเอง โดยผู้ลงทุนที่ต้องการใช้สิทธิจะต้องทำการขอใช้สิทธิกับผู้ออกเอง โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้ค้ำประกันว่าผู้ออก DW จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนจะต้องประเมินก่อนเข้ามาซื้อขาย จากคุณ : แมงเม่ามิ้ม - [ 22 มิ.ย. 52 15:05:39 ]

ความคิดเห็นที่ 6 DW วันละหลายคำ ตอนที่ 8 ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์ฯ  :  โพสต์ทูเดย์  20 ก.พ. 52 นอกจากนี้  DW ที่ผู้ออกเสนอขายในแต่ละรุ่นจะมีการกำหนดราคาใช้สิทธิไว้เพียงราคาเดียว ดังนั้น จึงต่างกับ Options ที่ซื้อขายในตลาด TFEX ซึ่งจะมี Series ให้เลือกซื้อขายจำนวนมาก หรือพูดง่ายๆก็คือ การออก DW เปรียบเสมือนการนำ Call Options มาขายทีละ Strike ซึ่งในจุดนี้ จะเห็นถึงความแตกต่างระหว่างการซื้อขาย DW และ Options ได้ว่า ในส่วนของ Options ผู้ลงทุนเข้าไปซื้อ (Long) หรือขาย (Short หรือ Write) ได้ทั้ง 2 ด้าน ขณะที่ในส่วนของ DW ผู้ขายจะเป็นผู้ขาย (Write) DW เพียงผู้เดียว และขายเพียง Strike เดียวเท่านั้น  ผู้ลงทุนจึงเป็นได้แค่ผู้ซื้อ หรือ Long DW เท่านั้น อย่างไรก็ดี แม้ว่าในเชิงกลยุทธ์การซื้อขายแล้ว DW จะไม่คล่องตัว เท่ากับ Options ที่สามารถทำกลยุทธ์ได้สำหรับทุกภาวะตลาด แต่ DW ก็มีจุดเด่น คือ ไม่ซับซ้อน  ทำให้ผู้ลงทุนสามารถติดตามทำความเข้าใจได้ง่าย นอกจากนี้ ตามหลักเกณฑ์ของทางการ ผู้ออก DW ยังถูกกำหนดให้ต้องมีการแต่งตั้งผู้ดูแลสภาพคล่อง หรือ Market Maker ของ DW ที่นำมาจดทะเบียน ซึ่งทำหน้าที่เสนอซื้อเสนอขาย เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ลงทุนจะมีราคาซื้อขาย DW ได้เมื่อต้องการ ดังนั้น DW จึงน่าจะเป็นสินค้าน้องใหม่ที่น่าสนใจพอควร จากที่กล่าวข้างต้นว่า ผู้ออกจะเสนอขาย DW ทีละ Strike หรือครั้งละ Series นั้น มิได้หมายความว่าในขณะใดขณะหนึ่ง จะมี DW ที่มีหุ้นอ้างอิงเดียวกัน และมีราคาใช้สิทธิเหมือนกันซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้ เนื่องจากสำนักงาน ก.ล.ต. ไม่มีข้อจำกัดว่า มีผู้ออกได้รายเดียวเท่านั้น ดังนั้น หากผู้ออก DW ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. มีใจตรงกัน ก็อาจเกิดการออก DW ที่มีหุ้นอ้างอิง และราคาใช้สิทธิเหมือนกันได้ ซึ่งผู้ลงทุนคงต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากรายละเอียดและข้อกำหนดสิทธิของ DW ของผู้ออกแต่ละรายว่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว ผู้ออก DW แต่ละราย คงจะต้องพยายามให้สินค้าของตนมีความแตกต่างกันไป เพื่อเป็นจุดขายและดึงดูดความสนใจจากผู้ลงทุน คราวหน้ามาวิเคราะห์กันครับว่า DW มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง จากคุณ : แมงเม่ามิ้ม - [ 22 มิ.ย. 52 15:07:04 ]

ความคิดเห็นที่ 7 DW วันละหลายคำ ตอนที่ 9 ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์ฯ  :  โพสต์ทูเดย์  27 ก.