Altemative Investment

ทางเลือกในการลงทุนของนักลงทุนโดยทั่วไปอาจจำกัดอยู่ที่หุ้น ตราสารหนี้ และเงินฝาก ซึ่งเรียกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม (Traditional Investment)
แต่ในปัจจุบันการลงทุนที่กำลังเป็นที่สนใจ คือ การลงทุนในทางเลือกอื่น (Alternative Investment) ซึ่งหมายถึงการลงทุนที่ไม่ใช่การลงทุนแบบดั้งเดิม หากแต่เป็นการลงทุนในรูปแบบที่แตกต่างออกไป เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนแบบ Absolute Return เช่น การลงทุนโดยใช้กลยุทธ์ Equity Pair และการลงทุนโดยใช้กลยุทธ์ Commodity Long/Short เป็นต้น

ในปัจจุบันการลงทุนในทางเลือกอื่นเริ่มมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเหตุผลหลัก 2 ประการ คือ เนื่องจากการลงทุนในทางเลือกอื่นสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ หรือตลาดเงินฝากได้ อย่างไรก็ตามการพิจารณาการลงทุนในทางเลือกอื่นจำเป็นต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถลดความเสี่ยงที่มีอยู่ได้

วิธีการที่เป็นที่นิยมในการเลือกสินทรัพย์ที่จะลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง คือ ดูจากค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) โดยนักลงทุนจะทำการเลือกหลักทรัพย์ที่มีค่าสหสัมพันธ์ต่ำเทียบกับหลักทรัพย์ที่ลงทุนอยู่

ตัวอย่างเช่น นักลงทุนทำการลงทุนในหุ้นอาจกระจายความเสี่ยงในการลงทุนด้วยทองคำ เนื่องจากทองคำมีค่าสหสัมพันธ์ต่ำถ้าเทียบกับหุ้น ดังนั้นการลงทุนในทองคำจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง

ประการที่สอง เนื่องจากในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันการลงทุนแบบดั้งเดิมไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจได้ ซึ่งการลงทุนที่เหมาะกับภาวะปัจจุบันมิใช่การลงทุนแบบดั้งเดิม เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจสูง ดังนั้นผลตอบแทนของการลงทุนจะเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลก การลงทุนที่สามารถทำกำไรได้ทั้งในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นและขาลง คือ การลงทุนแบบกลยุทธ์ Absolute Return เช่น กลยุทธ์ Commodity Long/Short และกลยุทธ์ Equity Pair การลงทุนโดยใช้กลยุทธ์ Commodity Long/Short คือ การลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งการลงทุนในลักษณะนี้จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึงแม้ว่าสินค้าโภคภัณฑ์จะมีราคาตกต่ำก็ตาม ตัวอย่างเช่น นักลงทุนคาดว่าราคาข้าวสาลีจะมีแนวโน้มลดลงในอนาคต นักลงทุนจะทำการเปิดสถานะขายในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโดยมีข้าวเป็นสินค้าอ้างอิง กล่าวคือ นักลงทุนซื้อสิทธิที่จะขายสินค้าในราคาที่กำหนดไว้แม้ว่าราคาจริงจะลดต่ำลงมากกว่าราคาที่ตกลงไว้ก็ตาม ดังนั้นนักลงทุนจึงสามารถขายได้สูงกว่าราคาตลาด ทำให้เกิดผลกำไรถึงแม้ว่าราคาสินค้าอ้างอิงจะลดลงก็ตาม

ในทางตรงข้าม หากนักลงทุนคาดว่าราคาของข้าวสาลีจะเพิ่มขึ้นในอนาคต นักลงทุนจะทำการเปิดสถานะซื้อในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโดยมีข้าวเป็นสินค้าอ้างอิง กล่าวคือ นักลงทุนซื้อสิทธิที่จะซื้อข้าวในราคาที่กำหนดไว้แม้ว่าราคาจริงจะสูงกว่าราคาที่ตกลงไว้ก็ตาม ดังนั้นนักลงทุนจึงสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาตลาด จึงทำให้เกิดผลกำไร นอกจากนั้นการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจำเป็นต้องอาศัยความรู้ในการลงทุนที่มากกว่าปกติ เพราะนักลงทุนต้องเข้าใจความซับซ้อนในการลงทุน

กลยุทธ์อีกอย่างหนึ่งที่ได้รับความสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน คือ กลยุทธ์ Equity Pair กล่าวคือ เป็นการซื้อขายหลักทรัพย์สองตัวในทิศทางที่ตรงกันข้าม โดยถ้านักลงทุนคาดว่าหุ้น A และ B จะมีราคาเพิ่มขึ้น แต่หุ้น B จะมีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่า ดังนั้นนักลงทุนสามารถใช้กลยุทธ์ Equity Pair ได้โดยการซื้อหุ้นที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคือหุ้น B และขายหุ้นที่ขึ้นน้อยกว่าคือหุ้น A อย่างไรก็ตามการลงทุนแบบ Equity Pair สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นบวกได้ต่อเมื่อมูลค่าจริงของหุ้นเป็นไปตามที่คาดไว้

ในอดีตการลงทุนในทางเลือกอื่นยังมีข้อจำกัดอยู่มาก โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย สาเหตุเกิดจากการขาดความรู้ความเข้าใจในการลงทุน ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้อย่างเพียงพอ และข้อจำกัดเรื่องปริมาณเงินที่นักลงทุนจะต้องใช้ในการลงทุน ในปัจจุบันปัญหาดังกล่าวของนักลงทุนรายย่อยได้ลดน้อยลงไปมาก เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เข้ามามีบทบาทในการให้ความรู้แก่นักลงทุนมากขึ้น รวมถึงกองทุนรวมต่างๆ ได้เข้ามามีบทบาทในการลงทุน โดยเป็นตัวแทนการซื้อขายและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน ส่วนข้อจำกัดเรื่องปริมาณเงินลงทุนได้ลดน้อยลงไป เนื่องจากมีการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อลดข้อจำกัดดังกล่าว นอกจากนั้นกองทุนรวมยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ให้นักลงทุนเลือกลงทุนอีกด้วย

รายงานโดย :บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ไทย)
http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=55864

จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา - [ วันอาสาฬหบูชา 14:23:54 ]