พ. 52 "นัดพบอนุพันธ์" ใน 2 ตอนที่ผ่านมา ได้แนะนำให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักกับลักษณะและความเสี่ยงของ Derivative Warrants (DW) หรือ ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์กันไปแล้ว และในตอนนี้ เราจะมาดูว่า DW ที่จะเปิดให้ซื้อขายกันในเร็วๆนี้ มีความน่าสนใจลงทุนอย่างไร และมีข้อสังเกตสำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจะซื้อขาย DW อย่างไร DW ที่จะเปิดซื้อขายในระยะแรก จะมีลักษณะเหมือนวอร์แรนท์ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เพียงแต่ Issuer หรือบริษัทผู้ออก DW จะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ ไม่ใช่บริษัทจดทะเบียน โดยเป็นสิทธิที่บริษัทผู้ออกให้แก่ผู้ถือ DW ในการที่จะซื้อหุ้น ในราคาและสัดส่วนที่กำหนด  โดยข้อดีของการซื้อขาย DW ก็คือ ใช้ทุนน้อย เมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้นจริง แต่เสมือนว่าผู้ลงทุนได้ลงทุนในหุ้นนั้น ซึ่งหากราคาหุ้นอ้างอิงหรือหุ้นแม่ปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลให้ราคาของ DW ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากผู้ถือ DW มีโอกาสจะได้กำไรจากการใช้สิทธิซื้อหุ้นมากขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากราคาหุ้นแม่ปรับตัวลดลง ราคาของ DW ก็จะปรับลดลงตามไปด้วย   การที่ใช้เงินทุนน้อยในการซื้อ DW นั้น ทำให้อัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนใน DW สูงหรือต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นจริงมาก ตัวอย่างเช่น ลงทุนในหุ้น 100 บาท หากราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้น 10 บาท ผู้ลงทุนจะได้กำไร คิดเป็นอัตรา 10% แต่หากซื้อ DW ใช้เงิน 10 บาท หากราคา DW เพิ่มขึ้น 3 บาท เท่ากับกำไร 30 % แต่หากราคา DW ลดลง 3 บาท ก็เท่ากับขาดทุนในอัตรา 30% เป็นต้น ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า DW มี gearing สูง คือ ใช้เงินทุนน้อย แต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่าทั้งด้านบวกด้านลบ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้น จากคุณ : แมงเม่ามิ้ม - [ 22 มิ.ย. 52 15:07:37 ]

ความคิดเห็นที่ 8 DW วันละหลายคำ ตอนที่ 10 ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์ฯ  :  โพสต์ทูเดย์  27 ก.พ. 52 มาถึงตอนนี้ ผู้ลงทุนอาจมีคำถามว่า ควรจะซื้อขาย DW เมื่อใด คำตอบแบบง่ายๆ ก็คือ หากคิดว่าราคาหุ้นอ้างอิงจะปรับตัวสูงขึ้น ก็ให้เข้ามาซื้อ DW ของหุ้นนั้นไว้  ส่วนการประเมินว่าราคาหุ้นอ้างอิงจะปรับตัวสูงขึ้นหรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่กับมุมมองของท่านผู้ลงทุนเองครับ โดยอาจพิจารณาจากผลประกอบการที่ดี หรือข่าวดีอื่นๆ ซึ่งตรงนี้ คงต้องอาศัยข้อมูลบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์เป็นตัวช่วย ทั้งนี้ นอกจากการเลือกหุ้นอ้างอิงที่เหมาะสมแล้ว ความผันผวนของหุ้นแม่ก็มีส่วนสัมพันธ์กับราคาของ DW ด้วย โดยหากราคาหุ้นแม่มีความผันผวนมาก จะส่งผลให้มูลค่าของ DW เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีโอกาสสูงขึ้นที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น จนทำให้เกิดกำไรจากการใช้สิทธิ สำหรับในทางปฏิบัติ อาจมีความเป็นไปได้ที่จะมี DW ที่มีหุ้นอ้างอิงเดียวกันออกมาขาย โดยมีราคาใช้สิทธิที่แตกต่างกันไป หากถามว่า ควรจะเลือก DW ที่มีราคาใช้สิทธิราคาไหนดี คงขึ้นกับมุมมองของผู้ลงทุนว่า มีเป้าหมายในใจหรือคาดว่าราคาหุ้นอ้างอิงจะปรับตัวสูงขึ้นไปเท่าไร ดังนั้น จึงควรเลือก DW ที่มีราคาใช้สิทธิที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับราคาหุ้นอ้างอิงเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ DW ที่กำหนดราคาใช้สิทธิต่ำ จะมีราคาซื้อขายสูงกว่า DW ที่กำหนดราคาใช้สิทธิสูง เนื่องจากผู้ถือ DW ที่มีราคาใช้สิทธิต่ำมีโอกาสกำไรมากกว่า นอกจากนี้ ผู้ลงทุนต้องพิจารณาด้วยว่า ราคา DW ที่จะซื้อขายในกระดานนั้นแพงหรือถูก โดยสามารถใช้แบบจำลองการประเมินมูลค่าออปชั่นมาคำนวณราคาทางทฤษฎีเพื่อเทียบเคียงก็ได้ แต่ไม่จำเป็นว่าราคาที่ซื้อขายในกระดานจะต้องเท่ากับราคาทางทฤษฎี เนื่องจากเป็นเพียงการใช้อ้างอิงเปรียบเทียบเท่านั้น จากคุณ : แมงเม่ามิ้ม - [ 22 มิ.ย. 52 15:08:35 ]

ความคิดเห็นที่ 9 DW วันละหลายคำ ตอนที่ 11 ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์ฯ  :  โพสต์ทูเดย์  27 ก.พ. 52 ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งที่อยากกล่าวถึงก็คือ ในทางปฏิบัติ เมื่อผู้ลงทุนซื้อ DW แล้ว ราคา DW ที่ซื้อไว้ปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะมาจากการที่ราคาหุ้นอ้างอิงปรับตัวสูงขึ้น ความผันผวนของราคาหุ้นอ้างอิงเพิ่มสูงขึ้น หรือปัจจัยอื่นๆก็ตาม ขอให้ผู้ลงทุนพึงระลึกไว้ว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องถือ DW ไว้เพื่อรอใช้สิทธิตามเงื่อนไขที่ผู้ออกกำหนดเท่านั้น หากผู้ลงทุนได้กำไรในอัตราที่ยอมรับได้แล้ว ผู้ลงทุนสามารถเลือกที่จะขาย DW นั้นไปเพื่อรับรู้กำไรได้ตลอด ในทางทฤษฎีแล้ว มูลค่าของ DW แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งคือ ส่วนที่เรียกว่ามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งก็คือ กำไรที่ได้จากการใช้สิทธิทันที และส่วนที่ 2 คือ มูลค่าตามเวลา (time value) ซึ่งก็คือ มูลค่าที่เกิดจากโอกาสที่ราคาหุ้นแม่จะผันผวนปรับตัวสูงขึ้น จนทำให้ DW ที่ถือไว้มีกำไรจากการใช้สิทธิได้ ตัวอย่างเช่น ราคาหุ้นอ้างอิง 50 บาท ราคาใช้สิทธิ 49 บาท อัตราการใช้สิทธิคือ 1:1 หากราคา DW เท่ากับ 5 บาท อาจแบ่งได้ว่า เป็นมูลค่าที่แท้จริง 1 บาท เนื่องจากหากมีการใช้สิทธิทันที กำไรที่จะได้รับ คือ  1 บาท ดังนั้น อีก 4 บาท ก็คือ มูลค่าตามเวลานั่นเอง โดยเจ้ามูลค่าตามเวลานี้จะลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อ DW เข้าสู่ช่วงครบกำหนดอายุ ดังนั้น ผู้ลงทุนที่มีกำไรจาก DW ที่ถืออยู่ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องถือไปจนครบกำหนดอายุ แต่ควรเลือกที่จะขายเพื่อรับรู้กำไรออกไปก่อน ทั้งนี้ ในตลาดต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน หรือ ฮ่องกงนั้น พบว่าผู้ลงทุนที่ถือ DW ไว้เพื่อรอการใช้สิทธินั้น คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% ซึ่งถือว่าน้อยมาก กล่าวโดยสรุป การซื้อ DW นั้น เปรียบเสมือนการซื้อหุ้น แต่ใช้เงินลงทุนน้อยกว่า จึงมีโอกาสที่จะได้รับอัตราผลตอบแทนสูงกว่า และมีความเสี่ยงมากกว่าหุ้น นอกจากนี้ เนื่องจาก DW นั้น ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงด้านเครดิตของบริษัทผู้ออก (issuer) ด้วยว่า จะสามารถปฏิบัติตามภาระผูกพันที่กำหนดไว้ได้หรือไม่ ผู้ลงทุนต้องพิจารณาฐานะการเงินและความน่าเชื่อถือของผู้ออก DW ก่อนการลงทุนด้วย จากคุณ : แมงเม่ามิ้ม - [ 22 มิ.ย. 52 15:09:39 ]